บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร
ฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!
ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!
เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลย
ในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนางเอง
[ผมบอกไปรึยังครับว่าตราสัญลักษณ์ลูกศิษย์ที่คุณประทับบนหน้าผากของมารนกยูงทำให้คุณสามารถทราบอาการบาดเจ็บของเขาได้ด้วย] ระบบพูด
นั่นทำให้ฟางเซียนได้สติขึ้นมาและนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ นางหมดหนทางแล้วจริงเหรอ?หากคิดดูให้ดีนางมีอยู่อีกหนทางหนึ่ง ถึงจะมีชีวิตยืนยาวแต่ก็ใช้ว่าจะไม่ตายเพราะถูกฆ่านี่นา แม้จะมีโชครอดตายจากการถูกฆ่าคอยปกป้องแต่หากคนที่จะฆ่านางแข็งแกร่งมากกว่าโชคที่นางมีล่ะ?
เมื่อคิดได้ดังนั้นฟางเซียนก็นึกถึงอนาคตของลู่เหลียน เขาจะกลายเป็นตัวร้ายผู้เก่งกาจในอนาคต ความเก่งกาจของเขาอาจจะสามารถฆ่านางได้! โชคก็แค่โชค มันคาดหมายอะไรไม่ได้และไม่มีความแน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้แบบนั้นมันไม่มีทางสามารถปกป้องนางจากอันตรายได้ตลอดไปหรอก
ฟางเซียนจึงเริ่มวางแผนที่จะให้ลู่เหลียนสังหารตัวเอง แผนการแรกที่นางต้องทำก็คือ ทำให้ลู่เหลียนรู้สึกโกรธแค้นกับนางแบบฝังรากลึกไปเลย เมื่อลู่เหลียนกลายเป็นตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ ความโกรธแค้นที่เขามีต่อนางจะทำให้เขาหันมาไล่ล่าสังหารนางเพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน!
ฟางเซียนยิ้มกว้างให้กับความคิดนี้ของตนเองและหัวเราะราวกับคนเสียสติอีกครั้ง
นางกลับไปหาลู่เหลียนที่หน้าผาที่นางผลักเขาลงไป นางพบว่าเขาเพิ่งปีนขึ้นมาจากตีนผาได้พอดี
“ยังไม่ตายใช่ไหม” ฟางเซียนย่อตัวลงไปเขี่ยลู่เหลียนที่นอนหน้าคว่ำอยู่บนพื้น
ใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นของลู่เหลียนเงยมองฟางเซียนเล็กน้อย เขาจ้องมองนางด้วยสายตาตัดพ้อ ขุ่นเคือง และไม่เข้าใจว่าทำไมฟางเซียนถึงทำแบบนี้กับตัวเอง
ฟางเซียนเห็นดังนั้นก็ยิ้มพอใจ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้ลู่เหลียนแค้น
“เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่า” ฟางเซียนกล่าวพลางกวาดสายตาสำรวจลู่เหลียนที่นอนหมดแรงอยู่บนพื้นไม่ขยับ เขาไม่ได้บาดเจ็บหนักมากแต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่เลย เขาคงไม่สามารถเดินกลับบ้านไปได้ด้วยตัวเองแล้ว ฟางเซียนจึงต้องห่อลู่เหลียนเป็นดักแด้ด้วยผ้าและอุ้มเขากลับเข้าเมือง เหตุผลที่นางห่อเขาเป็นดักแด้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งแต่อย่างใด นางทำอย่างนี้เพราะหางและหงอนนกยูงของเขาเป็นจุดสนใจมากต่างหาก มันน่ารำคาญไม่น้อยถ้ากลายเป็นจุดสนใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านฟางเซียนก็สั่งให้ลู่เหลียนไปอาบน้ำล้างตัวทันทีเพราะเขาเปื้อนไปทั้งตัวจนดูเหมือนว่านกยูงสีขาวจะกลายเป็นนกยูงสีดำแล้ว
และในระหว่างที่ลู่เหลียนกำลังอาบน้ำอยู่นั้นระบบก็ได้ให้ภารกิจฟางเซียนมาทำ [เนื่องจากชุดเดียวที่ลู่เหลียนมีได้ขาดไปแล้วผมจึงขอมอบภารกิจย่อยให้กับคุณ ภารกิจตัดเย็บเสื้อผ้าให้ลู่เหลียนครับ รางวัลคือแต้มลบโชครอดตายจากการถูกฆ่า 100 แต้ม]
ฟางเซียนฝืนใจทำตามที่ระบบบอกเพื่อให้ได้แต้มลบมา นางบอกกับตัวเองว่า พยายามเข้า!แม้แต้มลบจะหายไปทีละเล็กทีละน้อยจนน่าสิ้นหวัง แต่สักวันความพยายามหาทางตายจะต้องเห็นผลแน่นอน!
นางนำอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าที่พี่น้องฮุ่ยทิ้งพวกมันไว้ให้ออกมาและค้นหาเสื้อผ้าที่มีขนาดใกล้เคียงกับลู่เหลียนเพื่อนำมาตัดเย็บใหม่ ชุดของลู่เหลียนไม่ควรเหมือนคนทั่วไปเพราะเขามีหางนกยูงอันสวยงามอยู่เหนือบั้นท้าย หากสวมชุดธรรมดาหางของเขาคงถูกกดทับจนเกิดความเสียหายกับขนนกยูงที่สวยงามแน่ มันคงไม่ดีสำหรับลู่เหลียนนัก
ทักษะการตัดเย็บของฟางเซียนแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากเรียนรู้กับฮุ่ยหลิงมาเป็นเดือน นางจึงตัดเย็บและแก้ไขเสื้อผ้าให้ลู่เหลียนได้ภายในเวลาไม่นาน
“ไม่เลว” ฟางเซียนพยักหน้าพอใจหลังจากให้ลู่เหลียนสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองเพิ่งตัดเย็บเสร็จ ไม่ว่าจะมองมุมไหนลู่เหลียนก็เหมาะกับชุดสีขาวตรงกันข้ามกับนางที่เหมาะกับสีดำมากที่สุด ซึ่งความเหมาะสมที่กล่าวไม่ได้หมายถึงเรื่องลักษณะภายนอกแต่อย่างใด
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามฟางเซียนได้คิดอย่างนั้น นางจึงเลือกทุกอย่างที่เป็นสีขาวให้กับลู่เหลียนทั้งหมด
“ใส่แล้วไม่เจ็บหางใช่ไหม?” ฟางเซียนเอ่ยถาม ลู่เหลียนหันไปสำรวจหางนกยูงสีขาวลวดลายสีแดงของตัวเองก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ สีหน้าของลู่เหลียนดูปลาบปลื้มอย่างชัดเจน
ไม่เคยมีใครทำเสื้อผ้าสำหรับเขามาก่อนนั่นทำให้เขาอดรู้สึกยินดีไม่ได้เมื่อได้รับชุดนี้มา
“จะว่าไปหางของเจ้าหักด้วยนี่ มาใกล้ๆ ข้าจะจัดการมันให้” ฟางเซียนกวักมือเรียกให้ลู่เหลียนเข้ามาหา เขาดูลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมก้าวเดินเข้ามาใกล้นางและยอมอยู่นิ่งๆ ในระหว่างที่นางตัดแต่งขนหางให้เขา
ต่อมาหางนกยูงก็กลับมาดูดีเหมือนเดิม
“เจ้าไม่สามารถซ่อนหางได้เลยงั้นเหรอ?” ฟางเซียนเอ่ยถามอย่างสงสัย นางนึกถึงความยากลำบากมากมายที่ลู่เหลียนต้องพบเมื่อหางนกยูงยาวมากขึ้นในอนาคต มันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับความเสียหายในขณะต่อสู้
ลู่เหลียนส่ายหัวเป็นคำตอบด้วยสีหน้าอดสู ระบบจึงทำหน้าที่อธิบายต่อว่า [เนื่องจากลู่เหลียนเป็นลูกครึ่งปีศาจ การเรียนรู้วิธีเก็บหางหรือหงอนคงต้องใช้เวลายาวนานหลายปี ก็คงจนกว่าจะมีระดับพลังปราณมากพอนั่นล่ะครับ]
“งั้นเจ้าก็รีบๆ ดูดซับพลังปราณก็แล้วกัน หากไปไหนมาไหนด้วยรูปลักษณ์นี่สักวันเจ้าคงถูกจับขายเป็นทาสอีกรอบ” ความจริงคือนางอยากให้เขารีบเก่งรีบมาฆ่านางมากกว่า
ลู่เหลียนพยักหน้าเข้าใจและแสดงท่าทางอึกอักราวกับต้องการบอกอะไรบางอย่าง ฟางเซียนนั่งรอฟังอย่างใจเย็นหรือความจริงก็คือนางกำลังเบื่อหน่าย...
“ขะ...ขอบคุณ...ขอรับ” ลู่เหลียนกล่าวคำขอบคุณแผ่วเบาแต่ทว่าเต็มไปด้วยความจริงใจ เขาคิดว่าฟางเซียนมอบหลายสิ่งให้เขา แม้จะไม่เคยกล่าวขอบคุณกับใครเลยก็ตามแต่เขาก็มีความคิดว่าควรกล่าวคำขอบคุณฟางเซียนสักครั้ง
แต่ในขณะนั้นฟางเซียนไม่ได้สนใจคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจนั่นเลย นางสนใจเสียงที่ได้ยินมากกว่า มันทั้งหวานและใสเหมาะกับเสียงของนักร้องมากทีเดียว ในฐานะนักร้องฟางเซียนมีความสนใจเกี่ยวกับเสียงอันไพเราะมากในระดับหนึ่ง นางจึงนึกสงสัยว่าทำไมนางถึงเพิ่งมารู้ว่าลู่เหลียนมีน้ำเสียงอันไพเราะแบบนี้ ก่อนที่นางจะเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหลียนพูดกับนาง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมพูดกับนางเพราะความไม่ไว้วางใจ นางจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสียงของเขามันไพเราะมากถึงขนาดนี้
ช่างเป็นบุคคลบาปหนา งดงามจนน่ารังแกไม่พอยังมีเสียงอันไพเราะพร้อมจะสะกดจิตทุกคนอีกด้วย คิดจะล่อลวงคนทั้งโลกให้บ้าคลั่งจากความหลงใหลรึไงกัน
ถึงตอนนี้เสน่ห์ของเขาจะไม่ได้มีชัดเจนมากนัก แต่หากเขาเติบโตมากกว่านี้มันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดสงครามชิงตัวชายงามขึ้นมา
ฟางเซียนลืมเรื่องแผนการสร้างความแค้นไปชั่วขณะเพราะรู้สึกเอ็นดูกับความน่ารักลู่เหลียนขึ้นมา นางลูบหัวของเขา ปลายนิ้วเกี่ยวเล่นกับหงอนนกยูงด้วยความสนใจ
“วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ข้าจะทำอาหารให้กินและหลังจากนี้ก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่เสีย” ฟางเซียนบอกกับเขา
ลู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังเช่นเคยทว่าในใจของเขารู้สึกดีกับฟางเซียนมากขึ้น ฟางเซียนดีกับเขามากหากเทียบกับคนอื่น...
“ข้า...มีนามว่าลู่เหลียน แซ่ลู่นามเหลียน...แล้วท่านล่ะ?” ลู่เหลียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงของเขาจ้องมองฟางเซียนอย่างคาดหวัง
“ฟางเซียน ไม่มีแซ่เพราะข้าทิ้งมันไปแล้ว เพราะงั้นก็อย่าสนใจ” ฟางเซียนตอบเสียงเรียบ ลู่เหลียนพยักหน้ารับรู้และก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม
ในคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ลู่เหลียนได้นอนหลับฝันดีที่สุด
ดูเหมือนว่าแค่เริ่มต้นฟางเซียนก็ล้มเหลวในการสร้างความแค้นกับลู่เหลียนเสียแล้ว...
ไม่ว่าใครก็มีความเห็นเดียวกันว่าค่ำคืนอันแสนสงบสุขมันช่างแสนสั้น โดยเฉพาะฟางเซียนที่คิดเห็นเช่นนั้น นางได้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่แจ่มใสเลยสักนิดเพราะมีใครบางคนมาทุบประตูหน้าบ้านของนางตั้งแต่ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า
เนื่องจากว่าฟางเซียนมีพลังปราณมารระดับเจ็ดแล้ว ประสาทสัมผัสของนางจึงเฉียบคมมากขึ้น ฟางเซียนยังไม่คุ้นชินกับมันและควบคุมมันไม่ดีเท่าที่ควรจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนนี้ได้ นางจึงต้องฝืนสังขารเดินไปเปิดประตูพร้อมกับสติที่เหลือน้อย
“กว่าจะมาเปิดได้นะ!ข้าทั้งเคาะทั้งตะโกนจนเจ็บมือเจ็บคอไปหมดแล้ว!”
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกผู้หญิงอายุรุ่นคุณป้าก็ได้ตะคอกใส่หน้าฟางเซียนอย่างไม่พอใจ สติของฟางเซียนลอยกลับมาทันที เมื่อนางได้มองคุณป้าตรงหน้าชัดๆ นางก็จำได้ทันทีว่าคุณป้าคนนี้ก็คือพนักงานในโรงเตี๊ยมที่สามพี่น้องฮุ่ยบังคับให้นางไปทำงาน แต่เพราะความขี้เกียจนางจึงไม่ได้ไปทำงานที่นั่นอีกเลยตั้งแต่สามพี่น้องจอมบงการกลับสำนักเฉินไป และอีกอย่างนางมีระบบคอยจ่ายเงินให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนหาเงินให้เหนื่อยเลย
“มาทำไม” ฟางเซียนถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าทำงานที่โรงเตี๊ยมชุนแล้ว เจ้าต้องไปทำงานเดี๋ยวนี้!” คุณป้ากล่าว สีหน้าของนางดูดุร้ายไม่ต่างจากอาจารย์ห้องปกครองเท่าไหร่นัก
ฟางเซียนกลอกตามองบนก่อนตอบว่า “ไม่ไป”
สั้นและได้ใจความ ใบหน้าของคุณป้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธเลยทีเดียว และมีความเป็นไปได้ว่าฟางเซียนอาจจะถูกกระชากไปตบ
“เจ้าอย่าได้หลงระเริงให้มากนัก!มีท่านเซียนทั้งสามหนุนหลังแล้วอย่างไร?สุดท้ายแล้วท่านเซียนทั้งสามก็กลับโลกแห่งเซียนและทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ อย่าได้หลงคิดว่าตนพิเศษและทำตัวหยิ่งยโสนักเลย พวกท่านก็เพียงแค่ใจดีมีเมตตาจึงยื่นมือมาช่วยเหลือเจ้าที่นอนข้างถนนอย่างน่าสมเพช เจ้าคิดว่าท่านเซียนผู้หล่อเหลาและมีเมตตาเหล่านั้นจะหลงเสน่ห์เจ้าแล้วรับเจ้าไปเป็นภรรยารึ?ฝันสูงนัก! หากท่านเซียนอยากพาเจ้ากลับไปด้วยคงไม่ฝากให้เจ้าทำงานที่โรงเตี๊ยมหรอก” ผู้หญิงเป็นเพศที่พูดมากและบ่นยาวที่สุด ฟางเซียนไม่ขอเถียงเพราะตอนนี้นางฟังจนคันหูไปหมดแล้ว
“พูดจบแล้วก็กลับไปซะ” ฟางเซียนโบกมือไล่อย่างไม่สะทกสะท้านกับคำด่า
“เจ้า!” คุณป้ากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด “ได้! ข้าจะไปอย่าได้มาคุกเข่าขอเงินทีหลังล่ะเพราะไม่มีใครอยากให้เงินกับคนน่ารังเกียจเช่นเจ้า!”
สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ยอมถอยกลับไป ฟางเซียนยินดีอย่างยิ่งเพราะนางง่วงจนตาแทบปิดอยู่แล้ว นางปิดประตูบ้านสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงไม่ได้ตระหนักถึงสายตาไม่น่าไว้วางใจของใครบางคนที่จ้องมองเข้ามาในบ้านของนาง
ฟางเซียนเดินหน้าง่วงกลับเข้าบ้านโดยตั้งใจว่าจะกลับไปนอนต่อให้เต็มอิ่ม แต่เมื่อกลับหันหลังนางก็ต้องหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจเพราะนางเพิ่งรู้ตัวว่ามีนกยูงตัวหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังของนางอยู่สักหนึ่งแล้ว
ลู่เหลียนจ้องมองฟางเซียนด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกและเหลือบสายตาไปมองทิศทางที่ผู้หญิงปากมากคนนั้นเดินจากไป ดูจากปฏิกิริยานี้ฟางเซียนก็เข้าใจทันทีว่าเขาได้ยินสิ่งที่คุณป้าคนนั้นพูดและมีความสงสัย
“อย่าไปใส่ใจ ยายเฒ่านั่นก็แค่พวกน่ารำคาญชอบรบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนอื่น” ฟางเซียนบอกปัดอย่างไม่สนใจพลางหาวปากกว้างอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ ลู่เหลียนกะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะเลิกสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ฟางเซียนกลับไปนอนต่อแล้วและแน่นอนว่าลู่เหลียนไม่ทำอย่างนั้น เขาเป็นเด็กที่มีความขยันขันแข็งมาก ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงใช้เวลาว่างไปกับการดูดซับพลังปราณเพื่อเพิ่มระดับพลังปราณของตัวเอง
[ลูกศิษย์มีความขยันหมั่นเพียรมากขนาดนี้ อาจารย์อย่างคุณอย่าขี้เกียจแบบนี้สิครับ] ระบบได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฟางเซียนลุกออกจากเตียงเพราะว่าโรคซึมเศร้าไม่สามารถรักษาได้โดยการนอน!
ระบบห้ามฆ่าตัวตายมีหน้าที่ห้ามไม่ให้โฮสต์ฆ่าตัวตายและมอบภารกิจรักษาสมดุลของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาอาการอยากฆ่าตัวตายของโฮสต์ด้วย
อาการอยากตายและนอนมากเกินไปของฟางเซียนเกิดมาจากโรคซึมเศร้าอย่างแน่นอน ต้นเหตุของภาวะซึมเศร้าของฟางเซียนนั้นเกิดจากการสูญเสียน้องสาวที่เปรียบเสมือนเป้าหมายชีวิตไป วิธีการรักษาก็คือการทำให้ฟางเซียนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในแต่ละวันอย่างเช่นการมีเป้าหมายในชีวิต อย่างน้อยในหนึ่งวันฟางเซียนควรมีสิ่งที่อยากทำอย่างหนึ่งเพื่อกระตุ้นให้ใช้ชีวิตและเป็นการฟื้นฟูสภาพจิตใจ
แต่การที่จะทำให้ฟางเซียนลุกจากเตียงขึ้นมาทำกิจกรรมเป็นเรื่องที่ยากมาก
ฟางเซียนยังคงหลับสนิทแม้ว่าจะมีใครบางคนแอบย่องเข้ามาบ้านและลักพาตัวลู่เหลียนก็ตาม...
ระบบดาวน์โหลดเสียงสองวินาที [คุณฟางเซียน! ลู่เหลียนถูกลักพาตัวไปแล้วครับ!]
ระบบตะโกนและเปิดเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ให้มันดังก้องเข้าไปในหัวของฟางเซียน ฟางเซียนถึงกับสะดุ้งตื่นจากความฝันแต่ก็ไม่ยอมลุกออกจากเตียง
“ช่างมันสิ” ฟางเซียนยกมือปิดหูทั้งสองข้างและทำท่าจะนอนต่อ
[ช่างมันได้ยังไงกันครับ! ลูกศิษย์ของคุณถูกลักพาตัวเชียวนะ คนที่ลักพาตัวเขาไปต้องไม่ใช่คนดีแน่!] ระบบกล่าวเสียงเครียด ฟางเซียนขมวดคิ้วนึกลังเลว่าจะไปดีหรือไม่
ในตอนนั้นเองมันก็ได้มีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องนอนของฟางเซียน ดูจากกระบี่ที่พวกมันถือมาด้วยก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้มาดี ฟางเซียนเหลือบมองทางหางตาและนั่งนิ่งแม้ว่ากระบี่กำลังจะพุ่งเข้ามาหาก็ตาม แต่ก่อนที่จะถูกกระบี่ปลิดชีพร่างกายของฟางเซียนก็กลิ้งตัวหลบคมกระบี่ด้วยตัวเอง
[ผมน่าจะบอกคุณไปแล้วนะครับว่ากฎห้ามฆ่าตัวตายจะทำงานทันทีเมื่อคุณจะฆ่าตัวตาย การไม่ทำอะไรเลยทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกจู่โจมมันก็ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายเช่นกัน กฎห้ามฆ่าตัวตายจึงทำงาน] ระบบกล่าว
ฟางเซียนปลงตกแล้ว นางเหม่อมองเพดานห้องขณะที่ร่างกายขยับหลบการโจมตีของผู้บุกรุกทั้งหลาย ฟางเซียนนึกรำคาญจึงตีพวกเขาให้สลบทั้งหมด
[คุณฟางเซียน ผมทราบแล้วว่าลู่เหลียนถูกลักพาตัวไปไหน รีบตามไปช่วยเขากันเถอะครับ] ระบบเร่งเร้าให้ฟางเซียนตามไปช่วยตัวร้ายในอนาคต [ผมขอมอบภารกิจช่วยเหลือลู่เหลียนจากตาแก่มากตัณหา รางวัลเป็นแต้มลบ โชครอดตายจากการถูกฆ่า 10,000 แต้ม]
อาการเหม่อลอยของฟางเซียนหายไปทันตาก่อนที่นางจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปช่วยลู่เหลียนกันเถอะ”
ระบบ [...]
รู้อย่างนี้น่าจะนำแต้มลบมาหลอกล่อตั้งแต่แรก
แม้จะถูกลักพาตัวลู่เหลียนก็ยังคงไว้ซึ่งท่าทีนิ่งสงบ ไม่ยอมเผยท่าทีอ่อนแอออกมา
“งดงาม!ช่างเป็นนกยูงที่งดงามนัก! วิเศษยิ่งที่ข้าได้ครอบครองเจ้า!” ชายแก่กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขามองลู่เหลียนด้วยสายตาแห่งตัณหาน่ารังเกียจ
ลู่เหลียนไม่เข้าใจสายตานั่น ทว่าสัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันไม่ใช่สายตาที่ดี เขามองชายแก่ด้วยสายตาหวาดระแวงและพยายามถอยห่าง เขาถูกพาตัวมายังจวนแห่งหนึ่งโดยที่ไม่เต็มใจ เขาพยายามสู้แล้วแต่ด้วยขนาดตัวและประสบการณ์เขาจึงไม่สามารถขัดขืนได้
แม้จะดูไม่เอาไหนแต่ชายแก่ตรงหน้าลู่เหลียนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกันและอยู่ในระดับสูงกว่าลู่เหลียนอยู่หนึ่งขั้น
แต่ทว่าลู่เหลียนก็ไม่คิดยอมแพ้ เขารวบรวมพลังปราณและจู่โจมอีกครั้ง
“อย่าได้เสียแรงเปล่า เจ้าไม่สามารถขัดขืนข้าได้หรอก” ชายแก่หลบการโจมตีและคว้าแขนของลู่เหลียนไว้จากนั้นเขาก็ได้นำปลอกคอซึ่งมีคุณสมบัติปิดกั้นการใช้พลังปราณออกมาและบังคับให้ลู่เหลียนสวมมัน
ลู่เหลียนพยายามดิ้นหนีเพื่อหลบหนี แต่สุดท้ายก็ถูกสวมปลอกคอปิดกั้นการใช้พลังปราณอีกครั้ง เมื่อใช้พลังปราณไม่ได้เขาก็ไม่สามารถที่จะสู้แรงของชายแก่คนนี้ได้อีกแล้ว
“เจ้ากลายเป็นของข้าแล้ว” ชายแก่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มน่ารังเกียจ
ชายแก่ได้ลากลู่เหลียนเข้าไปในห้องนอนตนและกดร่างของเด็กชายลงบนเตียง ชายแก่เลียปากพลางลูบไล้ขาอ่อนของเด็กชาย สัมผัสน่ารังเกียจทำให้ลู่เหลียนเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ในขณะนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฟางเซียน
“ไม่มีอะไรต้องกลัว ข้าจะดูแลเจ้าเอง” ชายแก่หัวเราะเมื่อเห็นดวงตาสีแดงที่สั่นไหว มันน่ารังแกเสียจริง...
ลู่เหลียนพยายามขยับหนีออกจากเตียง แต่ขาของเขากลับถูกจับไว้ได้และร่างของเขาก็ถูกลากไปอยู่ใต้ร่างของชายแก่มากตัณหา
“ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่ที่โรงประมูลแห่งนั้นแล้ว ทว่าเจ้ากลับถูกประมูลไปโดยคนอื่น แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้ตัวเจ้ากลับมาง่ายเช่นนี้” ชายแก่เอ่ยพลางเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย ลู่เหลียนคล้ายได้กลิ่นเหม็นสาบ เขาเบือนหน้าหนีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่...” ลู่เหลียนเปล่งเสียงอันไพเราะของเขาออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวด้วยความกลัว เขาไม่อาจเก็บสีหน้าหวาดผวาของตัวเองได้อีกแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีแต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงแค่เด็ก
“มาสนุกกับข้าดีกว่า” ชายแก่เอ่ยพลางดึงเสื้อของลู่เหลียนออกจนเผยให้เห็นร่างกายผอมบางแต่มีผิวขาวและเนียนนุ่ม
ชายแก่เริ่มลูบไล้อย่างพอใจ ลู่เหลียนมีเพียงความรู้สึกรังเกียจจึงเบือนหน้าหนี เขาพยายามที่จะไม่มองสีหน้าที่น่าขนลุกของชายแก่ ทันในนั้นเองเขาก็ได้บังเอิญหันไปเห็นใครบางคนยืนอยู่บนกำแพงนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมีประกายความหวังเมื่อพบว่าคนคนนั้นคือฟางเซียน ผู้เป็นอาจารย์ของเขา
เขาอ้าปากเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเขาได้เห็นฟางเซียนยืนกอดอกและมองเขาด้วยสายตาเย็นชามันก็ได้ทำให้ลู่เหลียนรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวและรู้สึกสิ้นหวัง ท่าทีของฟางเซียนเหมือนกับว่าจะไม่มาช่วยเหลือเขา มือที่พยายามยื่นออกไปขอความช่วยเหลือตกลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
นางไม่ต้องการที่จะช่วยเหลือเขา...
