บทที่ 1.1 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที
ฟางเซียน มีความหมายว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม มันคือชื่อเล่นภาษาจีนที่แม่ของนางตั้งให้เพราะแม่ของนางเป็นชาวจีน แต่เนื่องจากว่าพ่อของนางเป็นชาวไทยดังนั้นฟางเซียนจึงอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เกิดกับพ่อแม่และน้องสาว พวกเราดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นทั่วไปจนกระทั่งแม่ของนางจับได้ว่าพ่อแอบมีผู้หญิงคนอื่น
แม่ของนางพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมเพราะเห็นแก่นางที่เพิ่งมีอายุเจ็บขวบและน้องสาวของนางที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่แล้วพ่อของนางก็ทิ้งครอบครัวไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก
แม่ของนางจึงตัดสินใจพาพวกนางสองพี่น้องกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศจีน แต่เพราะแม่ของนางถูกตัดขาดออกจากตระกูลแล้วพวกเราสามแม่ลูกจึงต้องไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แม่ของนางต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงนางและน้องสาวจนกระทั่งแม่ของนางพบรักครั้งใหม่กับผู้ชายคนหนึ่ง
มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นที่แม่หลงรักไม่ต้องการลูกติด ดังนั้นแม่ของนางซึ่งเหนื่อยกับการเลี้ยงดูนางและน้องจึงตัดสินใจทิ้งพวกนางที่เป็นเหมือนภาระและไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับสามีใหม่อย่างไม่ลังเล
ฟางเซียนในวัยเพียงสิบสองขอบและน้องสาววัยแปดขวบจึงต้องไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่นั่นไม่น่าอยู่เท่าไหร่นัก เตียงนอนไม่อบอุ่น อาหารน้อย และไม่อร่อย และยังมีเด็กเกเรหลายคนที่ชอบรังแกเด็กที่อ่อนแอกว่า ฟางเซียนพยายามปกป้องน้องสาวเพียงคนเดียวของนางอย่างสุดความสามารถและฟางเซียนก็ได้ให้คำสัญญากับตัวเองว่านางจะไม่มีวันทิ้งน้องสาวเด็ดขาด
ฟางเซียนพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้มีชีวิตอย่างมีความสุขกับน้องสาว แต่แล้วฟางเซียนก็ต้องได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต น้องสาวที่รักของนางป่วยเป็นโรคร้าย การรักษาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ฟางเซียนจึงต้องพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินมารักษาน้องสาวให้หายป่วยจากโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นงานแบบไหนนางก็ยอมทำ แม้ว่ามันจะเป็นงานผิดกฎหมายหรืองานขายร่างกายก็ตาม
ระหว่างนั้นนางก็ได้พบรักกับชายคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นความรักที่ย่ำแย่มากเพราะผู้ชายคนนั้นเป็นพวกหลอกลวง มันเป็นบทเรียนราคาแพงมากทีเดียว ราคาแพงพอๆ กับเงินที่นางเก็บสะสมมาเพื่อรักษาโรคร้ายของน้องสาวของนางเลยล่ะ...
ฟางเซียนขอบอกเลยว่า เธอ เกลียด ผู้ชาย!
เมื่อเงินที่นางเก็บสะสมมาหายไปเกือบหมด น้องสาวของนางจึงได้รับการรักษาช้าลงและต้องนอนซมอยู่บนเตียง ฟางเซียนหวังอยากให้น้องสาวมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่น้อย นางจึงพยายามทำงานหนักมากกว่าเดิมจนกระทั่งเมื่อนางอายุสิบเก้าปี นางได้ถูกทาบทามให้ไปเป็นนักร้อง
ฟางเซียนไม่มีทางยอมพลาดโอกาสนี้ นางจึงพยายามฝึกฝนการเต้นและร้องเพลงอย่างหนักจนกระทั่งได้เดบิวต์เป็นนักร้องเสียงดีและมีชื่อเสียงโด่งดัง และในที่สุดฟางเซียนก็มีเงินพอที่จะจ่ายค่ารักษาให้กับน้องสาวแล้ว
เมื่ออาการป่วยของน้องสาวของนางดีขึ้นมาแล้ว น้องสาวของนางจึงสามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติเหมือนคนอื่น ได้เรียน ได้มีเพื่อน และมีแฟนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ฟางเซียนไม่ห้ามอะไรเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ในเมื่อพวกนางไม่มีดวงเรื่องผู้ชายถ้างั้นก็คบผู้หญิงซะก็สิ้นเรื่อง!
แต่แล้วปัญหาชีวิตก็เข้ามาอีก ฟางเซียนถูกขุดคุ้ยประวัติ งานที่นางเคยทำในอดีตเพื่อหาเงินถูกค้นพบทั้งหมด สังคมได้แสดงความรังเกียจนางทุกช่องทางของสื่อ อีกทั้งยังหาว่านางขายตัวเพื่อให้ได้ตำแหน่งนักร้องชื่อดังมา การถูกเกลียดจากสังคมมันแย่มาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะถูกด่าทอและขับไล่ราวกับว่ามันไม่มีที่สำหรับนาง
เรื่องเลวร้ายไม่ได้เกิดกับแค่ฟางเซียน น้องสาวของนางก็ถูกเหมารวมว่าเป็นคนไร้ยางอายไปด้วย น้องสาวของนางถูกกดดันจนกระทั่งอาการป่วยเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้น้องสาวของนางอาการทรุดกว่าเดิมก็คือ แฟนสาวของน้องสาวของนางไปท้องกับคนอื่นและกำลังจะแต่งงานกับผู้ชาย
“อยู่กับน้องนะพี่ฟางเซียน...น้องกลัว น้องมีแค่พี่แค่คนเดียว อย่าทิ้งน้องไปเลย...” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่น้องสาวของนางพูดก่อนที่จะเสียชีวิตเนื่องจากโรคที่รักษาไม่หาย ในตอนนั้นโลกของฟางเซียนก็คล้ายจะพังทลายลงไปด้วย
ถ้าหากนางพยายามทำงานมากกว่านี้ ถ้าหากนางใส่ใจดูแลมากกว่านี้ ถ้าหากนางมีเงินมากกว่านี้ และถ้าหากว่านางปกป้องน้องสาวได้ดีกว่านี้ น้องสาวของนางก็คงจะมีชีวิตที่ดีและมีอายุยืนยาวมากกว่านี้ ฟางเซียนโทษตัวเองด้วยความเสียใจและเริ่มคิดว่า ในเมื่อคนสำคัญเพียงคนเดียวของนางจากโลกนี้ไปแล้วและทุกคนก็ผลักไสนางเหมือนไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่ แล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรอีก?
“ฉันอยากตาย” ฟางเซียนหมดกำลังใจในการมีชีวิตอยู่แล้ว นางจึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายวิธีที่หนึ่ง แขวนคอ ฟางเซียนไปซื้อเชือกมาและแขวนคอตัวเองกับต้นไม้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขาดอากาศหายใจตายเชือกดันคลายตัวซะก่อน รอบที่สองกิ่งไม้ก็ดันหักก่อน รอบที่สามเชือกก็ดันขาด รอบต่อไปพลเมืองดีก็ดันผ่านมาเห็นและเข้ามาห้ามไม่ให้นางฆ่าตัวตาย ฟางเซียนจึงเปลี่ยนวิธีฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายวิธีที่สอง กรีดข้อมือ วิธีที่เป็นที่นิยมอีกอย่างหนึ่งในละคร นางเข้าไปในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำร้อนเต็มอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็กินยานอนหลับและใช้มีดกรีดข้อมือของตัวเอง แต่ฟางเซียนกลับรอดตายมาได้เพราะโจร ใช่แล้ว โจร! มีโจรคนหนึ่งแอบเข้ามาในบ้านของนางเพื่อขโมยเงินและบังเอิญมาเห็นตอนที่นางกำลังตัวฆ่าตายพอดี โจรใจดีจึงช่วยพานางไปส่งโรงพยาบาล
ช่างเป็นโจรที่จิตใจงามยิ่งนัก...
“ถึงฉันจะไม่มีเงินและต้องนอนข้างถนน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะตายเลย พยายามมีชีวิตเข้าล่ะ!” โจรใจงามบอกกับฟางเซียนไว้ แต่ฟางเซียนอยากจะตะโกนตอบกลับไปว่า ฉันอยากตายโว้ย!
การฆ่าตัวตายวิธีที่สาม โดดตึก เป็นอีกหนึ่งวิธียอดนิยมสำหรับการฆ่าตัวตาย ฟางเซียนขึ้นไปยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกสิบชั้นและกระโดดลงไปข้างล่างอย่างไม่ลังเล แต่นางก็ไม่ตาย...ใช่แล้ว นางกระโดดตึกสิบชั้นแต่ดันไม่ตาย! นั้นเพราะว่านางอัดบังเอิญตกลงไปบนเตียงนอนนุ่มๆ ที่พนักงานขนของกำลังขนมันเข้าไปในตึกพอดี ฟางเซียนจึงได้รับบาดเจ็บแค่แขนหักเท่านั้น
“บัดซบ!” ฟางเซียนสบถออกมาอย่างหัวเสีย แม้ความโชคดีจะช่วยชีวิตไว้ฟางเซียนก็ไม่มีความรู้สึกยินดีกับมันเลยสักนิด ฟางเซียนยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะฆ่าตัวตายเหมือนเดิม
การฆ่าตัวตายวิธีที่สี่ ไปที่สะพานแขวนและกระโดดลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ แต่เชื่อไหมว่าฟางเซียนสามารถรอดตายมาได้อีกเหมือนเดิมเพราะสุนัขตำรวจตัวหนึ่ง มันถูกฝึกมาให้ช่วยเหลือคนที่จมน้ำมันจึงได้เข้ามาช่วยเหลือนางไว้ การถูกสุนัขช่วยชีวิตทำให้ฟางเซียนร้องไห้ ไม่ใช่เพราะซาบซึ้งใจหรอกนะ มันเป็นอารมณ์อัดอั้นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ต่างหาก
และตอนที่นางถูกสุนัขตำรวจช่วยชีวิตไว้นักข่าวคนหนึ่งก็ได้บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี นักข่าวคนนั้นจึงได้ทำข่าวของฟางเซียนจนดังระเบิด นักข่าวหลายคนจึงบุกมาที่บ้านของฟางเซียนเพื่อขอทำข่าว
กูอยากตายโว้ย! อย่ามายุ่งได้ไหม!!
การฆ่าตัวตายวิธีที่ห้า กินยาพิษ ในเมื่อการฆ่าตัวตายข้างนอกมันเป็นปัญหามากก็ต้องพยายามฆ่าตัวตายในบ้าน แต่ฟางเซียนก็ดันถูกช่วยไว้ได้โดยนักข่าวที่แอบเข้ามาส่องในบ้านของนาง ฟางเซียนรอดอีกแล้ว...
การฆ่าตัวตายวิธีที่หก ไปที่ทะเล และถ่วงน้ำตัวเองซะ แต่นางก็ไม่ตายเช่นเดิม เพราะคลื่นทะเลได้ซัดร่างของนางเข้าฝั่งซะก่อน...
วิธีการฆ่าตัวตายที่เจ็ด แปด เก้า สิบก็ได้ตามมาไม่หยุด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายฟางเซียนถึงไม่ตายสักที
“ดื่มยาพิษ กรีดข้อมือ โดดน้ำ โดดตึก ฉันทำถึงขนาดนี้แล้วทำไมฉันถึงยังไม่ตายอีก!! สวรรค์ ไม่สิ นรกไม่อยากรับคนเพิ่มแล้วรึไง!!” ฟางเซียนกรีดร้องอย่างหนักราวกับคนเสียสติ
นางสิ้นหวังในการฆ่าตัวตายสำเร็จแล้ว...
ฟางเซียนหยิบมีดขึ้นมาและมองมันด้วยอาการเหม่อลอย ในขณะที่นางกำลังตัดสินใจที่จะใช้มีดแทงหัวใจของตัวเองอยู่นั้นหน้าต่างระบบปริศนาก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ บนหน้าต่างระบบได้แสดงตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ จากนั้นมันก็แสดงข้อความว่า [เชื่อมต่อสมบูรณ์]
[สวัสดีครับคุณฟางเซียน ผมคือระบบห้ามฆ่าตัวตาย] เสียงปริศนาดังขึ้นมาพร้อมกับปรากฏอีโมจิรูปยิ้ม ฟางเซียนมองด้วยสายตาว่างเปล่า [จากนี้ไปคุณจะถูกผูกมัดกับระบบห้ามฆ่าตัวตายและคุณจะต้องทำตามกฎที่เรามีอยู่ กฎข้อที่หนึ่งคือ ห้ามฆ่าตัวตาย กฎข้อที่สองคือ ห้ามฆ่าตัวตาย กฎข้อที่สามคือ ห้ามฆ่าตัวตาย]
“...” ฟางเซียนนิ่งสนิทไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ นางหันปลายมีดเข้าหาตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ทันใดนั้นเองนางก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้ตามใจชอบ มันราวกับว่ามีบางอย่างเข้ามาควบคุมร่างกายของนาง
