ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ลูกไฟดำและแสงสว่างปะทะกันกลางอากาศ สร้างเสียงระเบิดและประกายไฟที่กระจายไปทั่ว โซระพยายามหาทางเข้าใกล้อาจารย์มั่น เขารู้ว่าพลังแสงสว่างของเขาจะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อเข้าปะทะกับอาจารย์มั่นในระยะประชิด“เหอะ พลังของเจ้าเยอะจริง แต่ข้าก็ยังเหนือกว่า”อาจารย์มั่นยิ้มเหยียดเย้ยหยัน ก่อนจะเรียกพลังความมืดสร้างพายุหมุนสีดำที่หมุนรอบตัวเขา พายุหมุนพัดโซระไปด้านหลัง แรงกดดันของพายุหมุนนั้นไม่ได้ทำให้โซระรู้สึกอะไร เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนจะเร่งให้แสงสว่างสีขาวออกจากร่างกายของเขามากกว่าเดิมจนทำให้พายุหมุนสีดำ สลายกลายเป็นละอองสีดำไปในอากาศ“นี่มันอะไรกัน...” อาจารย์มั่นตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า“หึ พลังของเจ้าหมดแค่นี้แล้วเหรอ?” โซระปัดละอองฝุ่นสีดำที่เปื้อนเสื้อผ้าของเขาออกอย่างใจเย็น“แก....แกเป็นตัวอะไรกัน”อาจารย์มั่นเริ่มปากสั่น เหงื่อตก เพราะเวทมนตร์คาถาและคุณไสยที่ร่ำเรียนมาไม่สามารถทำอะไรโซระได้ รวมไปถึงวิญญาณโหงพรายที่เขาเลี้ยงเอาไว้ เขาแอบส่งไปทำร้ายโซระระหว่างที่สู้กัน แต่โซระกลับดีดโหงพรายเหล่านั้นจนสลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนการดีดฟองสบู่ให้แตกในอาก
การค้นหาหลักฐานในเงามืดบ้านของอาจารย์มั่นถูกทิ้งร้างและเงียบสงบหลังการต่อสู้อันดุเดือด บ้านเก่าแก่ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงดาวที่ทอประกายอยู่บนท้องฟ้าเป็นพยาน หลังจากสถานการณ์สงบลง ธีรเทพก็เดินนำหน้าไปพร้อมกับณัฐรินีย์ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ประตูไม้เก่าที่ยังคงมีร่องรอยของการทำลายและความสึกกร่อน โซระเดินตามหลังด้วยท่าทางสบายๆ ธีรเทพสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเปิดประตูบ้านพวกเขาเดินเข้าไปในบ้านที่มืดมิดซึ่งถูกปกคลุมด้วยฝุ่นและกลิ่นอับ ภายในบ้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังอยู่ในบ้านที่ดูเหมือนจะถูกทอดทิ้งมาเนิ่นนาน เฟอนิเจอร์ที่เก่าและผุพังแสดงถึงความล้าสมัยในบ้านธีรเทพ ณัฐรินีย์ และโซระยังคงยืนอยู่ในบ้านที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลี้ลับ พวกเขารู้ว่าต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของอาจารย์มั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกวัฒน์“เราต้องหาหลักฐานให้ได้ว่าอาจารย์มั่นทำอะไรกับเอกวัฒน์และภรรยาของเขา” ธีรเทพพูดขณะที่เขามองไปรอบๆ ห้องทำงานที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้โบราณและเครื่องรางมากมาย“ฉันจะดูตรงนี้” ณัฐรินีย์บอกพลางเร
ชัญญาผู้หยิ่งผยองท่ามกลางบรรยากาศหรูหราของห้องทำงานขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุดของตึกระฟ้า ชัญญานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานไม้สักราคาแพง ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ เธอสวมชุดสูทหรูหราสีดำเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต รองเท้าส้นสูงทำจากหนังแท้เงาวับสะท้อนแสงไฟ ดวงตาส่องประกายแห่งชัยชนะที่ได้ครอบครองทุกสิ่งที่เธอเคยปรารถนาตั้งแต่วันที่เธอแต่งงานกับเอกวัฒน์ เจ้าของบริษัท Vivid Enterprise ชัญญาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัท จากเดิมที่เป็นเพียงเลขาธรรมดา เธอใช้น้ำมันพรายยาเสน่ห์และเล่ห์กลทำให้เอกวัฒน์หลงใหลในตัวเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้นห้องทำงานของชัญญาตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา ผนังถูกประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันและของสะสมราคาแพง ที่มุมหนึ่งมีชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือธุรกิจและนิตยสารแฟชั่นยอดนิยม บนโต๊ะทำงานมีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรูหราและกองเอกสารที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ“ทุกอย่างเป็นของฉันแล้ว” ชัญญาพึมพำกับตัวเอง ขณะมองไปที่วิวเมืองใหญ่ที่มองเห็นจากหน้าต่างบานใหญ่“ไม่มีใครหยุดฉันได้”เสียงเคาะประตูทำให้ชัญญาหันไปมอง เธอเห็นพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางเกรงกลัว เ
การค้นพบความจริงที่ซ่อนอยู่หลังจากการผจญภัยสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทาย ณัฐรินีย์ตัดสินใจมาค้างที่บ้านของอาคิรา เพื่อตั้งใจที่จะสืบหาความจริงเกี่ยวกับชัญญาและกานต์รวี ทั้งสองคนรู้ดีว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และพวกเขาต้องการเปิดเผยความจริงให้ได้ณัฐรินีย์และอาคิราเริ่มสืบหาข้อมูลโดยเริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมของกานต์รวีและชัญญา ทั้งสองคนใช้เวลาในการเก็บข้อมูลและสังเกตพฤติกรรมที่น่าสงสัยของทั้งคู่ พวกเขาพบว่ากานต์รวีและชัญญามักจะพบปะกันอย่างลับๆ และมีท่าทีที่ไม่ปกติ“โอ๊ยย ปวดหัว” ณัฐรินีย์เอามือยีผมตัวเองในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น“เป็นอะไร?” อาคิราถามโดยไม่ละสายตาจากเอกสารที่ณัฐรินีย์นำมาให้จากบ้านของอาจารย์มั่น“งานของอีตาธีร์ก็ต้องทำ สืบเรื่องรวีกับญ่าก็ต้องทำ หัวจะระเบิดแล้วว” ณัฐรินีย์แกล้งฟุบเป็นลมที่โต๊ะกลางห้องนั่งเล่น“บ่นจริง” อาคิราหัวเราะเบาๆ“เอ้ย ว่าแต่...คุณไอ” ณัฐรินีย์หรี่ตาเมื่อนึกเรื่องที่สงสัยออก“หืม?”“วันก่อนคุณอาเธอมาขอบคุณฉันที่ให้เธอไปค้างที่ห้อง...”“เอ๊ะ?” อาคิราชะงักมือที่กำลังไล่ดูเอกสาร“แต่เธอไม่ได้มาค้างที่ห้องฉัน เ
คำถามที่ค้างคายามเย็นหลังเลิกงานในวันธรรมดา อาคิราเดินออกจากออฟฟิศพร้อมกับสัมภาระในมือ ใบหน้าของเธอแสดงความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ เมื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงจากความวุ่นวายของที่ทำงานไปสู่ความสงบเงียบของยามเย็นแสงแดดอ่อนๆ ที่กำลังลับขอบฟ้าส่องผ่านตึกสูงในเมืองใหญ่ แสงสีทองอบอุ่นสะท้อนกับกระจกหน้าต่างและทำให้ถนนที่คับคั่งดูเงียบสงบขึ้น อาคิราก้าวเดินไปตามทางเท้าที่มีผู้คนเดินสวนทางกันไปมา รถยนต์ที่เคลื่อนที่อย่างช้าๆ และเสียงนกร้องเบาๆ เสริมสร้างบรรยากาศของการพักผ่อนหลังจากวันที่ยาวนานอาคิราเดินไปยังคาเฟ่เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงาน เธอเปิดประตูเข้าไปและรับรู้ถึงกลิ่นหอมของกาแฟที่อบอวลอยู่ในอากาศ คาเฟ่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เธอชื่นชอบในการพักผ่อนและผ่อนคลายหลังจากการทำงานหนัก“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า วันนี้เหมือนเดิมไหมคะ?” บาริสต้าสาวทักทายด้วยรอยยิ้ม“เหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณค่ะ” อาคิราตอบพร้อมกับยิ้มตอบเธอเลือกที่นั่งที่มุมหนึ่งของคาเฟ่ ซึ่งเป็นที่โปรดของเธอ มีโต๊ะไม้เล็กๆ และเก้าอี้นุ่มๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นส่วนตัว อาคิราหยิบหนังสือที
เส้นทางสู่ความจริงณัฐรินีย์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอนของเธอ ขณะตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าและทรงผม ก่อนออกเดินทางไปหาธีรเทพที่บ้านของเขา เธอรู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจพร้อมๆ กัน ภารกิจในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอก็รู้ว่าความจริงจำเป็นต้องถูกเปิดเผย“ฉันต้องทำให้ได้” ณัฐรินีย์พึมพำกับตัวเองพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน พร้อมกับรองเท้าส้นเตี้ยที่สบายในการขับรถหลังจากเตรียมตัวเสร็จ เธอหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนลงไปยังชั้นล่างของบ้าน ในใจเธอยังคงมีคำถามและความกังวลมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อถึงรถ ณัฐรินีย์เปิดประตูและนั่งลงที่เบาะคนขับ เธอเสียบกุญแจและสตาร์ทรถ ขณะที่เครื่องยนต์เริ่มทำงาน เธอปรับกระจกมองหลังและกระจกข้างให้เรียบร้อย“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี” เธอพูดเบาๆ กับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะขับรถออกจากบ้านถนนในยามเย็นค่อนข้างว่างเปล่า แสงไฟจากเสาไฟข้างทางทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบและอบอุ่น ณัฐรินีย์ขับรถผ่านถนนใหญ่และเข้าไปยังซอยที่คุ้นเคย บ้านของธีรเทพตั้งอยู่ในย่านชานเมืองที่เงียบสงบระหว่างทาง ความคิดข
การเผชิญหน้ากับความจริงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ได้เตรียมตัวและตัดสินใจอย่างมั่นคง ธีรเทพได้ตัดสินใจเผชิญหน้ากับกานต์รวีเพื่อจัดการกับความจริงที่ได้รับรู้ เขารู้ว่าการเผชิญหน้านี้จะไม่ง่าย แต่ความจริงต้องถูกเปิดเผย และเขาต้องก้าวไปข้างหน้ากานต์รวีกำลังนั่งเล่นแท็ปเล็ตด้วยท่าทางอารมณ์ดีอยู่บนโซฟาสีครีมในห้องรับแขกของบ้าน พักผ่อนหลังจากวันที่ยาวนาน ธีรเทพเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ในมือถือซองเอกสารขนาดใหญ่ เขาหยุดยืนจ้องมองกานต์รวีด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย“มีอะไรรึเปล่าคะ?” กานต์รวีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”“พูดมาสิคะ” กานต์รวีพูดต่อ พร้อมกับเบนสายตามองไปที่จอแท็ปเล็ตแทน“ผมต้องการหย่า” ธีรเทพบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ พร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะกลางห้องรับแขก“คุณว่าไงนะคะ?” กานต์รวีหยุดมือที่กำลังเล่นแท็ปเล็ต เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแปลกใจปนสงสัย“ผมรู้เรื่องคุณกับชัญญาหมดแล้ว” ธีรเทพสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพูด“คุณพูดเรื่องอะไรคะ? ฉันไม่เข้าใจ” ใบหน้าของกานต์รวีเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด เธอวางแท็ปเล็ตลงข้างตัว และหันมาเผชิญหน้ากับธีรเทพ“....”ธ
ความสงสัยที่ต้องการคำตอบก้องเกียรติยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องทำงานของเขา มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวล เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องวิญญาณของนวลพรรณได้ภรรยาของเขาที่ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชเพราะอาการทางจิตใจ แต่ทำไมวิญญาณของเธอถึงตามติดเขาได้?ก้องเกียรติคิดทบทวนสิ่งที่กฤตินและอาคิราเคยพูดเกี่ยวกับวิญญาณ และคำพูดของกฤตินที่บอกว่ามีวิญญาณอื่นที่เกี่ยวข้องกับญาณวดี เขารู้สึกถึงความไม่ปกติและตัดสินใจว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ในช่วงสัปดาห์ถัดมา ก้องเกียรติเริ่มสังเกตพฤติกรรมของญาณวดีอย่างใกล้ชิด เขาพบว่าเธอมีท่าทีลับๆ ล่อๆ และมักจะหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ซึ่งเพิ่มความสงสัยในใจของเขามากขึ้นวันหนึ่ง ก้องเกียรติตัดสินใจตามญาณวดีไปขณะที่เธอออกจากที่ทำงานในช่วงบ่าย เขาใช้รถยนต์ขับตามอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เธอรู้ตัว ญาณวดีขับรถออกจากเมืองไปยังชานเมืองที่เงียบสงบ และในที่สุดก็จอดรถที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเก่าแก่และลึกลับก้องเกียรติจอดรถห่างออกไปและเดินตามญาณวดีอย่างเงียบๆ เขาเห็นเธอเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ลังเล ซึ่งทำให้เขามั่นใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเม
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี
กฤตินยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างไทยและเขมร สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้สูงในป่าทึบที่ล้อมรอบเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงัดและเคร่งเครียด สถานที่นี้เงียบเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าข้างกายของกฤติน โซระวิญญาณเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน โซระดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เขามีปีกสีดำที่ใหญ่โอบล้อมรอบตัวเล็กน้อย ราวกับเตรียมปกป้องกฤตินจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงอีกด้านหนึ่ง อาเรีย วิญญาณเทพพิทักษ์ของอาคิรา เดินตามติดกฤตินอย่างใกล้ชิด แต่ต่างจากโซระที่เป็นเทพแห่งแสงสว่าง อาเรียคือเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ทรงพลัง เธอมีพลังที่รุนแรงและดุดัน ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความหิวกระหายในการทำลายล้าง ใบหน้าของเธอดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น พร้อมที่จะบวกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าอาเรียไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ธรรมดา เธอคือเทพเจ้าที่มีพลังแห่งความมืดและการทำลายล้างอย่างแท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาคิรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยจัดการวิญญาณที่แข็งแกร่ง หรือปกป้องยามเธอมี
กลางคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของกฤติน กลับเต็มไปด้วยความกังวลในใจของอาคิรา เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะกำลังแปรงผมยาวสลวยของตัวเอง แสงไฟจากโคมเล็กๆ ส่องแสงอ่อนๆ ให้เห็นเงาสะท้อนของเธอในกระจก จิตใจของเธอกำลังหมุนวนไปกับความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้การต่อสู้กับหมอผีเขมรอย่างยงซาน เป็นสิ่งที่เธอกังวล แม้ว่ากฤตินจะบอกให้เธอวางใจว่าเขาสามารถจัดการได้ แต่ในใจของเธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ เธอรู้ว่าการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่อยากให้เขาไปเผชิญหน้าเพียงลำพังเสียงน้ำหยดลงจากฝักบัวในห้องน้ำข้างๆ หยุดลง กฤตินเพิ่งอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย โชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยงาม เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนแข็งแรงของเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับอาคิรา แม้ว่าความกังวลยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอ“เป็นอะไร?” กฤตินจรดริมฝีปากที่ซอกหูของเธอ เสียงนุ่มนวลของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง เธอวางแปรงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองเงาสะท้อนของเขาในกระจก“ฉันจะไปด้วย” อาคิราพูดอย่างหนักแน่นกฤตินมองเธอในกระจก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเ
“อึ๊..อ๊า...”เสียงหอบหายใจสะท้านก้องไปทั่วห้องที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งมนตร์ดำ หมอผียงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีชัญญานั่งคร่อมร่างของเขาอยู่ เธอกำลังโยกร่างกายส่วนล่างของเธอบดเบียดกับเขา“อื้ม..ดี..แรงอีกหน่อย...” หมอผียงซานพึมพำเสียงกระเส่า ใช้ฝ่ามือดันหลังของชัญญาให้แอ่นขึ้น พลางลากเรียวลิ้นไปบนยอดอกที่ชูชันของเธอ มืออีกข้างคลึงเคล้นหน้าอกของเธอ“อื้ม..อ๊ะ..เสียวจัง..” ชัญญาเสียวสะท้าน ครางกระเส่า บั้นท้ายของเธอบดขยี้และขยับเร็วขึ้น“อ๊ะ..อ๊า....”ไม่นานเสียงครางที่สุขสมของทั้งสองคนก็ดังขึ้น ชัญญาเกร็งร่างกระตุกก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง สองแขนยังคงโอบคอของเขา“ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับเอกวัฒน์” หมอผียงซานกระซิบข้างหูชัญญา“.....” ชัญญาดันตัวขึ้นมองหน้าหมอผีหนุ่ม“ถ้าไม่ทำ ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า” หมอผียงซานพูดเสียงเรียบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของเธอ“เจ้าเสียดายเขารึ?” หมอผียงซานมองนิ่ง ขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามเนินอกของเธอชัญญายิ้มเยือกเย็น สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อเอกวัฒน์ คนที่เธอเคยหลงใหลและหมายปอง ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเป