ประกาศรักใหม่
ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมือง
ทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัท
เมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงาน
เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์
บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่
อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับในค่ำคืนนี้ ชุดของเธอตัดเย็บจากผ้าซาตินเนื้อดีที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหวของเธอ ชุดนี้เป็นชุดเปลือยไหล่ ทำให้เห็นเนินอกขาวของเธอ กระโปรงยาวลากพื้นเพิ่มความสง่างามให้กับรูปร่างของเธอ นอกจากนี้ อาคิรายังสวมต่างหูเพชรและสร้อยคอที่เข้าชุดกัน ทำให้เธอดูโดดเด่นและงดงาม
ในขณะที่ณัฐรินีย์สวมชุดราตรีสีขาวสะอาดตาที่ทำจากผ้าซาตินเนื้อนุ่ม ตัวชุดเข้ารูปช่วงเอวและมีการตัดเย็บที่ประณีต และเปลือยไหล่เช่นกัน กระโปรงยาวพริ้วไหวเสริมด้วยผ้าชีฟองที่ทำให้ชุดดูเบาและสบายตา ณัฐรินีย์เลือกเครื่องประดับที่เรียบง่ายแต่หรูหรา ทั้งสองคนดูสวยสง่าและโดดเด่นท่ามกลางผู้คน
“งานคืนนี้จัดได้หรูหรามากเลยเนอะ” ณัฐรินีย์กระซิบเบาๆ ขณะมองไปรอบๆ งาน
“อื้อ บรรยากาศดีจริงๆ” อาคิราตอบกลับพลางยิ้ม
“ว่าแต่...หนุ่มของเธอมายัง” ณัฐรินีย์หรี่ตาเจ้าเล่ห์แซวเพื่อนสาว
“ทำเป็นพูดดี ดูแลหนุ่มตัวเองให้ดีก่อนเหอะ” อาคิราดีดหน้าผากเพื่อนเบาๆ
“โอ๊ย เจ็บน้า” ณัฐรินีย์แกล้งโอดครวญ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย และยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อาคิรา
“ไอๆ”
“อะไร?”
“เจ้าชายเธอมาโน่นแล้ว” ณัฐรินีย์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะชี้มือไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในงาน อาคิราหันไปมอง
“เจ้าชายของเธอก็มาแล้วเหมือนกันย่ะ” อาคิราขำเพื่อน เพราะณัฐรินีย์ชะงักค้างไปทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมกฤติน
ธีรเทพในชุดสูทสีดำที่ออกแบบมาอยางประณีต สูทตัดเย็นเข้ารูปทให้เขาดูสง่างามและมีความมั่นใจ เสื้อตัวในสีขาวสะอาดตาและเนคไทสีเงินเพิ่มความหรูหราให้กับลุคของเขา รองเท้าหนังสีดำเงาวับขับเน้นให้ธีรเทพดูเหมือนเจ้าชายทางด้านธุรกิจ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วความมาดมั่นและเป็นมืออาชีพ เมื่อเขาก้าวเดินเข้ามาในห้อง ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาด้วยความชื่นชม
กฤตินมาในชุดสูทสีดำเช่นกัน แต่ลุคของเขามีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย สูทของเขามีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ดูเหมือนเจ้าชายหลุดออกมาจากเทพนิยาย เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาวที่ตัดกับสูทสีดำเข้ม กฤตินเลือกใส่รองเท้าหนังสีดำที่ออกแบบมาอย่างประณีต ทุกย่างก้าวของเขาเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นคงในตัวเอง
ทั้งธีรเทพและกฤตินต่างเป็นจุดสนใจในงานเลี้ยงคืนนี้ เมื่อพวกเขายืนอยู่เคียงข้างกัน ธีรเทพในลุคเจ้าชายด้านนักธุรกิจที่เป็นไปด้วยความเป็นผู้นำ ส่วนกฤตินในลุคเจ้าชายจากเทพนิยายที่ดูเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน ทั้งคู่ดูเหมือนเป็นภาพสะท้อนความสมบูรณ์แบบและความสง่างามของค่ำคืนนี้
อาคิราและณัฐรินีย์ต่างรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อมองดูพวกเขาชุดสูทที่ดูดีขนาดนี้
“ให้มันได้งี้สิ หล่อไปไหนเนี่ย” อาคิราพึมพำอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองคนกำลังเดินตรงมาหาเธอ
“ฮึ่ม...” ณัฐรินีย์เข่นฟันด้วยความหงุดหงิดใจ
“มาอยู่นี่เอง” กฤตินยิ้มให้อาคิราโดยไม่สนใจสีหน้าที่บูดบึ้งเล็กน้อยของเธอ
“เป็นอะไร?” กฤตินยิ้มเจ้าเล่ห์และยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“เปล่า....”
อาคิราลากเสียงยาวก่อนจะเมินหน้าหนีไปทางอื่น อาคิราไม่อยากให้เขารู้ว่า ในใจของเธอกำลังรู้สึกขุ่นมัวที่เห็นสาวๆ ภายในงานต่างจับจ้องมาที่เขา
ขณะนั้นเอง เสียงดนตรีค่อยๆ หยุดลง แสงไฟทั้งหมดในห้องก็สว่างขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ร่วมงาน
เอกวัฒน์ เจ้าของและผู้บริหารของบริษัท Vivid Enterprise ก้าวขึ้นไปบนเวทีที่ถูกจัดขึ้นอย่างสวยงาม เขาสวมชุดสูทสีดำที่ทำให้เขาดูสง่าและมีอำนาจ
“สวัสดีทุกท่าน”
“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Vivid Enterprise ในค่ำคืนนี้” เอกวัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
เสียงปรบมือดังขึ้นจากทุกทิศทาง แขกในงานต่างตั้งใจฟังคำกล่าวของเอกวัฒน์ ซึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชมและคาดหวัง
“วันนี้ไม่เพียงแต่เราจะเปิดตัวสินค้าที่ดีที่สุดเท่านั้น” เอกวัฒน์ยิ้มและหยุดนิ่ง ทำให้ทุกคนสงสัยในคำพูดของเขา
“แต่ผมยังมีข่าวสำคัญที่จะประกาศให้ทุกคนได้ทราบ”
บรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มเปลี่ยนไป แขกในงานต่างกระซิบกระซาบกันและหันไปมองที่เอกวัฒน์อย่างตื่นเต้น
“หลังจากที่ผมได้สูญเสียภรรยาที่รักไป” เขากล่าวด้วยเสียงที่เคร่งขรึม แต่ยังคงแฝงด้วยความมั่นคง
“ผมได้พบกับคนที่ทำให้ชีวิตของผมกลับมามีความหมายอีกครั้ง”
แสงไฟบนเวทีเปลี่ยนไป แสงไฟทั้งหมดส่องไปยังชัญญาที่กำลังยืนรออยู่ด้านล่างเวที ชัญญาสวมชุดเดรสสีขาวงดงาม รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฎบนใบหน้าของเธอ
“ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า ผมและชัญญาจะแต่งงานกัน” เอกวัฒน์กล่าวด้วยเสียงดังและมั่นใจ
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้อง แขกในงานต่างประหลาดใจและกระซิบกันอย่างไม่เชื่อหู หลายคนรู้สึกงุนงงและไม่พอใจ เนื่องจากภรรยาของเอกวัฒน์เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน
ชัญญายิ้มและก้าวขึ้นเวทีมายืนเคียงข้างเอกวัฒน์ ทั้งสองคนจับมือกันและหันมองไปยังแขกในงาน รอยยิ้มของพวกเขาแฝงไปด้วยความมั่นใจและความสุข
“คุณเอกคะ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากที่ได้ยืนอยู่เคียงข้างคุณในค่ำคืนนี้” ชัญญายิ้มหวานให้เอกวัฒน์
“ผมก็เหมือนกัน คุณเป็นคนที่ทำให้ชีวิตผมกลับมามีความหมายอีกครั้ง”
“ขอบคุณทุกท่านที่มาเป็นสักขีพยานในค่ำคืนนี้ ฉันหวังว่าทุกคนจะร่วมยินดีกับเราด้วยนะคะ”
“ขอให้ทุกคนร่วมยินดีกับเราด้วยนะ” เอกวัฒน์กล่าวพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้น
“และขอให้มาร่วมงานแต่งงานที่ผมจะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกันนะครับ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งห้องโถงที่จัดงาน แม้บางคนจะยังมีความสงสัยและไม่พอใจ โดยเฉพาะกานต์รวีที่กำแก้วไวน์แน่นด้วยความไม่พอใจ
แต่บรรยากาศในงานก็กลับมาสดในอีกครั้ง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงใหม่ แขกในงานเริ่มหันมาสนุกสนานและสนทนากันอย่างครึกครื้น
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ
ความลับที่ถูกซ่อนเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เวลาเลิกงาน อาคิราก็เก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะณัฐรินีย์ต้องอยู่ช่วยงานออกแบบของธีรเทพหลังเลิกงานทุกวัน เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทธีรเทพแล้วหญิงสาวเดินออกจากออฟฟิศและกดลิฟท์ลงไปยังชั้นหนึ่ง อาคิราเผลอคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยไม่รู้ตัวว่า ในเงามืดของทางเดินมีใครบางคนกำลังรออยู่“เฮ้ คุณ”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับไปมอง ก้องเกียรติยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมีความกังวลเล็กน้อย“คุณนี่เอง” อาคิรานึกออกทันทีว่าเขาคือแฟนของญาณวดี“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” ก้องเกียรติมองหน้าอาคิรานิ่ง“คาเฟ่ชั้นหนึ่งยังเปิดอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน”ทั้งสองคนเดินไปยังคาเฟ่ชั้นหนึ่งของตึก อาคารที่เต็มไปด้วยคนเดินขวักไขว่ แต่บรรยากาศในคาเฟ่กลับเงียบสงบอย่างประหลาด พวกเขาเลือกที่นั่งมุมหนึ่งที่เงียบสงบ“ผมมีเรื่องอยากถามสองเรื่อง” ก้องเกียรติเริ่มต้นก่อนหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว“หนึ่ง เรื่องญาณวดีที่คุณพูดหมายความว่ายังไง สองคุณรู้ได้ยังไงว