อวิ๋นเซียวกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับภรรยาได้เช่นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วใช่ว่าเขาอยากจากนางไปเป็นทหารเสียเมื่อไหร่ เห็นกันอยู่ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
“ภรรยา พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงสัญญาณที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมชาวบ้าน ข้าในฐานะตัวแทนครอบครัวจะต้องไปเข้าร่วมประชุม เจ้าพาน้อง ๆ กินข้าวไปก่อนไม่ต้องรอข้า”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่รู้หรือไม่”
“น่าจะเรื่องเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เอาไว้ไปถึงก็คงจะรู้”
“เจ้าค่ะ”
ที่ลานหน้าศาลพรรพชนของหมู่บ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนมาแล้วครอบครัวละ 1 คน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามากันครบทุกคนแล้วก็เริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเรียกทุกครอบครัวมาในวันนี้
“เอาล่ะ ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ข้ามีเรื่องอยู่สองเรื่องที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รับรู้กันเอาไว้และจะต้องทำตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้าเองก็หนักใจเช่นกันแต่ถ้าหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่ทำตามแล้วครอบครัวของเจ้าจะมีความผิดร้ายแรง”
“มันเรื่องอันใดกันแน่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านรีบ ๆ พูดมาเถอะ พวกข้าเองก็ร้อนใจ”
“เอาล่ะ ๆ เรื่องแรก ทุกครอบครัวจะต้องส่งคนในครอบครัวไปเป็นทหาร 1คน อายุตั้งแต่ 15 หนาวขึ้นไป 1ครอบครัว 1 คน เรื่องที่สอง ยกเลิกการจ่ายเงิน 10 ตำลึงทองทดแทนการเข้าร่วมกองทัพ”
“เป็นแบบนี้ก็แย่แล้วน่ะสิ จะทำเช่นไรดี” ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันเสียงดังไปทั่วทั้งลานหน้าศาลบรรพชนแห่งนี้
“พวกเจ้ากลับไปปรึกษากันในครอบครัวให้ดี อีก 3 วันให้มาลงชื่อที่ข้าแล้วจะมีทหารมารับพวกเจ้าในอีก 2 วันถัดไป แยกย้ายกันได้”
ตอนนี้บ้านเหลียนเองก็กำลังปรึกษากันหลังจากที่เหลียนอี้ปิงกลับมาจากการเข้าร่วมการประชุม เขาได้นำเอาคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านมาบอกเล่าให้คนในบ้านฟัง
“ท่านพี่เช่นนี้ก็แย่สิเจ้าคะ เงินที่พวกเราเตรียมเอาไว้ตอนนี้ก็ใช่ไม่ได้เสียแล้ว เช่นนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ ไม่ว่าท่านหรือลูกอี้หลุนข้าก็ไม่เต็มใจจะให้ไปเป็นทหารนะเจ้าคะ” นางซ่งซื่อได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ
“ท่านแม่อย่าร้องไห้ไปเลยขอรับ ให้ข้าไปเถอะ ท่านอยู่ทางนี้ก็มีน้องให้ข้าเพิ่ม อีกอย่างท่านน้าเขยก็กลับมาอยู่เสียที่นี่แล้วสองคนช่วยกันทำงานเป็นกำลังหลักของบ้าน ข้าคิดว่าคงไม่ลำบากมากขอรับ ส่วนตัวข้านั้นข้าจะดูแลรักษาตัวเองให้ดี อีกอย่างไม่ใช่ว่าน้องเขยก็ต้องไปเข้ากองทัพเช่นเดียวกันกับข้าหรือ ท่านอยู่ที่นี่จะได้ช่วยเหลือน้องสาวได้หากสามีนางไม่อยู่”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ มันไม่สามารถหลักเลี่ยงได้แล้ว เช่นนั้นแม่จะเตรียมอาหารแห้งให้เจ้านำติดตัวไปมากหน่อย”
“ขอบพระคุณขอรับท่านแม่”
ทางด้านอวิ๋นเซียวเมื่อกลับมาถึงบ้านจื้อโหยวไล่ให้เขาไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว นางเหลือกับข้าวในส่วนของเขาเอาไว้ หลังจากที่อวิ๋นเซียวกินข้าวและนำถ้วยจานไปล้างเรียบร้อยแล้วเขาจึงบอกเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาในวันนี้ให้ภรรยาและน้องชายน้องสาวของเขาฟัง
“วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านแจ้งว่าให้ทุกครอบครัวส่งตัวแทนเข้าร่วมกองทัพต่อ 1 คน นับตั้งผู้ที่มีอายุ 15 หนาวขึ้นไปและยกเลิกการจ่ายเงินทดแทนการไปเป็นทหาร ตอนนี้ไม่ว่าจะมีเงิน 10 ตำลึงทองหรือไม่ก็ไม่อาจหลีกหนีเรื่องในครั้งนี้ได้”
“เช่นนั้นก็คงต้องทำใจยอมรับใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม คงเป็นเช่นนั้น”
“พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องห่วงทางนี้พวกข้าจะดูแลพี่สะใภ้อย่างดี ท่านต้องปลอดภัยกลับมานะขอรับ”
“สถานการณ์รุนแรงหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ถือว่ายังไม่มีอะไรร้ายแรง ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไม่ได้ออกไปฟาดฟันกับศัตรูก็เป็นได้ ชาวบ้านเช่นพวกเราคงต้องไปเป็นกำลังเสริมเสียมากกว่า”
“ข้าก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะเจ้าค่ะ แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือเจ้าคะท่านพี่”
“อีก 3 วันจะต้องไปลงชื่อที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และอีก 2 วันหลังจากนั้นเป็นวันออกเดินทาง”
"อืม เหลือเวลา 5 วันสินะ เช่นนั้นข้าจะเตรียมอาหารแห้งให้ท่านพี่นำติดตัวไปให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถหาได้ ส่วนเรื่องทางบ้านท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลข้าจะดูแลน้อง ๆ เป็นอย่างดี"
“ข้ากลัวว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมารังแกพวกเจ้า”
“ข้าหาได้กลัวนางไม่ หากนางยังกล้าหน้าด้านมา ข้าเองก็กล้าที่จะไม่เกรงใจเจ้าค่ะ"
“แต่ข้าก็อดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้อยู่ดี”
“ท่านพี่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนรังแกดังเช่นที่ผ่านมาแน่นอนเจ้าค่ะ”
เช้าวันต่อมา จื้อโหยวชวนสามีเข้าป่าล่าสัตว์ อย่างน้อยหากล่าสัตว์มาได้บ้างนางยังสามารถทำเนื้อตากแห้งให้สามีของนางนำติดตัวเอาไปด้วย
นอกจากนี้นางยังนำสมุนไพรห้ามเลือดมาบดให้ละเอียดให้สามีนางนำติดตัวไปด้วย มีทั้งยาห้ามเลือด ยาแก้ไข้ ยาแก้ปวด นางทำเป็นยาลูกกลอนใส่ขวดไว้หลายสิบขวด
อีกส่วนนางนำไปให้ญาติผู้พี่ของนางที่บ้านท่านยาย ถึงแม้ว่าอี้หลุนจะอายุน้อยกว่านางแต่ก็ยังมีศักดิ์เปนญาติผู้พี่ของนางอยู่ดี
เมื่อครบเวลา 3 วันตามที่หัวหน้าหมู่บ้านได้แจ้งเอาไว้ให้ไปลงชื่อ แต่ละครอบครัวต่างทยอยมาลงชื่อกันจนครบ ตลอดเวลา 3 วันที่ผ่านมานางทำเนื้อตากแห้งเอาไว้เป็นจำนวนมาก อย่างน้อย ๆ สามีของนางยังพอมีอาหารกินระหว่างเดินทาง
นอกจากเนื้อตากแห้งและยาต่าง ๆ นางยังนำข้าวที่หุงสุกแล้วไปตากจนแห้งและเมื่อแห้งดีแล้วนางนำมาทอดจนพองจากนั้นนางนำมาบดละเอียดเป็นผงโจ๊กสำเร็จรูปที่นางลองทำดู
ก่อนนำข้าวไปตากนางใส่เกลือลงไปผสมกับข้าวในขั้นตอนการหุงข้าว ทำให้ข้าวมีรสเค็มนิด ๆ พอนำไปทอดและนำมาบดให้ละเอียด ตอนจะกินก็สามารถเทน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนใส่ลงไปคนให้เข้ากันเพียงเท่านี้ก็สามารถอิ่มท้องได้
นางเองไม่คิดว่ามันจะสำเร็จและออกมาอร่อย อวิ๋นเซียวลองชิมดูเขาคิดว่ามันกินง่ายและอร่อยมากอีกด้วย นางนำข้าวทอดที่บดละเอียดแล้วใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่และปิดฝาอย่างแน่นหนาได้ทั้งหมด 10 กระบอกด้วยกัน
ด้วยกลัวว่าท่านพ่อท่านแม่จะนึกสงสัยในตัวนาง ผงโจ๊กสูตรทดลองนี้ไม่ได้นำไปให้ญาติผู้พี่แต่อย่างใด นางเพียงกำชับสามีว่าหากเดินทางไปด้วยกันให้เขาแบ่งให้กับญาติผู้พี่ของนางด้วยเพียงเท่านั้น
ในที่สุดก็มาถึงวันออกเดินทาง อวิ๋นเซียวเดินออกจากบ้านพร้อมภรรยาและน้องชายน้องสาวเพื่อไปส่งเขาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านอันเป็นจุดนัดพบระหว่างทหารผู้ที่ทำหน้าที่มารับชาวบ้านเพื่อเข้าร่วมกองทัพ
ท่านลุงท่านป้าเองก็มาส่งลูกชายคนเดียวของพวกเขาเช่นเดียวกัน อวิ๋นเซียวมีห่อผ้า 2 ห่อ จื้อโหยวยังให้เงินเขาคิดตัวไปเล็กน้อย นางกำชับเขาว่าให้พยายามส่งจดหมายถึงนางเพื่อที่นางจะได้รู้ว่าเขาอยู่ดีมีสุขหรือไม่ นางเองย่อมเป็นห่วงเขาเช่นเดียวกัน
“ท่านพี่ ท่านดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมส่งจดหมายถึงข้า หากท่านไม่ติดต่อกลับมาเป็นเวลาหนึ่งปีข้าจะออกไปตามหาท่าน หรือว่าท่านจะทิ้งให้ข้าเป็นหม้ายไปทั้งอย่างนี้เจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามส่งจดหมายถึงเจ้า ข้าเองยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลบ้านรอข้ากลับมานะ ถึงแม้ว่าข้าและเจ้าเพิ่งจะแต่งงานกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในเวลาอันน้อยนิด แต่ใจของข้าย่อมมีแต่เจ้า ข้าสัญญาจะกลับมาหาเจ้า เจ้ารอข้านะอาโหยว”
“ข้าจะรอท่านเพียง 1 ปีเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เจ้าพาน้อง ๆ กลับบ้านเถอะ ข้าต้องไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ และรอข้ากลับมานะ”
“เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะ ถุงหอมไล่แมลงข้าทำเอาไว้ให้ท่านพี่พกติดตัวเองไว้”
“ขอบใจเจ้ามา เจ้าช่างแสนดี ข้าดีใจที่มีเจ้าเป็นภรรยา”
อวิ๋นเซียวไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นและในกลุ่มก็มีเหลียนอี้หลุนอยู่ด้วย จากนั้นทหารที่เดินทางมารับเช็ครายชื่อเมื่อมากันครบแล้วจึงพาพวกเขาออกเดินทางไปยังเมืองชายแดนอันเป็นที่ตั้งของค่ายทหารในตอนนี้
การศึกยืดเยื้อมานาน ประชาชนมากมายล้วนได้รับความเดือดร้อนจากภัยสงครามในครั้งนี้ ชาวบ้านทุกคนออกมาจากหมู่บ้านก็หาได้มาตัวเปล่าทุกคนต่างนำอาวุธที่ตัวเองคิดว่าถนัดและใช้งานได้ง่ายนำติดตัวมาเพื่อใช้ป้องกันตัว
อวิ๋นเซียวนำธนูของเขามาด้วย นอกจากธนูแล้วยังมีมีดสั้นอีกด้าม ห่อผ้าทั้งสองห่อ เต็มไปด้วยความห่วงใยจากภรรยา ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือยาเขาจึงหวงแหนห่อผ้าของตนเองไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ด้วยเกรงว่าของสำคัญที่ภรรยาเตรียมเอาไว้ให้จะถูกผู้อื่นที่มีใจละโมบแย่งชิงเอาได้
หลังจากสามีออกเดินทางไปแล้วนางพาน้องชายน้องสาวเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ตอนนี้บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบเหงาเป็นอย่างมากด้วยแต่ละครอบครัวล้วนเสียใจและไม่สบายใจที่ลูกหลานหรือสามีต้องไปเป็นทหาร หากโชคดีได้กลับมาก็แล้วไปเถอะ หากโชคร้ายไม่ได้กลับมาพวกเขาจะทำเช่นไร
เว่ยจื้อโหยวไม่มีเวลาโศกเศร้านาน นางเริ่มพลิกหน้าดินในพื้นที่ว่างหลังบ้าน นางจะปลูกผักและหาผลไม้มาปลูกตอนนี้นางต้องการเพียงแค่หาเงินให้ได้มาก ๆ เท่านั้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นางอยากจะสร้างบ้านหลังใหม่และอยากส่งเสียให้น้อง ๆ ของนางและน้อง ๆ ของสามีได้เรียนหนังสือ ในเมื่อสามีไม่อยู่คอยปกป้องนางแล้วนางย่อมปกป้องตัวเอง
หลายวันมานี่นางมัวแต่วุ่นวายเตรียมของให้สามีจนลืมหลุมกับดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนไปเสียสนิท เมื่อนึกขึ้นมาได้นางจึงชวนน้องทั้งสองไปดูหลุมดักปลาที่ขุดเอาไว้ หากว่ามีปลาอยู่นางจะนำไปขายเพื่อหาเงินเข้าบ้าน
หวังว่าชีวิตที่สองนี้นางจะมีความสุข มีเงินร่ำรวย ชาติที่แล้วนางไม่มีอะไรสักอย่าง เงิน ครอบครัว แถมยังตายเสียก่อนจะมีสามีอีกด้วย
มาชาตินี้ยังไม่ได้แอ้มสามีเลย จำเป็นจะต้องพลัดพรากจากกันเสียแล้ว พระเจ้าช่างกลั่นแกล้งนางเสียจริง ไหนล่ะพรวิเศษ ไหนล่ะมิติ แล้วไหนล่ะความโชคดี ไม่มีอะไรสักอย่าง
ไม่ใช่ว่าตามพลอตนิยายที่เคยอ่านมา คนที่ทะลุมิติมาก็ต้องมีอะไรติดตัวมาให้บ้างสิ นี่อะไรนางมีเพียงความสามารถในชาติที่แล้วและความรู้ติดมาเท่านั้น ส่วนร่างเดิมมีเพียงพละกำลังเท่านั้นที่ดีกว่าคนอื่น
“เฮ้อสวรรค์ช่างกลั่นแกล้งข้านัก ใช่ว่าข้าอยากจะตายแล้วเกิดใหม่เสียหน่อย ใครที่ส่งข้ามาที่นี่ช่างไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี” เว่ยจื้อโหยวเดินไปบ่นไปจนน้องชายน้องสาวคิดว่าพี่สะใภ้คิดถึงพี่ใหญ่มากจนเลอะเลือน
เว่ยจื้อโหยวพาน้องชายน้องสาวเดินไปดูหลุมดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน เมื่อเดินมาถึงอวิ๋นซวนที่วิ่งนำหน้าไปก่อนนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาเอากิ่งไม้ที่วางทับข้างบนปากหลุมออกในหลุมที่ขุดเอาไว้มีปลาอยู่แน่นไปหมดแถมปลายังมีขนาดใหญ่อีกด้วย“อู้วว ปละ..ปลา ปลาเต็มไปหมดเลยขอรับพี่สะใภ้ อีกทั้งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ พี่สะใภ้เก่งที่สุดเลยขอรับ”“จริงหรืออาซวน ในนั้นมีปลาจริงหรือเจ้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” “ข้าพูดเรื่องจริงพี่รองข้าจะไปโกหกท่านทำไม หรือท่านไม่เชื่อในตัวพี่สะใภ้กันแน่”“ข้าเปล่าสักหน่อย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่ามากล่าวหาข้า ข้าหาได้คิดดังเช่นที่เจ้าว่ามา”“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว อาเฟยไปเอาถังน้ำมา เราจะจับปลาไปขังเอาไว้ในโอ่งก่อนพรุ่งนี้เราค่อยนำไปขายในเมือง จะได้ซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่มด้วย”“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”“อาซวนหากเราต้องการเข้าไปในตัวเมืองเราจะต้องทำเช่นไร เดินไปหรือแล้วตัวเมืองอยู่ไกลหรือไม่”“นั่งเกวียนรับจ้างไปขอรับ หากเดินเท้าก็ร่วม 2 ชั่วยาม หากเรานำปลาเข้าไปขายข้าเกรงว่าเดินไปคงไม่สะดวก”“เอาเช่นนี้ อาซวนเจ้าวิ่งไปบ้านเดิมข้าสักประเดี๋ยว บอกกับท่านลุงใหญ
หลังจากออกมาจากเหลาอาหารแล้วเหลียนอี้ปิงพาน้องเขยไปที่ตลาดค้าสัตว์เพื่อเลือกซื้อเกวียนเทียมลาหรือวัวขึ้นอยู่กับว่าเงินในมือพวกเขาพอหรือไม่ เงิน 10 ตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้เพื่อจ่ายให้กับทางการแทนการไปเป็นทหารตั้งแต่แรกนั้น ได้จากการนำสินเดิมของท่านแม่และภรรยาของเขาไปจำนำเอาไว้ที่โรงรับจำนำ“พี่ใหญ่ขอรับ หลังจากเราซื้อเกวียนแล้วข้าว่าพี่ใหญ่ไปเอาสินเดิมของแม่ยายกับพี่สะใภ้มาคืนพวกนางเถอะขอรับ ข้าคิดว่าต่อไปในภายภาคหน้าพวกเราคงไม่ขัดสนเงินทองเท่าไหร่ เป็นไปได้หากข้ามีเงินในอนาคตข้าก็อยากจะซื้อที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเองขอรับ”“ได้ตกลง เช่นนั้นเราก็แวะโรงรับจำนำก่อนก็แล้วกัน ข้าคิดว่าเงินเรามีพอที่จะซื้อเกวียนวัวหรือเกวียนลาได้”เมื่อตกลงกันได้แล้วเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่โรงรับจำนำและทำการไถ่ถอนสินเดิมของภรรยาและมารดาออกมาทั้งหมด รวมเป็นเงิน 8ตำลึงทอง ทำให้ในตอนนี้เงินในมือเหลืออยู่เพียง 2 ตำลึงทองกับอีก 6 ตำลึงเงินที่ได้จากการขายปลาหลังจากจัดการธุระที่โรงรับจำนำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดค้าสัตว์ทันที ด้วยจำนวนเงินที่มีในมือ คงจะซื้อได้เพียงเกวียนเทียมลาเท่านั้น หรือ
เว่ยจื้อโหยวที่วันนี้ว่างมาก งานพลิกหน้าดินก็ทำเสร็จแล้ว ในระหว่างที่ต้องใช้เวลาตากหน้าดินหลายวัน ในระหว่างรอนางจึงคิดว่าสมควรจะเข้าป่าเพื่อหาของป่านำไปขายเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ไม่แน่ว่านางที่มาจากอนาคตอาจจะพบเจออะไรที่กินได้แต่ชาวบ้านที่นี่ไม่รู้จักก็เป็นได้ ป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์มากขนาดนี้นางมั่นใจว่าจะต้องมีของกินมากมายในป่าที่สามารถทำเงินให้กับนางได้แน่นอนเมื่อคิดได้ว่าจะเข้าป่ามันก็ต้องมีการเตรียมตัวกันสักนิด ก่อนอื่นต้องหาเสียมเล็ก ๆ หรือพลั่วเล็ก ๆ ติดตัวไปด้วย ต่อมาก็เป็นมีด กระบอกใส่น้ำดื่ม แล้วอาวุธล่ะจะเอาอะไรติดตัวไปด้วย ธนูสามีของนางก็เอาติดตัวไปด้วยแล้ว ลองหาในห้องเก็บของดูเผื่อจะมีหลงเหลืออยู่บ้างเว่ยจื้อโหยวค้นหาของในห้องเก็บของนางพบธนูอันใหญ่ที่มีสภาพเก่าแล้วแต่ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมทั้งลูกธนูอีก 1กระบอกมีประมาณ 15 ลูกได้ นี่อาจจะเป็นสมบัติตกทอดมาจาดพ่อสามีก็เป็นได้ นอกจากธนูแล้วนางยังเอาเชือกสำหรับกับดักสัตว์ไปด้วย หลังจากหาของที่ต้องการครบแล้วนางก็นำไปใส่ตะกร้าไม้ไผ่อันใหญ่ยกขึ้นสะพายหลังเตรียมเข้าป่าตามที่ตั้งใจเอาไว้เว่ยจื้อโหยวสะพายตะกร้าออกจากบ้านอย่างอาร
เว่ยจื้อโหยวเดินแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไก่ป่าและกระต่ายป่า ในมือยังถือหน่อไม้มาด้วย 2 หน่อ วันนี้นางใช้เวลาเดินในป่ามากไปหน่อย ตอนนี้ถึงกับหมดแรงไปเลยทีเดียวเมื่อเดินมาได้ใกล้จะถึงบ้าน นางก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วแน่นเสียงด่าทอน้องชายน้องสาวดังมาจากหน้าบ้าน คงจะเป็นนังมนุษย์ป้าสะใภ้มหาภัยแน่ ๆ หาไม่แล้วใครจะกล้าและหน้าด้านมาด่าเด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 หนาวด้วยซ้ำ จิตใจไร้สำนึกขนาดนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินกลับบ้านทันที นางเข้าด้านหลังบ้าน หลังจากนำตะกร้าเข้าไปวางไว้ในห้องนอนของนางเสร็จแล้วจึงปิดประตูใส่กุญแจเอาไว้ ไม่รอช้านางรีบเดินออกไปด้านหน้าบ้านก็พบน้องชายและน้องสาวยืนมองป้าสะใภ้อยู่ข้างหน้าต่าง“ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”“พี่สะใภ้ท่านกลับมาเสียที ข้าหนวกหูจะตายแล้วเจ้าค่ะ นางจะเข้ามาในบ้านแต่ข้ากับน้องไม่ยอมเปิดประตูเพราะทุกครั้งที่นางเข้ามานางจะมาหยิบฉวยเอาของในครัวไปจนหมด”“พวกเจ้าทำดีแล้ว ไม่ต้องกลัวข้าจะจัดการเอง”“เจ้าค่ะ”“โอ้ย หนวกหูจริง ๆ ผู้ใดปล่อยสุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านผู้อื่นช่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่อง”สิ้นเสียงของเว่ยจื้อ
