การเผชิญหน้ากับความจริงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ได้เตรียมตัวและตัดสินใจอย่างมั่นคง ธีรเทพได้ตัดสินใจเผชิญหน้ากับกานต์รวีเพื่อจัดการกับความจริงที่ได้รับรู้ เขารู้ว่าการเผชิญหน้านี้จะไม่ง่าย แต่ความจริงต้องถูกเปิดเผย และเขาต้องก้าวไปข้างหน้ากานต์รวีกำลังนั่งเล่นแท็ปเล็ตด้วยท่าทางอารมณ์ดีอยู่บนโซฟาสีครีมในห้องรับแขกของบ้าน พักผ่อนหลังจากวันที่ยาวนาน ธีรเทพเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ในมือถือซองเอกสารขนาดใหญ่ เขาหยุดยืนจ้องมองกานต์รวีด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย“มีอะไรรึเปล่าคะ?” กานต์รวีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”“พูดมาสิคะ” กานต์รวีพูดต่อ พร้อมกับเบนสายตามองไปที่จอแท็ปเล็ตแทน“ผมต้องการหย่า” ธีรเทพบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ พร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะกลางห้องรับแขก“คุณว่าไงนะคะ?” กานต์รวีหยุดมือที่กำลังเล่นแท็ปเล็ต เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแปลกใจปนสงสัย“ผมรู้เรื่องคุณกับชัญญาหมดแล้ว” ธีรเทพสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพูด“คุณพูดเรื่องอะไรคะ? ฉันไม่เข้าใจ” ใบหน้าของกานต์รวีเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด เธอวางแท็ปเล็ตลงข้างตัว และหันมาเผชิญหน้ากับธีรเทพ“....”ธ
ความสงสัยที่ต้องการคำตอบก้องเกียรติยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องทำงานของเขา มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวล เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องวิญญาณของนวลพรรณได้ภรรยาของเขาที่ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชเพราะอาการทางจิตใจ แต่ทำไมวิญญาณของเธอถึงตามติดเขาได้?ก้องเกียรติคิดทบทวนสิ่งที่กฤตินและอาคิราเคยพูดเกี่ยวกับวิญญาณ และคำพูดของกฤตินที่บอกว่ามีวิญญาณอื่นที่เกี่ยวข้องกับญาณวดี เขารู้สึกถึงความไม่ปกติและตัดสินใจว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ในช่วงสัปดาห์ถัดมา ก้องเกียรติเริ่มสังเกตพฤติกรรมของญาณวดีอย่างใกล้ชิด เขาพบว่าเธอมีท่าทีลับๆ ล่อๆ และมักจะหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ซึ่งเพิ่มความสงสัยในใจของเขามากขึ้นวันหนึ่ง ก้องเกียรติตัดสินใจตามญาณวดีไปขณะที่เธอออกจากที่ทำงานในช่วงบ่าย เขาใช้รถยนต์ขับตามอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เธอรู้ตัว ญาณวดีขับรถออกจากเมืองไปยังชานเมืองที่เงียบสงบ และในที่สุดก็จอดรถที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเก่าแก่และลึกลับก้องเกียรติจอดรถห่างออกไปและเดินตามญาณวดีอย่างเงียบๆ เขาเห็นเธอเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ลังเล ซึ่งทำให้เขามั่นใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเม
การต่อสู้กับผีพรายคืนพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้าสูง เผยให้เห็นความงามของแสงจันทร์ที่สะท้อนลงบนโลกเบื้องล่าง สาดส่องให้ทุกสิ่งดูเป็นเงาสีเงินขาว บ้านหลังใหญ่ของนวลพรรณตั้งอยู่ท่ามกลางสวนที่มีต้นไม้สูงใหญ่ ทำให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับและเงียบสงัดกฤตินและอาคิรากำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ถูกแสงจันทร์ที่สว่างไสวและเงาที่ลึกซึ้งของต้นไม้ท่ามกลางค่ำคืนกฤตินสวมใส่เสื้อแจ็กเก็ตกันลมสีดำที่ตัดเย็บอย่างดี ตัวเสื้อมีดีไซน์ทันสมัยและมีเนื้อผ้าที่กันน้ำได้ดี เขาเลือกสวมเสื้อยืดสีดำด้านในเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก และกางเกงยีนส์สีเข้มที่ให้ความรู้สึกมั่นคงแต่ก็ยังสะดวกในการเคลื่อนไหว รองเท้าบู๊ตสีดำที่มีความทนทานและกันลื่นได้ดี ช่วยให้เขาสามารถเดินบนพื้นเปียกหรือพื้นไม่เรียบได้อย่างมั่นใจอาคิราสวมเสื้อแขนยาวสีเทาอ่อนที่มีความยืดหยุ่นและสบายสำหรับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กางเกงเลคกิ้งสีดำที่ช่วยให้เธอสามารถวิ่งหรือเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและมีความสะดวกสบาย รองเท้าผ้าใบสีดำของเธอมีความทนทานและเหมาะสมกับการเดินทางในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเมื่อท
ผีพรายเป็นสิ่งที่มีหลายระดับความสามารถและอำนาจ ขึ้นอยู่กับพลังที่พวกมันมีและสิ่งที่มันเคยทำในชีวิตหรือหลังจากตาย การแบ่งระดับผีพรายสามารถพิจารณาจากลักษณะของมัน ความแรงของพลัง และผลกระทบที่มันมีต่อโลกมนุษย์ผีพรายระดับต่ำมักจะมีรูปร่างเป็นเงาพร่าๆ หรือรูปแบบที่ไม่ชัดเจน อาจมีลักษณะคล้ายกับผู้คนธรรมดา แต่ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมีพลังน้อยที่สุด ไม่สามารถทำร้ายหรือควบคุมผู้คนได้ แต่สามารถทำให้รู้สึกถึงความเยือกเย็นหรือความรู้สึกกลัวเบาๆผีพรายระดับกลางมีรูปร่างและคุณลักษณะที่ชัดเจนมากขึ้น อาจมีลักษณะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หรือคล้ายกับบุคคลที่เคยมีชีวิต มีพลังมากกว่าผีพรายระดับต่ำ สามารถสร้างเสียง ขยับวัตถุ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหงุดหงิดหรือสร้างความกลัวที่มีผลกระทบต่อจิตใจ อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายได้ผีพรายระดับสูงมีลักษณะที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ อาจมีอำนาจหรือความสามารถที่โดดเด่น เช่น การควบคุมสภาพแวดล้อมหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ สามารถควบคุมหรือทำให้เกิดความเจ็บปวดร้ายแรงได้ มักมีรูปร่างและพลังที่โดดเด่น มีความสามารถในการควบคุมหรือแทรกแซงชีวิตของผู้อื่นในระดับที่รุนแรงผี
ข้าเคยคิดว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะทำให้ข้า—เทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย—รู้สึกทึ่งหรือหลงใหลได้อีกต่อไป แต่ในคืนหนึ่งที่ญี่ปุ่น ข้าได้พบกับบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมของข้าไปตลอดกาลแสงจันทร์สาดส่องลงมายังเมืองเกียวโตในคืนที่เงียบสงบ ข้าเดินท่ามกลางแสงไฟและความเงียบงันของยามค่ำคืน เมืองนี้มีมนต์เสน่ห์ในตัวมันเอง แต่สิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงความดึงดูดใจไม่ใช่เพียงแค่ความงดงามของเมือง หากแต่เป็นพลังบางอย่างที่ข้าสัมผัสได้จากระยะไกล พลังที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและลึกลับที่ข้าไม่เคยรู้สึกมาก่อนเมื่อข้าเดินเข้าไปยังป่าลึกแห่งหนึ่ง ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของเวทมนตร์ที่แรงกล้า ข้าหยุดยืนอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่และเพ่งมองไปยังพื้นที่เบื้องหน้า ในท่ามกลางเงามืด ข้ามองเห็นเขา—ชายหนุ่มผู้ใช้เวทมนตร์ดำ ข้ารู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ท่วมท้นในทันทีที่ได้พบเจอเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ มีเสน่ห์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เขามีชื่อว่าธนกร ข้ามองดูเขาด้วยความสนใจ ขณะที่เขาทำพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยพลังดำดิ่ง ข้าเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขา ความแม่นยำและความมุ่งมั่นในดวงตาของเขาทำให้ข้ารู้สึกถึงความทรงพลังที่ยากจะ
สายตาที่เห็นความสูญเสียแสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างไปทั่วป่าลึก ข้ายืนอยู่ในเงามืด เฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ความเงียบสงบในป่าถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงกรีดร้องของผู้คน ข้าเห็นธนกรและซายูริ ภรรยาของเขา กำลังวิ่งหนีจากกลุ่มคนของศาลเจ้าที่ตามล่าพวกเขาข้ารู้สึกถึงพลังแห่งความสิ้นหวังที่ท่วมท้นในอากาศ ธนกรพยายามปกป้องภรรยาและลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่ข้าก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถหนีรอดได้ มันเป็นชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้แล้ว ซายูริใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอเพื่อต่อสู้และปกป้องครอบครัว แต่พลังของเธอก็ไม่เพียงพอข้ายืนมองดูอย่างเงียบงัน ใจข้าเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ข้าเห็นธนกรที่เคยแข็งแกร่งในสายตาข้า ตอนนี้ดูอ่อนแอและหมดหวัง ข้าเคยคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้ แต่ข้าก็เห็นว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ต้องพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมข้าเห็นซายูริล้มลงต่อหน้าธนกร ทันใดนั้นเอง ข้าได้ยินเสียงกรีดร้องสุดท้ายของเธอ เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรักที่เธอมีต่อครอบครัว ข้ารู้ว่าเธอตายแล้ว ทิ้งธนกรและลูกสาวตัวน้อยของเธอไว้เพียงลำพัง“ไม่!” ธนกรตะโกนก้องด้วยความเจ็บปวด ข้ารู้สึกถึงความเส
บทสุดท้ายของนวลพรรณท้องฟ้าเหนือบ้านหลังใหญ่ภายในสวน มืดครึ้มราวกับสะท้อนความเศร้าโศกของผู้คนที่มาร่วมงานศพ เสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่ล้อมรอบบ้านของนวลพรรณ สายลมที่พัดผ่านนำพากลิ่นธูปจาง ๆ ลอยขึ้นสู่ฟ้า ราวกับวิญญาณของเธอกำลังเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่หลังจากที่พบศพของนวลพรรณในบ้านของเธอ ข่าวการเสียชีวิตของเธอก็แพร่กระจายให้เพื่อนสนิทรับทราบ ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ถึงเหตุการณ์ที่นำพาเธอไปสู่ความตายเช่นนี้ ร่างของนวลพรรณถูกพบในสภาพที่เงียบสงบ ราวกับเธอกำลังหลับไปชั่วนิรันดร์ แต่ความเยือกเย็นของบรรยากาศรอบตัวเธอกลับสะท้อนความไม่ธรรมดาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบรรดาเพื่อนสนิทมารวมตัวกันที่บ้านของนวลพรรณ ที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่จัดงานศพ ทุกคนสวมชุดดำ นิ่งสงบในความเงียบงัน ทุกคนยังคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังโลงศพไม้ที่ถูกวางไว้กลางห้องนั่งเล่นของบ้าน มีดอกไม้สีขาวเรียงรายอยู่รอบ ๆ โลง ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความสงบสุขที่ทุกคนหวังว่า เธอจะได้รับในภพหน้า ข้าง ๆ โลงศพ มีรูป
คืนที่ร้างลาค่ำคืนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ หน้าต่างห้องนอนเปิดรับลมเย็นสบาย และแสงจันทร์อ่อนโยนที่ส่องผ่านผ้าม่านบางเบาส่องประกายลงมา พื้นห้องปูด้วยพรมผ้าขนสัตว์นุ่มละมุน ข้างเตียงที่เต็มไปด้วยหมอนนุ่มและผ้าห่มที่คลุมอยู่ในสภาพระยิบระยับของสีครามและเงินแสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ส่องกระทบกับร่างเปลือยเปล่าของก้องเกียรติและญาณวดีที่พันรัดกันอยู่บนเตียงนุ่ม ญาณวดีร่างบางแนบชิดร่างกำยำของก้องเกียรติ ดวงตาของทั้งคู่ปิดสนิทขณะที่ริมฝีปากจูบกันอย่างเร่าร้อน เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังก้องไปทั่วห้องก้องเกียรติใช้ปลายนิ้วลากเบาๆ ตามแผ่นหลังของญาณวดี ทำให้เธอขนลุกซู่ เขากดริมฝีปากลงบนลำคอของเธอเบาๆ รอยจูบร้อนๆ เหมือนเปลวไฟที่ค่อยๆ ลามไปทั่วร่างกายของเธอ ก่อนที่เขาจะเคลื่อนริมฝีปากลงมาที่หน้าอกที่โชยผาย การสัมผัสที่อ่อนโยนและเร่าร้อนสลับกันไปมา ทำให้ญาณวดีรู้สึกตื่นเต้นและหวั่นไหว“อา...ก้องคะ..” ญาณวดีหลับตาและครางออกมาเบาๆ ด้วยความสุขก้องเกียรติกอดรัดร่างของญาณวดีแน่น มือของเขาสัมผัสไปตามผิวเนียนของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะเคลื่อนตัวลงมาที่ส่วนล่าง ญาณวดีครางออกมาเบาๆ
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี
กฤตินยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างไทยและเขมร สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้สูงในป่าทึบที่ล้อมรอบเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงัดและเคร่งเครียด สถานที่นี้เงียบเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าข้างกายของกฤติน โซระวิญญาณเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน โซระดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เขามีปีกสีดำที่ใหญ่โอบล้อมรอบตัวเล็กน้อย ราวกับเตรียมปกป้องกฤตินจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงอีกด้านหนึ่ง อาเรีย วิญญาณเทพพิทักษ์ของอาคิรา เดินตามติดกฤตินอย่างใกล้ชิด แต่ต่างจากโซระที่เป็นเทพแห่งแสงสว่าง อาเรียคือเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ทรงพลัง เธอมีพลังที่รุนแรงและดุดัน ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความหิวกระหายในการทำลายล้าง ใบหน้าของเธอดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น พร้อมที่จะบวกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าอาเรียไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ธรรมดา เธอคือเทพเจ้าที่มีพลังแห่งความมืดและการทำลายล้างอย่างแท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาคิรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยจัดการวิญญาณที่แข็งแกร่ง หรือปกป้องยามเธอมี
กลางคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของกฤติน กลับเต็มไปด้วยความกังวลในใจของอาคิรา เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะกำลังแปรงผมยาวสลวยของตัวเอง แสงไฟจากโคมเล็กๆ ส่องแสงอ่อนๆ ให้เห็นเงาสะท้อนของเธอในกระจก จิตใจของเธอกำลังหมุนวนไปกับความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้การต่อสู้กับหมอผีเขมรอย่างยงซาน เป็นสิ่งที่เธอกังวล แม้ว่ากฤตินจะบอกให้เธอวางใจว่าเขาสามารถจัดการได้ แต่ในใจของเธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ เธอรู้ว่าการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่อยากให้เขาไปเผชิญหน้าเพียงลำพังเสียงน้ำหยดลงจากฝักบัวในห้องน้ำข้างๆ หยุดลง กฤตินเพิ่งอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย โชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยงาม เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนแข็งแรงของเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับอาคิรา แม้ว่าความกังวลยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอ“เป็นอะไร?” กฤตินจรดริมฝีปากที่ซอกหูของเธอ เสียงนุ่มนวลของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง เธอวางแปรงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองเงาสะท้อนของเขาในกระจก“ฉันจะไปด้วย” อาคิราพูดอย่างหนักแน่นกฤตินมองเธอในกระจก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเ
“อึ๊..อ๊า...”เสียงหอบหายใจสะท้านก้องไปทั่วห้องที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งมนตร์ดำ หมอผียงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีชัญญานั่งคร่อมร่างของเขาอยู่ เธอกำลังโยกร่างกายส่วนล่างของเธอบดเบียดกับเขา“อื้ม..ดี..แรงอีกหน่อย...” หมอผียงซานพึมพำเสียงกระเส่า ใช้ฝ่ามือดันหลังของชัญญาให้แอ่นขึ้น พลางลากเรียวลิ้นไปบนยอดอกที่ชูชันของเธอ มืออีกข้างคลึงเคล้นหน้าอกของเธอ“อื้ม..อ๊ะ..เสียวจัง..” ชัญญาเสียวสะท้าน ครางกระเส่า บั้นท้ายของเธอบดขยี้และขยับเร็วขึ้น“อ๊ะ..อ๊า....”ไม่นานเสียงครางที่สุขสมของทั้งสองคนก็ดังขึ้น ชัญญาเกร็งร่างกระตุกก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง สองแขนยังคงโอบคอของเขา“ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับเอกวัฒน์” หมอผียงซานกระซิบข้างหูชัญญา“.....” ชัญญาดันตัวขึ้นมองหน้าหมอผีหนุ่ม“ถ้าไม่ทำ ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า” หมอผียงซานพูดเสียงเรียบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของเธอ“เจ้าเสียดายเขารึ?” หมอผียงซานมองนิ่ง ขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามเนินอกของเธอชัญญายิ้มเยือกเย็น สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อเอกวัฒน์ คนที่เธอเคยหลงใหลและหมายปอง ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเป