“อึก” หลังจากที่พวกเขาเดินมาได้สักระยะ อิงอี้หรานเห็นว่าใต้เท้าหมิงเองดูท่าจะไม่ไหวจึงพาเขานั่งพัก พยุงร่างสูงให้นั่งพิงต้นไม้ริมลำธาร แผ่นอกหนากระเพื่อมหอบหนักถี่กระชั้น ร่างกายคล้ายจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะจุดกลางกายที่โป่งพองจวนปริแตก
“ท่านอดทนอีกนิด ข้าจะช่วยทำแผลให้” อิงอี้หรานนำผ้าเช็ดหน้าที่พกติดกายตลอดชุบน้ำในลำธาร ก่อนที่จะนำมาเช็ดรอบบาดแผล มือเรียวสั่นเทาด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรดีในสถานการณ์เช่นนี้
“พระสนม ท่านเดินตามลำธารไปเรื่อยๆ จะพบกับหน่วยลาดตระเวน กระหม่อม…อึก” ใบหน้าหล่อเหลาเบือนหนีดวงหน้างดงามที่อยู่ใกล้เพียงช่วงหนึ่งลมหายใจ ยิ่งนางอยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นพิษในกายให้ออกฤทธิ์มากเท่านั้น
“ใต้เท้าหมิง ข้าจะทิ้งท่านได้อย่างไร เพราะช่วยข้า ท่านถึงต้องเป็นเช่นนี้” อิงอี้หรานยังคงดื้อดึง มือนุ่มช่วยเช็ดเหงื่อที่ไหลลงตามกรอบหน้าอย่างแผ่วเบา ดวงตาหงส์เงยขึ้นมาสบตาอีกคน เพื่อยืนยันว่านางไม่มีวันทิ้งเขา วินาทีนั้นเองที่ความอดทนของผู้ขึ้นชื่อว่ารูปสลักน้ำแข็งพังทลาย ดวงใจกร้าวแกร่งกระตุกไปหนึ่งจังหวะ ฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาดลงในไม่ช้า
“หากท่าน…อึก…ไม่ไปจากกระหม่อมตอนนี้ล่ะก็ กระหม่อมเกรงว่าจะทำเรื่องให้พระองค์ต้องเสื่อมเสีย”
“ข้าไม่สนใจ ตอนนี้เพียงต้องการช่วยท่านเท่านั้น” มือเรียวสัมผัสกับใบหน้าคมคร้ามพลางลูบไล้อย่างปลอบประโลม หมิงเจ๋อกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมาเพื่อให้ความเจ็บปวดช่วยประคองสติ เห็นดังนั้นอิงอี้หรานจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แนบริมฝีปากเข้าด้วยกันเพื่อให้เขาหยุดทำร้ายตัวเอง อกอวบเบียดแนบชิดจนไร้ช่องว่างระหว่างชายหญิง เสียงดูดดึงแลกลิ้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในป่าลึก
ความร้อนรุ่มที่ปะทุอยู่ในกายครอบงำสติผิดชอบชั่วดีจนสิ้น ริมฝีปากอุ่นเคลื่อนเข้าไปซุกไซร้ซอกคอ กลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้ราวกับยาเสพติดที่อยากสูดดมมิรู้เบื่อ ไม่รู้เมื่อใดที่มือหยาบกร้านดึงชุดคลุมตัวนอกให้หลุดออกจากไหล่บาง เลื่อนลงมาบีบเคล้นอกอวบอย่างเผลอไผล
“อ๊ะ…หมิงเจ๋อ” อิงอี้หรานกดศีรษะของผู้ที่กำลังดูดยอดปทุมถันของนางราวกับทารกดื่มน้ำนมมารดาให้แนบชิดอก ความกระสันซ่านแล่นริ้วจากช่วงบนลงสู่ปลายเท้า แอ่นหน้าอกรับกับใบหน้าหล่อเหลาที่กระหายหิว
ชั่วอึดใจต่อมาร่างขาวนวลไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดกาย กลีบบุปผาฉ่ำน้ำถูกลิ้นร้อนปาดเลียจนเกิดเสียงน่าอาย ดวงหน้างามพิลาสแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ มิต่างจากบุรุษผู้ซึ่งกำลังหลงมัวเมาไปกับร่างกายงดงามนี้
หมิงเจ๋อถอนลิ้นออกมาจากกลีบบุปผางามแทนที่ด้วยนิ้วเรียวยาว ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหว กดลำลึงค์เข้าไปในรูเล็กแคบเมื่ออารมณ์กำหนัดทะยานขึ้นสูง
“อ๊ะ…หมิงเจ๋อ” อิงอี้หรานเกร็งหน้าท้องรับสัมผัสแข็งแกร่งที่ถูกเติมเต็มเข้ามาในร่าง มันทั้งร้อนผ่าวและกร้าวแกร่งมิต่างจากผู้เป็นเจ้าของเลย จังหวะทะยานจ้วงก็องอาจดุดัน
“พระสนม ท่านช่างคับแคบเหลือเกิน” ใต้เท้าหนุ่มกัดกรามกรอด ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเมื่อถูกโพรงนุ่มรัดกลางกายจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ รสสวาทที่เพิ่งได้สัมผัสเป็นครั้งแรกทำเอาเขาแทบคลั่ง โจนจ้วงเข้าไปในร่างบอบบางอย่างลืมถนอม
สองร่างกอดกระหวัดกันริมลำธาร สายลมเอื่อยเฉื่อยไม่ทำให้กายชายเย็นลงแม้แต่น้อย ร่างกายที่เคยอ่อนแรงกลับมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นราวกับว่านางคือยาถอนพิษ กลืนกินมิให้เหลือเพื่อไปถึงจุดแตกดับ
เนิ่นนานกว่าที่ทุกอย่างจะสงบลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษที่ได้รับหรือเพราะร่างกายอันเย้ายวนแลใบหน้างามล่มเมืองกันแน่ที่ทำให้หมิงเจ๋อขาดสติได้ถึงเพียงนี้
อิงอี้หรานซบใบหน้าลงบนอกแกร่งที่พราวไปด้วยหยาดเหงื่อเจือกลิ่นอายแห่งบุรุษ ชุดคลุมสีดำถูกนำมาคลุมร่างเปลือยเปล่าของพระสนม ดวงตาคมก้มมองคนในอ้อมอกอย่างอ่อนหวาน น้ำเสียงที่เคยเข้มงวดเด็ดขาดอ่อนลงหลายส่วน มือเรียวขาวถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอย่างนุ่มนวล
“แม้กระหม่อมจะรับผิดชอบกับการกระทำนี้ไม่ได้ แต่กระหม่อมให้สัตย์สาบาน ว่าชาตินี้จะมีท่านเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียว”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านมีสัญญาหมั้นหมายกับพี่เยว่ชิง” อิงอี้หรานช้อนดวงตาขึ้นมองคนที่โอบกอดนางไว้ นัยน์ตากวางเศร้าโศกยิ่งนัก นางได้ทำเรื่องที่ผิดต่อพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นเสียแล้ว
“เมื่อกลับไปกระหม่อมจะขอถอนหมั้นพ่ะย่ะค่ะ” หมิงเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับกำลังรายงานเรื่องสำคัญแด่องค์จักรพรรดิ ดวงตาคมมั่นคงดุจขุนเขาที่ไม่ว่าอะไรก็มิอาจสั่นคลอนได้
“เช่นนี้ท่านจะไม่มีปัญหาหรือ” ทั้งปัญหากับคนในตระกูลหมิง ไหนจะคนของตระกูลอิงอีก อิงอี้หรานแสดงสีหน้าเป็นกังวล ซึ่งอีกคนก็พอจะเดาได้ว่านางหมายถึงสิ่งใด
“เรื่องนั้นกระหม่อมคิดไว้แล้ว ปิดคดีนี้ได้ กระหม่อมจะทูลขอรางวัลจากฝ่าบาท เป็นราชโองการถอนหมั้นระหว่างสองตระกูล”
“ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ ในเมื่อข้าเองก็ไม่ได้ดีพร้อมสำหรับท่าน” อิงอี้หรานก้มหน้าลงด้วยไม่กล้าสบตา นางทำลายความบริสุทธิ์ของเขา ทั้งที่นางเองก็ไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ ยังจะมีหน้าอันใดไปเรียกร้องอีก
“อย่ากล่าวเช่นนั้นอีกเลย สำหรับกระหม่อมท่านคือภรรยา แม้ไม่อาจครอบครองได้ แต่ให้กระหม่อมได้ปกป้องท่านเป็นกระหม่อมเองต่างหากที่ไม่คู่ควร” ใช่แล้ว เขาไร้ความสามารถจึงไม่อาจครอบครองนางได้อย่างเปิดเผย ทำได้เพียงหลบซ่อนความสัมพันธ์ต้องห้ามนี้ไว้มิให้ผู้ใดล่วงรู้
เป็นความผิดครั้งแรกในชีวิตที่เขากระทำ ทว่ามันก็เป็นความผิดที่เขายินดีทำ
“หมิงเจ๋อ ขอบใจท่านมาก” น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง รินไหลจากดวงตาแดงเรื่อ เขาเป็นสุภาพบุรุษขัดจากภาพลักษณ์เย็นชาภายนอกที่แสดงออกให้คนอื่นเห็น ทว่าประโยคถัดมาก็ทำให้นางอยากถอนคำพูดเสียตอนนี้
“ท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่”
อิงอี้หรานก้มหน้าลงอย่างเขินอายพลางส่ายหน้าไปมา นางจึงถูกความแข็งแกร่งที่ยังคงบดเบียดอยู่ไม่ห่างแทรกเข้ามาในร่างอีกครา เสียงกระทบกันของกายเนื้อดังสะท้อนในความเงียบ ร่างบอบบางถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วง จวบจนฟ้ามืดกิจกรรมเริงสวาทจึงได้จบลง
“หยกชิ้นนี้มอบให้ท่าน ชั่วชีวิตนี้มิขอคืน เฉกเช่นหัวใจของกระหม่อมที่ยกให้พระองค์”
หยกสลักรูปวิหคสยายปีกบินท่ามกลางหมู่เมฆถูกมอบให้อิงอี้หราน เป็นการมอบใจสวามิภักดิ์แด่ผู้เป็นภรรยา เป็นดังคำสัญญาจะรักและปกป้อง
ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิด้วยหน้าที่
ขึ้นตรงกับอิงอี้หรานด้วยใจภักดิ์
เพล้ง!! แก้วกระเบื้องเนื้อดีถูกปาลงบนพื้นจนเศษเล็กเศษน้อยแตกกระจาย สตรีผู้มีใบหน้างดงามบัดนี้กลับมิน่าดูชมนัก อารมณ์เกรี้ยวโกรธของนางทำให้สาวรับใช้หวาดผวา หมอบลงกับพื้นด้วยร่างอันสั่นเทา “ใจเย็นก่อนเถิดชิงเอ๋อร์” สตรีวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องที่คล้ายเพิ่งถูกมรสุมพัดพา ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้น นางคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของอิงเยว่ชิง ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมพระคลัง “จะให้ลูกใจเย็นได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อลูกถูกถอนหมั้น ซ้ำยังเป็นราชโองการจากองค์จักรพรรดิ หากข่าวนี้แพร่ออกไป ท่านแม่จะให้ชิงเอ๋อร์เอาหน้าไปไว้ที่ใด” อิงเยว่ชิงตวัดตามองมารดา ดวงตาคลอหยาดน้ำแดงก่ำ เสียใจไม่เท่าเสียหน้า ซ้ำยังถูกท่านพ่อตำหนิหาว่าเป็นเพราะนางบกพร่อง ใต้เท้าหมิงจึงได้ถอนหมั้นกับนาง ซ้ำยังใช้วิธีการตบหน้าคนโดยไม่ใช้มือ ทว่าเจ็บแสบยิ่งกว่าเสียอีก “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวล แม่จะหาทางช่วยเจ้าให้ได้” ฟางเหนียงเข้าไปโอบกอดบุตรี มือลูบศีรษะหวังปลอบประโลม ภายในใจกำลังครุ่นคิดถึงแผนการที่จะทำให้ลูกสาวของนางได้แต่งเข้าจวนตร
อิงอี้หรานไม่รีบเร่งนัก มองดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระ ชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลิน เดินมาได้สักระยะจึงเปิดบทสนทนา “ท่านพี่อยากรู้หรือไม่เล่า ว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าหมิงถึงถอนหมั้นกับท่าน” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้มีท่าทีใดกับนางเป็นพิเศษ ไม่ยินดีและยินร้าย ซ้ำยังเอาแต่สะสางกิจการงาน จะพบหน้าค่าตาหรือก็ยากเย็นแสนเข็ญ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อิงอี้หรานหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้ากับอิงเยว่ชิงเพื่อไขข้อข้องใจให้คนที่กำลังทำหน้าอยากรู้เสียเต็มประดา “เหตุผลของบุรุษนั้นมีไม่มากนักหรอก” ท่าทางมีลับลมคมในทำให้อิงเยว่ชิงแทบจะปรี่เข้าไปกระชากคออิงอี้หรานเข้ามาถามเสียเดี๋ยวนั้น ติดที่ว่านางเห็นลี่ถิงเดินตามมาห่างๆ จึงยังยั้งมือได้ทัน หากเป็นแต่ก่อนที่อิงอี้หรานจะแต่งเข้าจวนองค์ชายสาม มีหรือที่จะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับนางได้ หลายต่อหลายครั้งที่อิงอี้หรานถูกตบตีสั่งสอนโดยไร้คนห้ามปรามและเข้าข้าง ทุกคนในจวนล้วนปิดหูปิดตากันเสียหมด “อย่ามาเล่นลิ้น เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่” อิงเยว่ชิงกัดฟันถามเสียงไม่ดังนัก พยายามระงับอารมณ์เพื่อไม่
