ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
“เสด็จพี่ เรามาพนันกันดีหรือไม่” บุรุษหนุ่มร่างสูงบนอาชาสีขาวปลอดหันไปพูดกับพระเชษฐาที่ควบขี่อาชาสีดำเดินเคียงข้าง หากแต่แทนที่จะจับจ้องใบหน้าของคู่สนทนา ดวงตาสีรัตติกาลมองลงต่ำยังจุดประสานของสองกาย สตรีเพียงหนึ่งเดียวเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเจ้าของมันกำลังกลั้นเสียงน่าอายไว้อย่างสุดกำลัง ใบหน้างามซบลงกับ ซอกคออุ่นหลีกหนีความกระดากอาย เมื่อต้องร่วมรักกับ พระสวามีกลางป่าเขา ซ้ำยังเป็นบนหลังอาชาศึก แลมีสายตา อีกคู่มองมาไม่ลดละ “ว่ามาสิ” น้ำเสียงไม่ยี่หระค่อนไปทางราบเรียบตอบกลับ ดวงตาเย็นชาสบกับพระอนุชาที่เงยขึ้นมามองเพียงชั่วครู่อย่างรู้ทัน “ผู้ใดขี่ม้าไปถึงลำธารก่อนเป็นผู้ชนะ ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ขณะพูดสายตายังคงจับจ้องกลีบผกาที่ถูกลำกายใหญ่โตบุกทะลวง ราวกับอีกคนจะรับรู้ ยกสะโพกกลมกลึงขึ้นสูงก่อนกดกระแทกลงอย่างแรงตามจังหวะการควบขี่ม้า ซึ่งถูกกระทุ้งให้ออกตัววิ่ง เป็นการตอบรับคำท้า!! “อ๊ะ…อ๊ะ…อึก…อ๊ะ” ลำลึงค์ผลุบเข้าออกกลีบบุปผารัวเร็ว นางไม่อาจกลั้นเสียงครางได้อีกต่อไป กายเล็กผวาวาบยามบังเหียนม้าถูกกระตุก สองแขนโอบ
“อึก…อ๊ะ” เสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกมาจากกลีบปากอวบอิ่มที่เผยอออกน้อยๆ ใบหน้างามซบลงกับผ้าปูเตียงขณะจิกเล็บระบายอารมณ์ซาบซ่านรัญจวน กลิ่นกำยานหอมอ่อนแตะจมูกพาให้สติล่องลอยไปในดินแดนอันไกลโพ้น “ท่านงดงามเหลือเกินพระสนม” เสียงแหบต่ำของบุรุษเพศดังขึ้นเหนือศีรษะ ใบหน้าคมคร้ามพิศมองดวงหน้าแดงเรื่อเย้ายวน ยิ่งต้องแสงจากเชิงเทียนคล้ายโดนมนตร์จิ้งจอกล่อลวงให้ลุ่มหลง ร่างกำยำโหมกายด้วยจังหวะหนักหน่วงเมื่อใกล้ปลดปล่อยอารมณ์กำหนัด สะโพกกลมกลึงกระดอนตามแรงส่ง กระทบหน้าขาแกร่งเกิดเป็นเสียงดังก้องทั่วห้อง ราวกับนักรบควบขี่อาชาศึกคู่ใจยามออกรบ “อึก…โปรดเบาแรงด้วยท่านแม่ทัพ” คนใต้ร่างร้องขอด้วยเสียงระโหยโรยแรง ดวงตาหงส์คลอหยาดน้ำจวนจะรินไหล การรองรับบุรุษร่างใหญ่โต อีกทั้งเรี่ยวแรงมหาศาลเป็นเวลา 2 ชั่วยาม สำหรับสตรีบอบบางเช่นนางช่างหนักหนานัก “ฮึก” คล้ายอีกคนไม่สนใจ ซ้ำกระทำหนักหน่วงขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อทนความเจ็บแสบไม่ไหวทำได้เพียงปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลลงมา เผื่อว่ามันจะช่วยแบ่งเบาความรู้สึกเจ็บปวดนี้ลงได้บ้าง แม้สักเสี้ยวก็ยังดี
สายลมเอื่อยพัดกลิ่นหอมของบุปผาลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ผมสีหมึกจรดกลางหลังขยับปลิว บางส่วนคลอเคลียแก้มสีชมพูระเรื่อ สตรีในอาภรณ์แดงปักลายดอกโบตั๋นนั่งเหม่อมองออกไปในสวนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ เครื่องหน้างามล้ำเป็นเอกพานพบเพียงครั้งเดียวชั่วชีวิตนี้มิมีผู้ใดลืมได้ลง “พระสนม คืนนี้จะมีแขกเพคะ” ‘ลี่ถิง’ นางกำนัลคนสนิทเดินเข้ามาพร้อมถาดในมือ อิงอี้หรานครางรับในลำคอไม่แม้แต่จะหันมามอง ลี่ถิงวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะตรงหน้าพระสนม บรรจงรินน้ำชาร้อนลงในถ้วยใบเล็ก ควันสีขาวลอยออกมาส่งกลิ่นหอมอ่อนของใบชาแตะจมูก ขนมรูปทรงคล้ายดอกไม้ถูกวางลงข้างกันก่อนที่นางจะเก็บถาดและถอยออกไป ลี่ถิงเข้าใจท่าทีเหินห่างที่อิงอี้หรานแสดงออก เมื่อ พระสนมรู้ว่าแท้จริงแล้วนางคือคนขององค์ชายหลิวหานเฟิง มาตั้งแต่แรก ความไว้วางใจดั่งสหายเพียงคนเดียวจึงสั่นคลอน อิงอี้หรานยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ขบคิดว่าแขกในค่ำคืนนี้จะเป็นผู้ใดหนอ ก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏบนใบหน้า เมื่อพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว ร่างขาวเนียนถูกนางกำนัลคนสนิทถูด้ว
เสียงเสียดสีของโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วพื้นที่ป่า ต้นไผ่ขาดเป็นสองท่อนล้มระเนระนาดกีดขวางทางเดิน ทว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้ที่กำลังรุกไล่คนชุดดำ จำนวนคนมากกว่าไม่ทำให้อีกฝ่ายได้เปรียบแม้แต่น้อย “นำตัวไปสอบสวน” กระบี่ถูกเก็บเข้าฝักหลังจากนำไปพาดคอคน ร่างองอาจในชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายวิหคสยายปีกยังคงสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งลงมือสังหารคนไปไม่น้อย ลูกน้องใต้บังคับบัญชาค้อมหัวรับคำสั่ง ก่อนจะควบคุมตัวชายฉกรรจ์ในชุดสีดำปกปิดใบหน้าที่เหลือรอดเพียงคนเดียวกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม ‘หมิงเจ๋อ’ หันหลังกลับ ทว่ามีเสียงล้อรถบดเบียดกับพื้นหินดังใกล้เข้ามาเสียก่อน กลีบเท้าม้าหลายคู่เหยียบย่ำเป็นจังหวะส่งเสียงให้ผู้ที่กำลังจะไปชะงักเท้า รั้งรอดูว่าเป็นผู้ใดที่ผ่านทางมาในเวลาเช่นนี้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นก่อนที่รถม้าจะหยุดกะทันหัน เมื่อภาพเบื้องหน้าคือกองซากศพขนาดย่อม มือเรียวสวยแหวกม่านออกเพื่อถามไถ่ผู้ที่ควบม้าอารักขาอยู่ด้านนอก “ข้างหน้ามีศพอยู่พ่ะย่ะค่ะพระสนม” องครักษ์หนุ่มตอบกลับก่อนที่จะมองเ
“อึก” หลังจากที่พวกเขาเดินมาได้สักระยะ อิงอี้หรานเห็นว่าใต้เท้าหมิงเองดูท่าจะไม่ไหวจึงพาเขานั่งพัก พยุงร่างสูงให้นั่งพิงต้นไม้ริมลำธาร แผ่นอกหนากระเพื่อมหอบหนักถี่กระชั้น ร่างกายคล้ายจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะจุดกลางกายที่โป่งพองจวนปริแตก “ท่านอดทนอีกนิด ข้าจะช่วยทำแผลให้” อิงอี้หรานนำผ้าเช็ดหน้าที่พกติดกายตลอดชุบน้ำในลำธาร ก่อนที่จะนำมาเช็ดรอบบาดแผล มือเรียวสั่นเทาด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ “พระสนม ท่านเดินตามลำธารไปเรื่อยๆ จะพบกับหน่วยลาดตระเวน กระหม่อม…อึก” ใบหน้าหล่อเหลาเบือนหนีดวงหน้างดงามที่อยู่ใกล้เพียงช่วงหนึ่งลมหายใจ ยิ่งนางอยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นพิษในกายให้ออกฤทธิ์มากเท่านั้น “ใต้เท้าหมิง ข้าจะทิ้งท่านได้อย่างไร เพราะช่วยข้า ท่านถึงต้องเป็นเช่นนี้” อิงอี้หรานยังคงดื้อดึง มือนุ่มช่วยเช็ดเหงื่อที่ไหลลงตามกรอบหน้าอย่างแผ่วเบา ดวงตาหงส์เงยขึ้นมาสบตาอีกคน เพื่อยืนยันว่านางไม่มีวันทิ้งเขา วินาทีนั้นเองที่ความอดทนของผู้ขึ้นชื่อว่ารูปสลักน้ำแข็งพังทลาย ดวงใจกร้าวแกร่งกระตุกไปหนึ่งจังหวะ ฟางเส้นสุดท้ายกำลัง
เพล้ง!! แก้วกระเบื้องเนื้อดีถูกปาลงบนพื้นจนเศษเล็กเศษน้อยแตกกระจาย สตรีผู้มีใบหน้างดงามบัดนี้กลับมิน่าดูชมนัก อารมณ์เกรี้ยวโกรธของนางทำให้สาวรับใช้หวาดผวา หมอบลงกับพื้นด้วยร่างอันสั่นเทา “ใจเย็นก่อนเถิดชิงเอ๋อร์” สตรีวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องที่คล้ายเพิ่งถูกมรสุมพัดพา ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้น นางคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของอิงเยว่ชิง ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมพระคลัง “จะให้ลูกใจเย็นได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อลูกถูกถอนหมั้น ซ้ำยังเป็นราชโองการจากองค์จักรพรรดิ หากข่าวนี้แพร่ออกไป ท่านแม่จะให้ชิงเอ๋อร์เอาหน้าไปไว้ที่ใด” อิงเยว่ชิงตวัดตามองมารดา ดวงตาคลอหยาดน้ำแดงก่ำ เสียใจไม่เท่าเสียหน้า ซ้ำยังถูกท่านพ่อตำหนิหาว่าเป็นเพราะนางบกพร่อง ใต้เท้าหมิงจึงได้ถอนหมั้นกับนาง ซ้ำยังใช้วิธีการตบหน้าคนโดยไม่ใช้มือ ทว่าเจ็บแสบยิ่งกว่าเสียอีก “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวล แม่จะหาทางช่วยเจ้าให้ได้” ฟางเหนียงเข้าไปโอบกอดบุตรี มือลูบศีรษะหวังปลอบประโลม ภายในใจกำลังครุ่นคิดถึงแผนการที่จะทำให้ลูกสาวของนางได้แต่งเข้าจวนตร
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีโรมรันพันตู เงาโยกขยับไหวทาบลงบนผ้าม่านโดยมีแสงจากเชิงเทียนเป็นแหล่งกำเนิด เสียงครวญครางรัญจวนผสานไปกับเสียงเสียดสีของขาเตียงที่กระทบพื้น ก่อเกิดเป็นบทเพลงสวาทคละคลุ้งไปกับกลิ่นหอมของกำยาน เนิ่นนานกว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบหนักของผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นความหฤหรรษ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงโปร่งมีมัดกล้ามพองามวาดแขนโอบประคองสตรีของจักรพรรดิไว้ในอ้อมแขนอย่างมิเกรงกลัวอาญา เขาก้มลงจุมพิตหน้าผากนางก่อนจะบอกเรื่องสำคัญ “เรื่องอะไรงั้นหรือ” ‘เจียวเหม่ย’ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นางแอบมีสัมพันธ์ลับหลังพระสวามี หลายปีมานี้นางมีความสุขได้ก็เพราะเขา นางอดทนมาโดยตลอดเพื่อบุตรชายเพียงคนเดียวท้ายที่สุดจักรพรรดิกลับแต่งตั้งองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท ทั้งที่เขาเคยรับปากว่าจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหลิวจิ้นอันซึ่งเป็นบุตรชายคนโต “องค์จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พรุ่งนี้องค์รัชทายาทจะประกาศเรื่องนี้แก่สาธารณชน และในอีกสิบวันให้หลังจะเป็นวันราชาภิเษกพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าควรจะทำเช
แก้วชาในมือตกกระแทกพื้นแตกละเอียด ร่างอรชรในชุดสูงศักดิ์ซวนเซนั่งลงบนตั่งเตียง ทันทีที่นางทราบข่าวว่ามี ราชโองการแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท ซ้ำเพลานี้ยังได้เป็นผู้ว่าราชการแทนองค์จักรพรรดิที่ประชวรกะทันหัน “ประชวรอย่างนั้นหรือ หึ!! ประชวรหรือทรงพระเกษมสำราญอยู่กันแน่” พระนางแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาหงส์รื้นน้ำแดงก่ำด้วยความคับแค้นในอก เล็บยาวจิกลงกลางฝ่ามืออย่างอดกลั้น ริมฝีปากแต้มสีชาดสั่นระริกไปด้วยแรงอารมณ์ “สิ่งที่ข้าพยายามมากำลังจะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ” นางอดทนมากเพียงไรมีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้ อดทนยามลึงค์มังกรแทรกเข้ามาในร่าง ตอนนั้นนางแทบขาดใจตายเสียตรงนั้น แม้มันจะเข้ามาไม่สุดเนื่องด้วยร่างกายของนางมีข้อจำกัด ทว่าก็ไม่มีสตรีนางใดกลืนกินท่อนลึงค์ใหญ่ยาวนั้นได้มากเท่านาง เช่นนี้นางจึงเป็นที่โปรดปราน รั้งตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยโดยมิมีผู้ใดขึ้นมาแทนที่ได้ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่มอบความสุขให้ องค์จักรพรรดิได้มากกว่าผู้ใด เป็นสิ่งเดียวที่นางเหนือกว่าฮองเฮา เหตุใดวันนี้จึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า “เป็นผู้ใดกัน ที่ทำให้
ขุนนางคนแล้วคนเล่าก้าวออกมากล่าวรายงานตามหน้าที่ ขณะที่นางเองก็กำลังถูกท่อนลำมังกรแข็งขืนแลร้อนผ่าวขยับเข้าออกในร่าง ตั้งแต่ได้สบตากับพวกเขา นางก็ไม่มีหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้ใดได้อีก อิงอี้หรานไม่อาจทนไหวอีกต่อไป นางทรุดลงกับพื้นขณะที่ร่างสูงใหญ่เองก็ตามประกบไม่ห่าง ลำลึงค์ถูกถอนออกไปจนเกือบหลุดออกจากกลีบแดงช้ำ ก่อนจะถูกกระทุ้งเข้ามาเต็มแรง ร่างบางผวาเฮือกจิกเล็บลงกับพื้น นางอยู่ในท่านั่งกึ่งคุกเข่าเมื่ออ้อมแขนแกร่งช่วยพยุงอีกแรง เสียดสูดหายใจดังมาจากด้านล่างเมื่อเหล่าขุนนางต่างก็ลุ้นระทึกว่านางจะรองรับตัวตนของมังกรไหวหรือไม่ “อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า” ร่างที่รองรับความแข็งแกร่งกระตุกเกร็งรับน้ำเชื้อระลอกใหม่เข้ามา จักรพรรดิกอดเอวบางไว้แนบแน่นขณะปลดปล่อยเชื้อพันธุ์มังกรเข้าสู่ท้องของอิงอี้หราน หน้าท้องที่รองรับน้ำคาวนูนออกมาเมื่อมันถูกกักเก็บของเหลวไว้จนเต็ม “อ๊า…ซี้ด” เสียงครางสุขสมดังสะท้อนในท้องพระโรงอันเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้ใดกล้าหายใจแรง เสียงหายใจหอบกระเส่าจากกิจกรรมเข้าจังหวะจึงดังหนักหน่วง อิงอี้หรานถูกจับขึ้นมานั่งบน
“องค์ชายสามหลิวหานเฟิง เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาแลมากความสามารถด้านการรบ…ซี๊ด…อ๊า” ปลายพู่กันตวัดลงบนกระดาษสีขาว ตัวอักษรหนักแน่นมั่นคงทว่าหากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าบางช่วงกระหวัดเล็กน้อย จักรพรรดินั่งอยู่บนโต๊ะในห้องทรงงาน บนตักมีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น นางทำหน้าที่ฝนหมึก ทว่าร่างกายช่วงบนงองุ้ม ใช้ศอกทั้งสองข้างในการทรงตัวแลทำหน้าที่ได้มิขาดตกบกพร่อง “อึก…อ๊ะ…อ๊า” อิงอี้หรานครางเสียงเครือ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก กึ่งกลางกลีบบุปผาร้อนผ่าวเมื่อถูกเสียดสีเป็นเวลานาน รูเล็กแคบอ้าขยายกลืนกินท่อนลำมังกรตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจวบจนถึงกลางดึก “เปี่ยมคุณธรรมและมีความเป็นผู้นำ…อ๊า…เจ้าอยากให้ข้าเขียนว่าอะไรอีก” “หม่อมฉันมิบังอาจ…อ๊ะ…อ่ะ…แล้ว…อึก…แล้วแต่พระองค์เพคะ” อิงอี้หรานไม่อาจพูดได้เป็นประโยคนัก เมื่อนางกำลังถูกลำกายใหญ่ยาวสวนเข้าออกในร่าง ลำพังเพียงครองสติให้มั่นก็กินพลังชีวิตไปมากโข “อืม…ข้าว่าเขียนใหม่ดีกว่า…ชงหยวน…นำกระดาษม้วนใหม่มาให้ข้า” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ราชโองการม้วนแล้วม้วนเล่าถูกเปลี่ยนเมื่อจักรพรรดิยังคงไ
วันนี้อิงอี้หรานถูกจักรพรรดิเรียกพบในสวนของราชวัง รอบด้านไร้ซึ่งผู้คน กระทั่งขันทีคนสนิทยังไม่ได้ตามติดเป็นเงาเฉกเช่นทุกครั้ง จักรพรรดิไม่รอช้าขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่ถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอันร่มรื่น ชุดปักลายมังกรอันสูงศักดิ์ถูกแหวกออกเผยให้เห็นท่อนลึงค์ใหญ่ยาวตั้งฉากกับม้านั่ง อิงอี้หรานใบหน้าซีดเผือด จำความรู้สึกตอนที่มันเข้ามาในร่างจนสุดความยาวได้เป็นอย่างดี นางขยาดทว่าก็มิอาจขัดขืน จำใจก้าวเท้าเข้าหาให้วงแขนแข็งแรงยกร่างขึ้นนั่งบนตักในท่าหันหน้าเข้าหา รูเล็กกลางกลีบบุปผาถูกส่วนปลายของลำลึงค์จ่อ ก่อนที่สะโพกจะถูกกดลงมาทีละน้อยค่อยกลืนกินความยาวนั้นเข้าไป “ฝ่าบาท” อิงอี้หรานใช้แขนโอบรอบลำคอหนา ขณะที่จักรพรรดิปล่อยมือออกจากเอวบาง เลื่อนไปจับสายชิงช้าและทะยานขึ้นจากพื้นด้วยแรงส่งของเท้า “อ๊ะ…อะ…อ๊า” ใบหน้างดงามเชิดขึ้น ริมฝีปากอ้าครางเสียงหลง เมื่อจักรพรรดิมีคำสั่งให้นางนำมือออกจากคอเขาไปจับไว้ที่เชือกชิงช้า ยกขาขึ้นมาวางบนหน้าขาแกร่งในท่านั่งทับส้นแล้วกางออกเพื่อให้นางขย่มร่างเขาได้สะดวก สายลมปะทะใบหน
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…อึก…หม่อมฉัน” อิงอี้หรานใช้มือดันหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไว้ แม้อายุเลยเข้าเลขสี่ ทว่าวรกายขององค์เหนือหัวกลับยังคงแข็งแรงองอาจมิต่างจากบุตรชายเลย “อ่า…เจ้ายังทนไหวอิงอี้หราน ข้าจะเข้าไปจนสุด” สุรเสียงแหบพร่ากระซิบตอบ องค์เหนือหัวจับมือเล็กรวบขึ้นไว้เหนือศีรษะของนางด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ขณะที่ลำกายใหญ่ยาวเคลื่อนเข้าไปในกลีบบุปผาทีละนิด หน้าท้องแบนราบนูนขึ้นตามรูปร่างสิ่งที่กำลังสอดเข้ามาภายใน มันดุนขึ้นมาถึงท้องน้อย ลากยาวขึ้นไปจรดสะดือ “อื้อ…อึก…ฝ่าบาท ได้โปรด” อิงอี้หรานอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง นางรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์ รู้ดีว่าร่างกายของตนพิเศษกับเรื่องคาวโลกีย์มากเพียงไร กระนั้นก็ยังคงกลัวเมื่อเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ “บุตรชายของข้าบอกว่าเจ้ารับไหว เช่นนั้นจงรับเข้าไปให้หมดเสีย” ราวกับคำประกาศิต อิงอี้หรานไม่อาจขัดขืน นางนอนรอรับความเจ็บระคนจุกแน่นอย่างจำยอม มันทรมานราวกับตายทั้งเป็น ทว่าในเวลาต่อมาก็สุขสมระคนซ่านเสียวอย่างมิอาจควบคุม เมื่อลำลึงค์ของมังกรเข้ามาจ