จากตัวกาลกิณี สู่การเป็นจักรพรรดินี หนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่าเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่คอยทิ่มแทง 'ข้าเคยเป็นเบี้ยหมากในเกมกระดานชิงบัลลังก์ ทว่าวันนี้เบี้ยหมากที่ถูกใช้กลับกลายเป็นจักรพรรดินี กองซากศพและเลือดที่อาบย้อมทุกหย่อมหญ้า ล้วนเป็นข้าที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สมกับตำแหน่งกาลกิณีที่พวกเจ้ายัดเยียดให้ข้ายิ่งนัก'
View More“เสด็จพี่ เรามาพนันกันดีหรือไม่” บุรุษหนุ่มร่างสูงบนอาชาสีขาวปลอดหันไปพูดกับพระเชษฐาที่ควบขี่อาชาสีดำเดินเคียงข้าง หากแต่แทนที่จะจับจ้องใบหน้าของคู่สนทนา ดวงตาสีรัตติกาลมองลงต่ำยังจุดประสานของสองกาย
สตรีเพียงหนึ่งเดียวเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเจ้าของมันกำลังกลั้นเสียงน่าอายไว้อย่างสุดกำลัง ใบหน้างามซบลงกับ ซอกคออุ่นหลีกหนีความกระดากอาย เมื่อต้องร่วมรักกับ พระสวามีกลางป่าเขา ซ้ำยังเป็นบนหลังอาชาศึก แลมีสายตา อีกคู่มองมาไม่ลดละ
“ว่ามาสิ” น้ำเสียงไม่ยี่หระค่อนไปทางราบเรียบตอบกลับ ดวงตาเย็นชาสบกับพระอนุชาที่เงยขึ้นมามองเพียงชั่วครู่อย่างรู้ทัน
“ผู้ใดขี่ม้าไปถึงลำธารก่อนเป็นผู้ชนะ ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ขณะพูดสายตายังคงจับจ้องกลีบผกาที่ถูกลำกายใหญ่โตบุกทะลวง ราวกับอีกคนจะรับรู้ ยกสะโพกกลมกลึงขึ้นสูงก่อนกดกระแทกลงอย่างแรงตามจังหวะการควบขี่ม้า ซึ่งถูกกระทุ้งให้ออกตัววิ่ง
เป็นการตอบรับคำท้า!!
“อ๊ะ…อ๊ะ…อึก…อ๊ะ” ลำลึงค์ผลุบเข้าออกกลีบบุปผารัวเร็ว นางไม่อาจกลั้นเสียงครางได้อีกต่อไป กายเล็กผวาวาบยามบังเหียนม้าถูกกระตุก สองแขนโอบรอบคออย่างแนบแน่น บดเบียดเต้าอวบเข้าหาอกแกร่งด้วยกลัวว่าจะตกลงไป สองกายเสียดสีตามแรงขยับขึ้นลงผ่านเนื้อผ้าบางเบาที่กั้นขวาง
แต่กลับเหมือนมิมีสิ่งใดขวางกั้น
เสียงครางต่ำในลำคอแว่วเข้าหู ทำให้รู้ว่ามิได้มีเพียงนางที่เสียดเสียวแทบทานทนไม่ไหว เขาเองก็กระสันซ่านจนควบคุมสีหน้านิ่งเรียบได้ยากเช่นกัน
อาชาศึกฮึกเหิมไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วพลางหลบหลีกกิ่งไม้ใบไม้ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเป็นครั้งคราวให้ร่างบางร้องเสียงหลง ยามลำลึงค์สอดลึกสุดความยาว หน้าท้องแบนราบแขม่วเกร็งเมื่อส่วนอ่อนไหวถูก เสียดสีหนัก พานรัดสิ่งที่แทรกอยู่ภายในแน่นยิ่งขึ้น
ยิ่งตอกอัดยิ่งขมิบแน่น
ยิ่งแทรกลึกยิ่งงอตัวด้วยความรู้สึกมากล้น
ใบหน้างดงามส่ายไปมากับลำคอหนา ปากอ้าค้างจนน้ำสีใสไหลยืดออกมา แม้อยากหุบลงมากเพียงใดทำได้เพียงอ้าไว้ระบายความเจ็บจุก และความเสียดเสียวที่แทรกลึกทุกอณูในร่าง
‘แทบขาดใจตายคาอกแกร่ง’ คำนี้คงนิยามความรู้สึกของนางในตอนนี้ได้กระมัง
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย จากเคยวิ่งนำถูกอาชาสีขาวที่ตามติดไม่ห่างตีเสมอ ก่อนนำหน้าไปมิลืมหันมาสบตากับบุรุษซึ่งกำลังสุขสมอย่างสื่อความหมาย
ร่างหนาปลดปล่อยธารอุ่นร้อนเข้ากลีบผกาที่อ้าออกตามขนาดลำลึงค์ รองรับน้ำคาวขุ่นไว้จนหมดทุกหยาดหยดเมื่อกายแกร่งยังไม่ถอดถอน คล้ายอยากถูกความอ่อนนุ่มตอดกระตุกนานเท่าที่จะนานได้
“ท่านแพ้แล้ว” เมื่อมาถึงจุดหมายพบว่าอีกคนรออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาวาววับยังคงจับจ้องสตรีท่าทางอ่อนแรงที่ซบอก พระเชษฐา ท่านั่งทับบนหน้าตักหันหน้าเข้าหากันขณะควบอาชาช่างเป็นภาพที่งดงามและหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน
ลำคอแห้งผากจนต้องแลบลิ้นออกมาไล้เลียริมฝีปากอย่างกระหายหิว
“อยากได้สิ่งใดก็ว่ามา” องค์ชายสาม ‘หลิวหานเฟิง’ พูดกับพระอนุชาของตน ก่อนคำตอบที่คาดเดาไว้อยู่แล้วจะทำให้มุมปากได้รูปกระตุกยิ้ม ดวงตาเย็นชามีกระแสบางอย่างวาบผ่าน ต่างจากสตรีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเกร็งขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ทำให้ ลำลึงค์ที่ยังคงมุดอยู่ในร่างถูกบีบรัดจนตื่นตัว กลับมาตั้งผงาดดังเดิม
“พระสนมของท่านอย่างไรเล่า” น้ำเสียงแหบพร่าเจือกระเส่ายามเอ่ยสิ่งที่ปรารถนา แทบจะทานทนมิไหวเมื่อภาพเสพสังวาสของคนทั้งคู่ปลุกอารมณ์กำหนัดแห่งบุรุษ ไม่ต่างอะไรจากการราดน้ำมันบนกองเพลิงให้ลุกโหม
“อ่า…ยังมิพออีกหรือ เช่นนั้นให้น้องชายข้าทำแทนเป็นอย่างไร” นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม และยิ่งมิต้องการคำตอบ หลิวหานเฟิงยกร่างบางขึ้นจากตัก กลีบดอกซึ่งโอบอุ้มลำลึงค์ไว้ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกเชื่องช้า คล้ายว่าอีกคนจงใจทำเพื่อให้นางจดจำสัมผัสนี้ไว้
ความรู้สึกที่แท่งอุ่นร้อนเคลื่อนออกจากกลีบผกาแสนคุ้นเคย
หลิวหานเฟิงสบตากับ ‘หลิวหานตง’ ผู้เป็นพระอนุชา เขาแหวกชุดออก เผยให้เห็นลำลึงค์ที่ตั้งตรงราวกับกำลังชูคอออกมาสูดอากาศภายนอก ขนาดของสิ่งนั้นไม่น้อยไปกว่า พระเชษฐาเลย
หลิวหานตงรับสตรีร่างบางมาจากอีกคนที่ส่งให้อย่างทะนุถนอม ราวกับหวงแหนหนักหนา
ทั้งที่ความจริงมิใช่เลย เขาทำราวกับว่านางเป็นสิ่งของที่จะยกให้ใครเล่นสนุกได้ตามอำเภอใจ
นางกลั้นน้ำตาไว้ แม้ภายในแหลกสลายจนนับครั้ง ไม่ถ้วน แต่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ถูกกระทำราวกับเป็นสตรีในหอนางโลม หัวใจที่คิดว่าควรจะด้านชากลับเจ็บปวดทุกครั้ง
‘อึก’ ร่างบอบบางถูกจับให้นั่งหันหลังอิงแอบอกแกร่ง เพียงชั่วครู่มือหนากดแผ่นหลังเอนราบลงไปกับแผงคอม้าสีขาวปลอด รั้งเอวบางให้แอ่นบั้นท้ายขาวนวลขึ้นเพื่อสอดแทรกบางสิ่งเข้าไปภายใน
บางสิ่งที่คุ้นเคยหากแต่แสนรังเกียจ เมื่อมันไม่ใช่ของ พระสวามีหากแต่เป็นบุรุษอื่น
“ดีเหลือเกิน” เสียงทุ้มต่ำเจือกระแสพอใจเอ่ยบอก พระเชษฐาที่ยังคงหยุดอาชานิ่งอยู่ด้านข้าง ดวงตาสีเข้มลึกล้ำยากจะคาดเดาอารมณ์ ทอดมองจุดเชื่อมต่อของสองกาย
ใบหน้างดงามเบนหนีไปอีกทาง เจ็บปวดเกินกว่าจะมองหน้าพระสวามี กอดแผงคอม้าสีขาวไว้ราวกับเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ขณะกำลังถูกลำลึงค์ทะลวงเข้าออกรัวเร็วตั้งแต่แรกเริ่ม ราวกับผู้กระทำอดอยากปากแห้งมานาน
ทั้งที่เขาก็แวะเวียนมาร่วมรักกับนางอยู่บ่อยครั้ง
“1” ขณะที่ร่างโยกคลอนอย่างรุนแรง หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งใด นอกจากความรู้สึกที่ทำให้วูบวาบไปทั่วท้องน้อย คล้ายว่าจะได้ยินเสียงหลิวหานเฟิงพูดบางสิ่ง
“2” เสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นอีกระดับเมื่อเริ่มนับถึงสอง มือกำบังเหียนม้าแน่นอย่างเตรียมพร้อม หลิวหานตงหันไปสบตากับพระเชษฐา
“3…ไป” ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นคลอนสอดรับท่อนเนื้อร้อน ดวงตาหงส์หลับลงอย่างยอมรับในชะตากรรม
เป็นของเล่นสองพี่น้องผู้สูงศักดิ์จนสลบไปยามใดมิอาจรับรู้
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีโรมรันพันตู เงาโยกขยับไหวทาบลงบนผ้าม่านโดยมีแสงจากเชิงเทียนเป็นแหล่งกำเนิด เสียงครวญครางรัญจวนผสานไปกับเสียงเสียดสีของขาเตียงที่กระทบพื้น ก่อเกิดเป็นบทเพลงสวาทคละคลุ้งไปกับกลิ่นหอมของกำยาน เนิ่นนานกว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบหนักของผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นความหฤหรรษ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงโปร่งมีมัดกล้ามพองามวาดแขนโอบประคองสตรีของจักรพรรดิไว้ในอ้อมแขนอย่างมิเกรงกลัวอาญา เขาก้มลงจุมพิตหน้าผากนางก่อนจะบอกเรื่องสำคัญ “เรื่องอะไรงั้นหรือ” ‘เจียวเหม่ย’ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นางแอบมีสัมพันธ์ลับหลังพระสวามี หลายปีมานี้นางมีความสุขได้ก็เพราะเขา นางอดทนมาโดยตลอดเพื่อบุตรชายเพียงคนเดียวท้ายที่สุดจักรพรรดิกลับแต่งตั้งองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท ทั้งที่เขาเคยรับปากว่าจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหลิวจิ้นอันซึ่งเป็นบุตรชายคนโต “องค์จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พรุ่งนี้องค์รัชทายาทจะประกาศเรื่องนี้แก่สาธารณชน และในอีกสิบวันให้หลังจะเป็นวันราชาภิเษกพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าควรจะทำเช
แก้วชาในมือตกกระแทกพื้นแตกละเอียด ร่างอรชรในชุดสูงศักดิ์ซวนเซนั่งลงบนตั่งเตียง ทันทีที่นางทราบข่าวว่ามี ราชโองการแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท ซ้ำเพลานี้ยังได้เป็นผู้ว่าราชการแทนองค์จักรพรรดิที่ประชวรกะทันหัน “ประชวรอย่างนั้นหรือ หึ!! ประชวรหรือทรงพระเกษมสำราญอยู่กันแน่” พระนางแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาหงส์รื้นน้ำแดงก่ำด้วยความคับแค้นในอก เล็บยาวจิกลงกลางฝ่ามืออย่างอดกลั้น ริมฝีปากแต้มสีชาดสั่นระริกไปด้วยแรงอารมณ์ “สิ่งที่ข้าพยายามมากำลังจะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ” นางอดทนมากเพียงไรมีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้ อดทนยามลึงค์มังกรแทรกเข้ามาในร่าง ตอนนั้นนางแทบขาดใจตายเสียตรงนั้น แม้มันจะเข้ามาไม่สุดเนื่องด้วยร่างกายของนางมีข้อจำกัด ทว่าก็ไม่มีสตรีนางใดกลืนกินท่อนลึงค์ใหญ่ยาวนั้นได้มากเท่านาง เช่นนี้นางจึงเป็นที่โปรดปราน รั้งตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยโดยมิมีผู้ใดขึ้นมาแทนที่ได้ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่มอบความสุขให้ องค์จักรพรรดิได้มากกว่าผู้ใด เป็นสิ่งเดียวที่นางเหนือกว่าฮองเฮา เหตุใดวันนี้จึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า “เป็นผู้ใดกัน ที่ทำให้
ขุนนางคนแล้วคนเล่าก้าวออกมากล่าวรายงานตามหน้าที่ ขณะที่นางเองก็กำลังถูกท่อนลำมังกรแข็งขืนแลร้อนผ่าวขยับเข้าออกในร่าง ตั้งแต่ได้สบตากับพวกเขา นางก็ไม่มีหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้ใดได้อีก อิงอี้หรานไม่อาจทนไหวอีกต่อไป นางทรุดลงกับพื้นขณะที่ร่างสูงใหญ่เองก็ตามประกบไม่ห่าง ลำลึงค์ถูกถอนออกไปจนเกือบหลุดออกจากกลีบแดงช้ำ ก่อนจะถูกกระทุ้งเข้ามาเต็มแรง ร่างบางผวาเฮือกจิกเล็บลงกับพื้น นางอยู่ในท่านั่งกึ่งคุกเข่าเมื่ออ้อมแขนแกร่งช่วยพยุงอีกแรง เสียดสูดหายใจดังมาจากด้านล่างเมื่อเหล่าขุนนางต่างก็ลุ้นระทึกว่านางจะรองรับตัวตนของมังกรไหวหรือไม่ “อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า” ร่างที่รองรับความแข็งแกร่งกระตุกเกร็งรับน้ำเชื้อระลอกใหม่เข้ามา จักรพรรดิกอดเอวบางไว้แนบแน่นขณะปลดปล่อยเชื้อพันธุ์มังกรเข้าสู่ท้องของอิงอี้หราน หน้าท้องที่รองรับน้ำคาวนูนออกมาเมื่อมันถูกกักเก็บของเหลวไว้จนเต็ม “อ๊า…ซี้ด” เสียงครางสุขสมดังสะท้อนในท้องพระโรงอันเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้ใดกล้าหายใจแรง เสียงหายใจหอบกระเส่าจากกิจกรรมเข้าจังหวะจึงดังหนักหน่วง อิงอี้หรานถูกจับขึ้นมานั่งบน
“องค์ชายสามหลิวหานเฟิง เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาแลมากความสามารถด้านการรบ…ซี๊ด…อ๊า” ปลายพู่กันตวัดลงบนกระดาษสีขาว ตัวอักษรหนักแน่นมั่นคงทว่าหากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าบางช่วงกระหวัดเล็กน้อย จักรพรรดินั่งอยู่บนโต๊ะในห้องทรงงาน บนตักมีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น นางทำหน้าที่ฝนหมึก ทว่าร่างกายช่วงบนงองุ้ม ใช้ศอกทั้งสองข้างในการทรงตัวแลทำหน้าที่ได้มิขาดตกบกพร่อง “อึก…อ๊ะ…อ๊า” อิงอี้หรานครางเสียงเครือ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก กึ่งกลางกลีบบุปผาร้อนผ่าวเมื่อถูกเสียดสีเป็นเวลานาน รูเล็กแคบอ้าขยายกลืนกินท่อนลำมังกรตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจวบจนถึงกลางดึก “เปี่ยมคุณธรรมและมีความเป็นผู้นำ…อ๊า…เจ้าอยากให้ข้าเขียนว่าอะไรอีก” “หม่อมฉันมิบังอาจ…อ๊ะ…อ่ะ…แล้ว…อึก…แล้วแต่พระองค์เพคะ” อิงอี้หรานไม่อาจพูดได้เป็นประโยคนัก เมื่อนางกำลังถูกลำกายใหญ่ยาวสวนเข้าออกในร่าง ลำพังเพียงครองสติให้มั่นก็กินพลังชีวิตไปมากโข “อืม…ข้าว่าเขียนใหม่ดีกว่า…ชงหยวน…นำกระดาษม้วนใหม่มาให้ข้า” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ราชโองการม้วนแล้วม้วนเล่าถูกเปลี่ยนเมื่อจักรพรรดิยังคงไ
