รอยจูบในความทรงจำ
ยามบ่ายวันศุกร์ใกล้เลิกงาน ณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่งของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่อยู่ในตึกของบริษัท Vivid บรรยากาศในร้านสงบเงียบ เสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ ลอยคลออยู่ในอากาศ ข้างๆ เธอ กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดใหม่ทำให้บรรยากาศยิ่งอบอุ่นยิ่งขึ้น แต่จิตใจของณัฐรินีย์กลับไม่ได้สงบตามไปด้วย
เธอนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางคิดถึงธีรเทพ หัวใจของเธอเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงเขา ภาพของเขาที่นั่งรอเธอทำมาม่าให้ทาน ภาพของรอยยิ้มที่อบอุ่น และสายตาที่มองเธอด้วยความห่วงใยยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอ
ณัฐรินีย์คิดถึงวันที่ธีรเทพเข้ามาในชีวิตของเธอ โดยไม่ทันได้คาดคิด ความใกล้ชิดและการพูดคุยที่เป็นธรรมชาติทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หายไปนาน ความรู้สึกที่เคยเก็บซ่อนไว้กลับมาปรากฏชัดในใจอีกครั้ง
(ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้นะ?ทั้งๆ ที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เราควรจะตัดใจสิ...แต่มันยากเหลือเกิน)
ณัฐรินีย์คิดในใจ พลางถอนหายใจเบา ๆ
เธอรู้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่หัวใจของเธอกลับไม่ยอมฟังเหตุผล ความคิดถึงและความรู้สึกหวั่นไหวที่เธอมีต่อธีรเทพทำให้เธอต้องต่อสู้กับตัวเองในทุกๆ วัน
ณัฐรินีย์เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก รอยจูบที่เขาเผลอจูบเธอเมื่อครั้งที่มาดูงานออกแบบที่ห้องพักยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่ ริมฝีปากของเขานุ่มนวลและอบอุ่น รสชาติของมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเธอ
“ณัฐ...ณัฐ!!” เสียงเรียกชื่อเธอทำให้เธอสะดุ้ง เธอหันไปมองเห็นอาคิรานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม
“ไอ ขอโทษที ฉันไม่ได้ยินเธอเรียก”
“เหม่ออะไรอยู่ล่ะ” อาคิราถามยิ้มๆ
“ไม่มีอะไร แค่คิดเรื่องงานน่ะ” ณัฐรินีย์หน้าแดงเล็กน้อย
“เรื่องงาน? แล้วทำไมหน้าแดง?” อาคิราหรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“เล่ามาเลย” อาคิราคาดคั้น
“ไม่มีไรๆ จริงๆ” ณัฐรินีย์รีบปฏิเสธรัวๆ
“จะเล่าเองหรือจะให้ฉันถาม....” อาคิราหรี่ตาลงสีหน้าเจ้าเล่ห์
“อึก!”
ณัฐรินีย์สะอึก เธอรู้ดีว่า เพื่อนของเธอมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง และเธอไม่เคยสามารถปิดบังอะไรเพื่อนสาวของเธอคนนี้ได้เลย
“รู้แล้วๆ เล่าแล้วๆ” ณัฐรินีย์ยอมแพ้
“คือ..”
“เอ๊ะ? นั่นวดีนี่นา”
อาคิราเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน ดวงตาสีอำพันจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในคาเฟ่พร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดี ทั้งสองคนกำลังนั่งลงที่โต๊ะไม่ไกลจากพวกเธอเท่าไหร่
“ใช่ มากะใครน่ะ?” ณัฐรินีย์หันไปมองอย่างสนใจ หรี่ตามอง
“นึกออกแล้ว แฟนนางที่นางบอกว่า ชื่อ...ชื่ออะไรน้า”
“ก้องเกียรติ” คำพูดหลุดออกจากปากอาคิรา
“เออ ใช่ ก้องเกียรติๆ ว่าแต่ ไอรู้จักเหรอ?” ณัฐรินีย์งงที่เพื่อนของเธอพูดชื่อออกมา
“ไม่รู้จัก”
“อ้าว แล้ว...”
“ผู้หญิงที่อยู่กับวดี หน้าตาดู...แย่มาก น่าอึดอัด ทรมาน ยังกับถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่เต็มใจ” อาคิราพึมพำออกมา
“ผู้หญิงไหน? มีแค่วดีกับก้องเกียรติเอง” ณัฐรินีย์หันมองซ้ายขวาก็ไม่พบใครที่มากับสองคนนั้น
“เอ๊ะ ยัยวดีกำลังเอาขนมเค้กให้อีตานั่นกินนี่นา” ณัฐรินีย์อธิบายออกมาราวกับพากย์หนังรักตรงหน้า
“ณัฐ ฉันคิดว่าเรามีปัญหาแล้วล่ะ” อาคิรากระซิบพร้อมกับดึงณัฐรินีย์ให้ลุกขึ้น
“ห๊ะ? ปัญหาอะไร?” ณัฐรินีย์งง แต่ก็ลุกตามเพื่อน
“เราต้องขัดขวางไม่ให้อีตานั่นกินขนมเค้กให้ได้” อาคิรากระซิบเสียงเบาหวิว
“ฉันมีแผน ตามมา”
“ณัฐ ทำยังไงก็ได้ให้ของที่อยู่ในกระเป๋าวดีกระเด็นออกมาให้หมดนะ” อาคิรารั้งแขนเพื่อนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“จัดไป”
ณัฐรินีย์ลุกขึ้นเดินตรงไปที่โต๊ะของญาณวดีและก้องเกียรติ โดยทำทีเป็นไม่ระวังตัว เธอกะจังหวะที่ญาณวดีกำลังจะป้อนเค้กให้ก้องเกียรติ เดินชนเข้าที่โต๊ะอย่างแรง ทำให้เค้กกระเด็นไปเปื้อนเสื้อของญาณวดี ส่วนกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะหล่นลงไปบนพื้น ทำให้ของที่อยู่ในกระเป๋ากระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง
“กระเป๋าฉัน!”
“อุ๊ย ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ณัฐรินีย์แสร้งทำเป็นตกใจ
“ตายแล้ว ณัฐ ทำไมซุ่มซ่ามแบบนี้”
อาคิรารีบเดินเข้ามาทำทีเป็นช่วยเก็บของให้ญาณวดี
“ฉันขอโทษจริงๆ” ณัฐรินีย์รีบหยิบทิชชู่บนโต๊ะ และเช็ดที่เสื้อของญาณวดี
“ไม่ต้องยุ่ง!!” ญาณวดีปัดมือของณัฐรินีย์ออกด้วยความโกรธ
“ขอโทษจริงๆ ไปห้องน้ำมั้ย เดี๋ยวฉันช่วยเช็ด” ณัฐรินีย์รีบอาสาทันที
“ไม่ต้อง”
“ไม่ดีนะ เสื้อตัวนี้สวยซะด้วย ถ้าเปื้อนเค้กไปมากกว่านี้จะซักไม่ออกนะ” ณัฐรินีย์แสร้งทำเป็นห่วง
“นั่นสิ วดี เสื้อตัวโปรดคุณเลยไม่ใช่เหรอ?” ก้องเกียรติพูดเสริม
“หึ ก็ได้ มาช่วยฉันเลย” ญาณวดียอมให้ณัฐรินีย์ช่วย เพียงเพราะก้องเกียรติเอ่ยปาก
“ไปๆ เดี๋ยวฉันจะช่วยเช็ดให้สะอาด” ณัฐรินีย์ดันหลังญาณวดีให้ตรงไปที่อ่างล้างมือ ก่อนจะหันมาขยิบตาให้อาคิรา
“เอ้อ นี่กระเป๋าของวดีค่ะ”
เมื่ออาคิราแอบหยิบขวดยาเสน่ห์ออกจากกระเป๋าของญาณวดีเรียบร้อยแล้ว จึงส่งคืนให้ก้องเกียรติ
“ขอบคุณครับ” ก้องเกียรติยิ้มให้อย่างเจ้าชู้ เขานึกชอบใบหน้าสวยของอาคิรา
“เอ้อ จริงสิ ฉันมีเรื่องจะเตือนคุณ” อาคิรานึกขึ้นได้
“?” ก้องเกียรติเลิกคิ้วสงสัย
“ถ้าไม่อยากมีอันเป็นไป ก็อย่ากินของที่วดีให้” อาคิราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ห๊ะ? หมายความว่าไงกัน” ก้องเกียรติงง
“ภรรยาของคุณเสียสติแล้วไม่ใช่หรอ? ถ้าอยากเสียสติอีกคน ก็กินของที่วดีให้ซะ” อาคิราหรี่ตามองเขาอย่างรู้ทัน
“คุณรู้ได้ไง?” ก้องเกียรติตกตะลึง
อาคิราถอนใจ เอามือเท้าไปที่โต๊ะ ก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูก้องเกียรติ
“ฉันขอเตือนอีกครั้ง ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนภรรยา ก็อย่ากินของที่วดีเอามาให้”
“ทุกอย่าง” อาคิราผละออกมามองหน้าเขา และเน้นเสียงแข็ง
“ทำอะไรกัน?”
ญาณวดีที่ทำความสะอาดเสื้อเสร็จแล้ว เดินมาถึงโต๊ะถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่อาคิรากระซิบกระซาบกับก้องเกียรติ
“ไม่มีอะไร ฉันเอากระเป๋าเธอคืนให้แฟนเธอแล้วนะ” อาคิรายิ้มให้ราวกับไม่มีเรื่องอะไร
“ไอ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจองร้านอาหารไม่ทัน” ณัฐรินีย์รีบเข้าไปคล้องแขนเพื่อนสาว
“อื้อ”
“งั้นพวกเราไปก่อนนะ” ณัฐรินีย์หันมาโบกมือ พร้อมกับควงแขนกับอาคิราเดินออกจากคาเฟ่ไป โดยที่อาคิราได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ญาณวดีและก้องเกียรติ
สัญญาณอันตรายบ่งบอกกฤตินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวภายในหอสมุด แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและเหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าเขาเปิดตำราเก่าแก่ที่บันทึกเรื่องราวของคุณไสยและเวทมนตร์ขาว แต่จู่ ๆ ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา“เฮ้ เจ้ารู้สึกมั้ย?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งจู่ๆ ก็โผล่มาด้านหลัง“อื้อ” กฤตินปิดหนังสือทันที“แหม พอเป็นเรื่องของยัยเด็กนั่น เจ้ารีบร้อนทุกทีเลยนะ” เด็กหนุ่มค่อนแคะ“หนวกหูน่า โซระ”กฤตินลุกขึ้นและเดินออกจากหอสมุดไปทันทีภายในร้านอาหารไทยสไตล์ทันสมัยที่ตั้งอยู่ใกล้ออฟฟิศอาคิราและณัฐรินีย์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง แสงแดดยามเย็นที่ตกกระทบผ่านกระจกทำให้ภายในร้านดูอบอุ่นและเงียบสงบ คนในร้านไม่พลุกพล่านมากนัก ทำให้บรรยากาศเป็นใจสำหรับบทสนทนาที่เคร่งเครียดและสำคัญอาคิราและณัฐรินีย์นั่งตรงข้ามกัน อาหารบนโต๊ะถูกจัดเรียงอย่างน่าทาน แต่ทั้งสองคนแทบไม่ได้แตะต้อง มีเพียงถ้วยชาที่ถูกหยิบขึ้นมาจิบเป็นระยะๆอาคิรานำขวดยาเสน่ห์ที่ได้มาจากญาณวดียื่นให้ณัฐรินีย์ดู“นี่แหล่ะ ยาเสน่ห์แน่นอน”“เธอแน่ใจได้ยังไง?” ณัฐรินีย์มอง
ราตรีที่หน้าคอนโดภายในร้านอาหารไทยสไตล์ ณัฐรินีย์นั่งตัวลีบ หน้าจ๋อยอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มหล่อมาดนักธุรกิจ ที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบสบายๆ แต่ใบหน้าหล่อกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียด“นี่คุณ...ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้” ธีรเทพกุมขมับ“ขโมยของคนอื่น มันผิดกฎหมายนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“แค่ขวดน้ำมันน่ะ วดีคงไม่รู้เรื่องหรอก”“ยังจะพูดอีกนะ” ธีรเทพเสียงเข้ม“.......” ณัฐรินีย์สงบปากสงบคำทันที“ว่าแต่ คุณกับอาคิราเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอ?” ธีรเทพถอนใจ สายตาที่มองดูณัฐรินีย์เริ่มอ่อนลง“อื้อ ไอเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษน่ะ” ณัฐรินีย์พยักหน้าหงึกๆ และเผลอหลุดปากออกมา“ยังไง?”“แหงะ มะ มะ ไม่มีอะไร” ณัฐรินีย์ตกใจนึกขึ้นได้ รีบปฏิเสธทันควัน“บอกมา” ธีรเทพคาดคั้น“คือ...ถ้าฉันเล่าแล้ว คุณจะไม่บอกใครใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์กระพริบตาท่าทางลังเล“อื้อ”“คุณจะไม่หัวเราะใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์ถามย้ำ สายตาจริงจัง“อื้อ” ธีรเทพพยักหน้า แอบยกมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม“ไอ มีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นวิญญาณได้” ณัฐรินีย์สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา“คุณ
คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตคืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับราตรีแห่งความสูญเสียงานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วันภา
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกายฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลังฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริพ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในวันหนึ่ง"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อขอ
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต
ประกาศรักใหม่ค่ำคืนวันเสาร์ที่สดใสในเมืองใหญ่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ งานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท Vivid Enterprise จัดขึ้นในบรรยากาศหรูหราที่โรงแรมห้าดาวใจกลางเมืองทั้งบริเวณถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างอยู่ทุกมุม การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและล้ำสมัย สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมของบริษัทเมื่อเข้ามาในงาน แขกทุกคนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรยากาศที่จัดเตรียมไว้อย่างอลังการ พื้นที่รับรองมีดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีมุมต่างๆ ให้แขกได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก หรือจะโพสต์ลงโซเชียลตามใจของแขกผู้เข้าร่วมงานเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงดนตรีสร้างบรรยากาศที่สง่างามและอบอุ่น ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ชุดราตรีที่งดงามและชุดสูทที่หรูหราทำให้แขกทุกคนดูสง่างามและมีเสน่ห์บนเวทีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และไฟส่องสว่าง ผู้คนต่างมารวมกันเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่อาคิราและณัฐรินีย์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เฝ้าดูแลและต้อนรับแขกที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ อาคิราสวมชุดราตรีสีฟ้าเข้มที่สะท้
“แย่ล่ะสิ” อยู่ๆ อาคิราก็พึมพำออกมา“หืม?” กฤตินขมวดคิ้วเล็กน้อย“ณัฐ มานี่หน่อย” อาคิราดึงมือเพื่อนสาวที่กำลังคุยอยู่กับธีรเทพให้ตามเธอออกไปด้านนอกห้องโถงจัดงาน“มีอะไรเหรอ?” ณัฐรินีย์งุนงง“คุณเกศ...อยู่ที่นี่” อาคิรากระซิบเบาๆ“ห๊ะ!!”“เบาๆ สิ” อาคิราทำมือจุ๊ปาก“เธอเห็นเหรอ?” ณัฐรินีย์กระซิบถามกลับ“อื้อ อยู่ตรงโน้นน่ะ” อาคิราชี้มือไปยังห้องพักรับรองที่อยู่ริมสุดทางเดินวิญญาณของคุณเกศยืนอยู่ที่นั่น เธอดูเศร้าหมองและเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกของเธอถูกตรึงไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องพักนั้น“ฉันว่า ในห้องนั้นมีคุณเอกกับชัญญาอยู่” อาคิรากระซิบ“เอาไงอะ?”“เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคุณเกศดู”“ห๊ะ จะบ้าเหรอไอ” ณัฐรินีย์ร้องเสียงหลง“ถ้าปล่อยไว้ความมืดมิดจะครอบงำคุณเกศ และจะกลายเป็นพลังงานมืดที่เลวร้ายและอันตรายกับทุกคนที่อยู่ที่นี่” อาคิราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วฉันต้องทำอะไรอะ?” ณัฐรินีย์ถามกลับ“เธออย่าแขกออกมาด้านนอกนะ ฝากด้วยล่ะ” อาคิราพูดจบก็รีบเร่งออกจากห้องโถงกลางไปทันทีวิญญาณแห่งความเศร้าในโถงทางเดินที่มืดสลัวของโรงแรมหรูที่จัดงานเลี