ราตรีที่หน้าคอนโด
ภายในร้านอาหารไทยสไตล์ ณัฐรินีย์นั่งตัวลีบ หน้าจ๋อยอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มหล่อมาดนักธุรกิจ ที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบสบายๆ แต่ใบหน้าหล่อกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียด
“นี่คุณ...ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้” ธีรเทพกุมขมับ
“ขโมยของคนอื่น มันผิดกฎหมายนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“แค่ขวดน้ำมันน่ะ วดีคงไม่รู้เรื่องหรอก”
“ยังจะพูดอีกนะ” ธีรเทพเสียงเข้ม
“.......” ณัฐรินีย์สงบปากสงบคำทันที
“ว่าแต่ คุณกับอาคิราเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอ?” ธีรเทพถอนใจ สายตาที่มองดูณัฐรินีย์เริ่มอ่อนลง
“อื้อ ไอเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษน่ะ” ณัฐรินีย์พยักหน้าหงึกๆ และเผลอหลุดปากออกมา
“ยังไง?”
“แหงะ มะ มะ ไม่มีอะไร” ณัฐรินีย์ตกใจนึกขึ้นได้ รีบปฏิเสธทันควัน
“บอกมา” ธีรเทพคาดคั้น
“คือ...ถ้าฉันเล่าแล้ว คุณจะไม่บอกใครใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์กระพริบตาท่าทางลังเล
“อื้อ”
“คุณจะไม่หัวเราะใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์ถามย้ำ สายตาจริงจัง
“อื้อ” ธีรเทพพยักหน้า แอบยกมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม
“ไอ มีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นวิญญาณได้” ณัฐรินีย์สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา
“คุณกำลังล้อเล่นผมอยู่หรือ?” ธีรเทพนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูด
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” ณัฐรินีย์ยืนยัน
ณัฐรินีย์เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน สมัยเวลาที่เธอยังเป็นนักศึกษา และยังไม่รู้จักกับอาคิราเป็นอย่างดี
วันนั้นเธออยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ทำรายงานดึกดื่นคนเดียว ห้องสมุดที่เงียบสงบกลายเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเมื่อเวลายามค่ำคืน
“วันนั้นฉันรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างตามฉันอยู่” ณัฐรินีย์นึกถึงความหลัง
“ฉันรู้สึกขนลุก ปวดหัว และไม่สบายใจตลอดเวลา แล้วตอนนั้น....”
ภาพในความทรงจำย้อนกลับเข้ามา
“หยุดนะ!”
ณัฐรินีย์ที่ปวดหัวจนทรุดลงนั่งกับพื้น เธอกุมหัวและหรี่ตามองตามเสียงที่ดังขึ้น
“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้”
หญิงสาวคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น และมายืนขวางหน้าเธอที่กำลังนั่งอยู่
“ถ้าไม่เลิกยุ่ง อย่าหาว่าไม่เตือนนะ”
“แล้วไงต่อ?” ธีรเทพที่ฟังอย่างตั้งใจถามขึ้น
“ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าไอทำอะไรนะ แต่เอาเป็นว่าเธอมาช่วยฉันที่โคตรจะปวดหัวมากๆ ตอนนั้น หายเป็นปลิดทิ้งเฉยเลย จบละ” ณัฐรินีย์พูดหน้าตาเฉย พร้อมกับยกแก้วชาขึ้นจิบ
“เอ้า จบเฉยเลยเนี่ยนะ” ธีรเทพรู้สึกขัดใจ
“อื้อ” ณัฐรินีย์ทำเหมือนไม่รู้ร้อนใดๆ
ธีรเทพหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้า เขาอยากคว้าตัวเธอเข้ามากอดและจูบเป็นการลงโทษเหลือเกิน
“คุณแน่ใจเหรอ ว่าโดนอะไรบางอย่างตามน่ะ” ธีรเทพถามอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ
“อื้อ”
“ทำไมแน่ใจล่ะ”
“ก็ฉันเห็นวิญญาณผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ” ณัฐรินีย์พูดหน้าตาเฉย
“เอ๊ะ?” ธีรเทพหน้าเหวอ
“เหมือนจะเป็น...ผู้หญิงที่เข้าใจผิดว่าฉันไปแย่งแฟนเธอ แล้วเธอฆ่าตัวตาย ก็เลยมาตามฉันน่ะ”
“คุณนี่นะ...” ธีรเทพกุมขมับหัวจะปวด
“เอาน่าๆ ยังไงฉันก็รอดมาละกัน” ณัฐรินีย์หัวเราะคิกคัก ไม่ใส่ใจ
“คุณเชื่อใจอาคิรามากรึ”
“แน่นอนที่สุด” ณัฐรินีย์ตอบอย่างหนักแน่น ดวงตาเป็นประกายชื่นชม เมื่อนึกถึงเพื่อนสาวของตนเอง
ธีรเทพรู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขามองหญิงสาวตรงหน้า ณัฐรินีย์ชื่นชมอาคิรา ดวงตาเป็นประกายเหมือนเป็นเพื่อนที่พร้อมจะบวกกับทุกคน ถ้าใครก็ตามที่ทำให้อาคิราเดือดร้อน
แต่...ภรรยาของเขา กานต์รวีเธอบอกว่า เธอชื่นชมชัญญา แต่ทุกครั้งที่เธอเอ่ยถึงเพื่อนคนนี้ ดวงตาของกานต์รวีกลับเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาในตัวชัญญา
มันแปลกมาก....ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ขณะที่ธีรเทพกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ณัฐรินีย์ก็พูดเรื่องเหลือเชื่อออกมา
“แต่เรื่องขวดน้ำมันเสน่ห์นี่ ฉันว่าไอ ควรจะห่วงคู่ยัยชัญญากับคุณเอกมากกว่ายัยวดีอีก คุณเอกตอนนี้แทบไม่เป็นผู้เป็นคนซะละ เอะอะอะไรก็ชัญญาๆ ๆ ตลอด...”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าใครนะ ชัญญางั้นรึ?”
“อะ..ใช่ ชัญญา คุณรู้จักเหรอ?” ณัฐรินีย์ตกใจที่อยู่ๆ ธีรเทพก็โพล่งออกมาและดึงแขนเธอ จนหน้าของเธอเข้าไปใกล้เขา
“เล่าให้ผมฟังหน่อย” ธีรเทพจ้องเขม็ง
“เออะ...ก็แบบ ปกติคุณเอก เจ้านายของฉันน่ะ เป็นคนมีเหตุผล แต่พักหลังนี่ ตั้งแต่ได้ข่าวว่าคบกับชัญญา ดูล่องลอย ไม่เป็นตัวของตัวเอง อาละวาดง่ายมาก นิดหน่อยก็โมโห ใครก็เข้าหน้าไม่ติด ยกเว้น ชัญญาคนเดียว”
ณัฐรินีย์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสาธยายออกมา
“แปลกมาก” ธีรเทพพึมพำ
“คุณก็คิดว่างั้นใช่มะ” ณัฐรินีย์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาและกระซิบเสียงเบา
“อืม...เรื่องนี้ช่างมันก่อน แล้วขวดน้ำมันอันนั้น อาคิราคิดจะทำอะไรกับมันน่ะ” ธีรเทพเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอ๊า อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง ตามแทบไม่ทัน” ณัฐรินีย์บ่นอุบอิบ
“ไอก็คงทำอะไรซักอย่างนั่นล่ะ” ณัฐรินีย์บอกอย่างมั่นใจ
รถยนต์ของธีรเทพมาจอดที่หน้าคอนโดของณัฐรินีย์ แสงไฟสะท้อนผ่านกระจกหน้ารถทำให้บรรยากาศเงียบสงบและดูอบอุ่น
ธีรเทพดับเครื่องยนต์ ก่อนจะเดินลงไปเปิดประตูรถให้กับณัฐรินีย์
“ขอบคุณที่มาส่งนะ งั้นฉันไปก่อนนะ” ณัฐรินีย์โบกมือบ๊ายบายให้ธีรเทพ
“นี่คุณ” ธีรเทพจับมือของเธอไว้
“หืม?” ณัฐรินีย์หันมามองด้วยความแปลกใจ
“คราวหน้า คุณอย่าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายแบบเมื่อกี้อีกนะ”
“โฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก ฉันน่ะ..”
“ก็บอกว่าอย่าไปยุ่งไง” ธีรเทพเสียงเข้มทำให้ณัฐรินีย์ชะงัก
“ผมเป็นห่วง” ธีรเทพจับมือของเธอไว้แน่น
“อะ อื้อ จะพยายาม” ณัฐรินีย์รับปากเมื่อเห็นสายตาของเขา ใจเธอก็อ่อนวูบ
“ณัฐ...” ธีรเทพดึงเธอเข้าไปใกล้ กระซิบเสียงเบา
“หืม?” ณัฐรินีย์เงยหน้ามองเขา
“ผมชอบคุณ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องเคลียร์และจัดการปัญหาบางอย่าง..” ธีรเทพเอามือสัมผัสแก้มของณัฐรินีย์เบาๆ หญิงสาวเบิกตากว้างมองเขาเมื่อได้ยินคำสารภาพโดยไม่ทันตั้งตัว หัวใจของเธอเต้นแรง
“เพราะงั้น...คุณช่วยรอผมหน่อยได้มั้ย?” ธีรเทพถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จริงๆ แล้วเขาไม่มั่นใจเลยว่า เธอจะรอเขามั้ย เพราะคำขอของเขาช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
“ได้สิ” ณัฐรินีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบและยิ้มให้เขาอย่างสดใส
“...คุณนี่...” ธีรเทพตะลึงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ทำไม?”
“สุดยอดจริงๆ”
ธีรเทพบอก ก่อนจะดึงเธอเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน แต่ความอ่อนโยนนี้ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกรักที่เก็บกดมานาน
รอยจูบนี้ไม่ใช่เพียงแค่การแสดงออกถึงความรัก แต่มันเป็นการ “สัญญา” ที่ไม่มีคำพูด ธีรเทพจูบเธออย่างลึกซึ้งและยาวนาน ความอบอุ่นของร่างกายของพวกเขาส่งผ่านกันและกัน ทำให้ทุกอย่างรอบตัวหายไปเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตคืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับราตรีแห่งความสูญเสียงานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วันภา
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกายฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลังฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริพ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในวันหนึ่ง"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อขอ
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว
ผีเสื้อแห่งแสงสว่างห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าระยิบระยับ เพดานสูงโปร่งตกแต่งด้วยลวดลายอันประณีต ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดศิลปะร่วมสมัย บรรยากาศหรูหราอลังการ เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเจรจาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงสังคม ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ศิลปิน และเซเลบริตี้ ต่างสวมใส่ชุดราตรีและสูทที่หรูหราสง่า พวกเขายืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินวนเวียนไปมาคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งอาหารไทยรสเลิศ อาหารฝรั่งเศสคลาสสิก และอาหารนานาชาติอีกมากมาย บาร์เครื่องดื่มจัดเตรียมไว้หลากหลายชนิด ทั้งไวน์ ค็อกเทล และเครื่องดื่มอื่นๆทุกคนดูมีความสุขและผ่อนคลาย พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศ เครื่องดื่มรสชาติดี และบรรยากาศที่หรูหราของงานเลี้ยงณัฐรินีย์มองไปรอบๆ ห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ใจของเธอกลับว้าวุ่นไม่เป็นสุข ความคิดถึงอาคิราที่ไปเผชิญหน้ากับวิญญาณของคุณเกศเพียงลำพังทำให้เธอรู้สึกกั