เช้าวันต่อมาเว่ยจื้อโหยวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่ นางไม่รู้ว่าฝันหรือเรื่องจริงแต่จะอะไรก็ช่างมันก่อน คนเราย่อมต้องพึ่งพาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถึงปากนางจะก่นด่าไปบ้างมันก็สมควรแล้ว นางแค่ต้องการระบายความอัดอั้นตันใจเพียงเท่านั้นนางไม่แน่ใจว่าความฝันนางจะใช่เรื่องจริงหรือไม่เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์อันใดได้เพราะนางยังไม่ได้ลงมือเพาะปลูกอันใดเลย หรือเพียงทางเดียวเท่านั้นมิติจะใช่เรื่องจริงหรือไม่คงต้องลองดูเมื่อได้ข้อสรุปของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าความฝันมันจะเป็นจริงหรือไม่ นางจึงกำหนดจิตให้เข้า ทันใดนั้นนางก็เข้ามาอยู่ในสถานที่แปลก ๆ ที่ดูแห้งแล้งและแร้นแค้น สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่เพียงแค่ 1หมู่เท่านั้น มีบ่อน้ำที่ทำจากหิน 1บ่อเพียงเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า นี่คงจะเป็นบ่อน้ำแร่อย่างที่บอกแน่นอนเมื่อแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นางจึงกลับออกไปข้างนอกและเริ่มทำมื้อเช้าสำหรับน้องทั้งสองปลายยามอิ๋นท่านพ่อและท่านลุงบังคับเกวียนมาถึงบ้านของนางเพื่อนำปลาไปขายเช่นเมื่อวาน “อาโหยวตื่นแล้วหรือลูก เจ้านอนไม่หลับหรือ เหตุใดถึงได้ขอบตาดำคล้ำขนาดนั้น
ทางด้านเว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงที่วันนี้นำปลาไปส่งที่เหลาอาหารพร้อมทั้งกระต่ายกับไก่ที่เว่ยจื้อโหยวล่ามาได้ ทำให้วันนี้พวกเขาได้เงินมาไม่น้อย เพราะจำนวนปลาที่จับได้มากขึ้นและมีขนาดตัวที่ใหญ่ ส่วนปลาตัวเล็กนั้นพวกเขาปล่อยกลับลงลำธารไป ทั้งสองคนติดสินใจว่าจะมาขุดหลุมดักปลาเพิ่ม เพราะหลงจู๊บอกว่าปลาที่พวกเขานำไปส่งเมื่อวานไม่พอขาย ถึงแม้วันนี้จะได้ปลาเพิ่มมาจากเมื่อวานนับ 100 ชั่ง แต่หลงจู๊คิดว่าไม่น่าจะพอขาย เพราะไม่มีใครสามารถจับปลามาส่งที่เหลาอาหารแบบที่ยังมีชีวิตอยู่และไร้บาดแผลเช่นนี้มาก่อน ทำให้เวลานำปลาไปปรุงอาหารจะได้รสชาติสดใหม่และอร่อยยิ่งขึ้น ตอนนี้อาหารเมนูปลาจึงเป็นอาหารขึ้นชื่อของเหลาอาหารไปแล้ว“น้องเขย ข้าว่าเรากลับไปขุดหลุมกับดักเพิ่มสัก 3 หลุมดีหรือไม่ ขุดห่างกันออกไปหน่อยลำธารสายนี้ไม่ค่อยมีชาวบ้านเดินผ่านมาเพราะมันอยู่ติดกับชายป่า เหมาะสำหรับให้พวกเราขุดหลุมดักปลา”“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ กระต่ายป่าและไก่ป่าของอาโหยวก็ขายได้ราคาดีไม่น้อย เลยเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนางมาก นางสามารถดูแลตัวเองได้ หากข้าไม่ตัดสินใจแยกบ้านออกมาพวกเราคงจะไม่มีวันคืนที่ด
กวางตัวใหญ่เสี่ยวเอ้อร์นำไปชั่งน้ำหนักได้ถึง 500 ชั่ง พร้อมกับนำเขาที่ตัดออกมาส่งให้กับเว่ยเจี้ยนป๋อ กวาง 500 ชั่งที่ลูกสาวแสนบอบบางแบกออกมาจากป่า เว่ยเจี้ยนป๋อคิดแล้วให้เจ็บปวดนักเขาเองก็รักลูกสาวมาก เหตุใดลูกสาวเขาถึงทำงานหนักขนาดนี้ คิดแล้วช่างปวดใจนัก“นี่ขอรับเขากวางของพวกท่าน ส่วนนี่เป็นเงิน 500 ตำลึงเงิน เป็นตั๋วแลกเงินใบละ 100 ตำลึง 5 ใบ พวกท่านตรวจดูก่อน”“ขอบใจเจ้ามาก เช่นนั้นข้าสองคนลานะขอรับหลงจู๊”“อืม อย่าลืมนะ หากมีของดีอย่าลืมนึกถึงเหลาของข้า”“ขอรับพวกเราไม่ลืมท่านแน่ ๆ ขอรับ” เหลียนอี้ปิงรับคำหนักแน่น“พี่ใหญ่เรารีบเอาเขากวางนี่ไปขายก่อนเถอะขอรับ จะได้รีบกลับบ้านประเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”“ตกลง”ทั้งสองคนนำเขากวางมาขายให้กับโรงหมอตามคำแนะนำของหลงจู๊ เขากวางที่พวกเขานำมาเป็นเขากวางอ่อนที่ที่โรงหมอต้องการมานาน เขากวางอ่อนสามารถนำมาเพิ่มในเทียบยาได้หลายขนานและเขากวางอ่อนหายากไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถหาเขาที่ไม่อ่อนเกินไปและแก่เกินไป เขากวางที่ทั้งสองคนนำมานับว่าเหมาะสมมาก “เขากวางอ่อนนี้มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ดีมาก อีกทั้งยังหายากมากพวกเจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ที่สามารถหาเขากวางที
เฉียนเสี่ยวหลินที่แอบเดินตามเว่ยจื้อโหยวมาตั้งแต่นางและน้องทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้านตระกูลเหลียน พอมาถึงในจุดที่ลับตาคนเฉียนเสี่ยวหลินถึงได้เดินออกมาขวางหน้าทั้งสามคนเอาไว้“เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรกับข้า เหตุใดถึงมาขวางหน้าข้าเอาไว้” เว่ยจื้อโหยวถามออกมาด้วยความแปลกใจ“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ข้าก็คือคนที่ถูกเจ้าแย่งสามีไปเช่นไรเล่า” เฉียนเสี่ยวหลิน“ห้ะ!!! ข้านี่นะแย่งสามีเจ้า ข้าไปแย่งสามีเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่รึ แล้วสามีเจ้าที่ว่ามานี่คือผู้ใดหรือ”“เจ้าแย่งท่านพี่เซียวไปจากข้า เป็นเพราะเจ้า ยายของเจ้ายัดเยียดเจ้าให้พี่เซียว ทั้ง ๆ ที่ท่านพ่อเกือบจะยอมให้ข้าแต่งให้พี่เซียวอยู่แล้วแท้ ๆ มันเป็นเพราะเจ้านางจิ้งจอก” “แม่นางเสี่ยวหลิน พี่ใหญ่ของข้าไปเป็นสามีของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ เท่าที่พวกเราพี่น้องจำได้ พี่ใหญ่ของข้าไม่เคยพูดจากับท่านเลยสักครั้ง ถึงแม้ท่านจะเล่นลูกไม้เล่นหูเล่นตาอย่างไรพี่ใหญ่ของพวกเราก็ไม่เคยชายตามองท่านแท้ ๆ แต่มาวันนี้ท่านกล้ามาบอกว่าพี่ใหญ่ของข้าไปเป็นสามีท่าน อีกทั้งท่านยังมาพูดจาไม่ดีกับพี่สะใภ้ของข้า มันไม่มากไปหน่อยหรือ นี่ท่านอยากได้สามีคนอื่นจนตัวสั่นมาก
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก
หลังจากที่ราชครูเถียนได้ตัดสินใจออกไปแบบนั้นแล้ว เขาไม่เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วตระกูลเถียนคงได้ล่มสลายเพราะสตรีสมองหมูสองคนนี้เป็นแน่ เถียนเสี่ยวมี่ไม่ยินยอมจึงได้โวยวายว่าบิดาไม่ยุติธรรม“ท่านพ่อ ท่านจะมาทำแบบนี้กับข้าและท่านแม่ไม่ได้ เหตุใดเราสองแม่ลูกจะต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ การที่ลูกรักพี่จิ้งลูกผิดหรือเจ้าคะ”“ผิด เพราะหยวนจิ้งไม่ได้มีไมตรีต่อเจ้า การที่เจ้าไปวิ่งตามหยวนจิ้งแบบนั้นนอกจากจะด้อยค่าตัวเองแล้วยังทำลายเกียรติของตระกูลเถียนด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายผู้คนบ้างหรือ”“ท่านพี่ ให้โอกาสเราแม่ลูกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลมี่มี่ให้ดี จะไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก”“ข้าตัดสินใจแล้ว การกระทำของเสี่ยวมี่ที่ผ่านมามันบ่งบอกได้ถึงว่านางไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี ตัวข้าเป็นขุนนางตำแหน่งราชครู แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้แล้วข้าจะมีหน้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นไร พวกเจ้าสองแม่ลูกอย่าลืมว่ายังมีลูกชายทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอนาคตไกล อย่าให้การกระทำสิ้นคิดของเจ้ามาทำลายตระกูลเถียนและหน้าที่การงานของทุกคน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าให้ได้ปรับปรุงตัวเ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หยวนจิ้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากส่งหลาน ๆ กลับจวนแม่ทัพแล้ว ตัวเขาเองก็มุ่งหน้ากลับจวนกั๋วกงทันทีหยวนจิ้งกลับมาถึงก็ตรงไปที่เรือนของฮูหยินทันที เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้อีก ก่อนจะจัดการคนอื่นต้องจัดการคนในครอบครัวก่อน คนแรกคือท่านแม่ของเขาเอง“ท่านแม่อยู่หรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะคุณชาย กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินท่านราชครูเจ้าค่ะ”“ขอบใจ มีอะไรก็ไปทำเถอะ"“เจ้าค่ะคุณชาย”หยวนจิ้งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ตอนนี้นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่กับฮูหยินจวนราชครู หยวนจิ้งเองไม่คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว ในใจเขาคิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปถึงจวนราชครู หวังว่าฮูหยินจะกลับไปสั่งสอนลูกสาวหรือตัวฮูหยินเองที่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและอย่าได้คิดมาเล่นแง่หาข้ออ้างอะไรอีก แม้แต่ท่านแม่ของตัวเองวันนี้หยวนจิ้งเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้“คารวะท่านแม่ขอรับ คารวะฮูหยินท่านราชครู"“อ้าว อาจิ้งทำไมกลับมาไวนักล่ะลูก ไหนว่าไปที่ตำหนักองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” “อุ๊ย ดูพูดเข้าสิ หลานจิ้งฮูหยงฮูหยินอะไรกัน เรียกท่านป้าเถอะจ้ะ” ฮูหยินราชครู“ไม่ล่ะขอรับ ข้าไม่ส
เว่ยจื้อโหยวพาลูก ๆ และสามีเดินทางรอนแรมจากหมู่บ้านต้าลี่ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงเสียที คนที่มารอรับพวกเขาอยู่นอกประตูเมืองคือเฟยหลงกับหยวนจิ้ง เด็กน้อยทั้งสี่ต่างขดตัวนอนหลับอยู่ภายในรถม้ากับพี่เลี้ยงสี่ขาทั้งสี่เฟยหลงพาน้องชายนอกสายเลือดที่เขารักไม่ต่างจากคนสายเลือดเดียวกันเข้าไปพักที่จวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นหลายปีจวนแม่ทัพแห่งนี้มีอวิ๋นซวนกับหย่งคังและหย่งหมิงพักอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงหย่งหมิงกับอวิ๋นซวนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาหลวง“ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ ตอนนี้อาซวนกับอาหมิงคงยังไม่กลับจากสถานศึกษา” หยวนจิ้ง“พาหลาน ๆ ไปนอนในห้องหับเสียก่อน เดินทางมาไกล ต้าเป่ากับน้อง ๆ คงเหนื่อยแย่” เฟยหลง “ขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง” อวิ๋นเซียว"เอาล่ะ ซ้ายมือเป็นเรือนของอาเหิงกับครอบครัว ส่วนอาเซียวอยู่เรือนหน้าก็แล้วกัน เรือนด้านขวานั้นอาหมิงกับอาซวนพักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปพักอยู่ที่เรือนหลังก็แล้วกัน" เฟยหลงแจกแจงที่พักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนพักเรียบร้อยแล้ว รถม้าทั้ง 10 คันก็เขาไปจอดเรียบร้อยที่พื้นที่ด้านหลังของจวน ม้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวก