“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา
“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน
“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง
“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ
“ห๊ะ!!”
“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก
“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ
“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดิน
วิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น
“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ
“เอาไงอะ?”
“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”
“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง
“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ
“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันที
วิญญาณแห่งความเศร้า
ในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี้ยงบริษัท Vivid Enterprise ไฟสลัวๆ จากโคมไฟบนผนังและเสียงดนตรีที่ดังก้องจากห้องจัดเลี้ยง ทำให้บรรยากาศที่นี่ดูน่ากลัวและเงียบสงบ
อาคิราเดินเข้ามาในโถงทางเดิน เธอหยุดยืนมองรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงเบาๆ ที่ดังขึ้นในความเงียบสงบ เสียงนั้นคือเสียงกระซิบแผ่วเบา เหมือนเสียงร้องไห้และเสียงคร่ำครวญ อาคิรารู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลผ่านเส้นผมและผิวหนังของเธอ
"คุณเกศ" อาคิราเรียกเสียงเบา รู้ดีว่าเสียงนั้นคือเสียงของวิญญาณของเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ที่เสียไปแล้ว
"ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่"
วิญญาณของเกศปรากฏตัวขึ้นจากความมืด อยู่ในชุดขาว ใบหน้าสวยงาม แต่สายตากลับแฝงด้วยความเศร้าและความแค้นที่ลึกซึ้ง
"คุณเกศ..."
"ฉันรู้ว่าคุณเจ็บปวดและโกรธแค้นชัญญา แต่ความแค้นนี้จะทำให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล" อาคิรากล่าวอย่างแผ่วเบา
"ชัญญาทำให้ฉันต้องตาย เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่เคียงข้างเอกวัฒน์" คุณเกศพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
"ฉันเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด แต่การแก้แค้นไม่ใช่ทางออก คุณต้องปล่อยวางและไปสู่ที่ที่สงบสุข" อาคิรามองวิญญาณคุณเกศด้วยสายตาเห็นใจ
"ไม่!" คุณเกศกรีดร้อง
"ฉันไม่สามารถปล่อยวางได้ ฉันจะไม่ยอมให้ชัญญาได้ในสิ่งที่เธอไม่สมควรได้"
"คุณเกศ ถ้าคุณไม่ปล่อยวาง ความแค้นจะกลืนกินคุณ คุณจะกลายเป็นวิญญาณร้ายที่ไม่มีทางออก" อาคิราก้าวเข้าไปใกล้คุณเกศ
คุณเกศยืนนิ่ง รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความทุกข์และความโกรธปรากฏบนใบหน้าของเธอ
"ไม่! ฉันจะไม่ยอมปล่อยวาง ฉันจะทำลายทุกคนที่ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน!" เสียงของคุณเกศดังขึ้นพร้อมกับความมืดที่เข้ามาใกล้ตัวเธอ
ทันใดนั้น ความมืดมิดที่อยู่รอบๆ เริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ เกศ มันกลืนกินเธอทีละน้อย ทำให้ร่างของเธอเริ่มเปลี่ยนไป ความเจ็บปวดและความโกรธเริ่มปรากฏบนใบหน้าของเธอมากขึ้น
"คุณเกศ!" อาคิราพยายามเรียกเกศอีกครั้ง
"อย่าปล่อยให้ความมืดกลืนกินคุณ คุณยังมีโอกาสที่จะปล่อยวางและไปสู่ที่ที่สงบสุข"
แต่เสียงของอาคิราถูกกลืนหายไปในความมืด ร่างของเกศถูกความมืดกลืนกินจนหมดสิ้น สายตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นสายตาของวิญญาณร้าย ความแค้นและความเจ็บปวดทำให้เธอกลายเป็นสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด
ในขณะเดียวกัน
กฤตินยืนอยู่ในมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง งานเลี้ยงยังคงดำเนินไปอย่างครึกครื้น เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังไปทั่วทั้งห้อง ทันใดนั้น กฤตินรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาสัมผัสได้ถึงความมืดและความชั่วร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“เฮ้ เจ้ารู้สึกมั้ย” เสียงกระซิบดังมาจากที่ห่างไกล
“อื้ม”
ขณะที่กฤตินกำลังจะทำอะไรบางอย่าง สายตาของเขาก็ไปหยุดที่ณัฐรินีย์ที่รีบเร่งเข้ามาให้ห้องโถงกลางที่จัดงาน เขารู้ได้ในทันทีว่า สาวน้อยแสนซนของเขากำลังทำเรื่องที่อันตรายอีกแล้ว
“ยัยตัวแสบหาเรื่องอีกละ” กฤตินกระซิบตอบกลับไปยังที่ห่างไกล
“หึหึ”
“นายช่วยมาดูแลในห้องนี้หน่อย เดี๋ยวฉันไปดูยัยนั่นเอง” กฤตินตัดสินใจ และเดินตรงไปหาธีรเทพกับณัฐรินีย์
“คุณณัฐ อย่าให้คนในห้องโถงนี้ออกไปด้านนอกนะ” กฤตินบอก และรีบเดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?” ธีรเทพมองหน้าณัฐรินีย์ด้วยความงุนงง
“ไม่รู้สิ แต่สองคนนั้นพูดเหมือนกันเป๊ะเลย” ณัฐรินีย์พึมพำอย่างแปลกใจ
เมื่อกฤตินเดินมาถึงทางเดิน เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาและเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นในความเงียบสงบ เขารู้ทันทีว่าอาคิรากำลังเผชิญหน้ากับวิญญาณร้าย
กฤตินเร่งฝีเท้า เขาต้องไปหาอาคิราให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเธอจากความมืดและความชั่วร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา และเพื่อปกป้องเธอจากวิญญาณร้ายที่กำลังจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ
ความลับที่ถูกซ่อนเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เวลาเลิกงาน อาคิราก็เก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะณัฐรินีย์ต้องอยู่ช่วยงานออกแบบของธีรเทพหลังเลิกงานทุกวัน เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทธีรเทพแล้วหญิงสาวเดินออกจากออฟฟิศและกดลิฟท์ลงไปยังชั้นหนึ่ง อาคิราเผลอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยไม่รู้ตัวว่า ในเงามืดของทางเดินมีใครบางคนกำลังรออยู่“เฮ้ คุณ”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับไปมอง ก้องเกียรติยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมีความกังวลเล็กน้อย“คุณนี่เอง” อาคิรานึกออกทันทีว่าเขาคือแฟนของญาณวดี“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ก้องเกียรติมองหน้าอาคิรานิ่ง“คาเฟ่ชั้นหนึ่งยังเปิดอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน”ทั้งสองคนเดินไปยังคาเฟ่ชั้นหนึ่งของตึก อาคารที่เต็มไปด้วยคนเดินขวักไขว่ แต่บรรยากาศในคาเฟ่กลับเงียบสงบอย่างประหลาด พวกเขาเลือกที่นั่งมุมหนึ่งที่เงียบสงบ“ผมมีเรื่องอยากถามสองเรื่อง” ก้องเกียรติเริ่มต้นก่อนหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว“หนึ่ง เรื่องญาณวดีที่คุณพูดหมายความว่ายังไง สองคุณรู้ได้ยังไงว
ความลับของญาณวดีในค่ำคืนที่เงียบสงบและมืดมิด ญาณวดีเดินผ่านตรอกซอยแคบๆ ที่มืดทึบและเต็มไปด้วยความลึกลับ ความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่นกระจายไปทั่วใจเธอ แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและอันตราย แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้ามาเมื่อเธอถึงหน้าประตูไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามานาน เธอเคาะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ประตูค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยชราคนหนึ่ง ผู้มีดวงตาลึกลับและน่ากลัวที่มองตรงมาที่เธอ“คือฉัน...”“เข้ามาสิ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นญาณวดีพยักหน้าเบาๆ และเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องที่มืดและเต็มไปด้วยกลิ่นธูปและสมุนไพรลอยอวล ญาณวดีเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ใจเธอเต้นรัวไปด้วยความกล้าและความกลัวเสียงกระพือของลมเย็นยามค่ำคืนดังแทรกเข้ามาในห้อง แสงเทียนวับวาวสะท้อนเงามืดที่ดูน่ากลัว“มาแล้วหรือ?”เสียงแหบพร่าของหมอผีดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง เขานั่งอยู่บนเบาะเก่า ๆ ในสภาพที่ดูราวกับออกมาจากฝันร้าย ผมยาวสีดำนั้นยุ่งเหยิงและแววตาสะท้อนแสงเทียนจ้องมองมาที่ญาณวดี“ฉันมาขอความช่วยเหลือค่ะ” ญาณวดีตอบเบา ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่จะได้สิ่งที่ต้องการ“เจ้าต้องการอะไร?” หมอผียิ้มอย่า