วันนี้อิงอี้หรานถูกจักรพรรดิเรียกพบในสวนของราชวัง รอบด้านไร้ซึ่งผู้คน กระทั่งขันทีคนสนิทยังไม่ได้ตามติดเป็นเงาเฉกเช่นทุกครั้ง จักรพรรดิไม่รอช้าขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่ถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอันร่มรื่น ชุดปักลายมังกรอันสูงศักดิ์ถูกแหวกออกเผยให้เห็นท่อนลึงค์ใหญ่ยาวตั้งฉากกับม้านั่ง อิงอี้หรานใบหน้าซีดเผือด จำความรู้สึกตอนที่มันเข้ามาในร่างจนสุดความยาวได้เป็นอย่างดี นางขยาดทว่าก็มิอาจขัดขืน จำใจก้าวเท้าเข้าหาให้วงแขนแข็งแรงยกร่างขึ้นนั่งบนตักในท่าหันหน้าเข้าหา รูเล็กกลางกลีบบุปผาถูกส่วนปลายของลำลึงค์จ่อ ก่อนที่สะโพกจะถูกกดลงมาทีละน้อยค่อยกลืนกินความยาวนั้นเข้าไป “ฝ่าบาท” อิงอี้หรานใช้แขนโอบรอบลำคอหนา ขณะที่จักรพรรดิปล่อยมือออกจากเอวบาง เลื่อนไปจับสายชิงช้าและทะยานขึ้นจากพื้นด้วยแรงส่งของเท้า “อ๊ะ…อะ…อ๊า” ใบหน้างดงามเชิดขึ้น ริมฝีปากอ้าครางเสียงหลง เมื่อจักรพรรดิมีคำสั่งให้นางนำมือออกจากคอเขาไปจับไว้ที่เชือกชิงช้า ยกขาขึ้นมาวางบนหน้าขาแกร่งในท่านั่งทับส้นแล้วกางออกเพื่อให้นางขย่มร่างเขาได้สะดวก สายลมปะทะใบหน
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…อึก…หม่อมฉัน” อิงอี้หรานใช้มือดันหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไว้ แม้อายุเลยเข้าเลขสี่ ทว่าวรกายขององค์เหนือหัวกลับยังคงแข็งแรงองอาจมิต่างจากบุตรชายเลย “อ่า…เจ้ายังทนไหวอิงอี้หราน ข้าจะเข้าไปจนสุด” สุรเสียงแหบพร่ากระซิบตอบ องค์เหนือหัวจับมือเล็กรวบขึ้นไว้เหนือศีรษะของนางด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ขณะที่ลำกายใหญ่ยาวเคลื่อนเข้าไปในกลีบบุปผาทีละนิด หน้าท้องแบนราบนูนขึ้นตามรูปร่างสิ่งที่กำลังสอดเข้ามาภายใน มันดุนขึ้นมาถึงท้องน้อย ลากยาวขึ้นไปจรดสะดือ “อื้อ…อึก…ฝ่าบาท ได้โปรด” อิงอี้หรานอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง นางรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์ รู้ดีว่าร่างกายของตนพิเศษกับเรื่องคาวโลกีย์มากเพียงไร กระนั้นก็ยังคงกลัวเมื่อเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ “บุตรชายของข้าบอกว่าเจ้ารับไหว เช่นนั้นจงรับเข้าไปให้หมดเสีย” ราวกับคำประกาศิต อิงอี้หรานไม่อาจขัดขืน นางนอนรอรับความเจ็บระคนจุกแน่นอย่างจำยอม มันทรมานราวกับตายทั้งเป็น ทว่าในเวลาต่อมาก็สุขสมระคนซ่านเสียวอย่างมิอาจควบคุม เมื่อลำลึงค์ของมังกรเข้ามาจ
Comments