แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกาย
ฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลัง
ฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ
“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง
“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริ
พ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่
แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจ
ในวันหนึ่ง
"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อของณัฐรินีย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
"เรื่องอะไรคะพ่อ?" ฉันถามด้วยความอยากรู้
"เรื่องแม่ของลูกน่ะ" พ่อลูบศีรษะฉันเบาๆ
"แม่ของลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีชื่อดังในเมืองนี้ แม่มีความสวยและเรียนสูง แต่แม่กลับมาหลงรักพ่อที่เป็นเพียงช่างออกแบบธรรมดาคนหนึ่ง"
ฉันฟังด้วยความสนใจ พ่อเล่าต่อว่าแม่ของฉันเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมาก เธอไม่สนใจความแตกต่างทางฐานะระหว่างเธอกับพ่อ เธอรักพ่อด้วยใจจริง และพร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่กับพ่อ
"ตอนที่แม่และพ่อคบกัน ครอบครัวของแม่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก พวกเขาพยายามขัดขวางความรักของเรา แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ เราหนีไปแต่งงานกันที่ต่างจังหวัด และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่นั่น" พ่อเล่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"แล้วทำไมแม่ถึงจากไปคะพ่อ?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"เป็นอุบัติเหตุรถชนตอนที่ลูกเพิ่งอายุได้เพียงแค่สิบขวบ แม่พยายามปกป้องลูกสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรอดมาได้" พ่อยิ้มเศร้า
"พ่อเสียใจมากที่ต้องสูญเสียแม่ของลูกไป แต่พ่อก็ภูมิใจในตัวแม่ของลูกมาก ที่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและกล้าหาญ"
"แล้วทำไมพ่อไม่เคยพาลูกไปที่บ้านของยายคะ?" ฉันถาม
"พ่อไม่อยากให้ลูกต้องเจอกับความรู้สึกที่ไม่ดี พ่อไม่อยากให้ลูกต้องเจอกับคำพูดที่ไม่น่าฟัง" พ่อตอบ
"แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่า แม่ของลูกเป็นคนดีมาก และพ่อรักแม่ของลูกมากแค่ไหน"
ฉันกอดพ่อแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉันรู้สึกเสียใจที่ไม่เคยได้เจอแม่ แต่ฉันก็รู้สึกภูมิใจในตัวแม่ของฉันมาก ฉันจะพยายามเป็นเด็กดีและทำให้พ่อภูมิใจเสมอ
"พ่อจะเล่าเรื่องของแม่ให้ลูกฟังอีกนะลูก" พ่อกระซิบข้างหูฉัน
จากนั้นเป็นต้นมา พ่อก็มักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ให้ฉันฟังอยู่เสมอ ทำให้ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับแม่มากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันก็ตาม
"พ่อ...ทำไมพ่อไม่แต่งงานใหม่ล่ะคะ?" ฉันถามคำถามนี้กับพ่อบ่อยครั้ง
"เพราะในใจพ่อมีแต่แม่ของลูกคนเดียว" พ่อจะยิ้มเศร้าแล้วลูบหัวฉันเบาๆ
พ่อบอกว่าหลังจากที่แม่จากไป พ่อรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง พ่อเสียใจมากที่ต้องสูญเสียแม่ของฉันไป พ่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานและการเลี้ยงดูฉัน พ่ออยากให้ฉันเติบโตมาอย่างมีความสุข
"พ่อรู้ว่าแม่ของลูกอยากให้ลูกมีความสุข พ่อจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อลูก" พ่อพูดเสียงแผ่วเบา
พ่อทำงานหนักมาก ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่นของพ่อ ทำให้ชื่อเสียงของพ่อโด่งดังไปทั่วประเทศ ผลงานการออกแบบของพ่อได้รับความนิยมอย่างมาก มีคนรู้จักพ่อกันทั่วไป
พ่อมีเงินทองมากมาย แต่พ่อก็ยังคงเป็นคนเดิม ไม่เคยหยิ่งผยอง หรือโอ้อวด และพ่อก็ไม่เคยลืมที่จะใช้เวลากับฉัน พ่อพาฉันไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปทานอาหารอร่อยๆ รวมถึงสอนฉันทุกอย่างที่พ่อรู้
พ่อสอนให้ฉันรู้จักการให้ความสำคัญกับครอบครัว เพื่อน และคนรอบข้าง พ่อสอนให้ฉันรู้จักการทำงานหนัก และสอนให้ฉันรู้จักการให้เกียรติผู้อื่น ฉันรู้สึกขอบคุณพ่อมากที่ให้ทุกอย่างกับฉัน
ฉันมักจะเห็นพ่อหยิบรูปของแม่มาดูบ่อยๆ พ่อจะเล่าเรื่องราวของแม่ให้ฉันฟัง และบอกว่าแม่ภูมิใจในตัวฉันเสมอ ฉันสัญญากับพ่อว่าจะตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี เพื่อไม่ให้พ่อต้องเสียใจ
ฉันรู้ว่าพ่อรักฉันมาก และฉันก็รักพ่อมากเช่นกัน ฉันจะดูแลพ่อให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
ฉันเคยคิดว่า ถ้าฉันมีคนรัก ฉันอยากมีคนรักที่ดีแบบพ่อ
มหาวิทยาลัย...โลกใบใหม่ของฉัน
ห้องสมุดของคณะศิลปกรรมศาสตร์เป็นเหมือนโลกใบใหม่สำหรับฉัน ห้องเรียนขนาดใหญ่ที่มีชั้นหนังสือสูงตระหง่านเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ การออกแบบ และแฟชั่น
ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่หลังเลิกเรียนที่นี่ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกสี ทำให้บรรยากาศภายในห้องสมุดดูอบอุ่นและเงียบสงบ เสียงการพลิกหน้าหนังสือเบาๆ และเสียงนาฬิกาเดินก๊อกแก๊กเป็นเหมือนทำนองเพลงที่ช่วยให้ฉันจดจ่อกับการเรียนรู้
ห้องสมุดแห่งนี้คือสวรรค์ของฉันเลยก็ว่าได้ หนังสือเกี่ยวกับการออกแบบมากมายวางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือ ฉันชอบที่จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ ค่อยๆ เปิดหนังสือเล่มโปรด แล้วจดบันทึกสิ่งที่น่าสนใจ ฉันรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปยังโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและจินตนาการ
ฉันจำได้ตอนแรกที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ ทุกอย่างดูใหม่และแปลกตาไปหมด ฉันต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งทฤษฎีการออกแบบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับงานออกแบบ และเทคนิคการวาดภาพ ฉันรู้สึกกดดันบ้าง แต่ก็พยายามตั้งใจเรียนให้มากที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันต้องทำโปรเจคออกแบบชุดราตรีสำหรับงานประกวด ฉันนั่งคิดไอเดียอยู่นานสองนาน แต่ก็ยังหาไอเดียดีๆ ไม่ได้ ฉันรู้สึกท้อแท้มาก ฉันเดินเข้าไปในห้องสมุด หยิบหนังสือเกี่ยวกับแฟชั่นมาอ่าน แล้วลองมองหาแรงบันดาลใจจากภาพวาดและรูปถ่ายต่างๆ
ในที่สุด ฉันก็ได้ไอเดียจากภาพวาดของศิลปินคนหนึ่งที่ฉันชื่นชอบ ฉันนำเอาแนวคิดของภาพวาดนั้นมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบชุดของฉัน ผลงานของฉันได้รับคำชมจากอาจารย์และเพื่อนๆ เป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองมาก
ฉันรู้ว่าเส้นทางของนักออกแบบนั้นไม่ง่าย แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ ฉันจะพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ได้เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงเหมือนกับพ่อ ฉันอยากจะสร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ฉันชอบนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง มองออกไปเห็นวิวสวนหย่อมสีเขียวขจี ความรู้สึกสงบทำให้จินตนาการของฉันโลดแล่นไปได้ไกล ฉันชอบที่จะนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จิบกาแฟร้อนๆ แล้วจดบันทึกความคิดของตัวเองลงในสมุดโน้ต
ฉันจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือ ลองวาดภาพร่างลงบนกระดาษ และรวบรวมไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานออกแบบของฉัน
แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ดูสวยงามและลึกลับ....
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ณัฐรินีย์เล่าจบก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ“แปลกมาก” ธีรเทพมีสีหน้าครุ่นคิด“รวี สนิทกับชัญญามากที่สุด เธอควรได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวสิ ไม่ใช่เป็นพวกคุณ”“ใช่มะ! ประหลาดมาก” ณัฐรินีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับธีรเทพ“ฉันว่า ที่แปลกคือคุณเอกต่างหาก ภรรยาเพิ่งเสียแต่รีบแต่งงานเร็วเกิน แบบนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ” อาคิราขมวดคิ้ว“ที่สำคัญ....” อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย“แน่ะ อย่าอยู่ในโลกส่วนตัวกันแค่สองคนเซ่!” ณัฐรินีย์สังเกตเห็นรีบโวยวาย“เอาน่ะ ไว้เราค่อยคุยกันหลังจบงานนี้ก็แล้วกัน” อาคิราตัดบท“แน่นะ?” ณัฐรินีย์คาดคั้นเพื่อนสาว“อื้อ สัญญาเลย” อาคิราหัวเราะพร้อมกับดีดหน้าผากเพื่อน“คุณอาคิราและคุณณัฐรินีย์คะ คุณชัญญาให้มาตามค่ะ” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินมาหาพวกเธอ“รับทราบค่ะ” ทั้งสองคนพยักหน้า อาคิราหันไปสบตากับกฤติน เขายิ้มให้กำลังใจเธอ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกไปจากห้องจัดงานณัฐรินีย์และอาคิราถูกเรียกตัวมาที่ห้องจัดเตรียม ซึ่งเป็นห้องโถงเล็กๆ ข้างหลังห้องจัดเลี้ยงหลักชัญญายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีช่างแต่งหน้ากำลังจัดแต่งหน้าให้เธอ ใบ