เงาสีดำคืบคลาน
ในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมด
อาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศ
วิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้ง
พลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม
“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ
“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”
อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอน
ดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
อาเรียก้าวขึ้นมาขวางหน้าอาคิรา พลางปล่อยพลังความมืดออกมาเป็นเกราะป้องกัน แต่แรงของวิญญาณร้ายคุณเกศนั้นเกินคาด อาเรียรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้นทุกที แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ยืนหยัดเพื่อปกป้องอาคิราอย่างไม่ลดละ
“ฉันจะไม่หยุดแค่นี้ ฉันจะทำลายที่นี่ให้สิ้นซาก” วิญญาณคุณเกศพูดด้วยเสียงแหลมคม
“อาเรีย...” อาคิราเสียงสั่น เธอรู้สึกกลัวจนขาหมดแรงทรุดตัวลงนั่งที่พื้น
“ขอโทษที ข้าช่วยเจ้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้น แสงสว่างสีขาวสว่างจ้าได้พุ่งเข้ามาจากทางเดินที่อยู่เบื้องหลังของอาคิราและอาเรีย
แสงสีขาวนั้นเปล่งประกายอย่างสง่างาม คล้ายดาวดวงหนึ่งที่ส่องสว่างในท้องฟ้ายามค่ำคืน มันส่องผ่านความมืดมิดทั้งหมด ทำให้ทุกสิ่งที่เคยถูกความมืดกลืนกินกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รัศมีของแสงนั้นไม่เพียงแค่กระจายอยู่ในอากาศ แต่ยังสามารถสัมผัสถึงจิตใจของผู้ที่อยู่รอบข้าง ทำให้รู้สึกถึงความสงบและความหวัง
เมื่อแสงสีขาวนั้นสัมผัสกับวิญญาณร้ายของคุณเกศ เธอเริ่มรู้สึกถึงความเมตตาและความอบอุ่นที่ถูกกระจายออกมา ความเจ็บปวดและความโกรธที่เคยเกาะติดอยู่ในใจของเธอเริ่มจางหายไป แทนที่ด้วยความสงบและความสุขที่แท้จริง
วิญญาณร้ายของคุณเกศเริ่มสลายไปทีละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นอณูวิญญาณที่ลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ ร่างของคุณเกศกลายเป็นอณูวิญญาณที่บริสุทธิ์และสลายไปในที่สุด
อาคิราและอาเรียตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกระทันหัน
“ถึงได้บอกไงว่า อย่าทำอะไรเกินตัว”
เสียงเข้มของชายหนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้น ไม่นานนักร่างของเขาก็ปรากฎขึ้นจากทิศทางที่แสงสว่างนั้นส่องมา บนมือของเขามีแสงสีขาวที่มีรูปร่างเหมือนผีเสื้อตัวเล็กๆ โบยบินอยู่และกำลังเริ่มจางหายไป
“กฤต....” อาคิราคราง
“เธอนี่น่าตีจริงๆ เลยนะ”
กฤตินไม่พูดเปล่า เขาตรงเข้าไปอุ้มหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดทันที
“ก็ฉัน...”
“ยังจะพูดอีก” กฤตินดุ ทำให้อาคิราสงบปากทันที
กฤตินอุ้มร่างของหญิงสาวตรงไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังของโรงแรม เขาเหลือบมองอาเรียและยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินจากไป
“เจ้านั่น เห็นข้าเรอะ?” อาเรียขมวดคิ้วด้วยความขุ่นมัว
การลงโทษที่แสนหวาน
ภายในสวนดอกไม้ที่อยู่หลังโรงแรม ดอกไม้หลากสีส่งกลิ่นหอมหวนในอากาศ สายลมพัดเบาๆ สร้างบรรยากาศโรแมนติก แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังดอกไม้ ทำให้ราวกับอยู่ในเทพนิยาย
กฤตินอุ้มอาคิราเดินตรงเข้าไปยังส่วนลึกของสวนดอกไม้ ที่ซึ่งมีพื้นที่ลับเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีใครมองเห็น ท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน อาคิรารู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนของกฤติน แต่ยังคงสงสัยในสิ่งที่เขากำลังทำ
เมื่อมาถึงจุดหมาย กฤตินวางอาคิราลงเบาๆ บนพื้นหญ้านุ่ม ที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยความรักและห่วงใย
“รู้มั้ยว่าทำให้ฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน” กฤตินพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“ฉันขอโทษ ฉันคิดว่า ฉันเอาอยู่อะ” อาคิรากล่าวอย่างรู้สึกผิด
“รู้มั้ยว่า เด็กดื้อต้องโดนทำโทษน่ะ” กฤตินกระซิบที่ข้างหูและยิ้มเจ้าเล่ห์
“ห๊ะ?” อาคิราเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้างุนงง
กฤตินไม่พูดอะไรอีก เขาค่อยๆ โน้มตัวลงจูบอย่างแผ่วเบา แต่ลึกซึ้ง ความอบอุ่นและความรักที่เขาส่งผ่านมาทำให้อาคิรารู้สึกสั่นไหวในใจ
จูบของกฤตินเริ่มร้อนแรงขึ้น มือของเขาลูบไล้ที่แก้มของอาคิรา ก่อนที่จะเลื่อนลงไปที่เอวของเธอ อาคิรารู้สึกถึงความอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความปรารถนาแรงกล้า เธอไม่สามารถต้านทานได้ และก็ไม่ต้องการต้านทานอีกต่อไป
กฤตินค่อยๆ กดร่างของอาคิราลงกับพื้นหญ้า เขาจูบเธออย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากของเขากดลงบนเธออย่างหนักแน่น และเต็มไปด้วยความปรารถนา มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของเธออย่างอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มข้นของอารมณ์
อาคิรารู้สึกถึงความร้อนแรงที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ ความรู้สึกที่ถูกครอบงำด้วยความรักและความปรารถนาที่ไม่สามารถต้านทานได้ เธอปล่อยให้กฤตินนำทางและสัมผัสทุกๆ ส่วนของเธอ
เสียงของลมหายใจที่กระชั้นขึ้น และหัวใจที่เต้นแรงของทั้งสองคนทำให้บรรยากาศรอบๆ เหมือนหยุดนิ่ง ทุกอย่างดูเหมือนจะถูกลืม ยกเว้นความรู้สึกที่มีต่อกันและกัน
“โทษฐานที่เธอทำให้ฉันเป็นห่วง” กฤตินถอนจูบ และมองไปที่อาคิราด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนา
“ถ้าโทษแบบนี้ ฉันยอมรับได้” อาคิรายิ้มอย่างเขินอาย
กฤตินหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะดึงอาคิราเข้ามากอดไว้แนบแน่น
“ฉันชอบเธอ” กฤตินกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“ฉันก็....ชอบคุณ” อาคิราซุกหน้าที่อกของเขา และพึมพำงึมงำด้วยความเขินอาย
“ฉันรู้” กฤตินหัวเราะ
พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นในสวนดอกไม้ที่สวยงาม ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง และความรักที่เปล่งประกายอยู่ในใจ
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ
ความลับที่ถูกซ่อนเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เวลาเลิกงาน อาคิราก็เก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะณัฐรินีย์ต้องอยู่ช่วยงานออกแบบของธีรเทพหลังเลิกงานทุกวัน เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทธีรเทพแล้วหญิงสาวเดินออกจากออฟฟิศและกดลิฟท์ลงไปยังชั้นหนึ่ง อาคิราเผลอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยไม่รู้ตัวว่า ในเงามืดของทางเดินมีใครบางคนกำลังรออยู่“เฮ้ คุณ”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับไปมอง ก้องเกียรติยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมีความกังวลเล็กน้อย“คุณนี่เอง” อาคิรานึกออกทันทีว่าเขาคือแฟนของญาณวดี“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ก้องเกียรติมองหน้าอาคิรานิ่ง“คาเฟ่ชั้นหนึ่งยังเปิดอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน”ทั้งสองคนเดินไปยังคาเฟ่ชั้นหนึ่งของตึก อาคารที่เต็มไปด้วยคนเดินขวักไขว่ แต่บรรยากาศในคาเฟ่กลับเงียบสงบอย่างประหลาด พวกเขาเลือกที่นั่งมุมหนึ่งที่เงียบสงบ“ผมมีเรื่องอยากถามสองเรื่อง” ก้องเกียรติเริ่มต้นก่อนหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว“หนึ่ง เรื่องญาณวดีที่คุณพูดหมายความว่ายังไง สองคุณรู้ได้ยังไงว
ความลับของญาณวดีในค่ำคืนที่เงียบสงบและมืดมิด ญาณวดีเดินผ่านตรอกซอยแคบๆ ที่มืดทึบและเต็มไปด้วยความลึกลับ ความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่นกระจายไปทั่วใจเธอ แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและอันตราย แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้ามาเมื่อเธอถึงหน้าประตูไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามานาน เธอเคาะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ประตูค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยชราคนหนึ่ง ผู้มีดวงตาลึกลับและน่ากลัวที่มองตรงมาที่เธอ“คือฉัน...”“เข้ามาสิ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นญาณวดีพยักหน้าเบาๆ และเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องที่มืดและเต็มไปด้วยกลิ่นธูปและสมุนไพรลอยอวล ญาณวดีเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ใจเธอเต้นรัวไปด้วยความกล้าและความกลัวเสียงกระพือของลมเย็นยามค่ำคืนดังแทรกเข้ามาในห้อง แสงเทียนวับวาวสะท้อนเงามืดที่ดูน่ากลัว“มาแล้วหรือ?”เสียงแหบพร่าของหมอผีดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง เขานั่งอยู่บนเบาะเก่า ๆ ในสภาพที่ดูราวกับออกมาจากฝันร้าย ผมยาวสีดำนั้นยุ่งเหยิงและแววตาสะท้อนแสงเทียนจ้องมองมาที่ญาณวดี“ฉันมาขอความช่วยเหลือค่ะ” ญาณวดีตอบเบา ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่จะได้สิ่งที่ต้องการ“เจ้าต้องการอะไร?” หมอผียิ้มอย่า
ณัฐรินีย์หลับตาเพื่อพักสายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไหร่นัก ธีรเทพกำลังจ้องมองโน้ตบุ๊คเบื้องหน้าของเขาด้วยสายตาจริงจัง แว่นกันแสงบลูไลท์ที่เขาใส่ ทำให้เขาดูเท่และสมกับเป็นนักธุรกิจยิ่งขึ้น“นี่คุณ” ณัฐรินีย์เอ่ยทำลายความเงียบ“หืม?” ธีรเทพตอบกลับโดยไม่ได้ละสายตาจากโน้ตบุ๊ค“คุณ...ไม่ต้องพากานต์รวีไปเที่ยวบ้างเหรอ?”“....” มือของธีรเทพชะงักไป ก่อนจะหันมามองหญิงสาวที่จ้องมองเขาด้วยความสงสัย“ไม่อะ” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ“เอ้า ทำไมอะ?”“รวีไปกับชัญญาน่ะ” ธีรเทพตอบอย่างไม่ใส่ใจ“ห๊ะ?” ณัฐรินีย์ยิ่งแปลกใจมากขึ้น“ตั้งแต่รวีเจอกับชัญญา รวีก็แทบไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนมากจะไปกับชัญญาตลอด” ธีรเทพตอบด้วยท่าทางไม่เดือดร้อน“นี่คุณ ที่คุณพูดมา มันแปลกไม่ใช่เหรอ? เป็นสามีภรรยากัน มีอย่างที่ไหนไปกับเพื่อน?” ณัฐรินีย์ขมวดคิ้ว“อืม...ไม่รู้สิ ผมก็พยายามหาคำตอบอยู่”“แล้วคุณไม่เดือดร้อนเหรอ? โดนเพื่อนภรรยาแย่งเวลาไปหมดแบบนี้น่ะ” ณัฐรินีย์ชะโงกหน้าเข้าไปจ้องมองราวกับจะอ่านความรู้สึกของธีรเทพ“ไม่นะ เพราะผมได้ทำงานเต็มที่ ที่สำคัญ....” ธีรเทพหันไปมองตาณัฐรินีย์“ผมได้เจอคุณ