เว่ยจื้อโหยวเดินแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไก่ป่าและกระต่ายป่า ในมือยังถือหน่อไม้มาด้วย 2 หน่อ วันนี้นางใช้เวลาเดินในป่ามากไปหน่อย ตอนนี้ถึงกับหมดแรงไปเลยทีเดียว
เมื่อเดินมาได้ใกล้จะถึงบ้าน นางก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วแน่นเสียงด่าทอน้องชายน้องสาวดังมาจากหน้าบ้าน คงจะเป็นนังมนุษย์ป้าสะใภ้มหาภัยแน่ ๆ หาไม่แล้วใครจะกล้าและหน้าด้านมาด่าเด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 หนาวด้วยซ้ำ จิตใจไร้สำนึกขนาดนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินกลับบ้านทันที นางเข้าด้านหลังบ้าน หลังจากนำตะกร้าเข้าไปวางไว้ในห้องนอนของนางเสร็จแล้วจึงปิดประตูใส่กุญแจเอาไว้ ไม่รอช้านางรีบเดินออกไปด้านหน้าบ้านก็พบน้องชายและน้องสาวยืนมองป้าสะใภ้อยู่ข้างหน้าต่าง
“ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“พี่สะใภ้ท่านกลับมาเสียที ข้าหนวกหูจะตายแล้วเจ้าค่ะ นางจะเข้ามาในบ้านแต่ข้ากับน้องไม่ยอมเปิดประตูเพราะทุกครั้งที่นางเข้ามานางจะมาหยิบฉวยเอาของในครัวไปจนหมด”
“พวกเจ้าทำดีแล้ว ไม่ต้องกลัวข้าจะจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ”
“โอ้ย หนวกหูจริง ๆ ผู้ใดปล่อยสุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านผู้อื่นช่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่อง”
สิ้นเสียงของเว่ยจื้อโหยว นางเฉียนหุบปากสนิททันที หลังจากคิดได้ว่าเว่ยจื้อโหยวด่าว่านางเป็นหมานางก็โมโหเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้า นังแพศยา นังปีศาจจิ้งจอกเจ้ากล่าวว่าผู้ใดเป็นสุนัข”
"ข้าไม่ได้ว่าผู้ใดนี่เจ้าคะ ข้าเพียงแต่บอกว่าผู้ใดปล่อยให้สุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านผู้อื่นไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจเอาเสียเลย"
“นี่เจ้า เจ้าว่าข้าเป็นสุนัขหรือ ไม่รู้จักกตัญญูต่อญาติของสามีนับว่าแย่แล้ว นี่ยังไม่เคารพผู้อาวุโสอีกหรือ พ่อแม่เจ้าคงสอนมาเช่นนี้สินะ”
“ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อนี่เจ้าคะ ท่านอยากรับก็รับไปเถอะเจ้าค่ะ แล้วท่านไม่ต้องมานับญาติกับสามีข้า สองครอบครัวตัดขาดกันแล้วเป็นท่านที่บีบบังคับให้พวกเขาแยกบ้านออกมา อีกทั้งยังฮุบเอาทรัพย์สินของพ่อแม่สามีข้าเอาไว้อีกด้วย นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสในตระกูลกระทำกันหรือ แล้ววันนี้ท่านมาเห่าหอนอะไรที่หน้าบ้านข้า คิดจะมารังแกน้อง ๆ ของสามีข้าเช่นนั้นหรือ หรือเห็นว่าสามีของข้าไม่อยู่คิดจะมารังแกบีบคั้นให้พวกเราต้องตายไปหมดท่านถึงจะพอใจ ทั้งสองบ้านถือว่าตัดขาดกันไปแล้วท่านลืมไปแล้วกระมัง”
“เจ้า … เจ้า นังหน้าด้านไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส”
“ข้าหรือไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส แล้วผู้อาวุโสอย่างท่านทำเช่นนี้สมควรแล้วหรือ บ่อยครั้งที่ท่านเข้ามาหยิบฉวยของในบ้าน รังแกน้องสามีข้า ท่านเห็นบ้านเดิมของข้าตายไปหมดแล้วหรือ หรือว่าท่านต้องการจะไปคุยกับข้าในชั้นศาล ก็ได้นะเจ้าคะพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านพ่อของข้านำหนังสือแยกบ้านไปแจ้งกับทางการ แล้วมาดูกันว่าที่ผ่านมาท่านทำอะไรไว้ อย่าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้หากทางการสืบสวนขึ้นมาท่านก็ไปนอนคุกเสียเถอะเจ้าค่ะ”
นางเฉียนได้ยินเว่ยจื้อโหยวจะแจ้งทางการนางตกใจมาก นางไม่คิกว่าเด็กสาวบอบบางเช่นนางจิ้งจอกน้อยคนนี้จะร้ายกาจเพียงนี้ หากมันไปแจ้งกับทางการจริง ๆ นางคงต้องสูญเสียทรัพย์สินและอาจจะติดคุกจริง ๆ
“หึ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะพวกสารเลว”
“ไม่รับฝากเจ้าค่ะ แล้วพวกข้าก็ไม่ได้สารเลวเหมือนท่านด้วย หากว่าท่านยังมาระรานบ้านสามีข้าอีกครั้ง ข้าจะแจ้งทางการทันที และข้าก็ทำจริงด้วยเจ้าค่ะ”
เว่ยจื้อโหยวไม่รู้หรอกว่านางเฉียนทำเลวอะไรเอาไว้บ้างเพียงแต่นางพูดออกไปเพื่อขู่นางเฉียนเท่านั้น ไม่คิดว่าคำพูดของนางจะไปจี้จุดนางเฉียนเข้า เมื่อนางเฉียนกลับไปแล้ว อวิ๋นซวนกับอวิ๋นเฟย ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้าคิดว่านางคงไม่กล้ามารังแกพวกเจ้าไปอีกนาน”
“พี่สะใภ้เก่งมากขอรับ”
“นั่นสิเจ้าคะ พี่สะใภ้ตอกหน้าท่านป้าสะใภ้ไปแบบนี้ สะใจข้าจริง ๆ”
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าบ้านกันเถอะวันนี้ข้าจะทำน้ำแกงไก่ใส่หน่อไม้ให้กิน ก่อนอื่นอาซวนเจ้าเอาไก่กับกระต่ายไปให้บ้านท่านพ่อข้าหน่อย ระวังตัวด้วยรีบไปรีบกลับล่ะ”
“ขอรับพี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้เหตุใดจึงได้ไก่กับกระต่ายกลับมามากมายเพียงนี้ ท่านคงไม่ได้เข้าป่าทางด้านซ้ายใช่หรือไม่”
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้เข้าไปเลย ก็เจ้าบอกว่าไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปไม่ใช่หรือไง”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าจุดไฟหุงข้าวก่อน ข้าจะทำความสะอาดไก่ ส่วนที่เหลือจะฝากท่านพ่อกับท่านลุงไปขายพรุ่งนี้เช้า”
“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”
อวิ๋นซวนที่รับหน้าที่นำไก่และกระต่ายมาส่งให้ที่บ้านเหลียนก็มาถึงอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ตอนมาเขาก็กลัวจะเจอกับป้าสะใภ้อยู่บ้างขากลับให้ท่านลุงไปส่งน่าจะดี
“ท่านยายเหลียน ท่านตาเหลียนอยู่หรือไม่ขอรับ ข้าอาซวนขอรับ เปิดประตูให้ข้าที”
“ท่านแม่เหมือนอาซวนเรียกอยู่หน้าบ้านนะเจ้าคะ”
“พวกเจ้าทำงานครัวไปเถอะข้าออกไปเอง”
“เจ้าค่ะท่านแม่"
“อาซวนเข้ามาก่อน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกเจ้าหรือเปล่า ยายได้ยินว่าบ้านนั้นไปด่าทอพวกเจ้าอยู่หน้าบ้าน” เรื่องนางเฉียนไประรานบ้านหลานชายไม่มีใครบ้างในหมู่บ้านไม่รู้ เรื่องจะถึงยายเหลียนก็ไม่แปลก
“ท่านยาย พี่สะใภ้ให้ข้าเอาไก่ป่ากับกระต่ายป่ามาให้ขอรับ ข้าไม่เข้าบ้านดีกว่าข้าจะรีบกลับบ้าน อีกอย่างข้ากลัวจะเจอเข้ากับป้าสะใภ้ด้วย หากวันนี้พี่สะใภ้กลับมาไม่ทันข้าสองคนกับพี่รองก็คงไม่รู้จะรับมือนางอย่างไรดีขอรับ”
“ไก่กับกระต่ายรึ อาโหยวเข้าป่าไปล่าสัตว์รึ”
“ขอรับท่านยายเช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ นี่ขอรับไก่กับกระต่าย”
หลังจากที่เอาไก่กับกระต่ายยัดใส่มือยายเหลียนแล้วอวิ๋นซวนก็รีบวิ่งกลับบ้านทันที เขากลัวว่าหากเขามัวแต่ชักช้าจะพบเจอเข้ากับป้าสะใภ้ที่มักจะออกมาพูดคุยกับสหายของนางในเวลานี้
“อ้าวเจ้าเด็กคนนี้ข้ายังไม่ทันได้ถามอะไรก็วิ่งกลับไปเสียแล้ว”
“ใครมาหรือขอรับท่านแม่” อี้ปิง
“อาซวนน่ะ บอกว่าอาโหยวให้เอาไก่กับกระต่ายมาให้”
“นี่อาโหยวนางเข้าป่าไปล่าสัตว์หรือ น้องเขยปกติอยู่ที่หมู่บ้านเดิมของพวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ หลานสาวที่น่ารักของข้าต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์หรือ” เหลียนอี้ปิงหันมาถามน้องเขยในเชิงต่อว่า
“เปล่าขอรับพี่ใหญ่ อาโหยวที่ผ่านมาข้าไม่เคยต้องให้นางเข้าป่าไปล่าสัตว์ ข้าเองก็ประหลาดใจเช่นกันขอรับ ดูเหมือนว่าหลังจากนางหายป่วยแล้วนางเปลี่ยนไปเยอะเลย”
“หึ ข้ารู้ว่าหลานสาวของข้าเป็นคนเก่งและมีความสามารถ ที่ผ่านมานางคงเก็บงำความสามารถของนางเอาไว้เพราะหากนางไม่เก็บงำเอาไว้ก็จะเป็นเช่นเจ้า ข้าไม่อยากจะว่าหรอกนะแต่ท่านแม่ของเจ้านี่ก็ใจดำจริง ๆ ดีแล้วที่ออกมาได้พวกเจ้าจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง”
“ข้าทราบขอรับพี่ใหญ่ ข้าเองก็เสียใจมากที่ท่านแม่เป็นเช่นนี้”
“เอาเถอะ ๆ พอแล้วจะไปพูดทำไมในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้อาโหยวมีความสามารถพวกเจ้าเป็นพ่อเป็นลุงย่อมต้องสนับสนุนนางเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านแม่”
“เช่นนั้นก็เอาไก่กับกระต่ายนี่ไปให้ในครัวทำอาหารเถอะ”
หลังจากนางเฉียนกลับไป บ้านกลับมาสงบเว่ยจื้อโหยวจึงอารมณ์ดีวันนี้นางจึงทำกับข้าวมากหน่อย แต่น่าเสียดายสามีไม่ได้กินอาหารฝีมือนางอีกแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ได้กินอิ่มนอนหลับหรือไม่
ไหนจะมีญาติผู้พี่ของนางอีก ไม่รู้จะก่อสงครามสู้รบกันไปทำไมช่างไม่ได้รับรู้ความยากลำบากของประชาชนคนรากหญ้าเสียจริง ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจ ไม่เป็นไรหากเวลาครบ 1 ปี แล้วสามีนางไม่กลับมานางจะไปตามหาเขาเอง นางไม่ยอมเป็นหม้ายทั้งที่บริสุทธิ์แบบนี้หรอก
หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในบ้านต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อน เว่ยจื้อโหยวเองก็เริ่มง่วงวันนี้นางใช้แรงกายไปมากสมควรแก่เวลาเว่ยจื้อโหยวก็เข้าห้วงนิทราไป
เว่ยจื้อโหยวที่กำลังนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้านั้นนางไม่ได้รับรู้ว่าใครกำลังร้อนก้นจนทนนั่งต่อไปไม่ไหวเพราะคำก่นด่าปนสาปแช่งทุกวัน
ทางด้านอวิ๋นเซียวที่ออกเดินทางมาจากหมู่บ้านที่ตอนนี้กำลังค้างแรมในป่าเช่นเดียวกัน ด้านข้างของเขาเป็นญาติผู้พี่ของภรรยา พวกเขานำอาหารแห้งที่ติดตัวมาด้วยกินกันอย่างประหยัดกว่าจะถึงชายแดนใช้เวลาอีกหลายวัน
ในใจเขาตอนนี้คิดถึงภรรยามากนักไม่รู้นางจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่ นางจะกินอิ่มนอนหลับ นางจะรับมือกับญาติที่น่ารังเกียจของเขาได้หรือไม่
“นี่สหายเซียวเจ้าคิดอันใดอยู่ ยังไม่รับนอนอีก ประเดี๋ยวตอนเดินทางก็ได้เหนื่อยตายกันพอดี” เซี่ยเหิงสหายร่วมรบจากหมู่บ้านข้างเคียง
“คิดถึงภรรยาข้าน่ะ ไม่รู้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง ข้าทำผิดต่อนางมาก”
“ข้าไม่ยิ่งกว่าเจ้าหรืออย่างไร แต่งงานตอนเช้า เย็นยังไม่ทันได้เข้าหอ เมียข้ารอบเดือนมาไม่พอเช้าวันต่อมาข้าก็เดินทางมากับพวกเจ้านี่ยังไง ส่วนเจ้าปล่อยภรรยาเอาไว้ทำอะไรตั้งนาน แต่ก็ช่างมันเถอะพูดไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เมียเจ้ายังดีนางเตรียมของให้เจ้ามากมาย ข้านี่สิกลับไปไม่รู้นางจะยังรอข้าอยู่หรือไม่”
อวิ๋นเซียวได้แต่เหลือบมองเพื่อนร่วมรบและเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับตัวเอง เขายังดีหน่อยที่ภรรยาเข้าใจ แต่สหายแซ่เซี่ยผู้นี้เห็นทีจะลำบากแน่แล้วไม่รู้จะรักษาภรรยาเอาไว้ได้หรือไม่
ส่วนทางด้านผู้ที่ถูกก่นด่าสาปแช่งตอนนี้ได้ตกลงกันแล้วว่าเทพพฤกษาจะให้ความสามารถในการเพาะปลูกแก่เว่ยจื้อโหยว ไม่ว่าจะปลูกสิ่งใดจะเจริญงอกงามและมีรสชาติอร่อย ส่วนเทพจันทรานั้นให้มิติขนาดเล็กที่มีพื้นที่ 1 หมู่ พร้อมบ่อน้ำแร่ที่ใช้ไม่มีวันหมด
น้ำในมิติมีสรรพคุณรักษาอาการเจ็บป่วยได้ หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วเทพทั้งสองก็นำของไปมอบให้เว่ยจื้อโหยวที่กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ในห้องของนาง
“นี่นังหนู นังหนู ตื่นมาคุยกันก่อน”
“คนจะหลับจะนอน ใครมาเรียกเรา เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นผีพ่อแม่สามีหรือเปล่า”
“พอ พอ เจ้าหยุดเพ้อเจ้อแล้วลืมตาได้แล้ว ข้ามีของมาให้เจ้าจะได้เลิกก่นด่าสาปแช่งพวกข้าเสียที” เทพชะตา
เว่ยจื้อโหยวได้ยินเช่นนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมองพร้อมกับถามออกไปด้วยความงุนงง
"พวกท่านเป็นใครเจ้าคะ แล้วมาทำอะไรในห้องข้า แล้วเข้ามาได้อย่างไร หรือพวกท่านเป็นนักย่องเบาหรือเจ้าคะ"
“เจ้าหยุดวาจาเพ้อเจ้อของเจ้าก่อน ข้ารีบ เอาล่ะ ข้าจะมอบมิติจิตให้เจ้า ต่อไปเจ้าจะได้เลิกก่นด่าเสียที ข้าสามารถให้ได้เพียงขนาดเล็กเท่านั้น ในมิติมีน้ำแร่อยู่ใช้ได้ไม่มีวันหมด สรรพคุณบำรุงร่างกายและรักษาโรค เจ้าจงใช้อย่างระมัดระวัง ส่วนการใช้มิตินั้นเพียงแค่เจ้ากำหนดจิตให้เข้าและออกเท่านั้นเจ้าจะสามารถเข้าไปได้ เอาล่ะหมดหน้าที่ของข้าแล้วข้าไปล่ะ ขอให้เจ้าโชคดี”
“ส่วนข้า ข้าขอให้เจ้าเพาะปลูกสิ่งได้ล้วนงอกงามและรสชาติอร่อย ข้าแถมให้อีกนิดพืชที่เจ้าปลูกจะโตเร็วกว่าคนอื่น 1 ส่วน ข้าเองก็ให้ได้เท่านี้หวังว่าเจ้าจะเลิกก่นด่าพวกข้าเสียที”
“อ้าว อะไรเนี่ย ตาเฒ่ากับยายเฒ่าสองคนนี้ คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป แล้วมาพูดเรื่องอะไรเนี่ย อะไรก็ช่างเถอะเช้าค่อยลองดูตอนนี้ง่วงจะแย่แล้ว ดันมาปลุกกลางดึกเสียได้”
เช้าวันต่อมาเว่ยจื้อโหยวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่ นางไม่รู้ว่าฝันหรือเรื่องจริงแต่จะอะไรก็ช่างมันก่อน คนเราย่อมต้องพึ่งพาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถึงปากนางจะก่นด่าไปบ้างมันก็สมควรแล้ว นางแค่ต้องการระบายความอัดอั้นตันใจเพียงเท่านั้นนางไม่แน่ใจว่าความฝันนางจะใช่เรื่องจริงหรือไม่เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์อันใดได้เพราะนางยังไม่ได้ลงมือเพาะปลูกอันใดเลย หรือเพียงทางเดียวเท่านั้นมิติจะใช่เรื่องจริงหรือไม่คงต้องลองดูเมื่อได้ข้อสรุปของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าความฝันมันจะเป็นจริงหรือไม่ นางจึงกำหนดจิตให้เข้า ทันใดนั้นนางก็เข้ามาอยู่ในสถานที่แปลก ๆ ที่ดูแห้งแล้งและแร้นแค้น สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่เพียงแค่ 1หมู่เท่านั้น มีบ่อน้ำที่ทำจากหิน 1บ่อเพียงเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า นี่คงจะเป็นบ่อน้ำแร่อย่างที่บอกแน่นอนเมื่อแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นางจึงกลับออกไปข้างนอกและเริ่มทำมื้อเช้าสำหรับน้องทั้งสองปลายยามอิ๋นท่านพ่อและท่านลุงบังคับเกวียนมาถึงบ้านของนางเพื่อนำปลาไปขายเช่นเมื่อวาน “อาโหยวตื่นแล้วหรือลูก เจ้านอนไม่หลับหรือ เหตุใดถึงได้ขอบตาดำคล้ำขนาดนั้น
ทางด้านเว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงที่วันนี้นำปลาไปส่งที่เหลาอาหารพร้อมทั้งกระต่ายกับไก่ที่เว่ยจื้อโหยวล่ามาได้ ทำให้วันนี้พวกเขาได้เงินมาไม่น้อย เพราะจำนวนปลาที่จับได้มากขึ้นและมีขนาดตัวที่ใหญ่ ส่วนปลาตัวเล็กนั้นพวกเขาปล่อยกลับลงลำธารไป ทั้งสองคนติดสินใจว่าจะมาขุดหลุมดักปลาเพิ่ม เพราะหลงจู๊บอกว่าปลาที่พวกเขานำไปส่งเมื่อวานไม่พอขาย ถึงแม้วันนี้จะได้ปลาเพิ่มมาจากเมื่อวานนับ 100 ชั่ง แต่หลงจู๊คิดว่าไม่น่าจะพอขาย เพราะไม่มีใครสามารถจับปลามาส่งที่เหลาอาหารแบบที่ยังมีชีวิตอยู่และไร้บาดแผลเช่นนี้มาก่อน ทำให้เวลานำปลาไปปรุงอาหารจะได้รสชาติสดใหม่และอร่อยยิ่งขึ้น ตอนนี้อาหารเมนูปลาจึงเป็นอาหารขึ้นชื่อของเหลาอาหารไปแล้ว“น้องเขย ข้าว่าเรากลับไปขุดหลุมกับดักเพิ่มสัก 3 หลุมดีหรือไม่ ขุดห่างกันออกไปหน่อยลำธารสายนี้ไม่ค่อยมีชาวบ้านเดินผ่านมาเพราะมันอยู่ติดกับชายป่า เหมาะสำหรับให้พวกเราขุดหลุมดักปลา”“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ กระต่ายป่าและไก่ป่าของอาโหยวก็ขายได้ราคาดีไม่น้อย เลยเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนางมาก นางสามารถดูแลตัวเองได้ หากข้าไม่ตัดสินใจแยกบ้านออกมาพวกเราคงจะไม่มีวันคืนที่ด
กวางตัวใหญ่เสี่ยวเอ้อร์นำไปชั่งน้ำหนักได้ถึง 500 ชั่ง พร้อมกับนำเขาที่ตัดออกมาส่งให้กับเว่ยเจี้ยนป๋อ กวาง 500 ชั่งที่ลูกสาวแสนบอบบางแบกออกมาจากป่า เว่ยเจี้ยนป๋อคิดแล้วให้เจ็บปวดนักเขาเองก็รักลูกสาวมาก เหตุใดลูกสาวเขาถึงทำงานหนักขนาดนี้ คิดแล้วช่างปวดใจนัก“นี่ขอรับเขากวางของพวกท่าน ส่วนนี่เป็นเงิน 500 ตำลึงเงิน เป็นตั๋วแลกเงินใบละ 100 ตำลึง 5 ใบ พวกท่านตรวจดูก่อน”“ขอบใจเจ้ามาก เช่นนั้นข้าสองคนลานะขอรับหลงจู๊”“อืม อย่าลืมนะ หากมีของดีอย่าลืมนึกถึงเหลาของข้า”“ขอรับพวกเราไม่ลืมท่านแน่ ๆ ขอรับ” เหลียนอี้ปิงรับคำหนักแน่น“พี่ใหญ่เรารีบเอาเขากวางนี่ไปขายก่อนเถอะขอรับ จะได้รีบกลับบ้านประเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”“ตกลง”ทั้งสองคนนำเขากวางมาขายให้กับโรงหมอตามคำแนะนำของหลงจู๊ เขากวางที่พวกเขานำมาเป็นเขากวางอ่อนที่ที่โรงหมอต้องการมานาน เขากวางอ่อนสามารถนำมาเพิ่มในเทียบยาได้หลายขนานและเขากวางอ่อนหายากไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถหาเขาที่ไม่อ่อนเกินไปและแก่เกินไป เขากวางที่ทั้งสองคนนำมานับว่าเหมาะสมมาก “เขากวางอ่อนนี้มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ดีมาก อีกทั้งยังหายากมากพวกเจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ที่สามารถหาเขากวางที
เฉียนเสี่ยวหลินที่แอบเดินตามเว่ยจื้อโหยวมาตั้งแต่นางและน้องทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้านตระกูลเหลียน พอมาถึงในจุดที่ลับตาคนเฉียนเสี่ยวหลินถึงได้เดินออกมาขวางหน้าทั้งสามคนเอาไว้“เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรกับข้า เหตุใดถึงมาขวางหน้าข้าเอาไว้” เว่ยจื้อโหยวถามออกมาด้วยความแปลกใจ“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ข้าก็คือคนที่ถูกเจ้าแย่งสามีไปเช่นไรเล่า” เฉียนเสี่ยวหลิน“ห้ะ!!! ข้านี่นะแย่งสามีเจ้า ข้าไปแย่งสามีเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่รึ แล้วสามีเจ้าที่ว่ามานี่คือผู้ใดหรือ”“เจ้าแย่งท่านพี่เซียวไปจากข้า เป็นเพราะเจ้า ยายของเจ้ายัดเยียดเจ้าให้พี่เซียว ทั้ง ๆ ที่ท่านพ่อเกือบจะยอมให้ข้าแต่งให้พี่เซียวอยู่แล้วแท้ ๆ มันเป็นเพราะเจ้านางจิ้งจอก” “แม่นางเสี่ยวหลิน พี่ใหญ่ของข้าไปเป็นสามีของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ เท่าที่พวกเราพี่น้องจำได้ พี่ใหญ่ของข้าไม่เคยพูดจากับท่านเลยสักครั้ง ถึงแม้ท่านจะเล่นลูกไม้เล่นหูเล่นตาอย่างไรพี่ใหญ่ของพวกเราก็ไม่เคยชายตามองท่านแท้ ๆ แต่มาวันนี้ท่านกล้ามาบอกว่าพี่ใหญ่ของข้าไปเป็นสามีท่าน อีกทั้งท่านยังมาพูดจาไม่ดีกับพี่สะใภ้ของข้า มันไม่มากไปหน่อยหรือ นี่ท่านอยากได้สามีคนอื่นจนตัวสั่นมาก
หลังจากที่ท่านพ่อและท่านลุงขับเกวียนออกไปเพื่อนำปลาไปส่งที่เหลาอาหาร วันนี้มีสัตว์ป่าเพิ่มมาอีกหลายตัวน่าจะได้เงินเพิ่มมาอีกหลายตำลึง วันนี้นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปตามล่าหมูป่าดำเพื่อนำไปขายให้เหลาอาหารน่าจะได้ราคาดีในเมื่อมันเป็นสิ่งที่หายากนั่นย่อมหมายถึงว่ามันย่อมต้องมีราคาแพงเป็นธรรมดา เว่ยจื้อโหยวทำมื้อเช้าเอาไว้รอน้องทั้งสองคนวันนี้นางตั้งใจว่าจะปลูกผัก เช่นนั้นตอนนี้นางจึงนำเมล็ดผักที่มีอยู่ในบ้านไปแช่น้ำแร่เอาไว้ก่อนพรุ่งนี้เช้าถึงค่อยนำมาปลูกลงแปลงที่เตรียมเอาไว้เว่ยจื้อโหยวแช่เมล็ดผักในน้ำแร่เสร็จแล้ว นางจึงมาเตรียมของเอาไว้รอท่านพ่อและท่านลุง รวมทั้งทำอาหารเอาไว้เผื่อทั้งสองคนด้วย น้องทั้งสองคนตื่นมาในยามเหม่า หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนรีบไปตักน้ำมารดผักที่ปลูกเอาไว้ก่อนหน้านี้ รดน้ำผักจนเสร็จแล้วทั้งสองคนถึงได้มากินมื้อเช้าที่พี่สะใภ้เตรียมเอาไว้ให้“พี่สะใภ้ วันนี้ข้าสองคนขอไปช่วยงานที่บ้านท่านยายเหลียนนะเจ้าคะ”“ได้สิ พวกเจ้าไปเถอะ ข้าเองก็จะเข้าป่ากับท่านพ่อและท่านลุง หากเจ้าสองคนอยู่บ้านข้ากลัวว่าป้าสะใภ้จะมาหาเรื่องรังแกพวกเจ้าตอนข้าไม่อยู่”“พี
เว่ยเจี้ยนป๋อรีบไปตัดไม้มาทำคานหาม เหลียนอี้ปิงเองก็รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยอีกแรง ด้วยความร่วมมือของทั้งสองคนไม่นานหมูดำตัวเขื่องก็ถูกมัดเท้าทั้ง 4 ข้างเข้ากับไม้ จากนั้นทั้งสองคนยกขึ้นพาดบ่าทันทีเว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงรีบหามหมูดำออกจากป่าทันทีโดยมีเว่ยจื้อโหยวแบกหมูดำที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวที่พ่อกับลุงของนางหาม เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินออกจากป่าด้วยความเร่งรีบ นางจะรีบออกจากป่าเพื่อที่จะได้นำหมูป่าไปขายในวันนี้ ถ้าหากนำไปขายในวันพรุ่งนี้นางกลัวว่าหมูดำจะไม่สดและกลัวว่าราคาจะไม่ดี“ท่านพ่อเจ้าคะ ไหวหรือไม่เจ้าคะ แล้วท่านลุงเล่าเจ้าคะไหวไหม”“ไหว ๆ พวกเราไหว อาโหยวไม่ต้องเป็นห่วง รีบเดินเถอะลูก”“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านพ่อกับท่านลุงควรจะเดินไปที่บ้านท่านยายเลยนะเจ้าคะ ให้ชาวบ้านได้เห็นว่าวันนี้ท่านพ่อกับท่านลุงได้หมูดำมา เวลาบ้านเรามีเงินขึ้นมาชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาตั้งข้อสงสัย ส่วนข้าจะกลับไปรอที่บ้าน ท่านพ่อค่อยเอาเกวียนมารับหมูดำอีกตัวไปขายด้วยกัน”“ได้ ตกลงตามนั้น พี่ใหญ่เห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”“ข้าเห็นด้วย เดิมทีชาวบ้านพวกนี้ก็อิจฉาตาร้อนอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องมีคนเอาไปพูดในทางที
ตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาเว่ยจื้อโหยวปลูกผักในที่ดินรอบ ๆ บ้านของนาง และปลูกผลไม้ที่นางขุดเอาต้นเล็ก ๆ กลับมาจากป่า ตอนนี้นางเริ่มว่างงานอีกแล้วเว่ยจื้อโหยวเดินไปบ้านท่านยายดูว่าพอจะมีอะไรให้นางช่วยหรือไม่ ตอนนี้ที่ดินที่ท่านลุงกับท่านพ่อซื้อมาใหม่นั้นได้จ้างชาวบ้านมาช่วยกันแผ้วถางเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงล้อมรั้วรอบที่ดินทั้งหมดด้วยท่านพ่อเข้าไปติดต่อช่างในเมืองมาสร้างบ้านและจ้างชาวบ้านบางส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็อยากจะสร้างบ้านใหม่เพียงแต่ว่าตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ รอให้บ้านท่านพ่อสร้างเสร็จเสียก่อนนางค่อยสร้างบ้านของตัวเองเว่ยจื้อโหยววางแผนที่จะทำกำแพงดินล้อมรอบบ้านและที่ดินทั้ง 3 หมู่ ส่วนที่ดินที่นางต้องการซื้อเพิ่มนางต้องการจะล้อมรั้วให้สูงขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะนางกลัวคนบ้านเฉียนเข้ามาขโมยพืชผลในสวนของนาง“ท่านแม่ ท่านยายมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่มีอันใดให้เจ้าช่วยแล้ว เจ้ากลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเถอะ ส่วนผ้าที่พ่อเจ้าซื้อมาเมื่อคราวก่อนประเดี๋ยวแม่กับป้าสะใภ้ของเจ้าจะตัดชุดให้เจ้ากับน้องสามีของเจ้าก่อน”“ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ แล้วท่านพ่อกับท่านลุงเล่าเจ้าค
เว่ยจื้อโหยวมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองด้วยความตื่นเต้น นี่มันไม่ใช่มันฝรั่งหรอกหรือ แล้วนั่นมันไม่ใช่ฉั่งฉิกหรือ โอ๊ะ ปุ๊บปั๊บรับโชคสองชั้นเลย เว่ยจื้อโหยวลงมือขุดมันฝรั่งทั้งหมดโยนเข้าไปในมิติ จากนั้นนางจึงลงมือเด็ดใบฉั่งฉิกและดอกฉั่งฉิกทั้งหมดใส่เข้าไปในมิติด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากจัดการใบและดอกเสร็จแล้วนางก็กลับมาจัดการขุดรากถอนโคนต้นฉั่งฉิกอีกรอบเสร็จแล้วก็นำเข้าไปเก็บในมิติเช่นเดียวกันส่วนฉั่งฉิกที่ยังไม่โตเต็มที่นางก็ขุดเอาทั้งหมดเข้าไปปลูกเอาไว้ในพื้นที่อันแห้งแล้งในมิติของนางทันที ขอเพียงรดด้วยน้ำแร่นางเชื่อว่าฉั่งฉิกพวกนี้จะสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีระหว่างที่นางเข้ามิติไปปลูกฉั่งฉิก นางก็แวะดูหมาป่าที่บาดเจ็บด้วย ตอนนี้ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยบาดแผล จึงทำได้แค่เพียงนอนนิ่ง ๆ เท่านั้นเว่ยจื้อโหยวไม่ได้สนใจพวกมัน ส่วนลูกหมาเล็ก ๆ ทั้งสี่ตัวนั้นก็คลานไปทั่วตามประสาหมาเด็กแรกเกิดกำลังซน เมื่อนางจัดการทุกอย่างในมิติเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็กลับออกจากมิติและเดินกลับบ้านระหว่างทางกลับบ้านนางก็แวะตรวจดูกับดักที่นางวางเอาไว้ กับดักของนางวันนี้ผลการเก็บเกี่ยวไม่เลวเช่นเด
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก
หลังจากที่ราชครูเถียนได้ตัดสินใจออกไปแบบนั้นแล้ว เขาไม่เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วตระกูลเถียนคงได้ล่มสลายเพราะสตรีสมองหมูสองคนนี้เป็นแน่ เถียนเสี่ยวมี่ไม่ยินยอมจึงได้โวยวายว่าบิดาไม่ยุติธรรม“ท่านพ่อ ท่านจะมาทำแบบนี้กับข้าและท่านแม่ไม่ได้ เหตุใดเราสองแม่ลูกจะต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ การที่ลูกรักพี่จิ้งลูกผิดหรือเจ้าคะ”“ผิด เพราะหยวนจิ้งไม่ได้มีไมตรีต่อเจ้า การที่เจ้าไปวิ่งตามหยวนจิ้งแบบนั้นนอกจากจะด้อยค่าตัวเองแล้วยังทำลายเกียรติของตระกูลเถียนด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายผู้คนบ้างหรือ”“ท่านพี่ ให้โอกาสเราแม่ลูกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลมี่มี่ให้ดี จะไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก”“ข้าตัดสินใจแล้ว การกระทำของเสี่ยวมี่ที่ผ่านมามันบ่งบอกได้ถึงว่านางไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี ตัวข้าเป็นขุนนางตำแหน่งราชครู แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้แล้วข้าจะมีหน้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นไร พวกเจ้าสองแม่ลูกอย่าลืมว่ายังมีลูกชายทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอนาคตไกล อย่าให้การกระทำสิ้นคิดของเจ้ามาทำลายตระกูลเถียนและหน้าที่การงานของทุกคน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าให้ได้ปรับปรุงตัวเ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หยวนจิ้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากส่งหลาน ๆ กลับจวนแม่ทัพแล้ว ตัวเขาเองก็มุ่งหน้ากลับจวนกั๋วกงทันทีหยวนจิ้งกลับมาถึงก็ตรงไปที่เรือนของฮูหยินทันที เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้อีก ก่อนจะจัดการคนอื่นต้องจัดการคนในครอบครัวก่อน คนแรกคือท่านแม่ของเขาเอง“ท่านแม่อยู่หรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะคุณชาย กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินท่านราชครูเจ้าค่ะ”“ขอบใจ มีอะไรก็ไปทำเถอะ"“เจ้าค่ะคุณชาย”หยวนจิ้งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ตอนนี้นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่กับฮูหยินจวนราชครู หยวนจิ้งเองไม่คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว ในใจเขาคิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปถึงจวนราชครู หวังว่าฮูหยินจะกลับไปสั่งสอนลูกสาวหรือตัวฮูหยินเองที่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและอย่าได้คิดมาเล่นแง่หาข้ออ้างอะไรอีก แม้แต่ท่านแม่ของตัวเองวันนี้หยวนจิ้งเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้“คารวะท่านแม่ขอรับ คารวะฮูหยินท่านราชครู"“อ้าว อาจิ้งทำไมกลับมาไวนักล่ะลูก ไหนว่าไปที่ตำหนักองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” “อุ๊ย ดูพูดเข้าสิ หลานจิ้งฮูหยงฮูหยินอะไรกัน เรียกท่านป้าเถอะจ้ะ” ฮูหยินราชครู“ไม่ล่ะขอรับ ข้าไม่ส
เว่ยจื้อโหยวพาลูก ๆ และสามีเดินทางรอนแรมจากหมู่บ้านต้าลี่ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงเสียที คนที่มารอรับพวกเขาอยู่นอกประตูเมืองคือเฟยหลงกับหยวนจิ้ง เด็กน้อยทั้งสี่ต่างขดตัวนอนหลับอยู่ภายในรถม้ากับพี่เลี้ยงสี่ขาทั้งสี่เฟยหลงพาน้องชายนอกสายเลือดที่เขารักไม่ต่างจากคนสายเลือดเดียวกันเข้าไปพักที่จวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นหลายปีจวนแม่ทัพแห่งนี้มีอวิ๋นซวนกับหย่งคังและหย่งหมิงพักอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงหย่งหมิงกับอวิ๋นซวนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาหลวง“ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ ตอนนี้อาซวนกับอาหมิงคงยังไม่กลับจากสถานศึกษา” หยวนจิ้ง“พาหลาน ๆ ไปนอนในห้องหับเสียก่อน เดินทางมาไกล ต้าเป่ากับน้อง ๆ คงเหนื่อยแย่” เฟยหลง “ขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง” อวิ๋นเซียว"เอาล่ะ ซ้ายมือเป็นเรือนของอาเหิงกับครอบครัว ส่วนอาเซียวอยู่เรือนหน้าก็แล้วกัน เรือนด้านขวานั้นอาหมิงกับอาซวนพักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปพักอยู่ที่เรือนหลังก็แล้วกัน" เฟยหลงแจกแจงที่พักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนพักเรียบร้อยแล้ว รถม้าทั้ง 10 คันก็เขาไปจอดเรียบร้อยที่พื้นที่ด้านหลังของจวน ม้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวก