การเตรียมตัวและการเดินทางเมื่อแสงแดดในช่วงบ่ายเริ่มลดความร้อนลงและท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพู สถานที่ที่เรียกว่า "หอสมุดลึกลับ" ยังคงเงียบสงัดและยิ่งใหญ่ในความมืดที่ค่อยๆ มาเยือนโซระ ยังคงยืนอยู่ที่ระเบียงของหอสมุด ลมหวิวผ่านพัดไปสะท้อนแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านปีกสีดำของเขาธีรเทพขับรถพาณัฐรินีย์มาถึงหน้าหอสมุด เมื่อรถของพวกเขาหยุดลงอย่างเงียบเชียบ หลังจากที่เดินทางจากเมืองไปยังหอสมุดลึกลับที่ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ธีรเทพในชุดลำลองที่สะอาดสะอ้าน ดูเหมือนจะเป็นคนที่พร้อมรับการเดินทางเสมอ ขณะที่ณัฐรินีย์ในชุดเรียบง่ายแต่ดูมีความคล่องแคล่วจัดเรียงสัมภาระในรถโซระยืนรออยู่ที่ระเบียง เขาอำพรางรูปร่างของเขาให้อยู่ในสภาพของมนุษย์ แว่นกันแดดสีดำเข้มบนใบหน้าทำให้เขายิ่งดูหล่อมากยิ่งขึ้น เขายืนมองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างหน้า ดวงตาสีแดงของเขากลับส่องแสงเยือกเย็นอย่างชัดเจนในช่วงเวลานี้“สวัสดีครับ” ธีรเทพทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ขณะที่เขาเปิดประตูรถและออกมายืนรอโซระ“สวัสดี” โซระยิ้มเย็น“อ้าว แล้วไอกับคุณกฤตล่ะคะ?” ณัฐรินีย์มองหาทั้งสองคน“ไม่อยู่น่ะ” โซระยักไหล่ และสะพายกระเป๋าเป้ขึ้
การหยุดยั้งและความใกล้ชิดในค่ำคืนที่อบอุ่นและสงบ ธีรเทพและณัฐรินีย์นั่งอยู่ในห้องพักที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น เตียงนอนใหญ่ที่ปูด้วยผ้าห่มสีครีมดูนุ่มนวลและเชิญชวนให้พักผ่อน ในห้องมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟข้างเตียง และบรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบธีรเทพนั่งข้างๆ ณัฐรินีย์ที่นั่งอยู่บนเตียง เขามองไปที่เธอด้วยความรักและความห่วงใย ความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจของเขาส่งผ่านไปยังแววตาที่อ่อนโยนและยิ้มอย่างซึ้งใจ“ผมรู้สึกดีใจที่ได้ใช้เวลานี้กับคุณ” ธีรเทพพูดเบาๆ ขณะเขาใช้มือของเขาลูบที่ข้อมือของณัฐรินีย์อย่างนุ่มนวล“ฉันก็เหมือนกัน” ณัฐรินีย์พูดพร้อมกับสบตากับเขาธีรเทพยิ้มอย่างมีเสน่ห์ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะที่แก้มของณัฐรินีย์อย่างเบามือ“คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่พิเศษที่สุด”เขาโน้มตัวไปใกล้เธอและกระซิบที่หูของเธอ ณัฐรินีย์รู้สึกถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสของเขา เธอหัวเราะเบาๆ และรู้สึกถึงความรักที่หลั่งไหลมาจากธีรเทพความรู้สึกนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงและรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ธีรเทพเขาค่อยๆ ดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด มือของเขาอบอุ่นแล
เผชิญหน้าวิญญาณร้ายหลังจากที่ธีรเทพ ณัฐรินีย์ และโซระเดินทางมาหลายชั่วโมง พวกเขาเข้าสู่พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ ป่าลึกที่พวกเขาผ่านเข้าไปนั้นดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่ถูกลืมไปนานแล้ว ป่าทึบและความมืดในยามค่ำคืนทำให้พวกเขารู้สึกถึงความอึดอัดใจการเดินทางผ่านป่าลึกในยามค่ำคืนทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปในโลกที่แตกต่างออกไป หมอกหนาทึบซึ่งเหมือนจะมีชีวิตของมันเองค่อยๆ ห่มคลุมพื้นป่าทำให้การมองเห็นลดน้อยลง ความมืดมิดอันลึกซึ้งปกคลุมท้องฟ้าเหนือหัว ขณะที่ต้นไม้สูงใหญ่และโค้งต่ำปิดบังทางเดินไว้ ทำให้เส้นทางที่พวกเขาเดินไม่ชัดเจนขณะที่พวกเขาก้าวเดินต่อไปในป่าที่มืดมิด เสียงสะอื้นเศร้าหมองก็ดังขึ้นมา ขณะที่เสียงนั้นมองไม่เห็นที่มาของมัน แต่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความวิตกกังวล พวกเขาเริ่มได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากทิศทางต่างๆ ทำให้บรรยากาศในป่าดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังงานที่มืดมนเสียงสะอื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกเยือกเย็นและอึดอัด ขณะที่เสียงนี้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงพลังงานที่หนาวเย็นและความรู้สึกหนักหน่วงที่สะท้อนออกมาในทุกย่างก้าว ธีรเทพเดินนำหน้าโดยใช้แสงจา
ภารกิจลับ : ตุ๊กตาเน็นโดรอยด์ (Nendoroid)ท้องฟ้าในช่วงเย็นนั้นเต็มไปด้วยแสงสีทองและบรรยากาศอันอบอุ่นจากการตั้งอยู่ของพระอาทิตย์ ขณะที่กฤตินและอาคิราเดินเข้าไปในร้านของเล่นน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่บนถนนเล็กๆ ที่มีความเงียบสงบ ร้านนั้นตกแต่งด้วยป้ายไม้เขียนด้วยลายมือว่า “คาวาอี้ ทอย เฮฟเว่น” ตัวร้านมีหน้าต่างกระจกใสที่สะท้อนภาพบรรยากาศภายในที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่นมากมายกฤตินเปิดประตูให้กับอาคิรา ท่ามกลางเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเมื่อประตูเปิด เขาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของเธอ ขณะที่เธอก้าวเข้ามาในร้าน ตาอาคิราเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังเมื่อเห็นปริมาณตุ๊กตาที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ร้านสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือชั้นวางตุ๊กตาเน็นโดรอยด์ที่มีสีสันสดใสและหลากหลายแบบ กฤตินพาอาคิราไปยังชั้นวางที่มีตุ๊กตาเน็นโดรอยด์ซึ่งเป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการมาก“ไอ ลองเลือกสักตัวสิ” กฤตินบอกอาคิราพิจารณาตุ๊กตาหลายร้อยตัวที่ดูมีชีวิตชีวา แต่ละตัวมีลักษณะพิเศษและเฉพาะตัวของมัน และบางตัวก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดทันใดนั้น อาคิราก็สะดุดตากับตุ๊กตาตัวหนึ่ง เป็นตุ๊กตาที่มีลักษณะเป็นเด็กผู้ชายที่หล่อเหลา สวมชุดสูททันสมัยที่ออ
เมื่อพวกเขาเดินลงมาถึงด้านล่าง ก็พบกับห้องโถงใหญ่ที่ประดับด้วยแท่งหินและอักษรโบราณ ผนังห้องมีภาพวาดและสัญลักษณ์ที่สลักไว้ เป็นเรื่องราวของเทพเจ้าและวิญญาณที่ถูกบันทึกไว้เป็นพันปีภายในห้องเป็นพื้นที่ที่สวยงามและอบอุ่น มีลักษณะคล้ายกับสวนลับที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์หายากและดอกไม้ที่สว่างไสว ท่ามกลางสวนสวยนั้นมีบ่อน้ำพุที่ใสสะอาดไหลอยู่กลางห้อง เสียงน้ำไหลเบาๆ ราวกับเสียงดนตรีที่ช่วยเพิ่มความสงบและผ่อนคลายให้กับบรรยากาศทันใดนั้น...พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ และเสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่วิ่งเข้ามาใกล้ กฤตินและอาคิราหันไปตามเสียงและเห็นวิญญาณเด็กคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา“คิตตี้!!” เด็กคนนั้นโผเข้ากอดกฤตินทันทีที่มาถึง“คิตตี้???” อาคิราหันไปมองกฤตินอย่างงุนงง“ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าแล้ว” เด็กคนนั้นยิ้มสดใสเด็กคนนั้นมีรูปร่างเหมือนเด็กชายตัวเล็กๆ ใบหน้าสดใสและดวงตาของเขาเป็นสีทองที่เปล่งประกายด้วยความบริสุทธิ์ มีผมสีเงินยาวที่พลิ้วไหวเหมือนลมเบาๆ เขาสวมชุดสีขาวและมีปีกเล็กๆ ที่ส่องแสงสีทอง“ว่าไงเด็กเทพ สบายดีนะ” กฤตินอุ้มเด็กชายคนนั้นขึ้นมา“ข้ารอเจ้ามาเล่นด้วยตั้งนานแล้ว ไม่มาซะที” เด็กชา
ออกจากความลับกลับสู่โลกภายนอกรถยนต์หรูของกฤติน ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ตสีดำเงา พาพวกเขาออกมาจากป่าใหญ่ บรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์ที่มีแสงไฟระยิบระยับจากเมืองที่อยู่ห่างไกลการเดินทางกลับสู่เมืองใช้เวลาไม่นาน ถนนที่ทอดยาวผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามของชนบททำให้บรรยากาศดูสดชื่นและเงียบสงบ พวกเขาขับรถผ่านทุ่งนาและภูเขาที่เขียวขจี ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวโรงแรม ‘Skyline Serenity’ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองใหญ่บนยอดตึกสูงสุดของย่านการค้า ด้วยรูปลักษณ์ทันสมัยและความหรูหราที่โดดเด่น มีหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ที่เปิดรับวิวที่น่าตื่นตาตื่นใจของเมืองเมื่อรถยนต์จอดอยู่หน้าประตูโรงแรม กฤตินเปิดประตูรถให้กับอาคิราและทั้งสองคนเดินเข้ามาด้านใน ตรงไปยังล็อบบี้ของโรงแรมพวกเขาจะพบกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหรูหราและสไตล์โมเดิร์น เพดานสูงพิเศษมีโคมไฟระย้าแบบคริสตัลที่ส่องแสงระยิบระยับพื้นกระเบื้องหินอ่อนสีขาวสะอาดตาและเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันพนักงานต้อนรับในชุดเครื่องแบบหรูหราให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณกฤติน” พนักงานที่เคาน์เตอร์ยิ้มให้และยื่นกุญแจห้องด้วยความเคา
ความโกรธเกรี้ยวของหมอผีบ้านไม้เก่าแก่ของอาจารย์มั่นตั้งอยู่ในป่าลึก มีลานกว้างขนาดเล็กที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านใบไม้ลงมาทาบทอลงบนพื้นดิน ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในบ้านของอาจารย์มั่นกลับมีความวุ่นวายที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านของเขาเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้โบราณ เครื่องราง และหนังสือโบราณหลายเล่ม วางเรียงรายอยู่บนชั้นขณะที่อาจารย์มั่นกำลังเข้าสมาธิอย่างลึกซึ้ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของพลังงานที่มาจากที่ไกล ๆ พลังงานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของวิญญาณร้ายของเสือโคร่งทมิฬ แต่บัดนี้กลับหายไปดวงตาของอาจารย์มั่นเบิกกว้าง ความโกรธและความไม่พอใจพลุ่งพล่านในใจ“ข้าสัมผัสได้… วิญญาณเสือโคร่งทมิฬของข้าถูกทำลาย!”อาจารย์มั่นคำรามเสียงดัง ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว มือที่ถือคทาไม้สั่นไหวด้วยความโมโหร่างกายของเขาสั่นสะท้านจากความตื่นตระหนกและความโกรธ มือของเขากำหมัดแน่น ขณะที่เขารู้สึกถึงพลังที่เคยเป็นของเสือโคร่งทมิฬจางหายไป ร่างกายของเขากระตุกเพราะการตัดขาดของพลังเวทที่เคยควบคุมอยู่เขาลุกขึ้นทันที เดินไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีแท่นบูชาขนาดเล็กตั้งอยู่ บ
ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ลูกไฟดำและแสงสว่างปะทะกันกลางอากาศ สร้างเสียงระเบิดและประกายไฟที่กระจายไปทั่ว โซระพยายามหาทางเข้าใกล้อาจารย์มั่น เขารู้ว่าพลังแสงสว่างของเขาจะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อเข้าปะทะกับอาจารย์มั่นในระยะประชิด“เหอะ พลังของเจ้าเยอะจริง แต่ข้าก็ยังเหนือกว่า”อาจารย์มั่นยิ้มเหยียดเย้ยหยัน ก่อนจะเรียกพลังความมืดสร้างพายุหมุนสีดำที่หมุนรอบตัวเขา พายุหมุนพัดโซระไปด้านหลัง แรงกดดันของพายุหมุนนั้นไม่ได้ทำให้โซระรู้สึกอะไร เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนจะเร่งให้แสงสว่างสีขาวออกจากร่างกายของเขามากกว่าเดิมจนทำให้พายุหมุนสีดำ สลายกลายเป็นละอองสีดำไปในอากาศ“นี่มันอะไรกัน...” อาจารย์มั่นตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า“หึ พลังของเจ้าหมดแค่นี้แล้วเหรอ?” โซระปัดละอองฝุ่นสีดำที่เปื้อนเสื้อผ้าของเขาออกอย่างใจเย็น“แก....แกเป็นตัวอะไรกัน”อาจารย์มั่นเริ่มปากสั่น เหงื่อตก เพราะเวทมนตร์คาถาและคุณไสยที่ร่ำเรียนมาไม่สามารถทำอะไรโซระได้ รวมไปถึงวิญญาณโหงพรายที่เขาเลี้ยงเอาไว้ เขาแอบส่งไปทำร้ายโซระระหว่างที่สู้กัน แต่โซระกลับดีดโหงพรายเหล่านั้นจนสลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนการดีดฟองสบู่ให้แตกในอาก
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี
กฤตินยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างไทยและเขมร สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้สูงในป่าทึบที่ล้อมรอบเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงัดและเคร่งเครียด สถานที่นี้เงียบเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าข้างกายของกฤติน โซระวิญญาณเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน โซระดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เขามีปีกสีดำที่ใหญ่โอบล้อมรอบตัวเล็กน้อย ราวกับเตรียมปกป้องกฤตินจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงอีกด้านหนึ่ง อาเรีย วิญญาณเทพพิทักษ์ของอาคิรา เดินตามติดกฤตินอย่างใกล้ชิด แต่ต่างจากโซระที่เป็นเทพแห่งแสงสว่าง อาเรียคือเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ทรงพลัง เธอมีพลังที่รุนแรงและดุดัน ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความหิวกระหายในการทำลายล้าง ใบหน้าของเธอดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น พร้อมที่จะบวกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าอาเรียไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ธรรมดา เธอคือเทพเจ้าที่มีพลังแห่งความมืดและการทำลายล้างอย่างแท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาคิรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยจัดการวิญญาณที่แข็งแกร่ง หรือปกป้องยามเธอมี
กลางคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของกฤติน กลับเต็มไปด้วยความกังวลในใจของอาคิรา เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะกำลังแปรงผมยาวสลวยของตัวเอง แสงไฟจากโคมเล็กๆ ส่องแสงอ่อนๆ ให้เห็นเงาสะท้อนของเธอในกระจก จิตใจของเธอกำลังหมุนวนไปกับความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้การต่อสู้กับหมอผีเขมรอย่างยงซาน เป็นสิ่งที่เธอกังวล แม้ว่ากฤตินจะบอกให้เธอวางใจว่าเขาสามารถจัดการได้ แต่ในใจของเธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ เธอรู้ว่าการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่อยากให้เขาไปเผชิญหน้าเพียงลำพังเสียงน้ำหยดลงจากฝักบัวในห้องน้ำข้างๆ หยุดลง กฤตินเพิ่งอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย โชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยงาม เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนแข็งแรงของเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับอาคิรา แม้ว่าความกังวลยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอ“เป็นอะไร?” กฤตินจรดริมฝีปากที่ซอกหูของเธอ เสียงนุ่มนวลของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง เธอวางแปรงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองเงาสะท้อนของเขาในกระจก“ฉันจะไปด้วย” อาคิราพูดอย่างหนักแน่นกฤตินมองเธอในกระจก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเ
“อึ๊..อ๊า...”เสียงหอบหายใจสะท้านก้องไปทั่วห้องที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งมนตร์ดำ หมอผียงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีชัญญานั่งคร่อมร่างของเขาอยู่ เธอกำลังโยกร่างกายส่วนล่างของเธอบดเบียดกับเขา“อื้ม..ดี..แรงอีกหน่อย...” หมอผียงซานพึมพำเสียงกระเส่า ใช้ฝ่ามือดันหลังของชัญญาให้แอ่นขึ้น พลางลากเรียวลิ้นไปบนยอดอกที่ชูชันของเธอ มืออีกข้างคลึงเคล้นหน้าอกของเธอ“อื้ม..อ๊ะ..เสียวจัง..” ชัญญาเสียวสะท้าน ครางกระเส่า บั้นท้ายของเธอบดขยี้และขยับเร็วขึ้น“อ๊ะ..อ๊า....”ไม่นานเสียงครางที่สุขสมของทั้งสองคนก็ดังขึ้น ชัญญาเกร็งร่างกระตุกก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง สองแขนยังคงโอบคอของเขา“ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับเอกวัฒน์” หมอผียงซานกระซิบข้างหูชัญญา“.....” ชัญญาดันตัวขึ้นมองหน้าหมอผีหนุ่ม“ถ้าไม่ทำ ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า” หมอผียงซานพูดเสียงเรียบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของเธอ“เจ้าเสียดายเขารึ?” หมอผียงซานมองนิ่ง ขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามเนินอกของเธอชัญญายิ้มเยือกเย็น สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อเอกวัฒน์ คนที่เธอเคยหลงใหลและหมายปอง ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเป