ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ
ความลับที่ถูกซ่อนเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เวลาเลิกงาน อาคิราก็เก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะณัฐรินีย์ต้องอยู่ช่วยงานออกแบบของธีรเทพหลังเลิกงานทุกวัน เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทธีรเทพแล้วหญิงสาวเดินออกจากออฟฟิศและกดลิฟท์ลงไปยังชั้นหนึ่ง อาคิราเผลอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยไม่รู้ตัวว่า ในเงามืดของทางเดินมีใครบางคนกำลังรออยู่“เฮ้ คุณ”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับไปมอง ก้องเกียรติยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมีความกังวลเล็กน้อย“คุณนี่เอง” อาคิรานึกออกทันทีว่าเขาคือแฟนของญาณวดี“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ก้องเกียรติมองหน้าอาคิรานิ่ง“คาเฟ่ชั้นหนึ่งยังเปิดอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน”ทั้งสองคนเดินไปยังคาเฟ่ชั้นหนึ่งของตึก อาคารที่เต็มไปด้วยคนเดินขวักไขว่ แต่บรรยากาศในคาเฟ่กลับเงียบสงบอย่างประหลาด พวกเขาเลือกที่นั่งมุมหนึ่งที่เงียบสงบ“ผมมีเรื่องอยากถามสองเรื่อง” ก้องเกียรติเริ่มต้นก่อนหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว“หนึ่ง เรื่องญาณวดีที่คุณพูดหมายความว่ายังไง สองคุณรู้ได้ยังไงว
ความลับของญาณวดีในค่ำคืนที่เงียบสงบและมืดมิด ญาณวดีเดินผ่านตรอกซอยแคบๆ ที่มืดทึบและเต็มไปด้วยความลึกลับ ความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่นกระจายไปทั่วใจเธอ แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและอันตราย แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้ามาเมื่อเธอถึงหน้าประตูไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามานาน เธอเคาะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ประตูค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยชราคนหนึ่ง ผู้มีดวงตาลึกลับและน่ากลัวที่มองตรงมาที่เธอ“คือฉัน...”“เข้ามาสิ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นญาณวดีพยักหน้าเบาๆ และเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องที่มืดและเต็มไปด้วยกลิ่นธูปและสมุนไพรลอยอวล ญาณวดีเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ใจเธอเต้นรัวไปด้วยความกล้าและความกลัวเสียงกระพือของลมเย็นยามค่ำคืนดังแทรกเข้ามาในห้อง แสงเทียนวับวาวสะท้อนเงามืดที่ดูน่ากลัว“มาแล้วหรือ?”เสียงแหบพร่าของหมอผีดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง เขานั่งอยู่บนเบาะเก่า ๆ ในสภาพที่ดูราวกับออกมาจากฝันร้าย ผมยาวสีดำนั้นยุ่งเหยิงและแววตาสะท้อนแสงเทียนจ้องมองมาที่ญาณวดี“ฉันมาขอความช่วยเหลือค่ะ” ญาณวดีตอบเบา ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่จะได้สิ่งที่ต้องการ“เจ้าต้องการอะไร?” หมอผียิ้มอย่า
ณัฐรินีย์หลับตาเพื่อพักสายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไหร่นัก ธีรเทพกำลังจ้องมองโน้ตบุ๊คเบื้องหน้าของเขาด้วยสายตาจริงจัง แว่นกันแสงบลูไลท์ที่เขาใส่ ทำให้เขาดูเท่และสมกับเป็นนักธุรกิจยิ่งขึ้น“นี่คุณ” ณัฐรินีย์เอ่ยทำลายความเงียบ“หืม?” ธีรเทพตอบกลับโดยไม่ได้ละสายตาจากโน้ตบุ๊ค“คุณ...ไม่ต้องพากานต์รวีไปเที่ยวบ้างเหรอ?”“....” มือของธีรเทพชะงักไป ก่อนจะหันมามองหญิงสาวที่จ้องมองเขาด้วยความสงสัย“ไม่อะ” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ“เอ้า ทำไมอะ?”“รวีไปกับชัญญาน่ะ” ธีรเทพตอบอย่างไม่ใส่ใจ“ห๊ะ?” ณัฐรินีย์ยิ่งแปลกใจมากขึ้น“ตั้งแต่รวีเจอกับชัญญา รวีก็แทบไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนมากจะไปกับชัญญาตลอด” ธีรเทพตอบด้วยท่าทางไม่เดือดร้อน“นี่คุณ ที่คุณพูดมา มันแปลกไม่ใช่เหรอ? เป็นสามีภรรยากัน มีอย่างที่ไหนไปกับเพื่อน?” ณัฐรินีย์ขมวดคิ้ว“อืม...ไม่รู้สิ ผมก็พยายามหาคำตอบอยู่”“แล้วคุณไม่เดือดร้อนเหรอ? โดนเพื่อนภรรยาแย่งเวลาไปหมดแบบนี้น่ะ” ณัฐรินีย์ชะโงกหน้าเข้าไปจ้องมองราวกับจะอ่านความรู้สึกของธีรเทพ“ไม่นะ เพราะผมได้ทำงานเต็มที่ ที่สำคัญ....” ธีรเทพหันไปมองตาณัฐรินีย์“ผมได้เจอคุณ
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี
กฤตินยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างไทยและเขมร สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้สูงในป่าทึบที่ล้อมรอบเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงัดและเคร่งเครียด สถานที่นี้เงียบเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าข้างกายของกฤติน โซระวิญญาณเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน โซระดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เขามีปีกสีดำที่ใหญ่โอบล้อมรอบตัวเล็กน้อย ราวกับเตรียมปกป้องกฤตินจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงอีกด้านหนึ่ง อาเรีย วิญญาณเทพพิทักษ์ของอาคิรา เดินตามติดกฤตินอย่างใกล้ชิด แต่ต่างจากโซระที่เป็นเทพแห่งแสงสว่าง อาเรียคือเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ทรงพลัง เธอมีพลังที่รุนแรงและดุดัน ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความหิวกระหายในการทำลายล้าง ใบหน้าของเธอดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น พร้อมที่จะบวกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าอาเรียไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ธรรมดา เธอคือเทพเจ้าที่มีพลังแห่งความมืดและการทำลายล้างอย่างแท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาคิรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยจัดการวิญญาณที่แข็งแกร่ง หรือปกป้องยามเธอมี
กลางคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของกฤติน กลับเต็มไปด้วยความกังวลในใจของอาคิรา เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะกำลังแปรงผมยาวสลวยของตัวเอง แสงไฟจากโคมเล็กๆ ส่องแสงอ่อนๆ ให้เห็นเงาสะท้อนของเธอในกระจก จิตใจของเธอกำลังหมุนวนไปกับความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้การต่อสู้กับหมอผีเขมรอย่างยงซาน เป็นสิ่งที่เธอกังวล แม้ว่ากฤตินจะบอกให้เธอวางใจว่าเขาสามารถจัดการได้ แต่ในใจของเธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ เธอรู้ว่าการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่อยากให้เขาไปเผชิญหน้าเพียงลำพังเสียงน้ำหยดลงจากฝักบัวในห้องน้ำข้างๆ หยุดลง กฤตินเพิ่งอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย โชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยงาม เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนแข็งแรงของเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับอาคิรา แม้ว่าความกังวลยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอ“เป็นอะไร?” กฤตินจรดริมฝีปากที่ซอกหูของเธอ เสียงนุ่มนวลของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง เธอวางแปรงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองเงาสะท้อนของเขาในกระจก“ฉันจะไปด้วย” อาคิราพูดอย่างหนักแน่นกฤตินมองเธอในกระจก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเ
“อึ๊..อ๊า...”เสียงหอบหายใจสะท้านก้องไปทั่วห้องที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งมนตร์ดำ หมอผียงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีชัญญานั่งคร่อมร่างของเขาอยู่ เธอกำลังโยกร่างกายส่วนล่างของเธอบดเบียดกับเขา“อื้ม..ดี..แรงอีกหน่อย...” หมอผียงซานพึมพำเสียงกระเส่า ใช้ฝ่ามือดันหลังของชัญญาให้แอ่นขึ้น พลางลากเรียวลิ้นไปบนยอดอกที่ชูชันของเธอ มืออีกข้างคลึงเคล้นหน้าอกของเธอ“อื้ม..อ๊ะ..เสียวจัง..” ชัญญาเสียวสะท้าน ครางกระเส่า บั้นท้ายของเธอบดขยี้และขยับเร็วขึ้น“อ๊ะ..อ๊า....”ไม่นานเสียงครางที่สุขสมของทั้งสองคนก็ดังขึ้น ชัญญาเกร็งร่างกระตุกก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง สองแขนยังคงโอบคอของเขา“ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับเอกวัฒน์” หมอผียงซานกระซิบข้างหูชัญญา“.....” ชัญญาดันตัวขึ้นมองหน้าหมอผีหนุ่ม“ถ้าไม่ทำ ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า” หมอผียงซานพูดเสียงเรียบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของเธอ“เจ้าเสียดายเขารึ?” หมอผียงซานมองนิ่ง ขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามเนินอกของเธอชัญญายิ้มเยือกเย็น สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อเอกวัฒน์ คนที่เธอเคยหลงใหลและหมายปอง ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเป