เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่า
ทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติ
ฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะ
วันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่
วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
หญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัว
ขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหันมามองทางฉัน พร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร ฉันส่งยิ้มกลับไป แต่ทว่า...ฉันก็ยังคงไม่กล้าเข้าไปทักทายพวกเธอ เพราะพวกเธอดูราวกับอยู่คนละโลกกับฉันเลย
ในขณะที่ทุกวันของฉันดำเนินไปอย่างราบรื่น และพบเจอเด็กสาวคนนั้นเกือบทุกครั้งที่ไปห้องสมุด ฉันไม่เคยคิดเลยว่า จะมีช่วงเวลาที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวฉัน
ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันได้พบกับเขา ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล......
ความรักที่นำมาซึ่งความตาย
ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัย ขณะที่ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและการทำโปรเจกต์ที่ท้าทาย มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาในชีวิตฉัน
เขาชื่อว่า "ภูมิ" เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายเช่นกัน ภูมิเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลา มีเสน่ห์ในทุกการเคลื่อนไหว และเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในมหาวิทยาลัย
ภูมิเริ่มเข้ามาตีสนิทกับฉันในช่วงที่เราต้องทำโปรเจกต์ร่วมกัน เขามักจะมาช่วยเหลือฉันในเรื่องต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ใจดีและมีน้ำใจ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะสนใจฉันมากถึงขนาดนี้
เขาค่อย ๆ เข้ามาใกล้ชิดฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง
“ณัฐรินีย์ ผมชอบคุณนะ” เขาเอ่ยออกมาตรงๆ ในวันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย ใจของฉันเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก ฉันรู้สึกดีใจมากที่เขาคิดกับฉันแบบนี้
แต่ความสุขของฉันก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า “น้ำหวาน” เธอเป็นนักศึกษาปีเดียวกัน เธอเป็นคนสวยและมีความมั่นใจในตัวเองสูง
เมื่อเธอเริ่มสังเกตเห็นว่า ภูมิเริ่มสนใจฉันมากขึ้น ความมั่นใจของเธอก็เริ่มสั่นคลอน น้ำหวานเริ่มมาตามดูพฤติกรรมของภูมิและฉัน เธอเริ่มแสดงความหึงหวงอย่างรุนแรง
วันหนึ่ง น้ำหวานเข้ามาหาฉันในห้องสมุด เธอพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความโกรธ
เธอบอกว่าฉันเป็นคนที่ทำให้ภูมิเปลี่ยนไป และขอร้องให้ฉันเลิกยุ่งกับเขา
ฉันรู้สึกช็อกและเสียใจมาก ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว ฉันรีบไปบอกให้ภูมิเลิกยุ่งกับฉัน แต่เขากลับบอกว่าเขารักฉันมากกว่าแฟนของเขา
ไม่กี่วันต่อมา ข่าวร้ายก็เกิดขึ้น น้ำหวานฆ่าตัวตาย
หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันรู้สึกผิดมาก ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้เธอต้องตาย ฉันนอนไม่หลับ ฝันร้ายทุกคืน ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตามติดฉันอยู่ตลอดเวลา
คืนหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะรู้สึกหนาวสั่น ฉันมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ฉันพยายามจะหลับตาลงใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้ ฉันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่
"เธอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เธอทำ" เเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของฉัน เสียงนั้นเย็นยะเยือกและน่ากลัว
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีคนตามมองฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันฝันร้ายบ่อยครั้ง และบางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างหูในยามค่ำคืน ฉันเห็นเงาประหลาดเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ห้องฉัน
ฉันอยากจะหนีให้พ้นจากสภาพแบบนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้
แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่เด็กสาวคนนั้น...ทำให้โลกทัศน์ของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เงาอาฆาต
ในค่ำคืนหนึ่งที่ฉันต้องกลับจากการทำงานโปรเจกต์ที่ห้องสมุด ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ราวกับว่ามีคนหรืออะไรบางอย่างกำลังตามฉันอยู่ ทุกย่างก้าวของฉันรู้สึกหนักอึ้ง และหัวใจของฉันเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
“เธอ....เป็นเพราะเธอ...”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง ฉันหันกลับไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดและความเงียบสงบที่น่ากลัว
ทันใดนั้น ฉันรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ไหลลงสู่กระดูก ร่างของฉันแข็งทื่อและขาไม่ยอมขยับ ฉันพยายามจะวิ่ง แต่ก็ไม่สามารถขยับได้ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศทาง ฉันรู้ได้ทันที มันเป็นเสียงของน้ำหวาน
“เธอทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้!”
เสียงของเธอดังขึ้นด้วยความอาฆาต วิญญาณของน้ำหวานปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่ฉันไม่สามารถลืมได้
น้ำหวานยื่นมือออกมา และทันใดนั้นฉันก็รู้สึกถึงแรงบีบที่รอบคอ ฉันหายใจไม่ออก และมองไปรอบ ๆ ด้วยความสิ้นหวัง ไม่มีใครอยู่ที่นี่เพื่อช่วยฉัน
“หยุดนะ!!!”
เสียงของคนหนึ่งตวาดดังลั่น พร้อมกับแสงสว่างแวบหนึ่งปรากฎขึ้นมาตรงหน้า พร้อมกับเด็กสาวคนนั้นที่วิ่งตรงมาหาฉัน
“ปล่อยเธอไป” เด็กสาวคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ช่างกล้านักนะ” หญิงสาวสวยผมยาวสีขาวคนนั้นก็อยู่ด้วย เธอกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง พร้อมกับลูกไฟสีดำขนาดเล็ก ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของเธอ
น้ำหวานกรีดร้องเสียงดัง และถอยหนีเมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้น ฉันรู้สึกถึงแรงบีบที่รอบคอคลายลง และฉันก็หายใจได้อีกครั้ง
“เป็นไงมั่ง?” เด็กสาวคนนั้นก้มหน้าลงมาถามฉันที่เข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
“ทำไมเธอ...” น้ำตาของฉันไหลออกมา ฉันรู้สึกขอบคุณและโล่งใจอย่างที่สุด
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เด็กสาวคนนั้นยิ้มบางๆ
ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวสวยผมยาวสีขาว ยกมือขึ้นพร้อมกับพึมพำอะไรสักอย่างเป็นภาษาที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
“วิญญาณอย่างเจ้าไม่สมควรอยู่บนโลกนี้ เจ้าจะไปดีๆ หรือให้ข้าบังคับ”
“ไม่!! ฉันไม่ไป!” เสียงของน้ำหวานตวาดดังลั่น
“หึหึ ช่วยไม่ได้นะ ข้าจะส่งเจ้าไปนรกเอง”
หญิงสาวคนนั้นยิ้มอย่างเยือกเย็นและเหี้ยมโหด คำพูดที่เลวร้ายออกจากปากของหญิงสาวสวย เธอยกมือขึ้น ลูกไฟสีดำที่อยู่บนมือของเธอก็ลอยเข้าไปสู่วิญญาณของน้ำหวาน
ทันใดนั้น ลูกไฟสีดำขนาดเล็ก ก็ลุกเป็นเพลิงสีดำท่วมร่างวิญญาณของน้ำหวาน เปลวไฟสีดำลุกลามไปทั่วร่าง
“กรี๊ดดดดดดดดดด ไม่!!!”
น้ำหวานกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด เปลวไฟสีดำกำลังเผาไหม้ร่างวิญญาณของน้ำหวานจนเริ่มบิดเบี้ยวและหายไปทีละน้อย ไม่นานนักร่างของน้ำหวานก็เริ่มสลายหายไปในอากาศ จนสุดท้ายก็หายไปโดยสมบูรณ์
ฉันได้แต่นั่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ใครจะเชื่อกัน
“เรากลับกันเถอะ” เด็กสาวคนนั้นยิ้มและยื่นมือมาให้ฉัน
“อื้อ” ฉันทำได้แค่จับมือของเธอเท่านั้น
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื