ความลับในห้องนอน
ในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวล
นอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติก
กฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน
“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา
“เปล่า”
กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน
“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ
“.....”
อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา
“อ๊ะ”
กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ
“คืนนี้ไม่กลับบ้าน คุณอาจะว่ามั้ย?” กฤตินกระซิบข้างหูเบาๆ
“มะ..ไม่อะ..” อาคิราหน้าแดง ใจสั่น เพราะลมหายใจอุ่นๆ ของกฤตินรดอยู่ที่ข้างหู
“หืม...” กฤตินใช้จมูกคลอเคลียที่ข้างแก้มนุ่มของเธอ
“เอ่อ...ฉันบอกว่าไปค้างกับณัฐ” อาคิราตัวสั่นเล็กน้อย
“หึหึ เด็กไม่ดีนี่นา” กฤตินกระซิบข้างหู ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เอาล่ะ มาคุยกันหน่อยซิ” กฤตินเปลี่ยนท่าทางขยับตัวพิงกับหัวนอนด้านบน และกอดอาคิราไว้แนบอก
“อื้อ”
“เล่ามา” กฤตินถามด้วยท่าทางสบายๆ
“ฉันมีสัมผัสพิเศษ ฉันสามารถเห็นวิญญาณ และสื่อสารกับพวกเขาได้”
“ฉันรู้” กฤตินยิ้ม ไม่แสดงความแปลกใจ
“แล้ว...ฉันก็มี อาเรีย”
“อาเรีย?”
“อื้อ เธอเป็นวิญญาณเทพพิทักษ์ประจำตัวของฉัน ตั้งแต่จำความได้ เธอก็อยู่กับฉันมาตลอด”
อาคิราซบหน้ากับแผ่นอกของกฤติน ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
“พ่อของฉันเป็นคนไม่ดี ส่วนแม่ของฉันเป็นมิโกะอยู่ที่ศาลเจ้าประเทศญี่ปุ่น พ่อกับแม่พบกันที่นั่น และรักกันจนมีฉัน แต่ทางศาลเจ้าไม่ยอม บอกว่าความรักของพ่อและแม่เป็นสิ่งต้องห้าม พวกเขาไล่ล่าพ่อกับแม่ของฉัน จนแม่ของฉันตาย พ่อก็พาฉันย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทย”
“พอกลับมาอยู่ที่นี่ ฉันก็เจอกับอาเรีย เธอบอกว่าเธอเป็นวิญญาณเทพพิทักษ์ แต่ฉันว่า เธอเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายมากกว่า” อาคิราหัวเราะออกมาเบาๆ
“หืม ทำไมล่ะ?” กฤตินเอานิ้วเขี่ยปลายผมของอาคิราเล่น
“พลังของเธอดูไม่เหมือนพวกเทพพิทักษ์น่ะสิ แต่ว่าเธอก็ปกป้องฉันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าใครที่จะทำร้ายฉัน หรืออะไรก็ตาม เธอคอยช่วยฉันเสมอ”
“อืม ที่สำคัญเธอสวยมากเสียด้วยสิ” กฤตินเอ่ยลอยๆ
“ใช่ เอ๊ะ คุณเห็นเธอเหรอ?” อาคิรารู้สึกเอะใจ
“เธอคิดว่าไงล่ะ?” กฤตินยักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์
“ฮื้อ...ตาคุณแล้ว” อาคิรางอนแก้มป่อง ตัดบทเอาดื้อๆ
“หึหึ” กฤตินรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยขี้งอนคนนี้ เขาจูบไปที่หน้าผากของเธอ สูดลมหายใจลึก เขาหลับตาชั่วครู่ก่อนจะเปิดเผยความลับของตัวเอง
“อย่างที่เธอรู้ ฉันอยู่ในตระกูลเทวานุรักษ์ เป็นหนึ่งในตระกูลที่สืบทอดเชื้อสายจากเทพเจ้าเท็นงุของประเทศญี่ปุ่น สำหรับตระกูลของฉัน มีหน้าที่ปกป้องหนังสือหรืออะไรก็ตามที่บรรจุความรู้โบราณและความลับของจักรวาล”
“สมาชิกในตระกูลทุกคนมีความสามารถมองเห็นวิญญาณได้ รวมไปถึงการมีพลังในการจัดการกับสิ่งชั่วร้ายได้”
“มิน่า คุณถึงจัดการกับวิญญาณร้ายของคุณเกศได้” อาคิรามองกฤตินด้วยความทึ่ง
“หึหึ นั่นก็ใช่ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งล่ะนะ” กฤตินหัวเราะ
“มีอะไรอีกอะ?” อาคิราจ้องมองกฤตินด้วยแววตาเป็นประกาย
“พอละ” กฤตินมองดวงตาสีอำพันที่จ้องมองเขาด้วยประกายตาวิบวับแล้วทำให้เขาเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว
“อ้าว อ๊ะ”
กฤตินพลิกตัว กดร่างของอาคิราลงบนเตียงที่อ่อนนุ่ม ใบหน้าของเขาห่างกับเธอเพียงแค่คืบ ลมหายใจอุ่นๆ ของกฤตินรดที่ใบหน้าของอาคิรา ทำให้เธอหน้าแดง
“เรามาต่อเรื่องของเราดีกว่า”
กฤตินยิ้มกริ่ม ใบหน้าที่มีแสงจันทร์ส่องตกกระทบทำให้เขาดูหล่อและมีเสน่ห์มาก
“.......”
อาคิรากระพริบตาถี่ๆ ความใกล้ชิดขนาดนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอเข้าใจความหมายของเขาเป็นอย่างดี
กฤตินยิ้มให้อาคิรา ดวงตาของเขาสะท้อนแสงเทียนและแสงจันทร์ ทำให้ดูมีประกายราวกับดวงดาว เขาโน้มตัวไปและจูบอาคิราเบาๆ ที่ริมฝีปากย่างอ่อนโยน สัมผัสของเขาหวานละมุนเหมือนกลิ่นของเทียนหอมที่เติมเต็มบรรยากาศ นาทีนั้นดูเหมือนเวลาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากที่สัมผัสกันอย่างช้าๆ แต่ทว่าเต็มไปด้วยความร้อนแรงที่ซ่อนอยู่
อาคิราตอบรับจูบของกฤตินด้วยความเต็มใจ มือของเธอเลื่อนไปจับที่คอของเขาและดึงเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น หัวใจของทั้งสองคนเต้นแรงและเร็วขึ้นตามจังหวะจูบที่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความปรารถนา
กฤตินค่อย ๆ เอนอาคิราลงบนเตียง ผมของเธอแผ่กระจายอยู่บนหมอน เขาหยุดจูบและมองดูใบหน้าของเธอที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์และแสงเทียน ความงดงามและเสน่ห์ของอาคิราทำให้กฤตินไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ เขาก้มลงมาจูบที่ลำคอของเธอ ไล่ลงไปที่ไหล่และอก ทำให้อาคิราครางเบา ๆ ผสมกับลมหายใจที่หนักหน่วงและเต็มไปด้วยความรู้สึก
มือของกฤตินเริ่มสำรวจร่างกายของอาคิรา ลูบไล้ไปตามเส้นโค้งของเธออย่างช้า ๆ และอ่อนโยน อาคิรารู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่ส่งผ่านจากการสัมผัสของเขา เธอไม่สามารถต้านทานความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไป
อาคิราเคลื่อนตัวเข้าหากฤตินมากขึ้น การจูบเริ่มกลายเป็นความร้อนแรงเมื่อริมฝีปากของพวกเขาขยับสัมผัสกันอย่างลึกซึ้ง
แสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ ทำให้เงาของพวกเขาทำหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การสัมผัสที่ลึกซึ้งและร้อนแรงของพวกเขาทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ในขณะที่มือของอาคิราเลื่อนไปสัมผัสกับผิวกายของกฤตินอย่างนุ่มนวลและแน่นแฟ้น ความอบอุ่นจากการสัมผัสที่ลึกซึ้งทำให้ทั้งคู่รู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ยิ่งใหญ่
จังหวะของการจูบช้าลงอย่างเต็มที่ พวกเขาหลับตาลงเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกที่แท้จริงในขณะนี้ มือของกฤตินแทรกซึมไปตามแนวร่างของอาคิรา การสัมผัสของเขาค่อย ๆ พาอาคิราไปสู่โลกแห่งความสุขที่เต็มไปด้วยความรักและความเร่าร้อน
เมื่อร่างกายของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลและประสานกัน การเต้นของหัวใจของพวกเขาก็เริ่มสอดประสานกัน ความรู้สึกของความรักที่ร้อนแรงและความใกล้ชิดยิ่งทำให้ทุกสิ่งรอบตัวจางหายไป ปล่อยให้การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและซาบซึ้งใจนี้เป็นจุดเด่นของค่ำคืนที่เป็นของพวกเขา
แสงจันทร์และแสงเทียนยังคงล้อมรอบพวกเขา ราวกับเป็นพยานที่เงียบสงบต่อความรักที่ลึกซึ้งและร้อนแรงของกฤตินและอาคิรา ในที่สุดความร้อนแรงของค่ำคืนนี้ก็ค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นและความสงบที่พวกเขาพบเจอได้ในวงแขนของกันและกัน
ค่ำคืนที่แสนหวานและโรแมนติกนี้ เป็นค่ำคืนที่ทั้งคู่รอคอยมานาน และพวกเขาก็กำลังใช้เวลาให้คุ้มค่ากับที่เฝ้ารอ
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ
ความลับที่ถูกซ่อนเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เวลาเลิกงาน อาคิราก็เก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะณัฐรินีย์ต้องอยู่ช่วยงานออกแบบของธีรเทพหลังเลิกงานทุกวัน เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทธีรเทพแล้วหญิงสาวเดินออกจากออฟฟิศและกดลิฟท์ลงไปยังชั้นหนึ่ง อาคิราเผลอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยไม่รู้ตัวว่า ในเงามืดของทางเดินมีใครบางคนกำลังรออยู่“เฮ้ คุณ”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับไปมอง ก้องเกียรติยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมีความกังวลเล็กน้อย“คุณนี่เอง” อาคิรานึกออกทันทีว่าเขาคือแฟนของญาณวดี“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ก้องเกียรติมองหน้าอาคิรานิ่ง“คาเฟ่ชั้นหนึ่งยังเปิดอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน”ทั้งสองคนเดินไปยังคาเฟ่ชั้นหนึ่งของตึก อาคารที่เต็มไปด้วยคนเดินขวักไขว่ แต่บรรยากาศในคาเฟ่กลับเงียบสงบอย่างประหลาด พวกเขาเลือกที่นั่งมุมหนึ่งที่เงียบสงบ“ผมมีเรื่องอยากถามสองเรื่อง” ก้องเกียรติเริ่มต้นก่อนหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว“หนึ่ง เรื่องญาณวดีที่คุณพูดหมายความว่ายังไง สองคุณรู้ได้ยังไงว
ความลับของญาณวดีในค่ำคืนที่เงียบสงบและมืดมิด ญาณวดีเดินผ่านตรอกซอยแคบๆ ที่มืดทึบและเต็มไปด้วยความลึกลับ ความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่นกระจายไปทั่วใจเธอ แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและอันตราย แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้ามาเมื่อเธอถึงหน้าประตูไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามานาน เธอเคาะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ประตูค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยชราคนหนึ่ง ผู้มีดวงตาลึกลับและน่ากลัวที่มองตรงมาที่เธอ“คือฉัน...”“เข้ามาสิ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นญาณวดีพยักหน้าเบาๆ และเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องที่มืดและเต็มไปด้วยกลิ่นธูปและสมุนไพรลอยอวล ญาณวดีเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ใจเธอเต้นรัวไปด้วยความกล้าและความกลัวเสียงกระพือของลมเย็นยามค่ำคืนดังแทรกเข้ามาในห้อง แสงเทียนวับวาวสะท้อนเงามืดที่ดูน่ากลัว“มาแล้วหรือ?”เสียงแหบพร่าของหมอผีดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง เขานั่งอยู่บนเบาะเก่า ๆ ในสภาพที่ดูราวกับออกมาจากฝันร้าย ผมยาวสีดำนั้นยุ่งเหยิงและแววตาสะท้อนแสงเทียนจ้องมองมาที่ญาณวดี“ฉันมาขอความช่วยเหลือค่ะ” ญาณวดีตอบเบา ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่จะได้สิ่งที่ต้องการ“เจ้าต้องการอะไร?” หมอผียิ้มอย่า
ณัฐรินีย์หลับตาเพื่อพักสายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไหร่นัก ธีรเทพกำลังจ้องมองโน้ตบุ๊คเบื้องหน้าของเขาด้วยสายตาจริงจัง แว่นกันแสงบลูไลท์ที่เขาใส่ ทำให้เขาดูเท่และสมกับเป็นนักธุรกิจยิ่งขึ้น“นี่คุณ” ณัฐรินีย์เอ่ยทำลายความเงียบ“หืม?” ธีรเทพตอบกลับโดยไม่ได้ละสายตาจากโน้ตบุ๊ค“คุณ...ไม่ต้องพากานต์รวีไปเที่ยวบ้างเหรอ?”“....” มือของธีรเทพชะงักไป ก่อนจะหันมามองหญิงสาวที่จ้องมองเขาด้วยความสงสัย“ไม่อะ” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ“เอ้า ทำไมอะ?”“รวีไปกับชัญญาน่ะ” ธีรเทพตอบอย่างไม่ใส่ใจ“ห๊ะ?” ณัฐรินีย์ยิ่งแปลกใจมากขึ้น“ตั้งแต่รวีเจอกับชัญญา รวีก็แทบไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนมากจะไปกับชัญญาตลอด” ธีรเทพตอบด้วยท่าทางไม่เดือดร้อน“นี่คุณ ที่คุณพูดมา มันแปลกไม่ใช่เหรอ? เป็นสามีภรรยากัน มีอย่างที่ไหนไปกับเพื่อน?” ณัฐรินีย์ขมวดคิ้ว“อืม...ไม่รู้สิ ผมก็พยายามหาคำตอบอยู่”“แล้วคุณไม่เดือดร้อนเหรอ? โดนเพื่อนภรรยาแย่งเวลาไปหมดแบบนี้น่ะ” ณัฐรินีย์ชะโงกหน้าเข้าไปจ้องมองราวกับจะอ่านความรู้สึกของธีรเทพ“ไม่นะ เพราะผมได้ทำงานเต็มที่ ที่สำคัญ....” ธีรเทพหันไปมองตาณัฐรินีย์“ผมได้เจอคุณ
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านตึกสูงระฟ้าในกรุงเทพฯ เสียงรถราและผู้คนพลุกพล่าน เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอีกหนึ่งวันทำงาน สำหรับชัญญา พนักงานสาวสวยฝ่ายการตลาด เช้าวันนี้เธอมีรอยยิ้มที่สดใส แฝงไว้ด้วยความทะเยอทะยาน และความมุ่งมั่นชัญญา เดินเข้ามาในบริษัท “Vivid Enterprise” ด้วยท่าทางสง่า เธอแต่งกายด้วยชุดเดรสสีแดงโดยสวมทับด้วยสูทสีดำเรียบหรู เส้นผมสลวยยาว ใบหน้าสวยคม ดวงตาเฉียบคม เธอเป็นที่หมายปองของผู้ชายในบริษัท แต่ชัญญาไม่เคยสนใจใคร เธอมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นคือการก้าวขึ้นสู่อำนาจ เป็นผู้หญิงที่เหนือกว่าใครๆภายในห้องทำงาน ชัญญาในชุดเดรสสีแดง นั่งทำงานอย่างขะมักเขม้น เธอจัดการเอกสารต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว และแม่นยำ เธอมองไปรอบๆ เห็นพนักงานคนอื่นๆ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่มีใครเก่งเท่าเธอ ชัญญารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เธอคิดว่าเธอสมควรได้รับตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก๊อก ก๊อก“เชิญค่ะ” ชัญญาตอบด้วยน้ำเสียงหวานใส“คุณญ่าคะ คุณเอกวัฒน์ว่างแล้วค่ะ” เลขาแจ้ง“ได้ค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ชัญญาตอบ รีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน จัดเอกสารให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไปก๊อก ก๊อก“ขออนุญาตค่ะ” ชัญญาบอกเสียงใส
ในบ้านหลังใหญ่ที่หรูหราภายในห้องนอนที่มืดมิด แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่าง เป็นประกายระยิบระยับ กานต์รวี นอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ดวงตาของเธอปิดสนิท แต่หัวใจของเธอดิ้นรนด้วยความปรารถนา เธอคิดถึงชัญญา หญิงสาวผู้จุดประกายไฟแห่งรักในตัวเธอกานต์รวี รู้จักชัญญามานานแล้ว ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันสมัยเรียนด้วยกัน ทั้งคู่เรียนห้องเดียวกัน ชอบทำกิจกรรมคล้ายๆ กัน กานต์รวี ชื่นชมในความสวยงามและความร่าเริงของชัญญา ในขณะที่ชัญญา ชื่นชอบในความฉลาดและความใจดีของกานต์รวี ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอกานต์รวีแอบหลงรักชัญญา เธอเกือบจะสารภาพรักกับชัญญา แต่เมื่อชัญญาพาแฟนหนุ่มที่หล่อเหลาและดูดีมาแนะนำให้รู้จัก กานต์วรีรู้สึกเสียใจ และต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้หลังเรียนจบ ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทำงานและไม่ได้ติดต่อกันอีก ในที่สุดกานต์รวีตัดสินใจแต่งงานกับชายหนุ่มที่ชื่อ ธีรเทพ เพื่อลืมความรักที่มีต่อชัญญา แต่ถึงแม้จะแต่งงานแล้ว กานต์รวีก็ยังไม่สามารถลืมชัญญาได้ เธอแอบติดตามชีวิตของชัญญาผ่านโซเชียลมีเดียอยู่เสมอจนกระทั่งวันหนึ่ง เหมือนสวรรค์เล่นตลกให้ชัญญามาสมัครงานที่บริษัท Vivid Ente
สัปดาห์ถัดมา ชัญญาได้เริ่มต้นทำงานใหม่ในตำแหน่งเลขาของเอกวัฒน์ เธอตั้งเป้าที่จะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความสามารถของเธอ และเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจที่เธอต้องการภายในห้องทำงานของเอกวัฒน์ชัญญา ทำงานอย่างขะมักเขม้น เธอจัดการเอกสารต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว และแม่นยำ เธอสามารถตอบคำถามของเอกวัฒน์ได้อย่างถูกต้อง และตรงประเด็น เอกวัฒน์รู้สึกประทับใจในความสามารถของชัญญามากขึ้นทุกทีในฐานะเลขาของเอกวัฒน์ ชัญญามีงานที่หนักขึ้น เธอต้องจัดการงานต่างๆ ให้กับเอกวัฒน์ ทั้งงานเอกสาร งานประชุม งานติดต่อลูกค้า ชัญญาทำงานอย่างคล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ เธอสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วเอกวัฒน์นั่งมองหญิงสาวทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง“นายคะ กาแฟค่ะ” ชัญญาเสิร์ฟกาแฟ พร้อมเปลี่ยนสรรพานามในการเรียกเอกวัฒน์ใหม่“ขอบคุณมาก คุณทำงานดีมาก ผมประทับใจจริงๆ” เอกวัฒน์ชม พร้อมกับจับมือของชัญญาไว้ เขามองเธอด้วยสายตาเจ้าชู้ และแรงปรารถนา“อ๊ะ..ถ้านายชอบ ญ่าก็ดีใจค่ะ” ชัญญามีท่าทีเขินอาย เธอพยายามดึงมือออก“คืนนี้คุณว่างมั้ย ?” เอกวัฒน์ยอมปล่อยมือ“ว่างค่ะ ทำไมเหรอคะ?” ชัญญาประสานมือไว้ด้
ในห้องทำงานหรูหราใจกลางคฤหาสน์เอกวัฒน์ นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังนุ่ม แสงไฟจากโคมระย้าส่องสว่างลงมาบนใบหน้าของเขา ในมือถือแก้วไวน์แดง จิบไปช้าๆ พลางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างค่ำคืนนี้ เอกวัฒน์รู้สึกเหงา และคิดถึงชัญญา เลขาคนสวย ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาจากดินเนอร์กับชัญญา บรรยากาศในร้านอาหารโรแมนติก แสงไฟสลัว เสียงเพลงคลอเบาๆชัญญา ดูสวยมากในชุดเดรสสีดำ เธอฉลาด พูดเก่ง ภาพชัญญายิ้มหวาน พูดคุยอย่างสนุกสนาน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว และรู้สึกหลงใหลในตัวชัญญา เขารู้สึกว่าเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขารู้จักเขารู้สึก...เหมือนหลงรักเธอเขารู้สึก..อยากกอด จูบเธอเขารู้สึก...อยากครอบครองเธอเอกวัฒน์ถอนหายใจยาว พักหลัง เขารู้สึกถึงความเย็นชาในความสัมพันธ์ของเขากับภรรยา เขาต้องการผู้หญิงที่สดใส มีชีวิตชีวา และทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเหมือนชัญญาเอกวัฒน์ วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังหน้าต่าง เขามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวระยิบระยับ เหมือนกับความฝันของเขาเขาฝันอยากจะมีความสุขกับชัญญาเอกวัฒน์กำหมัดแน่น เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องได้ตัวชัญญามาคร