[คุณจะไม่สามารถฆ่าตัวตายได้จนกว่าคุณจะมีอายุครบหนึ่งหมื่นปี โปรดเข้าใจด้วย] สิ่งที่เรียกตัวเองว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายบอกฟางเซียน
“เข้าใจมารดาแกสิ!! หมื่นปีเรอะ! ใครจะอยากอยู่นานขนาดนั้นกัน! ฟังฉันนะ ฉัน อยาก ตาย! ชัดเจนพอไหม!” ไม่ว่าสิ่งปริศนานั่นจะเป็นอะไรฟางเซียนก็ไม่เกรงใจ นางตะโกนใส่มันด้วยความโมโห
[มนุษย์อยากมีชีวิตยืนยาว] ระบบตอบ
“เออ! แต่พอดีว่าฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวเนปจูน ฉันจะฆ่าตัวตาย!!” ฟางเซียนกำมีดในมือแน่นและพยายามที่จะกดปลายมีดลงไปแทงหัวใจของตัวเอง แต่มือของนางมันแข็งค้างไม่ยอมขยับตามที่นางต้องการ
[ผู้ที่ถูกผูกมัดกับระบบห้ามฆ่าตัวตายมีกฎว่าห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด หากคุณต้องการฆ่าตัวตายคุณต้องทำภารกิจให้สำเร็จก่อน ภารกิจแรก เป็นอาจารย์ให้กับตัวร้ายสูงสุด ภารกิจที่สอง เป็นอาจารย์ให้กับรองตัวร้าย ซึ่งภารกิจนี้จะตามมาในอีกร้อยปีต่อมา และอีกหนึ่งร้อยปีต่อไปภารกิจที่สามก็จะตามมา และอีกร้อยๆ ปีต่อไปอีกภารกิจที่สี่ก็จะตามมา]
“...ไปตายซะไอ้ระบบเวร!!” ฟางเซียนเปลี่ยนทิศทางของมีดจากตัวเองไปที่หน้าต่างระบบใสตรงหน้าทันที นางพยายามใช้มีดแทงมันแต่มีดของนางกลับทะลุผ่านมันไป “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย! ฉันอยากจะตาย!” ฟางเซียนตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย นางเริ่มมีอาการหอบหายใจอย่างหนักหลังจากออกแรงไปเยอะกับการพยายามทำลายหน้าจอประหลาดตรงหน้า
[เนื่องจากคุณตรงกับเงื่อนไขของเรามากที่สุด] ระบบตอบ
“เงื่อนไขอะไร?”
[เงื่อนไขของเราคือ คนที่ต้องการความตายอย่างแท้จริง ไม่มีความลังเลหรือความเสียใจก่อนจะจบชีวิตตัวเอง แต่กลับไม่ตายสักทีทั้งที่พยายามฆ่าตัวตายมากกว่าสิบรอบขึ้นไป ระบบจึงเลือกคุณ]
“คนอยากตายทำไมแกต้องมาขัดขวางด้วย!!” ฟางเซียนรู้สึกคับแค้นใจอย่างมาก นางจึงใช้มีดแทงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ ในเมื่อแทงตัวเองก็ไม่ได้ แทงไอ้ระบบประหลาดนี่ก็ไม่ได้อีก แทงพื้นแทนแล้วกัน!
พื้นที่น่าสงสาร: ทำไมเป็นฉัน?
[เนื่องจากมีคนตายทั้งที่ยังไม่ถึงฆาตมากเกินไปสถานที่รอเกิดจึงเต็มแล้ว ผู้สร้างจึงได้สร้างระบบห้ามฆ่าตัวตายขึ้นมาเพื่อห้ามไม่ให้มีคนฆ่าตัวตายไปมากกว่านี้ และเพื่อนำคนที่พยายามฆ่าตัวตายไปใช้ประโยชน์ด้วย เอาล่ะ! ได้เวลาเดินทางของคุณแล้ว]
“เดินทาง? เดินทางไปไหน? ฉันไม่ไป ยังไงฉันก็ยังอยากจะฆ่าตัวตาย!” ยังไม่ทันที่จะได้พูดไปมากกว่านี้ฟางเซียนก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังโดนบางอย่างดึงดูด
[วางใจได้เลยครับ การเดินทางข้ามมิติของเราปลอดภัยหายห่วงไม่ตายแน่นอน ไว้เจอกันอีกครั้งที่โลกใหม่นะครับ คุณฟางเซียน]
ไอ้ระบบเวร!!!
หลังจากนั้นฟางเซียนก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกหมุนอยู่ในเครื่องซักผ้ายาวนานหลายชั่วโมง...
อยากตายแล้วสิ
บทที่ 1.2 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีราชันมังกรทองสยบนภา คือนิยายแนวผจญภัยในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนและมารเรื่องหนึ่งที่ยาวมากอธิบาย ‘มาร’ และ ‘เซียน’ ก็คือมนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรตบะเพื่อให้ได้รับพลังมา ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันแค่ มารจะฝึกวิชาสายชั่วร้ายและดูดซับปราณสีดำ ฝ่ายเซียนก็จะฝึกในเส้นทางตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าเส้นทางคนดี๊ดี ดูดซับแค่ปราณขาวสะอาด ส่วน ‘ปีศาจ’ และ ‘เทพ’ ก็คือเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายแน่นอนว่าสูตรโกงของพระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ ก็คือการที่ได้เกิดเป็นมังกรทองเผ่าเทพ จ้าวหลงเทียน คือชื่อของเขา ตำแหน่งของเขาในพิภพเทพค่อนข้างสูงส่งเพราะมังกรทองมีไม่มากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งจ้าวหลงเทียนเหมือนจะเบื่อการเป็นเทพหรืออะไรก็ไม่รู้เขาได้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนพิภพมนุษย์เรื่องราวนิยายเริ่มต้นตรงนั้นเนื่องมาจากว่านิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เป็นนิยายแนวฝึกฝนพลังและออกไปวิ่งไล่ตบตัวร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้อ่านจึงจะได้พบแค่เพียงการต่อสู้ของพระเอกและตัวร้ายจนดูน่าเบื่อหน่าย แต่จุดขายอย่า
บทที่ 2.1ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเองแม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำแต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว
บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นพิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอดมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพี
บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข
บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปพื้นที่รอบเมืองเหยียนเป็นหุบเขามีภูเขาและเทือกเขาสูงใหญ่มากมาย การจะสร้างบ้านบนภูเขาสักลูกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เพราะฟางเซียนอยากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบนางจึงยอมจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่อั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เงินของนางอยู่แล้ว ทางด้านผู้รับเหมาก่อสร้างยินดีให้บริการอย่างยิ่งเมื่อได้รับเงินมากมาย พวกเขาสัญญาว่าจะเร่งมือแต่คาดว่าการก่อสร้างคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ในขณะที่รอให้บ้านสร้างเสร็จฟางเซียนและลู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวและในระหว่างนั้นลู่เหลียนก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและเขียนยันต์ สำหรับมารหรือเซียนมือใหม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนยันต์เพราะการจะใช้คาถาจำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลู่เหลียนจำเป็นต้องอ่านและเขียนตัวอักษรให้ได้ทุกตัว แน่นอนว่าคนที่จะสอนลู่เหลียนอ่านเขียนจะต้องเป็นฟางเซียน แม้ว่าลายมือของฟางเซียนจะแย่สักหน่อยเพราะนางไม่คุ้นเคยกับการใช้พู่กัน แต่อย่างน้อยลู่เหลียนก็สามารถเขียนออกมาได้สวยงามตามตำราเพราะหากเขา
บทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตายฟางเซียนต้องการค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายและปีศาจกินคน แต่ระบบก็แย้งว่าถึงนางจะค้นพบลัทธิฆ่าตัวตายนางก็คงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อยู่ดีและถึงจะเจอปีศาจกินคนนางก็ไม่มีทางถูกกินเช่นกันเพราะโชคอันเหลือล้นของนางเอง แต่ฟางเซียนก็อยากลองออกไปค้นหาดูเผื่อจะโชคดีเจอคนพวกนั้นเข้า แต่สุดท้ายนางก็ไม่พบและต้องกลับบ้านบนภูเขาเฮยอั้นพร้อมกับความผิดหวัง “ทำไมความตายถึงได้หายากอย่างนี้!” ฟางเซียนบ่น ลู่เหลียนวางหนังสือที่กำลังอ่านลงและแอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อฟางเซียนบ่นถึงความตายมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในใจจนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือเลย “ลู่เหลียน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งแล้วมาสังหารข้า? ข้าเลี้ยงดูเจ้าเพราะอยากให้เจ้าแข็งแกร่งเหนือทุกคนและมาสังหารข้า หากเจ้าไม่สามารถทำได้ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ฟางเซียนกล่าวออกมาเสียงเรียบและเย็นชา [คุณทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะครับ] ระบบหัวเราะ ฟางเซียนทำหน้าบึ้งตึง นางรู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไม่ได้ นางพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากกดดันลู่เหลียนเท่านั้นเอง หากเด็กคนนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากน
ตอนพิเศษ ลู่เหลียนกับความฝัน ลู่เหลียนเฝ้ารอ เฝ้ารอมาหลายปี ณ ทางเข้าปรโลก แต่แล้วเขาก็ไม่พบสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดหลายปี หลายคนบอกให้เขาตัดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถที่จะลืมฟางเซียนไปได้ เขาจึงตัดสินใจฝึกฝนตัวเองอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาลืมเวลาได้รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว เขาเติบโตเต็มวัยแล้วและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เขาจึงสร้างพรรคมารขึ้นมาเพื่อเผยแพร่วิชามารที่ฟางเซียนเคยบอกในทำก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่ปรโลก แต่ลู่เหลียนไม่ได้สนใจพรรคมารที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมามากนัก ส่วนมากเขาจะยกให้ซงเลี่ยงจินจัดการทุกอย่างแบบไม่สนใจไยดีระหว่างที่ซงเลี่ยงจินต้องหัวหมุนกับงานเขาก็จะไปอาละวาด ใช่แล้ว เขาอาละวาดกับเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ เขาเกลียดเผ่าเทพมากจึงตามสังหารเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ทั้งหมด นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับเผ่าเทพ แต่ลู่เหลียนก็หาสนใจไม่เขาอาละวาดต่อไปจนมีแข็งแกร่ง
ตอนพิเศษ นิทานเจ้าหญิง***เนื่องมาจากว่ามีคนถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ว่าทำไมฟางเซียนในชาติก่อนฆ่าตัวตาย ตอนพิเศษสั้นๆ ฉบับนิทานจึงถือกำเนิดกาลครั้งหนึ่ง ณ โลกสีเทา ภูตหนุ่มได้พบกับเจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ เขาได้พาเธอออกมาจากโลกสีเทาไปยังโลกใบใหม่โลกใบใหม่สวยงามแต่ทว่ามันกลับกำลังล่มสลายและกลายเป็นเหมือนโลกสีเทาที่เธอจากมา ภูตตนนั้นจึงขอให้เธอช่วยเหลือโลกใบนี้เจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ราวกับได้พบเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเธอ เธอจึงยอมตอบรับคำขอของภูตตนนั้นอย่างง่ายดายเจ้าหญิงช่วยเหลือผู้คนและโลกใบใหม่นี้ด้วยความรู้สึกมีความสุขจากใจจริง นั่นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีประโยชน์ ผู้ที่มีประโยชน์เท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับ เธอเชื่อมั่นอย่างสุดใจนั่นทำให้เธอมีความสุขมากที่ตนเองมีประโยชน์ต่อทุกคนและได้รับการยอมรับเจ้าหญิงทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ
บทส่งท้ายหลังจากหนังสือสัญญายุติสงครามระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรสายมารและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนถูกเขียนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ปัญหาระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรบนพิภพมนุษย์ก็ลดน้อยลงและเมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะสงบลู่เหลียนก็ไม่ลังเลที่จะจัดงานแต่งงานของเขากับฟางเซียนขึ้นมาลู่เหลียนได้จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตแต่ไม่มากพิธีเพราะหลังจากคำนับฟ้าดินแล้วลู่เหลียนก็ลากฟางเซียนเข้าห้องหอทันทีโดยไม่คิดจะส่งแขกก่อน ฟางเซียนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ“ข้าเพียงแค่อยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าท่านคือภรรยาของข้าเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ท่านจะต้องเปิดเผยความงามของท่านให้คนพวกนั้นเห็น” ลู่เหลียนว่ามาอย่างนั้น“เจ้าไม่คิดจะให้ข้าออกไปพบปะผู้คนหรืออย่างไร” แม้ว่าฟางเซียนจะบ่นไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายนางก็ชอบนอนเล่นอยู่ในห้องมากกว่าออกไปข้างนอกอยู่ดี เพราะในช่วงที่นางอยากฆ่าตัวตาย นางมักจะหมกตัวอยู่ในบ้านจนมันก
บทที่ 21 ค่ำคืนแรกอันร้อนแรง หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากต้นไม้แห่งหายนะถูกโค่นล้ม กองทัพปีศาจก็กลับพิภพปีศาจ กองทัพเทพก็กลับพิภพเทพ กองทัพเทพที่มาพิภพมนุษย์เพื่อต่อสู้กับพรรคมารข่งเชวียก็กลับไปเช่นกัน ส่วนพรรคมารข่งเชวียและสำนักเซียนทั้งหลายบนพิภพมนุษย์ก็สงบศึกกันชั่วคราวเพราะสูญเสียกำลังรบไปมากจากการโจมตีของต้นไม้แห่งหายนะ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงทำสงครามเย็นใส่กัน เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียมากกว่านี้จ้าวหลงเทียนจึงไปพบทั้งสองฝ่ายเพื่อเจรจาสงบศึกและเสนอให้ทั้งสองฝ่ายทำสัญญาปรองดองกัน เนื่องจากว่าผู้นำฝ่ายเซียนอย่างฮุ่ยหวงตายไปแล้วฝ่ายเซียนจึงยอมสงบศึกแต่โดยดี แต่ลู่เหลียนกลับไม่ยอมสงบศึกโดยง่าย เขาให้เหตุผลว่าฝ่ายมารเป็นฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเซียนที่เป็นฝ่ายเริ่มสงครามจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝ่ายมารก่อนเขาจึงจะยอมสงบศึกแต่โดยดี จ้าวหลงเทียนพยายามเป็นตัวกลางเจรจากับลู่เหลียนและฝ่ายเซียนอยู่นานจนกระทั่งฝ่ายเซียนยอมชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินทอง ทรัพยากรทางธรรมชาติหรือก็คือดินแดน และสัญญาการซื้อขายสินค้าด้วยเพราะการปิดเขตแดนของพรรคข่งเชวียทำให้ชาวบ้านขาดแคลนอะไรหลายอย่าง การติดต่อซื้อขายสินค้าจากนอกด
บทที่ 20.2 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกระบบนำทางสู่ความตายทราบดีว่าถ้าหากมันปะทะกับลู่เหลียนและหมิงหยู มันจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะมันจะสูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป ถ้าหากมีพลังวิญญาณน้อยเกินไปแกนวิญญาณก็จะได้รับความเสียหายได้ง่ายมากขึ้น มันจึงควรประหยัดพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุดและเพื่อการนั้นมันจึงทำให้ฮุ่ยหวงหลุดออกจากผนึกน้ำแข็งของฟางเซียนและสิงร่างของฮุ่ยหวงเพื่อดึงพลังของฮุ่ยหวงมาใช้แทนพลังวิญญาณที่กำลังร่อยหรอของตัวเองและเพื่อลดผลกระทบจากการโจมตีด้วย ถ้าหากมันถูกโจมตี ฮุ่ยหวงจะได้รับผลกระทบจากการโจมตีเป็นส่วนมากเมื่อเป็นเช่นนั้นการจัดการกับระบบนำทางสู่ความตายก็คงจะยากมากขึ้น แต่ลู่เหลียนและหมิงหยูก็ไม่หวั่นและร่วมมือกันโจมตีระบบนำทางสู่ความตายไม่ยั้งมือ มันไม่เหลือช่องว่างให้ฟางเซียนเข้าไปโจมตีเลย ฟางเซียนจึงได้แต่ยืนมองกระบี่หลายสิบเล่มและธนูไฟหลายดอกลอยผ่านหน้าไปมา“ดิ้วเหล็กนั่นเปลี่ยนร่างได้ด้วยเหรอ” ฟางเซียนพึมพำถามระบบใหม่เมื่อเห็นว่าดิ้วเหล
บทที่ 20.1 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกไม่ว่าโลกไหนหรือยุคไหนก็หนีไม่พ้นสงครามและบางครั้งสงครามก็เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อย่างเช่นสงครามระหว่างมารและเซียนในครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนต่างก็คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารนั้นชั่วร้ายและไม่ควรมีตัวตนอยู่ พวกเซียนจึงยอมรับไม่ได้ที่พวกมารมีดินแดนในครอบครองหรือก็คือพวกเซียนหวาดกลัวความแข็งแกร่งของเหล่ามารและคิดไปเองว่าพรรคมารข่งเชวียปกครองดินแดนอย่างโหดเหี้ยมและบังคับให้ชาวบ้านกลายเป็นมารเหล่าเซียนจึงคิดจะก่อสงครามกับเหล่ามารเพื่อแย่งชิงความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านธรรมดาทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงหรือความเท็จ พวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไร้ที่อยู่ในแผ่นดินอีกครั้งมันช่างไร้ความยุติธรรมสิ้นดีทั้งที่หากเหล่ามารไม่มีความคิดโง่เง่าฝังหัวว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารจะต้องทำสิ่งชั่วร้ายอย่างที่สั
บทที่ 19.2 ระบบนำทางสู่ความตายย้อนกลับไปเมื่อสามร้อยปีก่อน ถ้านอนหลับแล้วฝันร้าย แค่ตื่นขึ้นมาฝันร้ายก็จะหายไป แต่สำหรับฮุ่ยหวงไม่ว่าจะหลับหรือตื่นเขาก็ยังฝันร้ายและมันยังเป็นฝันร้ายที่สุดแสนจะยาวนาน... “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าขอโทษเพราะข้าชักช้าเราจึงมาช่วยแม่นางฟางเซียนไว้ไม่ทันการ” ฮุ่ยหลิงร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นเวลานานและเขาก็ยังโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าป้ายหลุมศพที่มีชื่อสลักไว้ว่า ‘ฟางเซียน’ “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ น้องเล็ก” ฮุ่ยเหอเอ่ยปลอบใจน้องชาย แต่ฮุ่ยหลิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ดูเหมือนว่าการจากไปของ ‘แม่นางฟางเซียน’ จะสร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับน้องชายของเขามากเกินไป ฮุ่ยเหอที่ไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรต่อจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต “ชาตินี้เป็นเคราะห์ร้ายของนาง...ข้าจึงเชื่อว่าชาติหน้านางจะต้องได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขยาวนาน” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนพลางลูบหัวปลอบฮุ่ยหลิงอย่างอ่อนโยน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮุ่ยหลิงเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เจ้าของหลุมศพนามว่าฟางเซียนเป็นหญิงสาวที่น่าเห็นใจ นางสูญเสียทุกอย่างรวมถึงเหตุผลที่จะมีชีวิต นางจึงอยากฆ่าตัวตา
บทที่ 19.1 ระบบนำทางสู่ความตายเมื่อตื่นขึ้นมาฟางเซียนก็รู้สึกถึงอาการเมื่อยล้าตามร่างกายซึ่งเป็นผลมาจากการนอนหลับกึ่งตายมาหลายวัน ฟางเซียนก็เลยนอนต่ออีกสักพักเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงที่หายไปกลับมา แต่เพราะนอนหงายมานานก็เลยเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว นางจึงเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคงข้างและเมื่อพลิกตัวนางก็ได้พบกับใบหน้ายามหลับใหลของปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจรูปงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์อีกด้วยรูปหน้าสมบูรณ์แบบ ริมฝีปากเรียวสวยและหยักเป็นธรรมชาติ สีสันก็สดใสไม่หมองคล้ำ จมูกก็โด่งเป็นสัน คิ้วก็คมเข้ม ขนตาก็ยาวราวกับขนตาม้า รวมแล้วมันช่างเป็นใบหน้าที่งดงามและหล่อเหล่าไปในเวลาเดียวกันจนหลายคนลุ่มหลงฟางเซียนนอนมองลู่เหลียนจนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่ามันถึงเวลาที่ควรจะลุกออกจากเตียงได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลูกขึ้นนั่ง คนที่น่าจะกำลังหลับก็ดึงแขนของนางจนนางล้มลงไปนอนอีกครั้ง“ไม่คิดว่ามันเช้าเกินไปที่จะตื่นหรือขอรับ?” ลู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยยามกะพริบตา “หรือคิดจะไปไหนแต่เช้า?คิดจะทิ้งข้าไว้บนเตียงแล้วหนีไปที่อื่นหรือขอรับ?” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีแดงที่เปิด
บทที่ 18.2 ข้ารักท่าน…ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปลู่เหลียนกุมมือฟางเซียนแน่น เขาหวังว่าความร้อนจากมือของเขาจะทำให้มืออันเย็นเฉียบของฟางเซียนอบอุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะกุมมือของฟางเซียนนานเพียงไร มันก็ยังคงเย็นเฉียบราวกับว่ามันแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดเวลา ลู่เหลียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคลาดสายตาเพียงครู่เดียว ฟางเซียนก็สลบไสลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของซงเลี่ยงจินเสียแล้ว ทั้งที่สงครามระหว่างมารและเซียนจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน แต่ฟางเซียนก็ยังคงหลับไม่ยอมตื่นราวกับว่าไม่ต้องการที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง “ลู่เหลียน...เจ้าอยู่เช่นนี้มาหลายวันแล้วนะ” ซงเลี่ยงจินเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะลู่เหลียนมัวแต่นั่งเฝ้าฟางเซียนไม่ยอมขยับไปไหนเลยมาหลายวันแล้ว หากปล่อยไว้เช่นนี้ร่างกายของลู่เหลียนคงทรุดโทรมอีกแน่ แต่ไม่ว่าซงเลี่ยงจินจะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงมากเท่าไหร่ ลู่เหลียนก็ไม่ยอมตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ซงเลี่ยงจินถอนหายใจก่อนจะหยิบคัมภีร์ออกมา “ข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเช่นนี้ของท่านปรมาจารย์ฟางเซียนมาหมดแล้ว ข้าคาดว่าท่านปรมาจารย์ฟางเซียนน่าจะโดนโจมตีทางวิญญาณเ