อิงอี้หรานไม่รีบเร่งนัก มองดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระ ชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลิน เดินมาได้สักระยะจึงเปิดบทสนทนา “ท่านพี่อยากรู้หรือไม่เล่า ว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าหมิงถึงถอนหมั้นกับท่าน” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้มีท่าทีใดกับนางเป็นพิเศษ ไม่ยินดีและยินร้าย ซ้ำยังเอาแต่สะสางกิจการงาน จะพบหน้าค่าตาหรือก็ยากเย็นแสนเข็ญ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อิงอี้หรานหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้ากับอิงเยว่ชิงเพื่อไขข้อข้องใจให้คนที่กำลังทำหน้าอยากรู้เสียเต็มประดา “เหตุผลของบุรุษนั้นมีไม่มากนักหรอก” ท่าทางมีลับลมคมในทำให้อิงเยว่ชิงแทบจะปรี่เข้าไปกระชากคออิงอี้หรานเข้ามาถามเสียเดี๋ยวนั้น ติดที่ว่านางเห็นลี่ถิงเดินตามมาห่างๆ จึงยังยั้งมือได้ทัน หากเป็นแต่ก่อนที่อิงอี้หรานจะแต่งเข้าจวนองค์ชายสาม มีหรือที่จะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับนางได้ หลายต่อหลายครั้งที่อิงอี้หรานถูกตบตีสั่งสอนโดยไร้คนห้ามปรามและเข้าข้าง ทุกคนในจวนล้วนปิดหูปิดตากันเสียหมด “อย่ามาเล่นลิ้น เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่” อิงเยว่ชิงกัดฟันถามเสียงไม่ดังนัก พยายามระงับอารมณ์เพื่อไม่
“นางตัวกาลกิณี ที่แท้เป็นเพราะเจ้าเองหรือ” อิงเยว่ชิงใบหน้าเขียวคล้ำ ถูกโทสะครอบงำจนตามืดบอด โดยไม่คิดให้ ถี่ถ้วน มือผลักอิงอี้หรานที่ยืนอยู่ริมสระเต็มแรง ร่างบอบบางเสียหลักตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบ ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกของนางกำนัลรับใช้ที่ยืนรออยู่ห่างๆ ทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว ทั้งสถานที่ที่อิงอี้หรานหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับอิงเยว่ชิง นางกำนัลรับใช้ซึ่งเว้นระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัวของเจ้านาย และระยะทางที่ห่างจากผู้คนพอสมควร ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่สนทนาสิ่งใดกัน “ช่วยด้วย ใครอยู่แถวนี้ พระสนมตกน้ำ” ลี่ถิงรีบวิ่งมานั่งคุกเข่าอยู่ริมสระ ยื่นมือออกไปให้พระสนมจับ ทว่ากลับไขว่คว้ามิได้ ทั้งที่นางอยู่ใกล้เพียงเกือบเอื้อมถึง “อึก…ช่วย…ด้วย” อิงอี้หรานใช้มือตะกายบนผิวน้ำ ทว่ายิ่งดิ้นกลับยิ่งถูกสายบัวพันแข้งขา ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ริมฝั่งที่อยู่ใกล้กลับห่างไกลออกไปมากเท่านั้น น้ำอึกแล้วอึกเล่าทะลักเข้าปากและจมูก ความเย็นของน้ำย่างเข้าสู่ช่วงต้นเหมันต์ฤดูทำให้ขานางเป็นตะคริวในที่สุด เพียงไม่นานร่างทั้งร่างค่อยๆ จมหายลงไปใต้ผืนน้ำ จนมันสงบนิ่
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหานเฟิงมองใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ อิงอี้หรานนอนหลับตานิ่งไม่ได้สติ ทว่ามีเพียงนางและจิวหรงที่รู้ ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องร้อนแรงเช่นใดขึ้นบ้าง กลีบกุหลาบงามฉ่ำน้ำ มันบวมแดง ตรงกลางมีน้ำสีขาวขุ่นไหลลงตามเรียวขาหยดลงบนผ้าปูเตียง ความรู้สึกวูบโหวงยังคงติดตรึง ร่องรักกระตุกตุบคล้ายกำลังโหยหาสิ่งใดมาเติมเต็ม “น้ำในสระช่วงต้นเหมันต์ฤดูหนาวเหน็บยิ่งนัก ร่างกายบอบบางของพระสนมมิอาจทนได้ไหว อีกทั้งนางยังจมอยู่ใต้น้ำนานเกินไป พิษไข้หนักหนาทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ตอบไม่ได้ว่าพระสนมจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด” “เสด็จพี่ นั่นเป็นเพราะพี่สาวของนาง” หลิวหานตงที่ทราบข่าวเร่งรุดมายังวังของพระเชษฐา พบเขากลับมาจากเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจึงได้เดินมาพร้อมกัน ใบหน้าคล้ายคลึงกับคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกายโกรธขึ้ง แทบจะปรี่ไปคุกใต้ดินเสียเดี๋ยวนี้ “นางจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่” หลิวหานเฟิงเองก็หน้ามืดครึ้มไปครึ่งแถบ แผนการของเขากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี หมากทุกตัวที่เดินล้วนเห็นผลดั่งใจหวัง ทว่าต้องมาพังลงเพียงชั่วข้ามคืนด้วยฝีมือสตรีเพียงนางเ
อิงเยว่ชิงสิ้นใจในคุกหลวง ศพของนางถูกส่งไปยังตระกูลอิง ฟางเหนียงเห็นสภาพศพลูกสาวแสนรักเกิดเป็นลมล้มพับ ตั้งแต่นั้นมาสติของนางก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย การงานที่เคยดูแลไม่อาจทำได้เช่นเคย ท้ายที่สุดกลายเป็นคนวิปลาส ถูกจับขังไว้ในเรือนเล็กไม่ให้ออกไปที่ใด ประมุขตระกูลอิงจำต้องแต่งตั้งอนุภรรยาขึ้นมาคุมเรือนหลังของตนแทน สถานการณ์ภายในตระกูลที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งแย่ขึ้นไปอีก “เป็นเช่นนั้นหรือ” อิงอี้หรานจิบชายามบ่ายในสวนดอกไม้อย่างที่ชอบทำ นางสวมชุดสีดำไว้อาลัยให้พี่สาวที่จากไป ดวงตาหงส์เหม่อลอยไปไกลแสนไกล มันรื้นไปด้วยหยาดน้ำทว่ากลับไม่รินไหล เหมือนกับอดีตที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปแก้ไข “ท่านแม่…ลูกทำให้พวกมันได้ชดใช้แล้ว” อิงอี้หรานหลับตาลง ปล่อยหยาดน้ำตารินไหลอาบสองแก้ม ก่อนที่นางจะเช็ดออกในเวลาต่อมา จบสิ้นความแค้นกับสองแม่ลูกไว้เพียงเท่านี้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา อิงอี้หรานไม่เคยลืมเรื่องใน คืนนั้นแม้แต่วันเดียว มันคอยตามหลอกหลอน เสมือนตราบาปในใจของนาง เพี๊ยะ!! เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังฉาดใหญ่ ร่างของ
งานล่าสัตว์จัดขึ้นในทุกปี ครั้งนี้อิงอี้หรานได้เข้าร่วมด้วยทว่ากติกากลับเปลี่ยนไป จากงานล่าสัตว์เปลี่ยนเป็นล่าสตรี ยิ่งเป็นสตรีที่งดงามมากเท่าไหร่ คะแนนก็จะสูงมากเท่านั้น อิงอี้หรานที่มีใบหน้างดงามล่มเมืองจึงตกเป็นเป้าหมายไปโดยปริยาย เนื่องจากจักรพรรดิตั้งคะแนนของนางไว้ที่สิบคะแนน ต่างจากสตรีนางอื่นที่มีเพียงคนละหนึ่งถึงสามคะแนนอย่างมากสุด สตรีทั้งสิบห้านางถูกองครักษ์ประจำองค์จักรพรรดิพาตัวไปไว้ในป่า ใกล้บ้างไกลบ้างตามแต่ความยากง่ายของคะแนน ผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงได้เวลาออกล่า ม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทะยานเข้าไปในเขตป่าทีละตัว หลิวหานเฟิงและหลิวหานตงมาดหมายว่าจะพบ อิงอี้หรานเป็นคนแรกเพื่อคว้าชัยชนะในครั้งนี้ ทว่าคนที่พบสตรีผู้เลอโฉมกลับเป็นบุคคลที่ไม่คาดคิดเสียนี่ “องค์ชาย ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ” อิงอี้หรานอ้อนวอนคนที่กำลังล่วงเกินนาง ลำลึงค์แข็งร้อนผ่าวจ่อปากทางเข้าตัดกับสายน้ำเย็นเฉียบ “ข้าจะปล่อยหลังจากเสร็จสมในตัวเจ้า” ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มร้าย ดันท่อนเนื้อเข้าไปในรูเล็กแคบที่กำลังบีบรัดสิ่งแปลกปลอม ยิ่งช
“ข้าประมูลสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มา อยากให้มันลองเล่นกับเจ้าเสียหน่อย” อิงอี้หรานอยู่ในท่าคลานสี่ขาราวกับสัตว์ ขณะที่บุปผางามกำลังถูกลำลึงค์ของสุนัขโตเต็มวัยชำแรกเข้ามาทีเดียวสุดลำ ร่างบอบบางผวาเกร็งแม้มันมีขนาดไม่ใหญ่ทว่ายาวนัก แทงเข้ามาแต่ละทีทำเอาจุกน้ำตาเล็ด “แอ่นสะโพกขึ้นมา” แววตาสนุกสนานมีความบ้าคลั่งอยู่ในนั้น อิงอี้หรานถูกความวิปริตขององค์ชายใหญ่ทำให้อัปยศอดสูยิ่งขึ้นไปอีก นางแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายยามที่รู้สึกเสียดเสียวจนโพรงนุ่มสั่นระริก ทว่าต้องกัดฟันสู้เพื่อรอดูความพินาศของผู้ที่ทำร้ายนาง “สุนัขตัวผู้กับตัวเมียดูแล้วก็เหมาะสมกันดี ข้าอยากให้หลิวหานเฟิงมาเห็นสภาพสนมรักตอนนี้เสียเหลือเกิน” ตอนนี้ที่ว่าคือตอนที่กลีบบุปผาอ้าหุบตามการสอดใส่ของลำลึงค์สุนัข น้ำหวานถูกเคลือบโดยรอบและเป็นสารหล่อลื่นให้มันเข้าออกได้สะดวก นั่นเท่ากับว่าร่างกายของอิงอี้หรานตอบสนองกับทุกสิ่งที่เข้ามาในร่างไม่เว้นกระทั่งของสัตว์ “หากไม่คับแค้นจนกระอักเลือดตาย ก็คงรังเกียจร่างกายแสนสกปรกนี้กระมัง” น้ำเสียงเย้ยหยันและเสียงหัวเราะในลำคอบาดลึกเข้าไปในใจคนฟังจนสะท้า
วันนี้นางมีรอยเต็มตัว อิงอี้หรานคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรดี หากพระสวามีเห็นร่องรอยพวกนี้ต้องรู้แน่ว่านางแอบมีสัมพันธ์กับบุรุษที่เขามิได้จัดหาให้ ในเมื่อเขาเสพสังวาสกับนางเกือบทุกวัน ซ้ำยังจำร่องรอยที่ตนเองทำได้อย่างแม่นยำอีกด้วย โชคดีที่นางเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ขณะที่กำลังคิดไม่ตกสายตาเหลือบไปเห็นแม่ทัพมู่กำลังเดินมาทางนี้ นางไม่รอช้าก้าวเข้าไปหาเขาในทันที “ท่านช่วยข้าได้หรือไม่” อิงอี้หรานบอกเจตจำนงของตนเมื่อได้อยู่กับเขาสองคน “ท่านหมายถึงสิ่งใด” อวิ้นมู่เลิกคิ้วขึ้น แปลกใจนักว่า พระสนมมาเดินเล่นอยู่ในตลาดเพียงลำพังได้อย่างไร “ช่วยเข้ามาในตัวข้า ร่วมรักกับข้าทีเถิด” “กระหม่อมไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องท่านตามใจชอบ” อวิ้นมู่ตกใจไม่น้อยทว่าก็เก็บอาการไว้ได้ดี แม้เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง แต่นั่นเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับองค์ชายสาม ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป หากเขาแตะต้องพระสนม จะกลายเป็นความผิดร้ายแรง “หากท่านไม่ช่วย ข้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่” อิงอี้หรานอ้อนวอน เขาเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของนางในตอนนี้
“อึก…หม่อมฉัน…จุก…เพคะ” อิงอี้หรานน้ำตาคลอ ริมฝีปากสีลูกพีชเผยอออก ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวทว่ากลับยิ่งขับให้น่าหลงใหลยิ่งขึ้น ในสายตาคนมองนางน่ารังแกมากกว่า น่าถนอมเสียอีก “ข้ารู้อี้หราน แต่เจ้าต้องอดทน” สุรเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง ทว่าความหมายในประโยคกลับตรงกันข้าม ร่างบอบบางเปล่าเปลือยทำได้เพียงกล้ำกลืนคำอ้อนวอนลงคอ ทำหน้าที่เบี้ยหมากในกระดานการเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง อิงอี้หรานสั่นระริกไปทั้งตัว จังหวะขยับโยกเนิบช้าหากแต่หนักหน่วง นางนั่งอยู่บนหลังม้าโยกที่ถูกแกะสลักโดย ช่างไม้ มันประณีต งดงาม ทว่ากลับมีกลไกบางอย่างขับเคลื่อนแท่งหยกซึ่งมีลักษณะคล้ายลำลึงค์ มันใหญ่และยาวราวกับจะทะลุร่างของผู้ควบขี่ “แรงขึ้นอีกหนึ่งระดับ” ดวงตาสีรัตติกาลสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น จ้องมองแท่งหยกที่ผลุบเข้าผลุบออกกลีบผกาสีสด ยิ่งแท่งหยกนั้นเข้าไปได้ลึกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งออกคำสั่งกับนางกำนัลที่กำลังใช้เท้าเหยียบกลไกซึ่งเชื่อมต่อจากฐานรองแท่งหยกลากยาวไปจรดหางม้า ให้ลงน้ำหนักเท้ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ลึงค์หยกที่มีความยาวเกินร่างอิสตรีใดจะรับไหวค่อย
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีโรมรันพันตู เงาโยกขยับไหวทาบลงบนผ้าม่านโดยมีแสงจากเชิงเทียนเป็นแหล่งกำเนิด เสียงครวญครางรัญจวนผสานไปกับเสียงเสียดสีของขาเตียงที่กระทบพื้น ก่อเกิดเป็นบทเพลงสวาทคละคลุ้งไปกับกลิ่นหอมของกำยาน เนิ่นนานกว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบหนักของผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นความหฤหรรษ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงโปร่งมีมัดกล้ามพองามวาดแขนโอบประคองสตรีของจักรพรรดิไว้ในอ้อมแขนอย่างมิเกรงกลัวอาญา เขาก้มลงจุมพิตหน้าผากนางก่อนจะบอกเรื่องสำคัญ “เรื่องอะไรงั้นหรือ” ‘เจียวเหม่ย’ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นางแอบมีสัมพันธ์ลับหลังพระสวามี หลายปีมานี้นางมีความสุขได้ก็เพราะเขา นางอดทนมาโดยตลอดเพื่อบุตรชายเพียงคนเดียวท้ายที่สุดจักรพรรดิกลับแต่งตั้งองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท ทั้งที่เขาเคยรับปากว่าจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหลิวจิ้นอันซึ่งเป็นบุตรชายคนโต “องค์จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พรุ่งนี้องค์รัชทายาทจะประกาศเรื่องนี้แก่สาธารณชน และในอีกสิบวันให้หลังจะเป็นวันราชาภิเษกพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าควรจะทำเช
แก้วชาในมือตกกระแทกพื้นแตกละเอียด ร่างอรชรในชุดสูงศักดิ์ซวนเซนั่งลงบนตั่งเตียง ทันทีที่นางทราบข่าวว่ามี ราชโองการแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท ซ้ำเพลานี้ยังได้เป็นผู้ว่าราชการแทนองค์จักรพรรดิที่ประชวรกะทันหัน “ประชวรอย่างนั้นหรือ หึ!! ประชวรหรือทรงพระเกษมสำราญอยู่กันแน่” พระนางแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาหงส์รื้นน้ำแดงก่ำด้วยความคับแค้นในอก เล็บยาวจิกลงกลางฝ่ามืออย่างอดกลั้น ริมฝีปากแต้มสีชาดสั่นระริกไปด้วยแรงอารมณ์ “สิ่งที่ข้าพยายามมากำลังจะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ” นางอดทนมากเพียงไรมีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้ อดทนยามลึงค์มังกรแทรกเข้ามาในร่าง ตอนนั้นนางแทบขาดใจตายเสียตรงนั้น แม้มันจะเข้ามาไม่สุดเนื่องด้วยร่างกายของนางมีข้อจำกัด ทว่าก็ไม่มีสตรีนางใดกลืนกินท่อนลึงค์ใหญ่ยาวนั้นได้มากเท่านาง เช่นนี้นางจึงเป็นที่โปรดปราน รั้งตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยโดยมิมีผู้ใดขึ้นมาแทนที่ได้ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่มอบความสุขให้ องค์จักรพรรดิได้มากกว่าผู้ใด เป็นสิ่งเดียวที่นางเหนือกว่าฮองเฮา เหตุใดวันนี้จึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า “เป็นผู้ใดกัน ที่ทำให้
ขุนนางคนแล้วคนเล่าก้าวออกมากล่าวรายงานตามหน้าที่ ขณะที่นางเองก็กำลังถูกท่อนลำมังกรแข็งขืนแลร้อนผ่าวขยับเข้าออกในร่าง ตั้งแต่ได้สบตากับพวกเขา นางก็ไม่มีหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้ใดได้อีก อิงอี้หรานไม่อาจทนไหวอีกต่อไป นางทรุดลงกับพื้นขณะที่ร่างสูงใหญ่เองก็ตามประกบไม่ห่าง ลำลึงค์ถูกถอนออกไปจนเกือบหลุดออกจากกลีบแดงช้ำ ก่อนจะถูกกระทุ้งเข้ามาเต็มแรง ร่างบางผวาเฮือกจิกเล็บลงกับพื้น นางอยู่ในท่านั่งกึ่งคุกเข่าเมื่ออ้อมแขนแกร่งช่วยพยุงอีกแรง เสียดสูดหายใจดังมาจากด้านล่างเมื่อเหล่าขุนนางต่างก็ลุ้นระทึกว่านางจะรองรับตัวตนของมังกรไหวหรือไม่ “อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า” ร่างที่รองรับความแข็งแกร่งกระตุกเกร็งรับน้ำเชื้อระลอกใหม่เข้ามา จักรพรรดิกอดเอวบางไว้แนบแน่นขณะปลดปล่อยเชื้อพันธุ์มังกรเข้าสู่ท้องของอิงอี้หราน หน้าท้องที่รองรับน้ำคาวนูนออกมาเมื่อมันถูกกักเก็บของเหลวไว้จนเต็ม “อ๊า…ซี้ด” เสียงครางสุขสมดังสะท้อนในท้องพระโรงอันเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้ใดกล้าหายใจแรง เสียงหายใจหอบกระเส่าจากกิจกรรมเข้าจังหวะจึงดังหนักหน่วง อิงอี้หรานถูกจับขึ้นมานั่งบน
“องค์ชายสามหลิวหานเฟิง เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาแลมากความสามารถด้านการรบ…ซี๊ด…อ๊า” ปลายพู่กันตวัดลงบนกระดาษสีขาว ตัวอักษรหนักแน่นมั่นคงทว่าหากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าบางช่วงกระหวัดเล็กน้อย จักรพรรดินั่งอยู่บนโต๊ะในห้องทรงงาน บนตักมีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น นางทำหน้าที่ฝนหมึก ทว่าร่างกายช่วงบนงองุ้ม ใช้ศอกทั้งสองข้างในการทรงตัวแลทำหน้าที่ได้มิขาดตกบกพร่อง “อึก…อ๊ะ…อ๊า” อิงอี้หรานครางเสียงเครือ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก กึ่งกลางกลีบบุปผาร้อนผ่าวเมื่อถูกเสียดสีเป็นเวลานาน รูเล็กแคบอ้าขยายกลืนกินท่อนลำมังกรตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจวบจนถึงกลางดึก “เปี่ยมคุณธรรมและมีความเป็นผู้นำ…อ๊า…เจ้าอยากให้ข้าเขียนว่าอะไรอีก” “หม่อมฉันมิบังอาจ…อ๊ะ…อ่ะ…แล้ว…อึก…แล้วแต่พระองค์เพคะ” อิงอี้หรานไม่อาจพูดได้เป็นประโยคนัก เมื่อนางกำลังถูกลำกายใหญ่ยาวสวนเข้าออกในร่าง ลำพังเพียงครองสติให้มั่นก็กินพลังชีวิตไปมากโข “อืม…ข้าว่าเขียนใหม่ดีกว่า…ชงหยวน…นำกระดาษม้วนใหม่มาให้ข้า” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ราชโองการม้วนแล้วม้วนเล่าถูกเปลี่ยนเมื่อจักรพรรดิยังคงไ
วันนี้อิงอี้หรานถูกจักรพรรดิเรียกพบในสวนของราชวัง รอบด้านไร้ซึ่งผู้คน กระทั่งขันทีคนสนิทยังไม่ได้ตามติดเป็นเงาเฉกเช่นทุกครั้ง จักรพรรดิไม่รอช้าขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่ถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอันร่มรื่น ชุดปักลายมังกรอันสูงศักดิ์ถูกแหวกออกเผยให้เห็นท่อนลึงค์ใหญ่ยาวตั้งฉากกับม้านั่ง อิงอี้หรานใบหน้าซีดเผือด จำความรู้สึกตอนที่มันเข้ามาในร่างจนสุดความยาวได้เป็นอย่างดี นางขยาดทว่าก็มิอาจขัดขืน จำใจก้าวเท้าเข้าหาให้วงแขนแข็งแรงยกร่างขึ้นนั่งบนตักในท่าหันหน้าเข้าหา รูเล็กกลางกลีบบุปผาถูกส่วนปลายของลำลึงค์จ่อ ก่อนที่สะโพกจะถูกกดลงมาทีละน้อยค่อยกลืนกินความยาวนั้นเข้าไป “ฝ่าบาท” อิงอี้หรานใช้แขนโอบรอบลำคอหนา ขณะที่จักรพรรดิปล่อยมือออกจากเอวบาง เลื่อนไปจับสายชิงช้าและทะยานขึ้นจากพื้นด้วยแรงส่งของเท้า “อ๊ะ…อะ…อ๊า” ใบหน้างดงามเชิดขึ้น ริมฝีปากอ้าครางเสียงหลง เมื่อจักรพรรดิมีคำสั่งให้นางนำมือออกจากคอเขาไปจับไว้ที่เชือกชิงช้า ยกขาขึ้นมาวางบนหน้าขาแกร่งในท่านั่งทับส้นแล้วกางออกเพื่อให้นางขย่มร่างเขาได้สะดวก สายลมปะทะใบหน
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…อึก…หม่อมฉัน” อิงอี้หรานใช้มือดันหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไว้ แม้อายุเลยเข้าเลขสี่ ทว่าวรกายขององค์เหนือหัวกลับยังคงแข็งแรงองอาจมิต่างจากบุตรชายเลย “อ่า…เจ้ายังทนไหวอิงอี้หราน ข้าจะเข้าไปจนสุด” สุรเสียงแหบพร่ากระซิบตอบ องค์เหนือหัวจับมือเล็กรวบขึ้นไว้เหนือศีรษะของนางด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ขณะที่ลำกายใหญ่ยาวเคลื่อนเข้าไปในกลีบบุปผาทีละนิด หน้าท้องแบนราบนูนขึ้นตามรูปร่างสิ่งที่กำลังสอดเข้ามาภายใน มันดุนขึ้นมาถึงท้องน้อย ลากยาวขึ้นไปจรดสะดือ “อื้อ…อึก…ฝ่าบาท ได้โปรด” อิงอี้หรานอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง นางรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์ รู้ดีว่าร่างกายของตนพิเศษกับเรื่องคาวโลกีย์มากเพียงไร กระนั้นก็ยังคงกลัวเมื่อเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ “บุตรชายของข้าบอกว่าเจ้ารับไหว เช่นนั้นจงรับเข้าไปให้หมดเสีย” ราวกับคำประกาศิต อิงอี้หรานไม่อาจขัดขืน นางนอนรอรับความเจ็บระคนจุกแน่นอย่างจำยอม มันทรมานราวกับตายทั้งเป็น ทว่าในเวลาต่อมาก็สุขสมระคนซ่านเสียวอย่างมิอาจควบคุม เมื่อลำลึงค์ของมังกรเข้ามาจ