คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต
คืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว
“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง
“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา
“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ
“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”
“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก
“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย
“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน
“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่
“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับ
ราตรีแห่งความสูญเสีย
งานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วัน
ภายในวัดขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง บรรยากาศเงียบสงัด อบอวลไปด้วยความเศร้าโศกและเสียใจของครอบครัว
ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่าน ทำให้โคมไฟที่จุดเรียงรายสั่นไหวเล็กน้อย แสงไฟจากเทียนส่องประกายวูบวาบราวกับเป็นการร่ำลาวิญญาณที่จากไป
ศาลาที่ใช้ประกอบพิธีตกแต่งด้วยดอกไม้ขาวสวยงาม แต่กลับให้ความรู้สึกเหงาหงอย รูปภาพของคุณเกศที่ตั้งอยู่บนแท่นมีสายตาอ่อนโยนและเศร้าหมอง ผู้คนที่มาร่วมงานต่างเงียบขรึม และพูดคุยกันเบาๆ ด้วยความเคารพ
เอกวัฒน์ยืนอยู่ข้างหน้าศพภรรยา เขามองไปที่โลงศพด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับว่าความรู้สึกทุกอย่างถูกระงับไว้ด้วยเสน่ห์มนตร์ดำที่ครอบงำจิตใจของเขา ชัญญายืนเคียงข้างเขา สายตาของเธอแสดงถึงความพอใจในสิ่งที่เธอทำสำเร็จ แม้จะปิดบังไว้ด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยม
อาคิราและณัฐรินีย์ยืนคอยต้อนรับแขกอยู่ภายในงานศพคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว แขกจึงมาเยอะมากเป็นพิเศษ บ่งบอกให้รู้ว่า มีคนรักและเคารพภรรยาของเอกวัฒน์มากแค่ไหน
บรรยากาศเงียบสงบก็จริง แต่อาคิรารู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล เธอรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นในงานศพนี้ ความรู้สึกที่มีบางสิ่งบางอย่างกำลังซ่อนเร้นอยู่ในเงามืดของคืน
เสียงฝีเท้าของใครบางคนทำให้อาคิราหันไปมอง เธอเห็นกฤตินเดินเข้ามาในงานศพ เขาแต่งชุดสีดำตามประเพณี ในมือของเขามีดอกไม้สีขาวสำหรับวางที่หน้าโลงศพ ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึม แต่ก็ยังปิดบังความหล่อที่มีไม่ได้
“ไอ เป็นยังไงบ้าง” กฤตินเอ่ยทักอย่างอ่อนโยน หลังจากที่ทำความเคารพศพเรียบร้อยแล้ว
“ฉัน..รู้สึกไม่สบายใจเลย” อาคิราก้มหน้ามองพื้นด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้น อาจเป็นเพราะวิญญาณของคนตายไม่สงบก็ได้มั้ง” กฤตินเอ่ยลอยๆ
“คุณก็เห็นเหรอ?” อาคิราเงยหน้าถามออกไป
“ถ้าวิญญาณปล่อยวางไม่ได้ ก็ไปสู่สุคติไม่ได้ ฉันหวังว่าวิญญาณของคนตายจะไม่เป็นแบบนั้นน่ะ” กฤตินไม่ตอบคำถาม
อาคิรารู้สึกหนาวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอสงสัยว่ากฤตินมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ที่อาจจะคล้ายเธอ แต่เขาก็ไม่เคยบอกเธอให้ชัดเจน
“ไอ มาช่วยทางนี้หน่อย” เสียงณัฐรินีย์ตะโกนเรียก
“เดี๋ยวฉันไปช่วยณัฐก่อนนะ” อาคิราหันไปมองก่อนจะขอตัว
“ไอ” กฤตินจับมือเธอไว้
“อย่าทำอะไรเกินตัวนะ” กฤตินดึงตัวเธอเข้ามาจูบที่หน้าผาก ก่อนจะปล่อยมือและยิ้มให้
“อื้อ” อาคิราพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
ในสวนวัดที่เงียบสงบ ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนสูงและสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความสงบสุข บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความเศร้าและเสียใจ
เด็กหนุ่มผมสีดำ ใส่แว่นกันแดดกำลังยืนมองดูงานศพอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยสายตาที่เงียบสงบ
“พวกเจ้านี่ น่ารำคาญจริง เดี๋ยวก็จับกินซะหรอก” เขาหรี่ตามองวิญญาณที่อยู่แถวนั้นอย่างไม่สบอารมณ์
ใต้ต้นไม้ใหญ่มีวิญญาณหลายตนยืนอยู่ พวกเขาไม่ยอมไปสู่สุคติ เพราะยึดติดกับผู้คนและอาลัยอาวรณ์บางสิ่งบางอย่าง วิญญาณบางตนพยายามจะสื่อสารกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงการปรากฎตัวของพวกเขา
“น่าหงุดหงิดเสียจริง” โซระพึมพำ
“คุณคะ”
“หืม?” โซระหันมาตามเสียงเรียก ก็พบอาคิรายืนมองอยู่
“พระกำลังจะสวดพระอภิธรรมแล้วค่ะ รบกวนเชิญไปนั่งฟังในศาลาด้วยนะคะ” อาคิราบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หึหึ” โซระขำเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาว
“?” อาคิราเอียงคอมองเล็กน้อย แววตาสงสัย
“เดี๋ยวข้า..ฉันตามเข้าไป” โซระปรับคำพูดใหม่ ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ขอบคุณค่ะ” อาคิราก้มศีรษะให้ก่อนจะเดินจากไป เพื่อเชิญแขกเหรื่อคนอื่นในงานต่อ
“เธอเห็นนาย?” กฤตินที่มาตอนไหนไม่รู้ถามขึ้น
“อื้อ”
“แล้วเธอจำนายได้มั้ย?” กฤตินคลี่ยิ้มบางๆ
“ตอนนี้อาจจะยัง...” โซระหัวเราะเบาๆ
“นั่นสินะ” กฤตินมองตามร่างบางที่หายเข้าไปในศาลาด้วยความหวังว่า สักวันเธอจะจำพวกเขาได้
ภายในศาลาวัด เสียงสวดพระอภิธรรมดังขึ้น คล้ายกับการเรียกวิญญาณให้ไปสู่สุคติ ผู้ที่มาร่วมงานต่างก้มหน้าฟังด้วยความเคารพ บางคนมีน้ำตาคลอเบ้า แต่เอกวัฒน์กลับไม่มีน้ำตาสักหยด เขานั่งฟังอย่างเงียบสงบ โดยมีชัญญาที่นั่งเคียงข้างกุมมือของเขาไว้
หลังจากการสวดมนต์จบลง เอกวัฒน์ก็เดินไปที่แท่นเพื่อกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย
“เกศ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำให้ฉัน ฉันหวังว่าเธอจะไปสู่สุขคติ”
คำพูดของเขาฟังดูแห้งแล้งและขาดความรู้สึก แต่ผู้มาร่วมงานก็ยังคงเคารพและทำความเคารพศพครั้งสุดท้าย ทุกคนเริ่มทยอยกันเดินออกจากศาลาทิ้งให้เอกวัฒน์และชัญญาอยู่ด้วยกันในความเงียบสงบของคืน
ชัญญาเหลือบมองดูใบหน้าของเอกวัฒน์ที่ไร้ความรู้สึก เธอยิ้มเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองได้ครอบครองทุกสิ่งที่เธอปรารถนาแล้ว
“พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกัน” เอกวัฒน์พูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ผู้คนออกไปหมดแล้ว
“ได้ค่ะ นาย” ชัญญายิ้มหวานให้เอกวัฒน์ และซบลงที่อกของเขา
ในคืนนั้น ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงัด ภายในวัดที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความเหงาหงอย การสูญเสียที่ไม่มีใครเข้าใจเริ่มก่อตัวขึ้น และความจริงที่ซ่อนเร้นภายใต้เสน่ห์มนตร์ดำก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบงันในเงามืด
แสงไฟจากเทียนและโคมไฟที่สั่นไหวราวกับเป็นการร่ำลาวิญญาณของคุณเกศที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เอกวัฒน์และชัญญายืนเคียงข้างกัน
ท่ามกลางแสงเทียนที่ริบหรี่ วิญญาณของคุณเกศปรากฎขึ้นในความเงียบงันของคืน เธอยืนมองสามีและผู้หญิงที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากเธอ ความเจ็บใจและเสียใจฉายชัดในสายตา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาและความทุกข์ทรมาน
“เอกคะ...” เสียงแผ่วเบาของวิญญาณคุณเกศกระซิบออกมา แต่ไม่สามารถเข้าถึงหูของเอกวัฒน์ที่ถูกเสน่ห์มนตร์ดำครอบงำ
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ มองดูชัญญาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เธอรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมและความเสียใจที่เธอต้องประสบในชีวิต เธอพยายามจะสัมผัสมือของเอกวัฒน์ แต่รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ชัญญาหันกลับมามองรอบๆ อย่างลึกลับ เธอรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่กระจายจากวิญญาณคุณเกศ แต่เธอยังคงยิ้มและกระชับมือของเอกวัฒน์ให้แน่นขึ้น
“ไปกันเถอะนายขา ญ่าจะอยู่เคียงข้างนายเองค่ะ” ชัญญาอ้อนพร้อมกับดึงเอกวัฒน์ออกจากศาลา ปล่อยให้วิญญาณคุณเกศยืนอยู่ในความมืดมิดของคืน ด้วยความเจ็บปวดและเศร้าโศกที่ไม่มีวันจางหาย
คืนแห่งความสูญเสียยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ความจริงและความยุติธรรมยังคงถูกซ่อนเร้นในเงามืด รอคอยวันที่จะเปิดเผยและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกทำร้ายและทรยศในที่สุด
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกายฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลังฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริพ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในวันหนึ่ง"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อขอ
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั
ณัฐรินีย์และธีรเทพยืนตัวแข็งอยู่ที่ทางเดิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก วิญญาณร้ายของคุณเกศที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความมืดมิดกลับกลายเป็นแสงสว่างที่งดงาม โดยมีผีเสื้อแห่งแสงสว่างชำระล้างเธอจนสลายไปในอากาศ ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเห็นมาก่อน“นั่น..มัน..อะไรกัน..” ณัฐรินีย์พึมพำด้วยความสับสน พลางหันมามองหน้าธีรเทพที่ยืนอยู่ข้างๆ“ไม่รู้เหมือนกัน” ธีรเทพพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งสองคนมองไปทางกฤตินที่เดินเข้าไปอุ้มอาคิราที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา และเดินหายไปทางสวนด้านหลังโรงแรม“เอ่อ...เรากลับเข้าไปในงานดีกว่ามั้ย?” ณัฐรินีย์ถามเบาๆ“อื้ม ก็ต้องงั้นล่ะ” ธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยงธีรเทพจับมือณัฐรินีย์เบาๆ เดินกลับไปทางห้องโถงจัดงานเลี้ยง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าภายในห้องที่จัดงานเลี้ยง เขาพาเธอออกไปยังระเบียงของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับห้องที่อยู่ติดกับงานเลี้ยง อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนพร้อมกับแสงไฟสลัวจากในงานเลี้ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก“ที่นี่สวยจัง” ณัฐรินีย์พูด