“ในเมื่อเจ้ามีญาติอยู่ในเมืองหลวง” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยคำอีกคราด้วยน้ำเสียงเย็นชามากกว่าเดิม “ข้าจะทำเรื่องย้ายเจ้าเข้าไปประจำการที่เมืองหลวง รับจดหมายนี่ไป” กล่าวจบก็ยื่นจดหมายส่งตัววางเอาไว้บนโต๊ะทำงานให้สตรีตรงหน้าได้หยิบไปด้วยตนเอง
อวี้ถิงถึงกับตาโตตะลึงงันจ้องมองจดหมายตรงหน้าอย่างงุนงง อะ...อะไรกัน!???
“ออกไปได้แล้ว” ฟงชินหยางเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกับทหารทุกนายหลังจากเสร็จสิ้นธุระอันสลักสำคัญทุกประการ
เขาควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม ต่อให้ต้องฆ่าคนเขาก็จะทำ
ชายหนุ่มคิดอย่างนั้นพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินบรรยาย…
เวลาอาหารค่ำมาถึงทุกชีวิตจึงรวมตัวกันภายในห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารอันใหญ่โตของจวนตระกูลฟงประกอบไปด้วยอาหารหลากหลายหน้าตาน่าทาน พาเอาอาซิ่นและอาตู้จิตใจเบิกบานทานอาหารอย่างรื่นเริง พวกเขาทั้งสองช่างเห็นแก่กินยิ่งนัก การทานอาหารร่วมกันจึงดำเนินไปภายในบรรยากาศเป็นกันเอง
เวลาผ่านไป...บรรยากาศหลังมื้ออาหารเย็นดำเนินไปด้วยสุรารสดีหลายไหถูกลำเลียงออกมาอย่างไม่มีหวงแหนเนื่องจากจวนตระกูลฟงนิยมหมักเหล้าเองและชอบแจกจ่ายเป็นทุนเดิม
ในยามนี้อาซิ่นกับอาตู้ดื่มเหล้าอย่างมีความสุขเป็นที่สุดผิดกับสองสตรีคือหลิงเวยและอวี้ถิงที่ดื่มเหล้าเคล้าน้ำตามีความทุกข์ตรมระทมสุดแสน
อวี้ถิงนั่งดื่มเหล้าคล้ายกับคนสติหลุดหยุดแผนการทุกสิ่งอย่าง นางกำลังนั่งอยู่ที่มุมท้ายสุดของโต๊ะอาหารตามที่คุณหนูเล็กของตระกูลกึ่งบังคับให้นั่งพร้อมด้วยเพื่อนทหารหญิงอีกสองนางคือซือซือและอี้ผิง
อวี้ถิงนั้นดื่มเหล้าไปมองฟงชินหยางไปด้วยสายตาตัดพ้อระคนท้อใจ นางไม่มีโอกาสคิดทำสิ่งใดได้มากไปกว่านั้นเพราะถูกจัดให้นั่งเสียไกลจากตำแหน่งที่ท่านแม่ทัพของนางนั่งอยู่
แผนการอันเลวทรามของนางทั้งหลายต้องตกไปอีกครา เป้าหมายอันชั่วร้ายหมายจับบุรุษให้อยู่หมัดเป็นอันต้องตกไปอีกครั้ง
“ใจเย็นอวี้ถิง” สหายทั้งสองของอวี้ถิงรินเหล้าไปปลอบสหายไปอยู่อย่างนั้น แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล สหายของนางเมาหนักเสียแล้ว
หลิงเวยเองก็กำลังจิตตกไม่ต่างกัน นางนั่งหน้าเศร้าดื่มเหล้าเคล้าน้ำตาอยู่ข้างๆ สามีอย่างเงียบงัน ทำเอาฟงชินหยางต้องมองนางอย่างงุนงงอยู่หลายครั้งหลายคราและยิ่งฉงนหนักหน่วงเมื่อมองสายตาของทุกคนในครอบครัวที่มองมาทางเขาแบบแปลกๆ คล้ายกับว่าต้องการกินเลือดกินเนื้อเขาอย่างนั้น!
ชายหนุ่มนั่งดื่มเหล้ากับลูกน้องทหารพลางเสียวสันหลังวาบๆ แบบแปลกๆ เขาสังเกตเห็นภรรยาคนงามทำท่าทางน่าสงสารอยู่ตลอดเวลามิรู้ได้ว่านางกำลังใช้มารยาชนิดใด
ไยทำท่านพ่อท่านแม่และน้องทั้งสองมองเขาอย่างคาดโทษได้อย่างนั้น
นี่เขาทำสิ่งใดผิดอีก!?
ประมุขแห่งจวนฟงซือหลางและฟงฮูหยินรับรู้เรื่องราวบางอย่างจากฟงลี่หลินเกี่ยวกับสตรีที่เป็นทหารหญิงนางหนึ่งเดินทางเข้ามาถึงภายในจวนและส่งสายตาเย้ายวนเผยความนัยให้บุตรชายคนโตที่แต่งงานแล้วและมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนจนภรรยาคนงามของเจ้าลูกชายตัวดีเตรียมเก็บผ้าหนีอย่างนั้น พวกเขาจึงใช้สายตาจัดการฟาดฟันเจ้าบุตรชายตัวดีอยู่ตลอดเวลา
ฟงชินหยางได้แต่งุนงงนั่งดื่มเหล้าไประแวงไปเมื่อมองเห็นสายตาคาดโทษตลอดเวลานั่นของบิดามารดา น้องรองและน้องเล็กเองก็ไม่ต่างกัน ทุกคนพากันเอาใจภรรยาเจ้ามารยาของเขาจนละเลยเขาไปแล้วจดหมดสิ้น
“กลับเรือนกัน” ชายหนุ่มก้มหน้าเอ่ยคำเสียงเบาใส่หูภรรยาข้างกาย หากเขายังนั่งอยู่ตรงนี้เนื้อตัวคงแหลกเหลวร่างกายคงถูกฉีกทึ้งเป็นหมื่นๆ ชิ้นอย่างไร้สาเหตุ
หลิงเวยที่ดื่มเหล้าไปหลายจอกจนมีอาการเมามายส่ายหน้าไปมาอย่างมึนๆ “ไม่กลับ...” นางตอบคำด้วยใบหน้างอง้ำสองข้างแก้มแดงเปล่งปลั่งเมาเหล้ามากมาย นางจะไม่กลับเรือนไปให้เขาแล่เนื้อเถือหนังอย่างแน่นอน
ฟงชินหยางชะงักงันกับกิริยาอย่างนั้นของภรรยาตัวน้อยแต่ยังคงตีเนียนพูดจาดีๆ กับนางอย่างเนียนๆ “ได้อย่างไร นี่ดึกมากแล้ว ข้าเป็นห่วงสุขภาพเจ้ายิ่งนัก”
“ข้าจะไปนอนกับลี่หลิน” หลิงเวยยังคงมีจุดยืน นางอยากเก็บความทรงจำดีๆ ของคนในครอบครัวนี้เอาไว้ให้มากที่สุด เผื่อว่านางต้องออกไปจากจวนในเร็ววัน สตรีเช่นนางไม่มีดีอันใดสักอย่าง ใครๆ ก็ไม่รัก ยิ่งคิดยิ่งช้ำอยากร่ำไห้ยิ่งนัก
หลิงเวยตัดพ้อว่ากล่าวตนเองอยู่ในใจพาเอาใบหน้าสวยหวานยิ่งหม่นแสงลงเรื่อยๆ
“ดีมากอาซ้อ!” น้องเล็กฟงลี่หลินผู้ชอบกลั่นแกล้งพี่ใหญ่เป็นทุนเดิมเอ่ยออกมา “ไปเถิด เราไปนอนด้วยกันอย่าไปนอนกับคนใจร้าย...” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาจับประคองหลิงเวยให้ออกจากโต๊ะอาหารไปด้วยกัน ฟงจินหมิงเห็นอย่างนั้นพลันรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปอย่างเป็นห่วงพี่สะใภ้เหลือเกิน
ฟงชินหยางได้แต่นั่งมองอย่างตกตะลึงเงียบงันท่ามกลางสายตาฟาดฟันของบิดามารดา
อา...ภรรยาของเขาช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...
เวลาดึกดื่นยามจื่อ(23.00-24.59)หลังจากที่ฟงชินหยางสั่งการบ่าวไพร่ให้พาแขกที่เป็นลูกน้องทหารทั้งห้าเข้าพักที่เรือนรับรองเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงพาเรือนร่างสูงใหญ่พร้อมอารมณ์โกรธกรุ่นใบหน้าคมคร้ามฉายแววอำมหิตเดินทางมายังเรือนนอนของน้องเล็กในทันที“พี่ใหญ่!” ฟงลี่หลินถึงกับตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ใหญ่ของนางที่คล้ายกับท่านจอมมารมาดทะมึนเดินมาเคาะประตูห้องกลางดึกอย่างนี้“เมียพี่อยู่ไหน?” ฟงชินหยางถามเสียงเย็น เขายังมิได้เข้าหอกับนางเลยจะแยกกันนอนได้อย่างไร คืนนี้เขาต้องจัดการนางให้หลายท่า“หลับไปแล้ว พี่ใหญ่กลับไปเลย” ฟงลี่หลินเบ้ปากบอกอย่างแง่งอนประหนึ่งว่าเป็นเมียพี่ชายเสียเองฟงชินหยางมีหรือจะฟังเขาพาร่างสูงกำยำของตนเดินอาดๆ เข้ามายังห้องด้านในสุดจนมาเจอเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ภรรยาตัวดีของเขากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่เมื่อเขาเจอตัวการที่ทำให้อาหารมื้อค่ำหมดรสชาติเนื่องจากถูกฟาดด้วยสายตาคาดโทษ เขาจึงรีบโน้มตัวลงอุ้มร่างบางเจ้าปัญหาของเขาขึ้นแนบอกในทันที“พี่ใหญ่จะทำอะไร หยุดนะ! ไม่นะ!” ฟงลี่หลินถามขึ้นอย่างตกอกตกใจเมื่อพี่สะใภ้ของนางกำลังจะถูกมารลักพาตัว ฟงชินหยางเริ่มหรี่ตามองน้องเล็กของตนอย่างเข่น
นางปรือตามองเขาพลางเรียกขาน“ชินหยาง...” เสียวแว่วหวานเอ่ยเรียกเขาพร้อมดวงตาหยาดเยิ้มใบหน้าแดงก่ำมีน้ำตาหยดลงมาใส่ใบหน้าของเขานางกำลังร่ำไห้เหมือนที่นางชอบทำไม่เคยเปลี่ยน“เจ้าคนใจร้าย”“...”แต่ที่เปลี่ยนไปคือนางด่าเขานางช่างกล้า! เมาแล้วด่าเป็นแน่นอนว่าเขาย่อมเป็นเช่นนั้น เขาเป็นมากกว่าใจร้ายเพราะว่าเขาทั้งโหดเหี้ยมโหดร้ายฆ่าคนได้ง่ายดายไม่มีละเว้นนี่ถือว่านางชมเขามันเป็นคำชม!“ข้ามีดีอะไรอย่างนั้นหรือ” นางเริ่มเอ่ยวาจาพึมพำบ่นคำออกมาแผ่วเบาด้วยใบหน้าง้อง้ำปลายจมูกเชิดรั้นสีแดงๆ“ข้าน่ะไม่ควรมีดีอันใด เพลงที่แต่งเอาไว้ไม่ควรบรรเลง ภาพที่วาดเอาไว้ยังต้องเก็บซ่อน กาพย์กลอนที่ร่ายเอาไว้ยังต้องฉีกทิ้ง ใบหน้าก็ไม่ควรแต่งแต้มเติมสีชาด ความงามของข้าไม่เคยจำเป็น ท่านรู้หรือไม่ ความสามารถของข้ามันคือปัญหา มันทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุข บุรุษทั้งหลายไม่ควรเจอข้า แต่ท่าน...ท่าน...เจ้าคนใจร้าย” “...”นางชมเขาอีกแล้ว!นี่นางเป็นอันใดมากหรือไม่ ไยร้ายกาจยิ่งนัก นางช่างร้ายกาจกับเขาเสียจริง ไม่เคยมีใครชมเขาถึงเพียงนี้!และก็นางบ่นพึมพำอีกสองสามประโยคด้วยใบหน้าเช่นเดิม ริมฝีปากอิ่มน่ากดจ
ถึงแม้ว่าเขากับนางจะเคยผ่านการร่วมรักกันมาแล้วแต่ทว่านางกับเขากลับมิเคยได้สำรวจกันและกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน นั่นจึงสมควรแล้วที่นางอาจจะกำลังสงสัยในเรือนร่างของเขาเมื่อยามบ่ายนางบอกว่าอย่างไร นางชอบเขาตรงไหนนางบอกว่าชอบแผลเป็นบนแผงอกของเขาอย่างนั้นหรือแน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเขาเองก็ชอบมัน บาดแผลพวกนี้แลกกับการได้ช่วยเหลือแว่นแคว้น จัดการพวกทรราช พรากชีวิตเหล่าศัตรูที่หมายจะย่ำยีชาวประชาของแคว้นเฉินนำพาทุกผู้คนให้ได้อยู่กันอย่างสงบในเหย้าในเรือนมันเป็นเครื่องหมายย้ำเตือนต่อการแสดงความภักดีต่อองค์เหนือหัวและเหล่าประชาราษฎร์ให้คงอยู่ได้ตลอดไปปลายนิ้วเรียวสวยของคนตัวเล็กพร้อมด้วยใบหน้างามหวานยังคงขยับเบาๆ อยู่ตรงแผงอกของเขาที่กำลังแข็งตึงขึงเครียดและปวดหนึบไปทั่วทั้งลำตัวทำเอาเขาต้องนอนตัวเกร็งจนหลุดเสียงครางนางยังคงตั้งใจอ่านทุกอย่างบนลำตัวของเขา แต่ทว่าหากนางจะอ่านหนังสือบนแผงอกของเขาอยู่ฝ่ายเดียวนั่นย่อมนับว่าไม่เหมาะ เพราะว่าเส้นขนของเขาที่กำลังลุกชูชันแข่งขันกันทั้งร่างทำให้เขาไม่อาจถูกอ่านได้อยู่ฝ่ายเดียว นางอ่านเขานานจนเกินไปนางไม่ยอมทำอันใดมากไปกว่านั้น“เวยเอ๋อร
“ข้าจะทวนความจำให้เจ้า”ฟงชินหยางก้มใบหน้าคมคายจ้องมองสตรีใต้ร่างด้วยดวงตาคมดำฉายแววร้อนแรงจนหลิงเวยยิ่งใบหน้าเห่อแดงร้อนแรงไม่แพ้กันนางจ้องมองสบตอบสายตาคมนั้นด้วยสายตาตื่นตะลึงตระหนกหวาดหวั่นและหวามไหววาบหวิวความรู้สึกของนางยามนี้ช่างหลากหลายโดยเฉพาะอย่างหลังนี่มากหน่อยมิใช่ไม่เคยร่วมรักกัน แต่ใกล้ชิดกันแบบนี้นางยังไม่ชิน จะกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ทั้งใบหน้าทั้งดวงตาทั้งจมูกทั้งริมฝีปากทุกอย่างใกล้กันเกินไป โดยเฉพาะแผงอกกล้าแกร่งของเขากำลังบดเบียดหน้านุ่มนิ่มของนางและช่วงกลางลำตัวแข็งเกร็งของเขากำลังเสียดสีกับ...อา...ทำไมคุ้นๆฟงชินหยางไม่มีการสนใจสตรีใต้ร่างที่กำลังทำตาโตตกใจเนื้อตัวสั่นเทา เขาก้มหน้าลงต่ำหอมแก้มนางไปหนึ่งฟอดใหญ่หลิงเวยยิ่งดวงตาพองโตรู้สึกร้อนๆ ตรงพวงแก้มตนชายหนุ่มไม่คิดจะหยุดถึงแม้หญิงสาวจะกลายร่างเป็นเสาหิน จากการกินเต้าหู้ที่พวงแก้มนางเขาจึงตามติดด้วยการดูดปลายคางของนางแรงๆ ไปหนึ่งที ดูดตรงลำคอของนางหนักๆ อีกหนึ่งที และขบเม้มติ่งหูไปอีกหนึ่งที ชื่นใจยิ่ง!นี่คือการเอาคืนเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา นางดูดเขาตรงนี้ ตรงนี้และตรงนี้ ชายหนุ่มคิดไปก้มหน้าดูดนางใต้ร่าง
อา...หลิงเวยเริ่มครางในใจแต่ยังไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆออกมาฟงชินหยางยังคงไต่ระดับตามความรู้สึกที่เริ่มพวยพุ่งตามเนื้อนวลเนียนอ่อนนุ่มที่แสนกรุ่นหอม ในที่สุดใบหน้าคมคายของเขาก็เจอเข้ากับเนื้อนูนหยุ่นนุ่มกลมกลึงที่ชี้ยอดชูชันสิ่งนี้ล่ะ! ที่ชี้หน้าชี้ตาของเขาทั้งคืน ดอกบัวของนางส่ายไปมาอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเรียวนิ้วงามๆ ลากปลายเล็บคมๆ จนเต็มแผงอกของเขา ในขณะที่สะโพกกลมๆ ของนางก็กดสะโพกของเขาจนจมที่นอนเขาจะใช้สะโพกของเขากดสะโพกของนางบ้าง!ชายหนุ่มยิ่งเพิ่มระดับความเที่ยงตรงรักความยุติธรรมยิ่ง เขาคิดจะทำทุกสิ่งกับภรรยาให้เหมือนกับที่ถูกภรรยากระทำเมื่อยามค่ำคืนเขายังคงก้มหน้าก้มตาดูดกลืนเม็ดบัวของนางคล้ายกับว่ามันเป็นขนมหวานโดยไม่สนใจเจ้าของดอกบัวที่บิดลำตัวไปมา แล้วเริ่มร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขาหลิงเวยเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป เขากำลังมอบความรู้สึกเสียวสยิวให้นางจนนางเริ่มอยู่ไม่สุข นางทำได้เพียงแหงนหน้ากลั้นหายใจ แต่เมื่อนางกลั้นมันเอาไว้ไม่ไหว นางจึงหายใจออกมาแต่ทว่าเสียงหายใจของนางคล้ายกับผิดปกติไป นางมิได้หายใจออก แต่นางกำลังหายใจเข้า นางกำลังสูดปากลากยาวจนเกินเสียงๆ หนึ่งแล้วปล่อ
หญิงสาวยังคงขัดเคืองในเรื่องสำคัญที่ควรนุ่มนวล นางรีบพลิกกายบิดตัวไปมาพลางขยับสะโพกขึ้นลงหมายให้หลุดรอดพ้นจากการถูกกดตรึง แต่ทว่าเขากลับขยับตามนางได้อย่างถูกจังหวะทั้งรุกทั้งรับจนนางตัวอ่อนโอนเอนในขณะที่ลำตัวของเขาแข็งเกร็งกล้ามเนื้อตึงแน่นพ่นลมหายใจร้อนๆ เข้าสู้กับนาง และทั้งๆ ที่นางไม่คิดจะสู้กับเขา นางแค่หายใจไม่ทันนางจึงพยายามดึงลมหายใจของเขามาเมื่อเขาก้มหน้าลงมาแล้วกดจูบนาง นั่นล่ะนางจึงดูดเขาเพื่อลมหายใจของนางฟงชินหยางก้มหน้ากดจูบดูดเม้มนางผู้เป็นภรรยา ในขณะที่นางพยายามดูดดันเขาด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของนางคล้ายผลักออกคล้ายดูดเข้า จนเราทั้งสองตวัดปลายลิ้นพันกันเขากดดันนางด้วยจังหวะหฤหรรษ์ตรงกลางลำตัวในขณะที่นางแอ่นหน้าอกหยุ่นนุ่มชี้ยอดชูชันเสียดสีกับแผงอกของเขาทั้งยังยกสะโพกกลมมนตามจังหวะของเขานางทำท่าทางคล้ายกับขยับหนีแต่นางกลับขยับเข้าหา นางขยับไปมาขึ้นลงให้เข้าได้ขยับเข้าออกหนักหน่วงเป็นจังหวะเสียวซ่านให้เราทั้งสองได้อย่างตรงใจเสียงครางแว่วหวานพร้อมวงแขนลำเล็กโอบรัดตามด้วยเล็บงามๆ กดตรึงจิกลงที่ลาดไหล่นำมาซึ่งความเร้าใจให้เขาได้มอบสัมผัสใกล้ฝั่งฝันใกล้สรวงสรรค์ให้นางอย่างเร่
หลังจากศึกบนเตียงนอนจบลงหลิงเวยก็หลับใหลไปอีกคราอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงในขณะที่ฟงชินหยางผู้ดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของนางพาเรือนร่างสูงใหญ่ที่มีรอยเล็บลากยาวทั้งแผงอกและแผ่นหลังลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างสบายอกสบายใจ ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวด้วยตนเองเหมือนดังเช่นปกติเพราะไม่นิยมให้มีบ่าวไพร่มาวุ่นวายปรนนิบัติ ในยามออกศึกเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายลำบากมากนักเขาจึงไม่นิยมทำตัวสบายจนเกินไปถึงแม้ว่าฐานะของเขาจะไม่ด้อยอันใดเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายในจวนย่อมรู้ดีและไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายหากว่าเขามิได้เรียกใช้ฟงชินหยางเลือกผ้าเนื้อหนาสีเข้มออกดำสวมใส่แล้วรวบผมยาวสยายของตนทั้งศีรษะมัดด้วยเส้นผ้าสีดำสนิทอย่างเรียบง่ายก่อนจะพาเรือนร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวทว่าสายตาคมกล้าพลันสบเข้ากับเสื้อผ้าของใครบางคนเสื้อผ้าของสตรีผู้เป็นภรรยาถูกพับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมีเครื่องประดับน้อยชิ้นวางเรียงรายแยกกันชัดเจน เขาจำได้ว่ายังมิได้เรียกใช้บ่าวไพร่ให้มาจัดการกับข้าวของเครื่องใช้ของนางให้เข้าตู้เข้าชั้น แต่นางกลับทำด้วยตนเองโดยมิได้เรียกร้องแต่ทำไมเสื้อผ้าของนางคล้ายกับถูกเก็บเอาไว้ดีจนเกินไ
ฟงชินหยางพาเรือนร่างกำยำของตนเดินนำหน้าหลิงเวยที่เดินนุ่มนิ่มเหลือเกินไปตามทางเดิน เขาเริ่มหงุดหงิดแต่ยังคงเดินอย่างใจเย็นในแบบที่ไม่เคยเป็น เขายังคงต้องออกมาทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนในครอบครัวเหมือนดังเช่นปกติตามกฎระเบียบของบ้าน ถึงแม้ว่าจะทำงานจนดึกดื่นหรือดื่มเหล้าจนเมามายกระทั่งตื่นสายปานใดยังคงต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไม่มีละเว้นแต่ทว่าการมีเมียแล้วทำกิจกรรมก่อนตื่นนอนมันทำให้เวลากินข้าวเช้าคลาดเคลื่อนไปมากนัก ป่านนี้ทุกคนคงหิ้วท้องรอแย่แล้วเป็นแน่ เมื่อชายหนุ่มคิดการได้อย่างนั้นจึงหันหลังขวับกลับไปหาหญิงสาวทางด้านหลังในทันที หลิงเวยถึงกับตกอกตกใจชะงักเท้านิ่งงันลำตัวแข็งเกร็งเมื่อฟงชินหยางจู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วหันหน้ามาหานางเสี้ยวเวลาอึดใจภาพรอบกายพลันหมุนกลับเรือนร่างพลันหมุนเคว้งใบหน้านุ่มนิ่มของนางชนเข้าช่วงไหล่ของเขา หน้าอกกลมกลึงของนางชนกับแผงอกหนั่นแน่นของเขาหญิงสาวยิ่งตกใจหนักมากขึ้นเมื่อถูกจับยกช้อนร่างขึ้นแนบอกแล้วพาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปตามทางเดินนี่เขาอุ้มนางทำไม!?เหล่าบ่าวไพร่ที่ใบหน้าแดงก่ำอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีกเมื่อมองเห็นคุณชายใหญ่ผู้ดุดันแส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ
ยามรุ่งสางแสงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าภายในกระโจมหลังหนึ่งร่างสองร่างที่กำลังนอนปีนเกลียวพัลวันจนร่างสองร่างคล้ายกับงูสองตัวพันกันกลับผงกหัวลุกขึ้นมาก่อนจะหยัดกายแกร่งเพียงครึ่งลำตัวคงเหลือไว้เพียงครึ่งลำตัวที่ยังคงกดตรึงอีกร่างเอาไว้อย่างแนบแน่นจนจมที่นอนอึดใจเสียงแผ่วหวานเริ่มเอ่ย “พอก่อน...”“ไม่นาน...” เสียงแหบต่ำเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจกรุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าของอีกคนที่อยู่ใต้ร่าง“เช้าแล้ว ไม่เอา” หลิงเวยยังคงปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกระโจมแล้วเกิดได้ยินเสียงต่างๆ ระหว่างนางกับเขา“อีกครู่เดียว” ฟงชินหยางยังคงเอาแต่ใจ เขาหยัดกายเพียงนิดก่อนแทรกกายแกร่งแล้วกระชับเริ่มควบขยับกลางลำตัวให้เกิดจังหวะเนิบนาบสร้างความเสียวซ่านได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามนี้ สตรีใต้ร่างเริ่มระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของฟงชินหยางโดยกลางลำตัวถูกเขาครอบครองจนจมมิด นางทำได้เพียงแอ่นอกยกกายขยับสะโพกตามจังหวะรัญจวนที่เขามอบให้โดยกลั้นหายใจกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง “เบาๆ ประเดี๋ยวใครได้ยิน” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแต่ลมหายใจสั่นไหวรุนแรงตามจังหวะโย