สัญญาณอันตรายบ่งบอก
กฤตินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวภายในหอสมุด แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและเหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้า
เขาเปิดตำราเก่าแก่ที่บันทึกเรื่องราวของคุณไสยและเวทมนตร์ขาว แต่จู่ ๆ ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา
“เฮ้ เจ้ารู้สึกมั้ย?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งจู่ๆ ก็โผล่มาด้านหลัง
“อื้อ” กฤตินปิดหนังสือทันที
“แหม พอเป็นเรื่องของยัยเด็กนั่น เจ้ารีบร้อนทุกทีเลยนะ” เด็กหนุ่มค่อนแคะ
“หนวกหูน่า โซระ”
กฤตินลุกขึ้นและเดินออกจากหอสมุดไปทันที
ภายในร้านอาหารไทยสไตล์ทันสมัยที่ตั้งอยู่ใกล้ออฟฟิศอาคิราและณัฐรินีย์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง แสงแดดยามเย็นที่ตกกระทบผ่านกระจกทำให้ภายในร้านดูอบอุ่นและเงียบสงบ คนในร้านไม่พลุกพล่านมากนัก ทำให้บรรยากาศเป็นใจสำหรับบทสนทนาที่เคร่งเครียดและสำคัญ
อาคิราและณัฐรินีย์นั่งตรงข้ามกัน อาหารบนโต๊ะถูกจัดเรียงอย่างน่าทาน แต่ทั้งสองคนแทบไม่ได้แตะต้อง มีเพียงถ้วยชาที่ถูกหยิบขึ้นมาจิบเป็นระยะๆ
อาคิรานำขวดยาเสน่ห์ที่ได้มาจากญาณวดียื่นให้ณัฐรินีย์ดู
“นี่แหล่ะ ยาเสน่ห์แน่นอน”
“เธอแน่ใจได้ยังไง?” ณัฐรินีย์มองขวดแก้วสีแดงที่เต็มไปด้วยน้ำยาสีดำขลับอยู่ภายในอย่างสงสัย
“ก็...ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงนี้น่ะ” อาคิราส่งสายตาไปทางด้านซ้ายของโต๊ะ เป็นนัยบอกเพื่อนสาว
“ห๊ะ!!” ณัฐรีนีย์หันรีหันขวางตกใจ
“ละ ละ..แล้วเราต้องทำยังไงกับมันอะ?” ณัฐรินีย์รู้สึกกลัว
“ยังไม่รู้เลย” อาคิราส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ไปทำอะไรมาอีกแล้วสินะ”
เสียงเข้มของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของอาคิรา
“อึ๋ย อย่าบอกนะ...” อาคิราสะดุ้งเฮือก มองเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ขะ ขะ...ข้างหลังเธอ...” ณัฐรินีย์ชี้มือไปด้านหลังก่อนกลืนน้ำลายลงคอ เพราะสีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้ดูน่ากลัวมาก
“เอ้อ...แหะๆ” อาคิราทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆ หันไปยิ้มแหยให้กับกฤตินที่ยืนมองเธอเขม็ง
“มานี่เลย” กฤตินลากตัวอาคิราลุกออกจากโต๊ะทันที โดยไม่สนเสียงโวยวายของเธอ
“โชคดีนะเพื่อน” ณัฐรินีย์ได้แต่โบกมือให้เพื่อน ก่อนจะเอามือเท้าคางด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
“อย่าคิดว่าคุณจะรอดนะ”
เสียงชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นด้านหน้าของณัฐรินีย์
“อึ๋ย ทำไมพวกคุณถึงมาพร้อมกันได้เนี้ย” ณัฐรินีย์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ
“คุณกฤตบอกว่า พวกคุณสองคนไปทำอะไรที่แย่มากมา” ธีรเทพนั่งลงฝั่งตรงข้ามจ้องมองที่ณัฐรินีย์เขม็ง
“เปล่าซะหน่อย....” ณัฐรินีย์แก้ตัวเสียงอ่อย
“เล่ามาเดี๋ยวนี้” ธีรเทพคาดคั้น
“เอ้อ..คือ เรื่องมันมีอยู่ว่า.....”
จูบแรกสะท้านใจ
กฤตินลากอาคิรามาตามซอยเปลี่ยวที่เป็นทางลัดไปหอสมุดของเขา ใบหน้าของกฤตินที่ปกติดูเย็นชาตลอดเวลา ยามโกรธทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวมากกว่าเดิม
อาคิราที่เดินตามมารู้สึกได้ถึงความโกรธของเขาที่ไหลผ่านมาที่มือ
“เธอรู้มั้ย ว่าเธอทำอะไรลงไป” อยู่ๆ กฤตินก็หยุดและหันมาถามเธอเสียงดัง
“เอ้อ...” อาคิรามือสั่นเล็กน้อยจากความรู้สึกผิด
“รู้มั้ยว่ามันอันตราย” กฤตินถามเสียงเข้ม
“ฉันรู้ แต่....ฉันไม่สามารถยืนดูเฉยๆ ได้นี่นา” อาคิราตอบเสียงเบาหวิว
“เธอไม่เข้าใจ ของที่เธอไปเอามาทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่เธอคิด”
“แต่...เราต้องทำอะไรซักอย่าง...”
กฤตินไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้ เขาจับไหล่เธอแน่น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยและความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป
“ฉันไม่อยากเสียเธอไป ไอ”
ทันใดนั้น กฤตินดึงอาคิราเข้ามาใกล้ และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากของเธอ ความร้อนแรงและความอ่อนโยนที่ส่งผ่านจูบนี้ทำให้อาคิราตกใจเล็กน้อย แต่เธอกลับรู้สึกถึงความรักและห่วงใยที่กฤตินมีต่อเธออย่างชัดเจน หัวใจของเธอเต้นแรง
กฤตินถอนจูบออกชั่วครู่ และมองดวงตาสีอำพันของอาคิรา ความรู้สึกที่สะสมมานานปีทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน
“ไอ...” เขาพึมพำชื่อเธอเบาๆ
อาคิราไม่ได้ตอบอะไร แต่ความเงียบและสายตาของเธอเป็นคำตอบที่ชัดเจน กฤตินไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป เขาก้มลงและจูบเธออีกครั้ง คราวนี้จูบนั้นร้อนแรงและเต็มไปด้วยความปรารถนา
มือของเขาลูบไล้ไปตามเส้นผมของอาคิรา แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่หลังของเธอ เขาดึงเธอเข้ามาใกล้จนร่างของพวกเขาสัมผัสกัน อาคิราตอบสนองด้วยการโอบแขนรอบคอของกฤติน
จูบที่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความปรารถนานั้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง
หัวใจของอาคิราเต้นแรงขึ้น และเริ่มหายใจหอบ ร่างกายของเธอสั่นเบาๆ จากความรู้สึกที่กฤตินปลุกขึ้นมา ความอบอุ่นจากจูบนั้นแผ่กระจายไปทั่วร่างของเธอ เธอรู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่กฤตินมีให้
กฤตินค่อยๆ ถอนจูบออกแต่ไม่ห่างไกล เขามองใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนา
“อย่าทำแบบนี้อีก” กฤตินกระซิบที่ข้างหู
“มีอะไรให้บอกฉันก่อน เข้าใจมั้ย?”
“อื้อ” อาคิราพยักหน้ารับก่อนจะซบหน้ากับอกของเขาด้วยความอาย
ราตรีที่หน้าคอนโดภายในร้านอาหารไทยสไตล์ ณัฐรินีย์นั่งตัวลีบ หน้าจ๋อยอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มหล่อมาดนักธุรกิจ ที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบสบายๆ แต่ใบหน้าหล่อกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียด“นี่คุณ...ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้” ธีรเทพกุมขมับ“ขโมยของคนอื่น มันผิดกฎหมายนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“แค่ขวดน้ำมันน่ะ วดีคงไม่รู้เรื่องหรอก”“ยังจะพูดอีกนะ” ธีรเทพเสียงเข้ม“.......” ณัฐรินีย์สงบปากสงบคำทันที“ว่าแต่ คุณกับอาคิราเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอ?” ธีรเทพถอนใจ สายตาที่มองดูณัฐรินีย์เริ่มอ่อนลง“อื้อ ไอเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษน่ะ” ณัฐรินีย์พยักหน้าหงึกๆ และเผลอหลุดปากออกมา“ยังไง?”“แหงะ มะ มะ ไม่มีอะไร” ณัฐรินีย์ตกใจนึกขึ้นได้ รีบปฏิเสธทันควัน“บอกมา” ธีรเทพคาดคั้น“คือ...ถ้าฉันเล่าแล้ว คุณจะไม่บอกใครใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์กระพริบตาท่าทางลังเล“อื้อ”“คุณจะไม่หัวเราะใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์ถามย้ำ สายตาจริงจัง“อื้อ” ธีรเทพพยักหน้า แอบยกมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม“ไอ มีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นวิญญาณได้” ณัฐรินีย์สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา“คุณ
คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตคืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับราตรีแห่งความสูญเสียงานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วันภา
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกายฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลังฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริพ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในวันหนึ่ง"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อขอ
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี
เงาสีดำคืบคลานในความเงียบสงัดของโถงทางเดินที่ด้านข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ มีแต่ความมืดสลัว และแสงสลัวจากโคมไฟไม่สามารถขับไล่ความมืดที่หนาทึบได้ทั้งหมดอาคิรายืนอยู่เคียงข้างหญิงสาวในชุดสีดำสนิท ผมยาวสีขาวดุจหิมะของเธอกำลังสะบัดไหวในอากาศอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอเปล่งประกายเยือกเย็นและน่ากลัว ขณะที่เธอจ้องมองไปที่วิญญาณร้ายของคุณเกศวิญญาณของคุณเกศยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่รูปร่างของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวและน่ากลัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ พลังด้านมืดแผ่กระจายออกจากตัวเธอ ทำให้อากาศรอบๆ หนาวเย็นและหนักอึ้งพลังความมืดเริ่มกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ทำให้อาคารของโรงแรมสั่นไหว ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม“อาเรีย เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเธอ” อาคิรากระซิบ“ข้ารู้ แต่ถ้าข้าใช้พลังที่นี่ โรงแรมนี้ได้ถล่มหมดแน่”อาเรียนิ่วหน้า เธอประเมินแล้วว่า วิญญาณตนนี้มีความร้ายกาจมากกว่าที่เคยเจอ หากเธอใช้พลังเต็มที่ สถานที่นี้ได้พังราบเป็นหน้ากลองแน่นอนดูเหมือนวิญญาณคุณเกศจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสองคนตรงหน้าใช้ความคิด เธอกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอาคิราและอาเรียด้วยความเร็ว