อา...
หลิงเวยเริ่มครางในใจแต่ยังไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆออกมา
ฟงชินหยางยังคงไต่ระดับตามความรู้สึกที่เริ่มพวยพุ่งตามเนื้อนวลเนียนอ่อนนุ่มที่แสนกรุ่นหอม ในที่สุดใบหน้าคมคายของเขาก็เจอเข้ากับเนื้อนูนหยุ่นนุ่มกลมกลึงที่ชี้ยอดชูชัน
สิ่งนี้ล่ะ! ที่ชี้หน้าชี้ตาของเขาทั้งคืน
ดอกบัวของนางส่ายไปมาอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเรียวนิ้วงามๆ ลากปลายเล็บคมๆ จนเต็มแผงอกของเขา ในขณะที่สะโพกกลมๆ ของนางก็กดสะโพกของเขาจนจมที่นอน
เขาจะใช้สะโพกของเขากดสะโพกของนางบ้าง!
ชายหนุ่มยิ่งเพิ่มระดับความเที่ยงตรงรักความยุติธรรมยิ่ง เขาคิดจะทำทุกสิ่งกับภรรยาให้เหมือนกับที่ถูกภรรยากระทำเมื่อยามค่ำคืน
เขายังคงก้มหน้าก้มตาดูดกลืนเม็ดบัวของนางคล้ายกับว่ามันเป็นขนมหวานโดยไม่สนใจเจ้าของดอกบัวที่บิดลำตัวไปมา แล้วเริ่มร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา
หลิงเวยเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไป เขากำลังมอบความรู้สึกเสียวสยิวให้นางจนนางเริ่มอยู่ไม่สุข นางทำได้เพียงแหงนหน้ากลั้นหายใจ แต่เมื่อนางกลั้นมันเอาไว้ไม่ไหว นางจึงหายใจออกมา
แต่ทว่าเสียงหายใจของนางคล้ายกับผิดปกติไป นางมิได้หายใจออก แต่นางกำลังหายใจเข้า นางกำลังสูดปากลากยาวจนเกินเสียงๆ หนึ่งแล้วปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมเสียงอีกเสียงหนึ่ง
อา...นางกำลังคราง...
ชายหนุ่มร่างใหญ่ยิ่งมีอารมณ์ร้อนกรุ่นเมื่อหูทั้งสองของเขาได้ยินเสียงแว่วหวานที่ถูกสูดเข้าปากและปล่อยออกมาอย่างเสียวซ่านได้แบบนั้น
แต่ว่านางครางเสียงเบาเกินไป เมื่อคืนเสียงดังมากกว่านี้
ฟงชินหยางไม่คิดจะยินยอมแม้กระทั่งเสียงคราง…
หลิงเวยกำลังถูกกลืนกินตั้งแต่ริมฝีปากลากไล้ลงไปตามลำคอและกำลังถูกสามีใช้ริมฝีปากร้อนๆ ครอบครองหน้าอกทั้งสองข้างสลับไปมา นางจึงทำได้แค่แหงนหงายใบหน้าขึ้นแล้วเผยอริมฝีปากครางเบาๆ แต่คล้ายกับว่าเขาไม่พอใจ เขายิ่งขบเม้มทั้งยังบีบเคล้นหนักปากหนักมือทำนางต้องร้องครางดังออกมาอีกหลายครั้งอย่างน่าอับอาย
นางคอแห้งไม่รู้หรือไร นางร้องได้แค่นี้…
แต่ไม่เพียงแค่นั้นที่ฟงชินหยางกำลังกระทำ
นอกจากริมฝีปากอุ่นชื้นไล่ขบเม้มดูดดันและฝ่ามือกรุ่นร้อนไล่บีบเคล้นเคล้าคลึงเขายังขยับท่อนขาของเขาแยกท่อนขาของนางก่อนจะกดตรึงสะโพกกลมกลึงของนางด้วยสะโพกงามๆ ของเขาพลางโยกเอวสอบขยับเข้าใส่ร่างนางทั้งยังกระชับกดดันนางตรงกลางลำตัว
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือก ลำตัวแข็งเกร็ง รู้สึกชัดเจนพบสิ่งแปลกใหม่คล้ายกับคุ้นชินแต่ก็ไม่คุ้นชิน
ฟงชินหยางถอนใบหน้าคมคายออกจากทรวงอกสะท้านไหวก่อนหยัดกายขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ สอดกายแกร่งเข้าใส่ร่างงามและเริ่มต้นขยับสะโพกเบาๆ ตอกย้ำความคุ้นเคยให้นางใต้ร่างอย่างรู้ใจ
เขาโยกเอวสอบเป็นจังหวะหนึบหนับเนิบนาบเข้าออกเชื่องช้าปรับสภาพร่างนุ่มใต้ร่างให้ค่อยๆ ตอบรับ
เขากระทำการกับนางผู้เป็นภรรยาได้อย่างเหนือชั้นมากนักเมื่อเทียบกับเมื่อยามค่ำคืนที่นางเป็นฝ่ายกระทำเขา
เมื่อคืนนางไม่ถนอมเขาเลยสักนิด นางเงอะงะแต่นางทำเขาหนักหน่วงยิ่ง แน่นอนว่าเขายอมขาดทุน นี่นับว่าเขาขาดทุนให้นางได้กำไร
ชายหนุ่มคิดแบบนั้นอย่างใจดีเหลือร้าย...
เขาปรับสะโพกกลมกลึงของนางให้เข้าที่เข้าทางและรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังเริ่มตอบกลับ
เขาจึงเริ่มขยับเปลี่ยนจังหวะเพื่อนางใต้ร่างจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนยามค่ำคืนที่ผ่านมา
นางไม่ต้องขยับสะโพกมากนักเมื่อเทียบกับเมื่อคืน เพราะว่าเขาจะขยับสะโพกใส่นางเองทุกจังหวะเลยทีเดียว
ฟงชินหยางยังคงตั้งมั่นแน่วแน่อย่างยุติธรรมเพิ่มกำไรให้นางผู้เป็นภรรยา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสามีที่ดีหาใช่สามีใจร้าย อยุติธรรมอย่างที่นางกล่าวหาไม่ เขายังคงก้มหน้าก้มตากดตรึงนางด้วยสะโพกงามๆ ทำจังหวะหนักแน่นเพิ่มระดับหนักหน่วงไต่ระดับเร็วแรงตามอารมณ์พาไป
การควบจังหวะไต่ระดับจากเชื่องช้าเนิบนาบค่อยๆ เพิ่มความหนึบหนึบหนักหน่วงอย่างนั้นทำเอาหลิงเวยถึงกับทำอันใดไม่ถูก นางควรต้องทำอย่างไร นางทำสิ่งใดไม่ได้ นอกจากขยับร่างตามเขาไปอย่างเห็นดีเห็นงาม เขากำลังบังคับนางด้วยใบหน้าก้มต่ำ ริมฝีปากอุ่นชื้น ฝ่ามือกรุ่นร้อนและที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือสะโพกของเขาที่มีบางอย่างร้อนผ่าวคล้ายแท่งไฟ
สิ่งนี้คืออันใด ไยทำนางร้อน นางจะมอดไหม้อยู่แล้ว
ครานี้สตรีใต้ร่างได้ลืมเลือนไปแล้วว่านางกำลังคอแห้งไร้น้ำหล่อเลี้ยง นางถึงกับหลับตาพริ้มร้องครางออกมาได้อย่างตรงใจใครบางคน
หลิงเวยถึงกับแอ่นอกยกกายรีบเอื้อมมือกดเล็บจับตรึงลาดไหล่บึกบึนของฟงชินหยางเอาไว้แน่นคล้ายเป็นหลักยึดเมื่อลำตัวของนางกำลังถูกร่างใหญ่ถาโถมโยกโยนเป็นจังหวะหนึบหนับสร้างความรู้สึกหนักหน่วงให้นางได้ทำความรู้จักยามมีสติ
นางเคยร่วมรักกับเขาแล้วแต่ไม่เคยรับรู้ว่าความรู้สึกมันเป็นเช่นไร เพราะว่านางไร้สติอยู่ทุกครั้งไป และเขาก็ทิ้งเอาไว้เพียงความเจ็บปวดแบบหน่วงๆ ช่วงกลางลำตัว
แต่ครั้งนี้ช่างแตกต่าง แสงสว่างช่างเจิดจ้า อีกทั้งนางมีสติที่ครบถ้วนทั้งยังรับรู้ได้ทั้งหมด เขาทำนางอย่างหนักหน่วง ทั้งยังเร่าร้อนรุนแรงยิ่ง
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกของนางใช่หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นางยังมิได้นับ
นี่ครั้งแรกของนางเขาควรเริ่มต้นจากจูบนางเบาๆ แล้วค่อยๆ ปลดสาบเสื้อของนางออกทีละชั้น มิใช่ขึ้นคร่อมนางแล้วจับตรึงนางในทันที
หลิงเวยคิดถึงหลักการได้อย่างนั้นนางจึงพยายามปฏิเสธเขา นางต้องการให้เขาเริ่มใหม่ทั้งหมด นางไม่ต้องการแบบนี้ เข้าใจคำว่าเริ่มใหม่หรือไม่ มิใช่ต่อเนื่อง...
หญิงสาวยังคงขัดเคืองในเรื่องสำคัญที่ควรนุ่มนวล นางรีบพลิกกายบิดตัวไปมาพลางขยับสะโพกขึ้นลงหมายให้หลุดรอดพ้นจากการถูกกดตรึง แต่ทว่าเขากลับขยับตามนางได้อย่างถูกจังหวะทั้งรุกทั้งรับจนนางตัวอ่อนโอนเอนในขณะที่ลำตัวของเขาแข็งเกร็งกล้ามเนื้อตึงแน่นพ่นลมหายใจร้อนๆ เข้าสู้กับนาง และทั้งๆ ที่นางไม่คิดจะสู้กับเขา นางแค่หายใจไม่ทันนางจึงพยายามดึงลมหายใจของเขามาเมื่อเขาก้มหน้าลงมาแล้วกดจูบนาง นั่นล่ะนางจึงดูดเขาเพื่อลมหายใจของนางฟงชินหยางก้มหน้ากดจูบดูดเม้มนางผู้เป็นภรรยา ในขณะที่นางพยายามดูดดันเขาด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของนางคล้ายผลักออกคล้ายดูดเข้า จนเราทั้งสองตวัดปลายลิ้นพันกันเขากดดันนางด้วยจังหวะหฤหรรษ์ตรงกลางลำตัวในขณะที่นางแอ่นหน้าอกหยุ่นนุ่มชี้ยอดชูชันเสียดสีกับแผงอกของเขาทั้งยังยกสะโพกกลมมนตามจังหวะของเขานางทำท่าทางคล้ายกับขยับหนีแต่นางกลับขยับเข้าหา นางขยับไปมาขึ้นลงให้เข้าได้ขยับเข้าออกหนักหน่วงเป็นจังหวะเสียวซ่านให้เราทั้งสองได้อย่างตรงใจเสียงครางแว่วหวานพร้อมวงแขนลำเล็กโอบรัดตามด้วยเล็บงามๆ กดตรึงจิกลงที่ลาดไหล่นำมาซึ่งความเร้าใจให้เขาได้มอบสัมผัสใกล้ฝั่งฝันใกล้สรวงสรรค์ให้นางอย่างเร่
หลังจากศึกบนเตียงนอนจบลงหลิงเวยก็หลับใหลไปอีกคราอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงในขณะที่ฟงชินหยางผู้ดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของนางพาเรือนร่างสูงใหญ่ที่มีรอยเล็บลากยาวทั้งแผงอกและแผ่นหลังลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างสบายอกสบายใจ ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวด้วยตนเองเหมือนดังเช่นปกติเพราะไม่นิยมให้มีบ่าวไพร่มาวุ่นวายปรนนิบัติ ในยามออกศึกเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายลำบากมากนักเขาจึงไม่นิยมทำตัวสบายจนเกินไปถึงแม้ว่าฐานะของเขาจะไม่ด้อยอันใดเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายในจวนย่อมรู้ดีและไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายหากว่าเขามิได้เรียกใช้ฟงชินหยางเลือกผ้าเนื้อหนาสีเข้มออกดำสวมใส่แล้วรวบผมยาวสยายของตนทั้งศีรษะมัดด้วยเส้นผ้าสีดำสนิทอย่างเรียบง่ายก่อนจะพาเรือนร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวทว่าสายตาคมกล้าพลันสบเข้ากับเสื้อผ้าของใครบางคนเสื้อผ้าของสตรีผู้เป็นภรรยาถูกพับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมีเครื่องประดับน้อยชิ้นวางเรียงรายแยกกันชัดเจน เขาจำได้ว่ายังมิได้เรียกใช้บ่าวไพร่ให้มาจัดการกับข้าวของเครื่องใช้ของนางให้เข้าตู้เข้าชั้น แต่นางกลับทำด้วยตนเองโดยมิได้เรียกร้องแต่ทำไมเสื้อผ้าของนางคล้ายกับถูกเก็บเอาไว้ดีจนเกินไ
ฟงชินหยางพาเรือนร่างกำยำของตนเดินนำหน้าหลิงเวยที่เดินนุ่มนิ่มเหลือเกินไปตามทางเดิน เขาเริ่มหงุดหงิดแต่ยังคงเดินอย่างใจเย็นในแบบที่ไม่เคยเป็น เขายังคงต้องออกมาทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนในครอบครัวเหมือนดังเช่นปกติตามกฎระเบียบของบ้าน ถึงแม้ว่าจะทำงานจนดึกดื่นหรือดื่มเหล้าจนเมามายกระทั่งตื่นสายปานใดยังคงต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไม่มีละเว้นแต่ทว่าการมีเมียแล้วทำกิจกรรมก่อนตื่นนอนมันทำให้เวลากินข้าวเช้าคลาดเคลื่อนไปมากนัก ป่านนี้ทุกคนคงหิ้วท้องรอแย่แล้วเป็นแน่ เมื่อชายหนุ่มคิดการได้อย่างนั้นจึงหันหลังขวับกลับไปหาหญิงสาวทางด้านหลังในทันที หลิงเวยถึงกับตกอกตกใจชะงักเท้านิ่งงันลำตัวแข็งเกร็งเมื่อฟงชินหยางจู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วหันหน้ามาหานางเสี้ยวเวลาอึดใจภาพรอบกายพลันหมุนกลับเรือนร่างพลันหมุนเคว้งใบหน้านุ่มนิ่มของนางชนเข้าช่วงไหล่ของเขา หน้าอกกลมกลึงของนางชนกับแผงอกหนั่นแน่นของเขาหญิงสาวยิ่งตกใจหนักมากขึ้นเมื่อถูกจับยกช้อนร่างขึ้นแนบอกแล้วพาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปตามทางเดินนี่เขาอุ้มนางทำไม!?เหล่าบ่าวไพร่ที่ใบหน้าแดงก่ำอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีกเมื่อมองเห็นคุณชายใหญ่ผู้ดุดันแส
หลังมื้ออาหารเช้าที่ได้ทานกันยามสายมากแล้วภายในศาลาริมสระบัวอันเป็นสถานที่ที่สามพี่น้องตระกูลฟงชื่นชอบยิ่งนัก พวกเขามักจะใช้เวลารวมตัวกันคุยกันตามประสาพี่น้องอยู่ตรงศาลาแห่งนี้เป็นประจำหลิงเวยนั่งอยู่ในกลุ่มสนทนาของพี่น้องตระกูลฟงและยังคงอยู่ในสายตาคมดำของชายร่างกำยำผู้เป็นสามีทุกย่างก้าว เขายังคงมองนางอย่างจับผิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่นางได้บรรเลงเพลงพิณ เขาก็สั่งห้ามนางไม่ให้ห่างกายของเขาไปทางใด แต่เมื่อเขาเจอกับสตรีนางหนึ่งเขาก็เดินผละไปทิ้งให้นางเดินกลับเรือนหอเพียงคนเดียว นางจึงเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวถูกเขี่ยทิ้ง แต่ทว่าเขากลับเอาเสื้อผ้าของนางไปทิ้งแล้วให้ผ้าใหม่แก่นางทั้งหมดที่บอกว่าทั้งหมดนั่นเพราะลี่หลินเป็นคนบอกแก่นางว่า อาภรณ์ทั้งหลายจากร้านขายผ้าเมื่อวานนั้นชินหยางไม่ให้ลี่หลินสักชุดเดียว เขาเอาชุดผ้าใหม่ทั้งหมดให้นาง และเอาชุดเก่าของนางที่พับเก็บเอาไว้เตรียมตีจากออกไปทิ้งทั้งหมดมิรู้ได้ว่าประชดนางหรือไร! ไยทำอย่างนั้น?“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง นายท่านให้มาตามไปที่ลานฝึกขอรับ” เสียงของพ่อบ้านจินดังมาจากทางด้านนอกของศาลาที่พี่น้องตระกูลฟงกำลังนั่งจ
เสียงการฟาดฟันกระทบกันของดาบหอกทวนกระบี่ดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างอย่างต่อเนื่องจากกลางลานฝึกอันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายลี้หลังจวนตระกูลฟงบุรุษผู้องอาจทั้งสามประจำจวนตระกูลฟงใช้เป็นที่ปะทะประลองฝีมือกันระหว่างพวกเขากับพวกองครักษ์และเหล่าทหารยามประจำจวนกระทั่งบรรดาบ่าวชาย เสียงหลากหลายมากมายเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำและยิ่งดังกระหึ่มอย่างบ้าระห่ำเมื่อครั้งนี้มีคุณชายใหญ่ฟงชินหยางได้เข้าร่วมฟาดฟันด้วยกันหลังจากที่เขาได้นำกองกำลังสามเหล่าทัพออกศึกต่อกรกับแม่ทัพใหญ่ต่างแคว้นและไล่ล่าปราบกบฏทรราชอยู่ตามชายแดนทั้งยังคอยกำราบชนเผ่าผู้รุกล้ำดินแดนเสียนานหลายปี บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มออกกระบวนท่าแค่เพียงท่าเดียวก็สามารถล้มเหล่าทหารที่รุมล้อมให้แตกพ่ายได้โดยง่ายทั้งๆ ที่ก่อนจะลงสนามฟาดฟัน เหล่าทหารพวกนั้นได้วางแผนวางกลยุทธ์การศึกกันอยู่เป็นนานแต่เหมือนกับว่าฟงชินหยางจะสามารถคาดการและล่วงรู้ได้ทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขามิได้อยู่ร่วมฝึกมาถึงสามปี ร่างกายกำยำสูงใหญ่ของฟงชินหยางมิได้มีผลอันใดต่อความรวดเร็วว่องไวที่มีเหนือชั้นของเหล่าบรรดาทหารประจำจวนเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะความเร็วและแม่น
ยามค่ำคืนภายใต้แสงสีนวลของดวงจันทราแหวกว่ายอากาศลงมาจนสาดส่องยังภายในเรือนนอนอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มิเคยมีเครื่องเรือนงดงามหรือเครื่องประดับประดาอันใดมากมายภายในห้องนอนของเรือนฟงหู่มีเครื่องเรือนเพียงตู้โต๊ะตั่งเตียงและฉากกั้นที่ทุกสิ่งอย่างล้วนไร้สีสันทั้งยังมืดทะมึนดำด้านไร้สิ่งอื่นใดที่งดงามจับตากระทั่งแจกันดอกไม้ยังไม่มีฟงชินหยางกำลังยืนมองที่ตรงกำแพงห้องโล่งกว้างสีทึบที่ไร้ซึ่งภาพใดๆ ก่อนหน้าที่บัดนี้กลับมีภาพวาดภาพหนึ่งที่เขาสั่งบ่าวไพร่ให้หาแผ่นไม้มาจับขึงตรึงแน่นแล้วแขวนเอาไว้เป็นอย่างดีภายในห้องนอนแห่งนี้ของเขาเขายังคงยืนจ้องมองภาพนั้นด้วยสายตาคมปลาบแต่ประกายวาบชื่นชมภาพวาดติดผนังตรงหน้าของฟงชินหยางนั้นเป็นภาพวาดของบุรุษรูปร่างกำยำในอาภรณ์สีเข้มดำ บุรุษในภาพใบหน้าดุดันดวงตาเหี้ยมเกรียมกำลังวาดเพลงดาบฟาดฟันกับเหล่าทหารอย่างโหดเหี้ยมจนทหารเหล่านั้นล้มลงระเนระนาดท่าทางน่าเกลียดจนเต็มพื้นดินภาพวาดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงมากนัก แต่นั่นล่ะ! เขายิ่งชอบ...มิรู้ได้ว่าคนวาดใส่ความรู้สึกอันใดลงไป ไยสมจริงยิ่ง!เมื่อนึกถึงคนวาดภาพขึ้นมาชายหนุ
หลิงเวยยังคงมีกิริยาตามแบบฉบับโดยธรรมชาติของตนที่ตรงกันข้ามกับใครบางคนทุกประการ นางเอียงตัวไปเล็กน้อยเพื่อหยิบเอากล่องบางอย่างออกมาวางเอาไว้ด้านหน้าตรงโต๊ะแล้วขยับเข้าใกล้คนตัวโตตรงหน้าอีกนิดแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม“ข้าขอดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่” นางขออนุญาตคนตรงหน้าอย่างเกรงอกเกรงใจแต่ว่านางเห็นเขาได้รับบาดแผลจากการฝึกในลานวันนี้ไม่น้อยเลยเสียงแผ่วใสแว่วหวานของหลิงเวยทำฟงชินหยางถึงกับหลุดออกจากภวังค์แห่งความนุ่มนวล เขาจึงเอ่ย “ย่อมได้” เส้นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษปานหินผาเอ่ยออกมาพลางนั่งนิ่งๆ จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบซ่อนแววบางอย่างยามที่นางกำลังเอื้อมมือน้อยๆ มาถอดเสื้อให้เขาเขาย่อมใจดีให้นางในเรื่องนี้ หากนางอยากอ่านหนังสือบนตัวของเขาอีกยิ่งดีไปใหญ่ เขาจะนอนลงให้นางเดี๋ยวนี้เลยทีเดียวหลิงเวยค่อยๆ เอื้อมมือนุ่มนิ่มบรรจงปลดสายคาดเอวของคนตรงหน้าออกอย่างนุ่มนวลเพื่อเปิดสาบเสื้อออกจากร่างกำยำของเขาเพื่อให้ได้มองเห็นบาดแผลของเขาที่เกิดขึ้นในวันนี้ในขณะที่ฟงชินหยางยังคงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน ใบหน้าหวานๆ ฝ่ามือนุ่มๆ ของนางที่กำลังขยับเนิบนาบเฉียดไปเฉียดมาอย่างนั้นทำเขาเริ่มปวดเกร็งอ
เช้าวันต่อมานับได้ว่าเป็นวันที่เจ็ดแล้วสำหรับคู่สามีภรรยาที่ได้เสียแต่งงานกันอย่างไม่คาดฝันและวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องพากันเดินทางกลับไปบ้านของฝ่ายภรรยาตามธรรมเนียมที่มี เมื่อคำนวณดูแล้วการเดินทางจนกระทั่งถึงจวนตระกูลหลิงย่อมเข้าวันที่สิบสองพอดิบพอดี...บนถนนทอดยาวมีบ่าวไพร่และทหารติดตามเต็มขบวน มีรถม้าที่แสนจะกว้างขวางสะดวกสบายคันหนึ่งซึ่งใช้ในการเดินทางจากเมืองหน้าด่านเข้าสู่เมืองหลวงเป้าหมายคือจวนตระกูลหลิงภายในรถม้ามีตู้มีชั้นหนังสือและลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของ ภายในชั้นเก็บของเต็มไปด้วยผลไม้ น้ำชา กระโถน แม้กระทั่งคั่งที่ดัดแปลงเอาไว้ใต้ท้องรถม้าแล้วปูทับด้วยฟูกผืนหนา เรียกได้ว่าครบครันมากนักหลิงเวยนั่งมาในรถม้าคันนี้ด้วยร่างกายเหนื่อยอ่อนระทดระทวยเหลือประมาณ เนื่องจากผ่านการถูกเคี่ยวกรำจากใครบางคนเกือบทั้งคืน เมื่อนางตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาที่นอนตะแคงข้างมองนางอยู่ก่อนหน้าเมื่อนางมองตอบสบสายตาคมกล้าของเขาแค่เท่านั้น เขาถึงกับพลิกกายกำยำทำนางต่อในยามเช้าก่อนตื่นนอน เขาทรมานนางจนนางหมดแรงหลับใหลไปอีกครา กระทั่งว่าอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่มีการวางมือมิรู้ได้ว่าเขาเคืองโกรธอันใดน
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