“นางตัวกาลกิณี ที่แท้เป็นเพราะเจ้าเองหรือ” อิงเยว่ชิงใบหน้าเขียวคล้ำ ถูกโทสะครอบงำจนตามืดบอด โดยไม่คิดให้ ถี่ถ้วน มือผลักอิงอี้หรานที่ยืนอยู่ริมสระเต็มแรง ร่างบอบบางเสียหลักตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบ ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกของนางกำนัลรับใช้ที่ยืนรออยู่ห่างๆ ทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว ทั้งสถานที่ที่อิงอี้หรานหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับอิงเยว่ชิง นางกำนัลรับใช้ซึ่งเว้นระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัวของเจ้านาย และระยะทางที่ห่างจากผู้คนพอสมควร ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่สนทนาสิ่งใดกัน “ช่วยด้วย ใครอยู่แถวนี้ พระสนมตกน้ำ” ลี่ถิงรีบวิ่งมานั่งคุกเข่าอยู่ริมสระ ยื่นมือออกไปให้พระสนมจับ ทว่ากลับไขว่คว้ามิได้ ทั้งที่นางอยู่ใกล้เพียงเกือบเอื้อมถึง “อึก…ช่วย…ด้วย” อิงอี้หรานใช้มือตะกายบนผิวน้ำ ทว่ายิ่งดิ้นกลับยิ่งถูกสายบัวพันแข้งขา ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ริมฝั่งที่อยู่ใกล้กลับห่างไกลออกไปมากเท่านั้น น้ำอึกแล้วอึกเล่าทะลักเข้าปากและจมูก ความเย็นของน้ำย่างเข้าสู่ช่วงต้นเหมันต์ฤดูทำให้ขานางเป็นตะคริวในที่สุด เพียงไม่นานร่างทั้งร่างค่อยๆ จมหายลงไปใต้ผืนน้ำ จนมันสงบนิ่
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหานเฟิงมองใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ อิงอี้หรานนอนหลับตานิ่งไม่ได้สติ ทว่ามีเพียงนางและจิวหรงที่รู้ ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องร้อนแรงเช่นใดขึ้นบ้าง กลีบกุหลาบงามฉ่ำน้ำ มันบวมแดง ตรงกลางมีน้ำสีขาวขุ่นไหลลงตามเรียวขาหยดลงบนผ้าปูเตียง ความรู้สึกวูบโหวงยังคงติดตรึง ร่องรักกระตุกตุบคล้ายกำลังโหยหาสิ่งใดมาเติมเต็ม “น้ำในสระช่วงต้นเหมันต์ฤดูหนาวเหน็บยิ่งนัก ร่างกายบอบบางของพระสนมมิอาจทนได้ไหว อีกทั้งนางยังจมอยู่ใต้น้ำนานเกินไป พิษไข้หนักหนาทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ตอบไม่ได้ว่าพระสนมจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด” “เสด็จพี่ นั่นเป็นเพราะพี่สาวของนาง” หลิวหานตงที่ทราบข่าวเร่งรุดมายังวังของพระเชษฐา พบเขากลับมาจากเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจึงได้เดินมาพร้อมกัน ใบหน้าคล้ายคลึงกับคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกายโกรธขึ้ง แทบจะปรี่ไปคุกใต้ดินเสียเดี๋ยวนี้ “นางจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่” หลิวหานเฟิงเองก็หน้ามืดครึ้มไปครึ่งแถบ แผนการของเขากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี หมากทุกตัวที่เดินล้วนเห็นผลดั่งใจหวัง ทว่าต้องมาพังลงเพียงชั่วข้ามคืนด้วยฝีมือสตรีเพียงนางเ
อิงเยว่ชิงสิ้นใจในคุกหลวง ศพของนางถูกส่งไปยังตระกูลอิง ฟางเหนียงเห็นสภาพศพลูกสาวแสนรักเกิดเป็นลมล้มพับ ตั้งแต่นั้นมาสติของนางก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย การงานที่เคยดูแลไม่อาจทำได้เช่นเคย ท้ายที่สุดกลายเป็นคนวิปลาส ถูกจับขังไว้ในเรือนเล็กไม่ให้ออกไปที่ใด ประมุขตระกูลอิงจำต้องแต่งตั้งอนุภรรยาขึ้นมาคุมเรือนหลังของตนแทน สถานการณ์ภายในตระกูลที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งแย่ขึ้นไปอีก “เป็นเช่นนั้นหรือ” อิงอี้หรานจิบชายามบ่ายในสวนดอกไม้อย่างที่ชอบทำ นางสวมชุดสีดำไว้อาลัยให้พี่สาวที่จากไป ดวงตาหงส์เหม่อลอยไปไกลแสนไกล มันรื้นไปด้วยหยาดน้ำทว่ากลับไม่รินไหล เหมือนกับอดีตที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปแก้ไข “ท่านแม่…ลูกทำให้พวกมันได้ชดใช้แล้ว” อิงอี้หรานหลับตาลง ปล่อยหยาดน้ำตารินไหลอาบสองแก้ม ก่อนที่นางจะเช็ดออกในเวลาต่อมา จบสิ้นความแค้นกับสองแม่ลูกไว้เพียงเท่านี้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา อิงอี้หรานไม่เคยลืมเรื่องใน คืนนั้นแม้แต่วันเดียว มันคอยตามหลอกหลอน เสมือนตราบาปในใจของนาง เพี๊ยะ!! เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังฉาดใหญ่ ร่างของ
งานล่าสัตว์จัดขึ้นในทุกปี ครั้งนี้อิงอี้หรานได้เข้าร่วมด้วยทว่ากติกากลับเปลี่ยนไป จากงานล่าสัตว์เปลี่ยนเป็นล่าสตรี ยิ่งเป็นสตรีที่งดงามมากเท่าไหร่ คะแนนก็จะสูงมากเท่านั้น อิงอี้หรานที่มีใบหน้างดงามล่มเมืองจึงตกเป็นเป้าหมายไปโดยปริยาย เนื่องจากจักรพรรดิตั้งคะแนนของนางไว้ที่สิบคะแนน ต่างจากสตรีนางอื่นที่มีเพียงคนละหนึ่งถึงสามคะแนนอย่างมากสุด สตรีทั้งสิบห้านางถูกองครักษ์ประจำองค์จักรพรรดิพาตัวไปไว้ในป่า ใกล้บ้างไกลบ้างตามแต่ความยากง่ายของคะแนน ผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงได้เวลาออกล่า ม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทะยานเข้าไปในเขตป่าทีละตัว หลิวหานเฟิงและหลิวหานตงมาดหมายว่าจะพบ อิงอี้หรานเป็นคนแรกเพื่อคว้าชัยชนะในครั้งนี้ ทว่าคนที่พบสตรีผู้เลอโฉมกลับเป็นบุคคลที่ไม่คาดคิดเสียนี่ “องค์ชาย ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ” อิงอี้หรานอ้อนวอนคนที่กำลังล่วงเกินนาง ลำลึงค์แข็งร้อนผ่าวจ่อปากทางเข้าตัดกับสายน้ำเย็นเฉียบ “ข้าจะปล่อยหลังจากเสร็จสมในตัวเจ้า” ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มร้าย ดันท่อนเนื้อเข้าไปในรูเล็กแคบที่กำลังบีบรัดสิ่งแปลกปลอม ยิ่งช
“ข้าประมูลสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มา อยากให้มันลองเล่นกับเจ้าเสียหน่อย” อิงอี้หรานอยู่ในท่าคลานสี่ขาราวกับสัตว์ ขณะที่บุปผางามกำลังถูกลำลึงค์ของสุนัขโตเต็มวัยชำแรกเข้ามาทีเดียวสุดลำ ร่างบอบบางผวาเกร็งแม้มันมีขนาดไม่ใหญ่ทว่ายาวนัก แทงเข้ามาแต่ละทีทำเอาจุกน้ำตาเล็ด “แอ่นสะโพกขึ้นมา” แววตาสนุกสนานมีความบ้าคลั่งอยู่ในนั้น อิงอี้หรานถูกความวิปริตขององค์ชายใหญ่ทำให้อัปยศอดสูยิ่งขึ้นไปอีก นางแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายยามที่รู้สึกเสียดเสียวจนโพรงนุ่มสั่นระริก ทว่าต้องกัดฟันสู้เพื่อรอดูความพินาศของผู้ที่ทำร้ายนาง “สุนัขตัวผู้กับตัวเมียดูแล้วก็เหมาะสมกันดี ข้าอยากให้หลิวหานเฟิงมาเห็นสภาพสนมรักตอนนี้เสียเหลือเกิน” ตอนนี้ที่ว่าคือตอนที่กลีบบุปผาอ้าหุบตามการสอดใส่ของลำลึงค์สุนัข น้ำหวานถูกเคลือบโดยรอบและเป็นสารหล่อลื่นให้มันเข้าออกได้สะดวก นั่นเท่ากับว่าร่างกายของอิงอี้หรานตอบสนองกับทุกสิ่งที่เข้ามาในร่างไม่เว้นกระทั่งของสัตว์ “หากไม่คับแค้นจนกระอักเลือดตาย ก็คงรังเกียจร่างกายแสนสกปรกนี้กระมัง” น้ำเสียงเย้ยหยันและเสียงหัวเราะในลำคอบาดลึกเข้าไปในใจคนฟังจนสะท้า
วันนี้นางมีรอยเต็มตัว อิงอี้หรานคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรดี หากพระสวามีเห็นร่องรอยพวกนี้ต้องรู้แน่ว่านางแอบมีสัมพันธ์กับบุรุษที่เขามิได้จัดหาให้ ในเมื่อเขาเสพสังวาสกับนางเกือบทุกวัน ซ้ำยังจำร่องรอยที่ตนเองทำได้อย่างแม่นยำอีกด้วย โชคดีที่นางเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ขณะที่กำลังคิดไม่ตกสายตาเหลือบไปเห็นแม่ทัพมู่กำลังเดินมาทางนี้ นางไม่รอช้าก้าวเข้าไปหาเขาในทันที “ท่านช่วยข้าได้หรือไม่” อิงอี้หรานบอกเจตจำนงของตนเมื่อได้อยู่กับเขาสองคน “ท่านหมายถึงสิ่งใด” อวิ้นมู่เลิกคิ้วขึ้น แปลกใจนักว่า พระสนมมาเดินเล่นอยู่ในตลาดเพียงลำพังได้อย่างไร “ช่วยเข้ามาในตัวข้า ร่วมรักกับข้าทีเถิด” “กระหม่อมไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องท่านตามใจชอบ” อวิ้นมู่ตกใจไม่น้อยทว่าก็เก็บอาการไว้ได้ดี แม้เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง แต่นั่นเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับองค์ชายสาม ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป หากเขาแตะต้องพระสนม จะกลายเป็นความผิดร้ายแรง “หากท่านไม่ช่วย ข้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่” อิงอี้หรานอ้อนวอน เขาเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของนางในตอนนี้
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีโรมรันพันตู เงาโยกขยับไหวทาบลงบนผ้าม่านโดยมีแสงจากเชิงเทียนเป็นแหล่งกำเนิด เสียงครวญครางรัญจวนผสานไปกับเสียงเสียดสีของขาเตียงที่กระทบพื้น ก่อเกิดเป็นบทเพลงสวาทคละคลุ้งไปกับกลิ่นหอมของกำยาน เนิ่นนานกว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบหนักของผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นความหฤหรรษ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงโปร่งมีมัดกล้ามพองามวาดแขนโอบประคองสตรีของจักรพรรดิไว้ในอ้อมแขนอย่างมิเกรงกลัวอาญา เขาก้มลงจุมพิตหน้าผากนางก่อนจะบอกเรื่องสำคัญ “เรื่องอะไรงั้นหรือ” ‘เจียวเหม่ย’ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นางแอบมีสัมพันธ์ลับหลังพระสวามี หลายปีมานี้นางมีความสุขได้ก็เพราะเขา นางอดทนมาโดยตลอดเพื่อบุตรชายเพียงคนเดียวท้ายที่สุดจักรพรรดิกลับแต่งตั้งองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท ทั้งที่เขาเคยรับปากว่าจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหลิวจิ้นอันซึ่งเป็นบุตรชายคนโต “องค์จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พรุ่งนี้องค์รัชทายาทจะประกาศเรื่องนี้แก่สาธารณชน และในอีกสิบวันให้หลังจะเป็นวันราชาภิเษกพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าควรจะทำเช
แก้วชาในมือตกกระแทกพื้นแตกละเอียด ร่างอรชรในชุดสูงศักดิ์ซวนเซนั่งลงบนตั่งเตียง ทันทีที่นางทราบข่าวว่ามี ราชโองการแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท ซ้ำเพลานี้ยังได้เป็นผู้ว่าราชการแทนองค์จักรพรรดิที่ประชวรกะทันหัน “ประชวรอย่างนั้นหรือ หึ!! ประชวรหรือทรงพระเกษมสำราญอยู่กันแน่” พระนางแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาหงส์รื้นน้ำแดงก่ำด้วยความคับแค้นในอก เล็บยาวจิกลงกลางฝ่ามืออย่างอดกลั้น ริมฝีปากแต้มสีชาดสั่นระริกไปด้วยแรงอารมณ์ “สิ่งที่ข้าพยายามมากำลังจะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ” นางอดทนมากเพียงไรมีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้ อดทนยามลึงค์มังกรแทรกเข้ามาในร่าง ตอนนั้นนางแทบขาดใจตายเสียตรงนั้น แม้มันจะเข้ามาไม่สุดเนื่องด้วยร่างกายของนางมีข้อจำกัด ทว่าก็ไม่มีสตรีนางใดกลืนกินท่อนลึงค์ใหญ่ยาวนั้นได้มากเท่านาง เช่นนี้นางจึงเป็นที่โปรดปราน รั้งตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยโดยมิมีผู้ใดขึ้นมาแทนที่ได้ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่มอบความสุขให้ องค์จักรพรรดิได้มากกว่าผู้ใด เป็นสิ่งเดียวที่นางเหนือกว่าฮองเฮา เหตุใดวันนี้จึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า “เป็นผู้ใดกัน ที่ทำให้
ขุนนางคนแล้วคนเล่าก้าวออกมากล่าวรายงานตามหน้าที่ ขณะที่นางเองก็กำลังถูกท่อนลำมังกรแข็งขืนแลร้อนผ่าวขยับเข้าออกในร่าง ตั้งแต่ได้สบตากับพวกเขา นางก็ไม่มีหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้ใดได้อีก อิงอี้หรานไม่อาจทนไหวอีกต่อไป นางทรุดลงกับพื้นขณะที่ร่างสูงใหญ่เองก็ตามประกบไม่ห่าง ลำลึงค์ถูกถอนออกไปจนเกือบหลุดออกจากกลีบแดงช้ำ ก่อนจะถูกกระทุ้งเข้ามาเต็มแรง ร่างบางผวาเฮือกจิกเล็บลงกับพื้น นางอยู่ในท่านั่งกึ่งคุกเข่าเมื่ออ้อมแขนแกร่งช่วยพยุงอีกแรง เสียดสูดหายใจดังมาจากด้านล่างเมื่อเหล่าขุนนางต่างก็ลุ้นระทึกว่านางจะรองรับตัวตนของมังกรไหวหรือไม่ “อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า” ร่างที่รองรับความแข็งแกร่งกระตุกเกร็งรับน้ำเชื้อระลอกใหม่เข้ามา จักรพรรดิกอดเอวบางไว้แนบแน่นขณะปลดปล่อยเชื้อพันธุ์มังกรเข้าสู่ท้องของอิงอี้หราน หน้าท้องที่รองรับน้ำคาวนูนออกมาเมื่อมันถูกกักเก็บของเหลวไว้จนเต็ม “อ๊า…ซี้ด” เสียงครางสุขสมดังสะท้อนในท้องพระโรงอันเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้ใดกล้าหายใจแรง เสียงหายใจหอบกระเส่าจากกิจกรรมเข้าจังหวะจึงดังหนักหน่วง อิงอี้หรานถูกจับขึ้นมานั่งบน
“องค์ชายสามหลิวหานเฟิง เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาแลมากความสามารถด้านการรบ…ซี๊ด…อ๊า” ปลายพู่กันตวัดลงบนกระดาษสีขาว ตัวอักษรหนักแน่นมั่นคงทว่าหากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าบางช่วงกระหวัดเล็กน้อย จักรพรรดินั่งอยู่บนโต๊ะในห้องทรงงาน บนตักมีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น นางทำหน้าที่ฝนหมึก ทว่าร่างกายช่วงบนงองุ้ม ใช้ศอกทั้งสองข้างในการทรงตัวแลทำหน้าที่ได้มิขาดตกบกพร่อง “อึก…อ๊ะ…อ๊า” อิงอี้หรานครางเสียงเครือ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก กึ่งกลางกลีบบุปผาร้อนผ่าวเมื่อถูกเสียดสีเป็นเวลานาน รูเล็กแคบอ้าขยายกลืนกินท่อนลำมังกรตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจวบจนถึงกลางดึก “เปี่ยมคุณธรรมและมีความเป็นผู้นำ…อ๊า…เจ้าอยากให้ข้าเขียนว่าอะไรอีก” “หม่อมฉันมิบังอาจ…อ๊ะ…อ่ะ…แล้ว…อึก…แล้วแต่พระองค์เพคะ” อิงอี้หรานไม่อาจพูดได้เป็นประโยคนัก เมื่อนางกำลังถูกลำกายใหญ่ยาวสวนเข้าออกในร่าง ลำพังเพียงครองสติให้มั่นก็กินพลังชีวิตไปมากโข “อืม…ข้าว่าเขียนใหม่ดีกว่า…ชงหยวน…นำกระดาษม้วนใหม่มาให้ข้า” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ราชโองการม้วนแล้วม้วนเล่าถูกเปลี่ยนเมื่อจักรพรรดิยังคงไ
วันนี้อิงอี้หรานถูกจักรพรรดิเรียกพบในสวนของราชวัง รอบด้านไร้ซึ่งผู้คน กระทั่งขันทีคนสนิทยังไม่ได้ตามติดเป็นเงาเฉกเช่นทุกครั้ง จักรพรรดิไม่รอช้าขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่ถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอันร่มรื่น ชุดปักลายมังกรอันสูงศักดิ์ถูกแหวกออกเผยให้เห็นท่อนลึงค์ใหญ่ยาวตั้งฉากกับม้านั่ง อิงอี้หรานใบหน้าซีดเผือด จำความรู้สึกตอนที่มันเข้ามาในร่างจนสุดความยาวได้เป็นอย่างดี นางขยาดทว่าก็มิอาจขัดขืน จำใจก้าวเท้าเข้าหาให้วงแขนแข็งแรงยกร่างขึ้นนั่งบนตักในท่าหันหน้าเข้าหา รูเล็กกลางกลีบบุปผาถูกส่วนปลายของลำลึงค์จ่อ ก่อนที่สะโพกจะถูกกดลงมาทีละน้อยค่อยกลืนกินความยาวนั้นเข้าไป “ฝ่าบาท” อิงอี้หรานใช้แขนโอบรอบลำคอหนา ขณะที่จักรพรรดิปล่อยมือออกจากเอวบาง เลื่อนไปจับสายชิงช้าและทะยานขึ้นจากพื้นด้วยแรงส่งของเท้า “อ๊ะ…อะ…อ๊า” ใบหน้างดงามเชิดขึ้น ริมฝีปากอ้าครางเสียงหลง เมื่อจักรพรรดิมีคำสั่งให้นางนำมือออกจากคอเขาไปจับไว้ที่เชือกชิงช้า ยกขาขึ้นมาวางบนหน้าขาแกร่งในท่านั่งทับส้นแล้วกางออกเพื่อให้นางขย่มร่างเขาได้สะดวก สายลมปะทะใบหน
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…อึก…หม่อมฉัน” อิงอี้หรานใช้มือดันหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไว้ แม้อายุเลยเข้าเลขสี่ ทว่าวรกายขององค์เหนือหัวกลับยังคงแข็งแรงองอาจมิต่างจากบุตรชายเลย “อ่า…เจ้ายังทนไหวอิงอี้หราน ข้าจะเข้าไปจนสุด” สุรเสียงแหบพร่ากระซิบตอบ องค์เหนือหัวจับมือเล็กรวบขึ้นไว้เหนือศีรษะของนางด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ขณะที่ลำกายใหญ่ยาวเคลื่อนเข้าไปในกลีบบุปผาทีละนิด หน้าท้องแบนราบนูนขึ้นตามรูปร่างสิ่งที่กำลังสอดเข้ามาภายใน มันดุนขึ้นมาถึงท้องน้อย ลากยาวขึ้นไปจรดสะดือ “อื้อ…อึก…ฝ่าบาท ได้โปรด” อิงอี้หรานอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง นางรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์ รู้ดีว่าร่างกายของตนพิเศษกับเรื่องคาวโลกีย์มากเพียงไร กระนั้นก็ยังคงกลัวเมื่อเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ “บุตรชายของข้าบอกว่าเจ้ารับไหว เช่นนั้นจงรับเข้าไปให้หมดเสีย” ราวกับคำประกาศิต อิงอี้หรานไม่อาจขัดขืน นางนอนรอรับความเจ็บระคนจุกแน่นอย่างจำยอม มันทรมานราวกับตายทั้งเป็น ทว่าในเวลาต่อมาก็สุขสมระคนซ่านเสียวอย่างมิอาจควบคุม เมื่อลำลึงค์ของมังกรเข้ามาจ