เสื้อผ้าของเขาถูกถอดจนถึงช่วงล่าง ผู้ที่เฝ้ามองอยู่บนกำแพงก็ยังคงไร้ความเคลื่อนไหว ลู่เหลียนจึงได้ทราบแน่ชัดแล้วว่านางจะปล่อยให้เขาถูกขืนใจจริงๆ
ลู่เหลียนได้แต่กัดปากตัวเองอย่างเจ็บแค้นและยอมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดสะอื้นออกมาในขณะที่พยายามต่อสู้ขัดขืนชายแก่ด้วยตัวเอง ในเมื่อไม่มีใครช่วยเหลือ เขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น!
[คุณฟางเซียน! เข้าไปช่วยเขาสิครับ! ตัวร้ายจะสูญเสียความบริสุทธิ์แล้ว!] ในขณะนั้นเองระบบห้ามฆ่าตัวตายก็กำลังกรีดร้องเสียงหลงในหัวฟางเซียนคล้ายกับคนสติแตก
ฟางเซียนนิ่งเงียบแต่คิ้วของนางขมวดเป็นปม นางไม่เข้าไปช่วยเพราะหวังให้เด็กคนนั้นรู้สึกโกรธแค้นในตัวนาง แต่เมื่อเห็นเด็กถูกลวนลามทางเพศแบบนี้มันทำให้นางรู้สึกไม่ดีเลย นางจึงต้องเลือกระหว่างไม่เข้าไปช่วยเพื่อให้ลู่เหลียนเคียดแค้นและกลับมาฆ่านางในภายหลังหรือจะเข้าไปช่วยเพื่อรักษาหัวใจของเด็กที่ไร้เดียงสาและใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง...
ฟางเซียนถอนหายใจ ถึงนางจะอยากตายมากก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่านางจะทนเห็นเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ได้
“ตาแก่มากตัณหา นั่นลูกศิษย์ข้าไม่รู้รึไง” ฟางเซียนบุกเข้าไปในห้องของชายแก่คนนั้นและกล่าวทักทาย นางจำได้ว่าชายแก่คนนี้ก็คือชายแก่ในโรงประมูลที่นั่งอยู่ข้างหน้านางในวันนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรามือจากนกยูงตัวงามจึงกล้าวางแผนลักพาตัวแบบนี้
“เจ้า! ...” ไม่ปล่อยให้ตาแก่มากตัณหาเอ่ยต่อฟางเซียนก็ซัดพลังไปที่ตัวชายแก่อย่างแรง ซึ่งการซัดพลังเพียงครั้งเดียวของนางก็ได้ทำให้ชายแก่คนนั้นตายคาที่ทันที ฟางเซียนแอบใจหายกับการฆ่าคนครั้งแรก แต่ก็รีบปัดผ่านไม่สนใจและหันไปหาลู่เหลียนที่กำลังกอดตัวเองด้วยตัวที่สั่นเทา
ทั้งที่ตอนถูกจับใส่กรงขายก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้เลยแท้ๆ
“อย่าเข้ามานะ!” เมื่อฟางเซียนเดินเข้าไปหาลู่เหลียนก็ตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัวและโกรธแค้น ฟางเซียนรู้สึกยินดีที่ลู่เหลียนแสดงความโกรธแค้น แต่นางก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ นางสร้างบาดแผลในใจให้เขาซะแล้ว...
“อยากอยู่ที่นี่ต่อรึไง” ฟางเซียนกล่าวเสียงเรียบ นางเข้าไปใกล้ร่างของเด็กชายและสัมผัสปลอกคอบนคอของลู่เหลียน จากนั้นนางก็ปลดมันออกอย่างง่ายดาย
ลู่เหลียนรู้สึกตัวเบาขึ้นเมื่อปลอกคอถูกปลดออกไป เขาเงยหน้ามองฟางเซียนอย่างไม่แน่ใจ
“กลับกันเถอะ” ฟางเซียนอุ้มร่างของลู่เหลียนมาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจท่าทีขัดขืนของลู่เหลียน ถึงเขาจะพยายามผลักไสนางฟางเซียนก็ยังคงกอดเขาไว้แนบอกและลูบหลังของเขาเล็กน้อยเพื่อปลอบโยน
เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างเล็กของลู่เหลียนสั่นเทาฟางเซียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด นางอดทนที่จะไม่กล่าวคำปลอบโยนและปล่อยให้ลู่เหลียนสงบลงด้วยตัวเอง
ระหว่างที่ฟางเซียนใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับบ้าน อารมณ์ของลู่เหลียนก็เริ่มสงบลง แม้จะยังอยู่ในช่วงอารมณ์โกรธเคืองฟางเซียนแต่ลู่เหลียนก็ต้องยอมรับว่าตัวเองชอบอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นของสตรีใจร้ายผู้นี้ กลิ่นของนางทำให้เขารู้สึกปลอดภัยแตกต่างจากกลิ่นที่น่ารังเกียจของชายแก่คนนั้นที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ลู่เหลียนจับยึดเสื้อของฟางเซียนไว้แน่นและซุกหน้าลงบนไหล่ของนาง
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 1.1 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที ฟางเซียน มีความหมายว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม มันคือชื่อเล่นภาษาจีนที่แม่ของนางตั้งให้เพราะแม่ของนางเป็นชาวจีน แต่เนื่องจากว่าพ่อของนางเป็นชาวไทยดังนั้นฟางเซียนจึงอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เกิดกับพ่อแม่และน้องสาว พวกเราดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นทั่วไปจนกระทั่งแม่ของนางจับได้ว่าพ่อแอบมีผู้หญิงคนอื่น แม่ของนางพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมเพราะเห็นแก่นางที่เพิ่งมีอายุเจ็บขวบและน้องสาวของนางที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่แล้วพ่อของนางก็ทิ้งครอบครัวไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก แม่ของนางจึงตัดสินใจพาพวกนางสองพี่น้องกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศจีน แต่เพราะแม่ของนางถูกตัดขาดออกจากตระกูลแล้วพวกเราสามแม่ลูกจึงต้องไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แม่ของนางต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงนางและน้องสาวจนกระทั่งแม่ของนางพบรักครั้งใหม่กับผู้ชายคนหนึ่ง มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นที่แม่หลงรักไม่ต้องการลูกติด ดังนั้นแม่ของนางซึ่งเหนื่อยกับการเลี้ยงดูนางและน้องจึงตัดสินใจทิ้งพวกนางที่เป็นเหมือนภาระและไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก
บทที่ 1.2 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีราชันมังกรทองสยบนภา คือนิยายแนวผจญภัยในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนและมารเรื่องหนึ่งที่ยาวมากอธิบาย ‘มาร’ และ ‘เซียน’ ก็คือมนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรตบะเพื่อให้ได้รับพลังมา ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันแค่ มารจะฝึกวิชาสายชั่วร้ายและดูดซับปราณสีดำ ฝ่ายเซียนก็จะฝึกในเส้นทางตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าเส้นทางคนดี๊ดี ดูดซับแค่ปราณขาวสะอาด ส่วน ‘ปีศาจ’ และ ‘เทพ’ ก็คือเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายแน่นอนว่าสูตรโกงของพระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ ก็คือการที่ได้เกิดเป็นมังกรทองเผ่าเทพ จ้าวหลงเทียน คือชื่อของเขา ตำแหน่งของเขาในพิภพเทพค่อนข้างสูงส่งเพราะมังกรทองมีไม่มากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งจ้าวหลงเทียนเหมือนจะเบื่อการเป็นเทพหรืออะไรก็ไม่รู้เขาได้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนพิภพมนุษย์เรื่องราวนิยายเริ่มต้นตรงนั้นเนื่องมาจากว่านิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เป็นนิยายแนวฝึกฝนพลังและออกไปวิ่งไล่ตบตัวร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้อ่านจึงจะได้พบแค่เพียงการต่อสู้ของพระเอกและตัวร้ายจนดูน่าเบื่อหน่าย แต่จุดขายอย่า
บทที่ 2.1ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเองแม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำแต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว
บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นพิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอดมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพี
บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข