วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัว
ณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วย
อาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย
“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม
“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู
“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”
“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ
“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”
ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทเป็นที่จดจำและประทับใจของทุกคน
“โอ้ย กี่โมงแล้วเนี่ย” อาคิราตกใจดูนาฬิกา หลังจากที่ทั้งสองคนวางแผนงานจนลืมดูเวลา
“เฮ้ย ทุ่มครึ่งละเรอะ” ณัฐรินีย์ตกใจหนักกว่า
“ณัฐ ฉันว่าโทรศัพท์เธอดังหลายรอบแล้วนะ” อาคิราชี้มือไปที่โทรศัพท์มือถือของเพื่อนที่สั่นอยู่นานแล้ว
“ตายล่ะหว่า ลืมไปเลยว่านัดอีตานั่นไว้” ณัฐรินีย์ตบหน้าผากตัวเอง และรีบเก็บของอย่างว่องไว
“นัดคุณธีร์ไว้เหรอ?” อาคิรารีบเก็บข้าวของทันทีเหมือนกัน ดูเหมือนว่าเธอเองก็ลืมเหมือนกันว่า กฤตินจะมารับ
“รีบไปกันเถอะ ก่อนจะซวย”
ณัฐรินีย์รีบคว้าโน้ตบุ๊คพร้อมกับลากมือเพื่อนสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ลิฟท์ของตึก แต่ทว่า...
“นี่พวกคุณลืมพวกเราใช่มั้ย?”
ธีรเทพยืนกอดอกรออยู่ตรงหน้าลิฟท์ โดยมีกฤตินยืนพิงกำแพงอมยิ้มด้วยท่าทางดูสนุกสนาน
“ขอโทษ....” ณัฐรินีย์ตรงเข้าไปหาธีรเทพด้วยท่าทางจ๋อยๆ
“ขอโทษที่ช้า” อาคิรายิ้มเดินตรงไปหากฤติน
“ไม่เป็นไร หิวมั้ย?” กฤตินดึงโน้ตบุ๊คจากอาคิรามาถือเอาไว้
“อื้อ”
“งั้นไปหาไรกินกัน” กฤตินยิ้มให้ ยื่นมือไปกดลิฟท์
“นี่ๆ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันสองคนสิ” ณัฐรินีย์หันไปหรี่ตามองไม่พอใจ
“อิจฉาเขารึไง คุณ” ธีรเทพกระซิบข้างหู
“เปล่าซะหน่อย” ณัฐรินีย์ค้อนขวับ
“ไปด้วยกันสิ ณัฐ” อาคิราหันมาชวน
“ว้าว รักเธอที่สุดเลย ไอ” ณัฐรินีย์กอดแขนเพื่อนรัก ก่อนจะหันมาแลบลิ้นให้ธีรเทพ ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
ค่ำคืนที่แสนหวาน
ภายในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกแถวเก่าแก่ บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นเหมือนบ้าน โคมไฟสลัวส่องแสงกระทบผนังอิฐเปลือยที่ดูขรุขระ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง เสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ ดังแผ่วเบา ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มเพื่อนที่มานั่งคุยกันดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยจานอาหารน่าทานหลากหลายชนิด ทั้งพาสต้า สลัด และพิซซ่าที่อบใหม่ ๆ
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นเหมือนโอเอซิสเล็ก ๆ กลางเมืองใหญ่ ที่เราสามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายและมาผ่อนคลายกับเพื่อน ๆ ได้อย่างเต็มที่
ณัฐรินีย์นั่งข้างธีรเทพ ส่วนกฤตินและอาคิราอยู่ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม จานอาหารหลากหลายวางเรียงรายอยู่ตรงกลาง เสียงหัวเราะเบาๆ ผสมกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยกาศในร้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง
“ผมได้รับจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงบริษัทคุณด้วยนะ”
ธีรเทพเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ก็...บริษัทคุณใหญ่โตนี่นา ถ้าไม่ใช่บริษัทใหญ่ คุณเอกไม่มีทางเชิญแน่ๆ” ณัฐรินีย์ใช้ส้อมม้วนสปาเก็ตตี้ในจานขึ้นมาใส่ปาก
“ผมก็ได้รับเชิญนะ” กฤตินยิ้ม ก่อนจะยกแก้วชาขึ้นมาจิบ
“เอ๊ะ?” อาคิรากับณัฐรินีย์หันไปมองพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
“ทำไม?” กฤตินยักคิ้วให้อาคิราอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็...”
“นี่ไง บัตรเชิญ” กฤตินยื่นจดหมายส่งให้สองสาวดู
“ไหนๆ ขอเรียนเชิญคุณกฤติน เทวานุรักษ์ เข้าร่วมงานเลี้ยง...” ณัฐรินีย์อ่านออกเสียง
“เทวานุรักษ์...คุ้นๆ แฮะ”
“หืม..นี่คุณอยู่ในตระกูล ‘ผู้ดูแลความลับของโลก’ งั้นเหรอ?” ธีรเทพขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คืออะไรอะ?” ณัฐรินีย์หันไปถามสีหน้างุนงง
“จะว่าไงดีล่ะ” ธีรเทพเกาศีรษะเล็กน้อย
“ตระกูลผู้ดูแลความลับของโลก แบ่งเป็น 3 ตระกูลใหญ่ได้แก่ ผู้รักษาความลับ ผู้ปกป้องความสมดุล และผู้พิทักษ์หอสมุด จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ของตระกูลนี้คือ ‘รักษาความรู้โบราณและความลับของจักรวาลให้คงอยู่อย่างสมดุล’ ส่วนเรื่องอื่นผมก็ไม่รู้แล้ว” ธีรเทพยกมือยอมแพ้
“ดูท่า คุณก็รู้มากพอควรอยู่” กฤตินคลี่ยิ้มบางๆ ดวงตาเป็นประกาย
“แปลว่า คุณอยู่ในตระกูลผู้พิทักษ์หอสมุดสินะ มิน่าล่ะ หอสมุดของคุณถึงได้สวยขนาดนั้น” ณัฐรินีย์ถึงบางอ้อ
“งั้นก็ไม่แปลกที่จะได้บัตรเชิญสินะ” อาคิราหรี่ตามองชายหนุ่ม
“อื้ม” กฤตินยื่นหน้าเข้าไปใกล้อาคิรา และยักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์
“เอ่อ นี่ช่วยอย่าทำเหมือนอยู่กันสองคนได้ปะ” ณัฐรินีย์พ่นลมออกจมูกไม่พอใจ
“ตอนนี้มีเรื่องด่วนกว่า เราควรกังวลเรื่องของคุณเอกกับชัญญามั้ยอะ?” อยู่ๆ ณัฐรินีย์ก็พูดขึ้นมา
“ทำไมล่ะ?” ธีรเทพเลิกคิ้ว
“ฉันได้ข่าวลือมาว่า คุณเอกจะขอชัญญาแต่งงานในงานเลี้ยงครั้งนี้น่ะสิ” ณัฐรินีย์กระซิบ
“ห๊ะ? แต่ภรรยาคุณเอกเพิ่ง...” อาคิราชะงักมือที่จะตักพิซซ่า
“นั่นล่ะ มันแปลกใช่มั้ยล่า”
“ผมว่า อย่าเพิ่งคิดมากนักเลย อาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ธีรเทพเอ่ยค้าน
“คุณก็พูดได้สิ ไม่เห็นเหตุการณ์ประหลาดๆ นี่นา” ณัฐรินีย์เถียง
“แล้วคุณล่ะ มัวแต่แอบไปดูเหตุการณ์ประหลาดๆ จนไม่ทำงานรึไง?” ธีรเทพสวนทันควัน
“หึหึ พวกเธอนี่ชอบเถียงกันจริงๆ นะ” อาคิราอดขำออกมาไม่ได้
“เดี๋ยวเถอะ ไอ!” ณัฐรินีย์ค้อนเพื่อนสาว
“นี่ก็ดึกแล้ว กลับกันเถอะ” กฤตินตัดบท พร้อมกับเรียกพนักงานเช็คบิลค่าอาหารทันที
“โหย ฉันยังไม่อิ่มเลย” ณัฐรินีย์ทักท้วง
“เดี๋ยวค่อยไปกินมาม่าด้วยกันก็ได้” ธีรเทพกระซิบข้างหูเธอเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์หน้าแดงและทุบไปที่ไหล่ของชายหนุ่มหลายที
หลังจากทานอาหารเสร็จ ธีรเทพและณัฐรินีย์เดินคุยกันไปที่ลานจอดรถ ขณะที่กฤตินและอาคิราเดินตามมาทีหลัง
“ไอ ให้อีตานี่ไปส่งมั้ย?” ณัฐรินีย์หันกลับมาถามเพื่อน
“เดี๋ยวผมไปส่งไอเองครับ” กฤตินรั้งตัวอาคิราเอาไว้
“เอ๋? คุณมีรถเหรอ?” ณัฐรินีย์ถามด้วยความแปลกใจ เพราะเธอไม่ค่อยเห็นกฤตินขับรถ
“จอดอยู่ตรงนั้นไง”
กฤตินบอกพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกมา และกดปลดล็อคไปที่รถสปอร์ตคันหรู สีดำเงางามที่ดูมีราคาสูงจอดนิ่งสงบอยู่ฝั่งตรงข้ามของรถธีรเทพ
“โห นี่รถคุณเหรอ?” ณัฐรินีย์ตาโตด้วยความตื่นเต้น
“อื้อ” กฤตินยิ้ม พร้อมกับจูงมืออาคิราไปที่รถ และเปิดประตูด้านข้างให้
“คุณนี่ เป็นคนที่เกินความคาดหมายจริงๆ นะ คุณกฤติน” ณัฐรินีย์เดินมามองรอบๆ รถสปอร์ตคันหรูที่มีเส้นสายโค้งมนและดีไซน์ทันสมัยด้วยความตื่นเต้น
“เกินไปละ ยัยณัฐ รีบไปเลย คุณธีร์รอหน้าหงิกแล้ว”
อาคิราดันหลังเพื่อนให้กลับไปหาชายหนุ่มสีหน้าบูดบึ้งยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ย่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ณัฐรินีย์แลบลิ้นให้เพื่อน ก่อนจะเดินกลับไปหาธีรเทพ
“เหนื่อยกับยัยคนนี้จริงๆ” อาคิราส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ฉันว่าเพื่อนเธอดีนะ รู้งานดี” กฤตินยิ้ม
“บางทีก็เกินไปมั้ง” อาคิราหัวเราะเบาๆ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ
กฤตินปิดประตูและขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ เขาสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์สปอร์ตดังกระหึ่มขึ้น พวกเขาเริ่มเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ มุ่งหน้าสู่ท้องถนนในยามค่ำคืน
แสงไฟจากถนนส่องสว่างผ่านกระจกหน้ารถ สะท้อนความหรูหราและความตื่นเต้นในค่ำคืนนี้
“คุณนี่ มีอะไรเกินคาดจริงๆ นะ” อาคิราพูดขึ้น
“รอให้เธอมาค้นหาไง” กฤตินตอบและยิ้มให้เธออย่างเจ้าเล่ห์
บรรยากาศในรถเงียบสงบ ขณะที่กฤตินขับรถไปตามถนนยามค่ำคืน แสงไฟจากสองข้างทางส่องสลับกับเงามืดของต้นไม้ที่เรียงราย สายลมเย็นสบายพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเล็กน้อย
อาคิรานั่งข้างคนขับ มองดูทิวทัศน์ภายนอกด้วยความสงบ แต่ภายในใจกับเต็มไปด้วยความคิดถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อตอนทานอาหารค่ำ
“ตระกูลของคุณ...” อาคิราเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำลายความเงียบในรถ
“ฉันไม่รู้เลยว่า คุณอยู่ในตระกูลที่มีความสำคัญขนาดนั้น”
“มันเป็นความลับน่ะ” กฤตินหันมายิ้มเล็กน้อย
“เราไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้มากนักหรอก”
“แล้ว...”
“แต่ถ้าเธออยากรู้ ฉันจะเล่าให้ฟัง” กฤตินยิ้มให้อาคิรา
“ไม่อะ ฉันยังไม่อยากรู้” อาคิราตัดสินใจข่มความอยากรู้ของตัวเองเอาไว้
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันคิดว่า ถ้าคุณพร้อมจะบอก คุณคงบอกฉันเอง” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน ดวงตาสีอำพันจ้องมองราวกับจะอ่านความรู้สึกของเขา
“ไว้ถึงเวลา เธอก็จะรู้เองล่ะ”
กฤตินยิ้ม จ้องมองอาคิราด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ ทำให้อาคิราต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาแทนด้วยความเขินอาย
เมื่อมาถึงหน้าบ้านของอาคิรา กฤตินจอดรถที่ข้างถนนและหันมามองเธอด้วยสายตาที่บ่งบอกความปรารถในใจ อาคิราเริ่มรู้สึกตื่นเต้นและหัวใจเต้นแรง เธอหันมามองกฤตินอย่างเขินอาย
“ขอบคุณที่มาส่งนะ” อาคิรากล่าวเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก
“ยินดีเสมอ” กฤตินยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“งั้นฉันเข้าบ้านก่อนนะ” อาคิราเขิน
“ไอ...” กฤตินรั้งตัวเธอเอาไว้
“หืม?” อาคิราหันมาสบตากับเขา ใจเต้นแรง
กฤตินเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน อาคิราสบตากับเขา ราวกับเวลาทั้งหมดหยุดหมุน
ความเงียบที่แสนหวานปกคลุมอยู่สักครู่ ก่อนที่กฤตินจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ อาคิราไม่สามารถต้านทานความรู้สึกที่ท่วมท้นได้ เธอปิดตาลงอย่างช้าๆ และรู้สึกถึงริมฝีปากของกฤตินที่ประกบเข้ากับริมฝีปากของเธอ จูบนี้อบอุ่นและอ่อนหวาน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้หายไป เหลือเพียงพวกเขาสองคน
เสียงหัวใจของอาคิราดังชัดเจนในหูของเธอ ทุกความรู้สึก ทุกอารมณ์ถูกส่งผ่านจูบนี้ เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันที่ไม่อยากตื่นขึ้นมา
กฤตินถอนจูบออกอย่างช้าๆ และมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“ฝันดีนะ ไอ” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธอเบาๆ เป็นการร่ำลา
“อื้อ ฝันดีเช่นกัน” อาคิรายิ้มเขินอายและพยักหน้า เธอเปิดประตูรถและลงจากรถ ยืนมองกฤตินที่ขับรถออกไปจากบ้านของเธอด้วยหัวใจที่เต้นแรงและเต็มไปด้วยความสุข
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เธอจะจดจำตลอดไป เพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งความรัก ความอบอุ่น และความสุขที่แท้จริง
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ
ความลับในห้องนอนในห้องนอนส่วนตัวของกฤตินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ด้วยโทนสีขาวและดำ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลอยมาเบาๆ ขณะที่แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้แสงสว่างนุ่มนวลนอกจากแสงจันทร์ ยังมีแสงเทียนที่สลัวอบอุ่นประดับอยู่ตามมุมห้อง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกกฤตินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนสีเข้ม มองอาคิราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แปรงผมอยู่ตรงโต๊ะของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมจัดงานเลี้ยง กฤตินก็พาอาคิราตรงกลับมาที่บ้านของเขาทันที โดยที่เธอไม่ได้ทักท้วงใดๆ เขารู้สึกว่า คืนนี้เขาไม่ปล่อยเธอกลับบ้านแน่นอน“อะไรเหรอ?” อาคิราถามขึ้นเบาๆ เธอรับรู้ถึงสายตาที่เขามองมา“เปล่า”กฤตินยิ้มกริ่ม อาคิราไม่รู้หรอกว่า เขารอเวลานี้มานานแค่ไหน“เดี๋ยวเถอะ!” อาคิราหันมาและเอาแปรงผมชี้หน้าเขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ“หึหึ มานี่สิ” กฤตินยิ้มและยื่นมือให้เธอ“.....”อาคิรามองมือของเขา ก่อนจะวางแปรงผมที่โต๊ะ ลุกขึ้นและจับมือของเขา“อ๊ะ”กฤตินดึงมือและเอาแขนอีกข้างรวบตัวของอาคิราให้ขึ้นมาบนเตียง อาคิราที่โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาใบหน้าแดงก่ำ“คื
ความปรารถนาที่ถูกบ่ายเบี่ยงภายในห้องนอนของญาณวดีและก้องเกียรติ ที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมของความรักไป แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระทบกับเตียงที่เปียกชื้นจากเหงื่อและความรู้สึกที่ร้อนแรง ญาณวดีนอนอยู่ข้างก้องเกียรติ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของเธอซ่อนเร้นด้วยเล่ห์ร้ายบางอย่างเธอมองดูร่างของก้องเกียรติที่นอนเปลือยเปล่าข้าง ๆ กัน พลางลูบไล้เบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเขา สัมผัสอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความหวัง“ก้องคะ..” ญาณวดีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หืม?”“ฉันอยากคุยเรื่องของเราน่ะค่ะ”“อะไรล่ะ?” ก้องเกียรติหลับตา เพราะยังรู้สึกเพลียกับสมรภูมิรักเมื่อครู่“ฉันอยากให้เราก้าวไปอีกขั้นในความสัมพันธ์นี้ ฉันอยากเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ”ก้องเกียรติที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในทันที ความสงสัยและความไม่แน่ใจปรากฎในดวงตาของเขา“แต่นวล...ยังอยู่โรงพยาบาล ผมทิ้งเธอไม่ได้หรอก” ก้องเกียรติพยายามเลี่ยง“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เธอเป็นบ้าไปแล้ว คุณจะปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับคนที่เสียสติไปแล้วเหรอ?”“ฉันรักคุณ และฉันพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ฉันต้องการเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณค่ะ” ญาณวดีแสร้งทำเ