บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปพื้นที่รอบเมืองเหยียนเป็นหุบเขามีภูเขาและเทือกเขาสูงใหญ่มากมาย การจะสร้างบ้านบนภูเขาสักลูกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เพราะฟางเซียนอยากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบนางจึงยอมจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่อั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เงินของนางอยู่แล้ว ทางด้านผู้รับเหมาก่อสร้างยินดีให้บริการอย่างยิ่งเมื่อได้รับเงินมากมาย พวกเขาสัญญาว่าจะเร่งมือแต่คาดว่าการก่อสร้างคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ในขณะที่รอให้บ้านสร้างเสร็จฟางเซียนและลู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวและในระหว่างนั้นลู่เหลียนก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและเขียนยันต์ สำหรับมารหรือเซียนมือใหม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนยันต์เพราะการจะใช้คาถาจำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลู่เหลียนจำเป็นต้องอ่านและเขียนตัวอักษรให้ได้ทุกตัว แน่นอนว่าคนที่จะสอนลู่เหลียนอ่านเขียนจะต้องเป็นฟางเซียน แม้ว่าลายมือของฟางเซียนจะแย่สักหน่อยเพราะนางไม่คุ้นเคยกับการใช้พู่กัน แต่อย่างน้อยลู่เหลียนก็สามารถเขียนออกมาได้สวยงามตามตำราเพราะหากเขา
บทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตายฟางเซียนต้องการค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายและปีศาจกินคน แต่ระบบก็แย้งว่าถึงนางจะค้นพบลัทธิฆ่าตัวตายนางก็คงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อยู่ดีและถึงจะเจอปีศาจกินคนนางก็ไม่มีทางถูกกินเช่นกันเพราะโชคอันเหลือล้นของนางเอง แต่ฟางเซียนก็อยากลองออกไปค้นหาดูเผื่อจะโชคดีเจอคนพวกนั้นเข้า แต่สุดท้ายนางก็ไม่พบและต้องกลับบ้านบนภูเขาเฮยอั้นพร้อมกับความผิดหวัง “ทำไมความตายถึงได้หายากอย่างนี้!” ฟางเซียนบ่น ลู่เหลียนวางหนังสือที่กำลังอ่านลงและแอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อฟางเซียนบ่นถึงความตายมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในใจจนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือเลย “ลู่เหลียน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งแล้วมาสังหารข้า? ข้าเลี้ยงดูเจ้าเพราะอยากให้เจ้าแข็งแกร่งเหนือทุกคนและมาสังหารข้า หากเจ้าไม่สามารถทำได้ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ฟางเซียนกล่าวออกมาเสียงเรียบและเย็นชา [คุณทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะครับ] ระบบหัวเราะ ฟางเซียนทำหน้าบึ้งตึง นางรู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไม่ได้ นางพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากกดดันลู่เหลียนเท่านั้นเอง หากเด็กคนนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากน
บทที่ 6 สุสานอาวุธสุสานอาวุธมีชื่อเสียงในด้านความอันตรายมาก เนื่องจากว่าที่นั่นมีอาวุธอันตรายรวมกันอยู่มากมาย เมื่อความชั่วร้ายของพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจึงสามารถสร้างหมอกพิษมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบได้ อีกทั้งมันยังสามารถดึงดูดสัตว์อสูรอันตรายได้อีกด้วย สุสานอาวุธจึงกลายเป็นเหมือนสถานที่รวมตัวของสัตว์อสูรอีกด้วย แต่เพราะมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสมบัติและอาวุธวิเศษ เหล่านักล่าสมบัติผู้โลภมากทั้งหลายจึงเดินทางเข้าไปในสุสานแห่งนั้นไม่หยุดหย่อน แต่ผู้คนส่วนมากที่เข้าไปในนั้นมักจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์อสูรหรือไม่ก็พิษที่อยู่โดยรอบสุสานอาวุธ หรือบางครั้งพวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าโดยอาวุธชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ที่นั่น แต่ถึงจะมีผู้คนมากมายตายที่นั่น นักล่าสมบัติก็ยังคงเข้าไปในสุสานอาวุธอย่างไม่กลัวตายอยู่ทุกวัน เมืองซู ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับสุสานอาวุธมากที่สุดจึงมักจะถูกใช้เป็นสถานที่แวะพักของเหล่านักล่าสมบัติ มันจึงไม่แปลกที่เมืองซูจะพลุกพล่านและคึกคักไปด้วยผู้คนอยู่ทุกวันและฟางเซียนและลู่เหลียนก็ได้เดินทางมาถึงเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ฟางเซียนเดินทางมาที่นี่ก็เพราะภารกิจจากระบ
บทที่ 7.1 เทพมังกรทอง[ยินดีด้วย ภารกิจตามหาอาวุธของลู่เหลียนและของคุณเองสำเร็จแล้ว รวมรางวัลแต้มลบได้ 1,600 แต้ม แต่เนื่องจากคุณไม่มีความรอบคอบจึงทำให้ลู่เหลียนบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงขอมอบบทลงโทษให้กับคุณนั่นก็คือโชคป้องกันการบาดเจ็บ เมื่อโชคป้องกันการบาดเจ็บเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แบบไหนคุณก็จะถูกโชคช่วยเหลือไว้ไม่ให้ได้บาดเจ็บเสมอ] เมื่อฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมาระบบฆ่าตัวตายก็รีบประกาศทันทีราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก ฟางเซียนแทบสบถคำหยาบออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด ฟางเซียนไม่อยากตื่นเพราะเสียงน่ารำคาญและน่าโมโหของระบบห้ามฆ่าตัวตายนี่แหละ พอได้ยินแล้วมันทำให้นางอยากจะหลับไม่ตื่นไปเลย แต่เพราะนางรู้สึกไม่สบายตัวจากบาดแผลเมื่อวานจึงข่มตาหลับต่อไปไม่ลง แม้ว่าขณะนี้บาดแผลบนไหล่ซ้ายของนางจะถูกรักษาด้วยคาถาเวทรักษาของจ้าวหลงเทียนแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียจากการได้รับพิษจากหมอกพิษนั่น ความจริงแล้วนางไม่ได้รับยาถอนพิษแต่อย่างใด แต่ที่รอดมาได้ก็เป็นเพราะว่าระบบยัดเยียดวิธีขับพิษออกจากร่างกายด้วยการโคจรพลังปราณนั่นเอง กฎห้ามฆ่าตัวตายก็ดีเยี่ยมเสีย
บทที่ 7.2 เทพมังกรทอง“เพิ่มไฟแรงกว่านี้ได้ไหมนะ จะได้สุกเร็วขึ้น” [ไม่ได้แน่นอนครับ! คุณคิดจะต้มตัวเองให้สุกรึไง] แม้แต่ตอนแช่น้ำร้อนฟางเซียนก็ไม่วายคิดหาทางฆ่าตัวตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายล่ะเหนื่อยใจจริงๆ เนื่องจากว่าหลังจากกลับมาถึงบ้านบนภูเขาเฮยอั้นฟางเซียนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในบ้านของนางมีบ่ออาบน้ำอยู่ด้วย นางก็เลยมาแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย แต่พอแช่ไปได้สักพักนางก็มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยการต้มตัวเองในน้ำร้อนเพราะว่านางควบคุมความร้อนของน้ำในบ่ออาบน้ำได้ด้วยการใช้พลังปราณสร้างเปลวไฟไว้ใต้น้ำได้ตามใจชอบ นางจึงมีความคิดว่าถ้าเพิ่มความร้อนอีกหน่อยตัวเองอาจจะสุกก็ได้ ใช้เวลาอยู่นานในการนั่งใคร่ครวญ ขณะเดียวกันนางก็มองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้น้ำในบ่ออาบน้ำ เปลวไฟนั่นไม่มีทางดับมอดหากว่านางไม่ต้องการ และหากว่านางต้องการให้มันลุกไหม้มากกว่านี้ก็ทำได้ แต่กฎห้ามฆ่าตัวตายคงไม่ต้องการให้นางทำอย่างนั้น มันน่าเสียดายจริงๆ [หยุดหาวิธีฆ่าตัวตายได้แล้วครับ คุณควรเอาเวลามาทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ให้แต้มลบกับคุณ] ระบบเอ่ยเสียงดุ [คุณรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์ของคุณน่ะมีคว
บทที่ 8.1 เส้นทางแห่งความตายย่อมมีอุปสรรคสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดรุนแรงและหนาวเย็น ทว่าเมืองเหยาก็ยังจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาล หน้าร้านและหน้าบ้านตามถนนเส้นหลักทั้งสายถูกประดับตบแต่งด้วยโคมไฟสีสันสดใส และตามถนนทุกสายก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายของและมีนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่หนาตาตลอดเส้นทาง มันแลดูเสียงดังและวุ่นวายไม่น้อย เนื่องมาจากว่าเจ้าเมืองของเมืองเหยาชื่นชอบงานเทศกาลและงานสังสรรค์ทุกประเภท เจ้าเมืองเหยาจึงมักจะจัดงานรื่นเริงแทบทุกวันจนในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายและมีสีสันสดใสเช่นนี้แทบตลอดเวลา และเพราะเหตุนี้เองคนต่างเมืองจึงชอบเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่และทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย มันจึงแลดูวุ่นวายหนักกว่าเดิม ข้อดีเพียงอย่างเดียวของความวุ่นวายนี้ก็คือชาวบ้านในเมืองมีรายได้ทุกวันจนแทบร่ำรวย พากันร่ำรวยจนแทบกลายเป็นเศรษฐีก็ดีไม่น้อย แต่ก็จะต้องทำงานในเมืองอันแสนวุ่นวายจนแทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเจ้าเมืองรู้สึกปลื้มใจไม่น้อยที่ชาวเมืองของตนขยันขันแข็งถึงเพียงนี้ “ดี! ดี! เมืองของข้าคึกคักยิ่งนัก แขกผู้เยี่ยมชมเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นนี้ไม่มีทางที่เมืองเหยาขอ
บทที่ 8.2 เส้นทางแห่งความตายย่อมมีอุปสรรคณ ภูเขาเฮยอั้น ในช่วงฤดูร้อนป่าบนภูเขาล้วนอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเสียงของนก เสียงของลำธาร เสียงของใบไม้ที่กระทบกัน และเสียงของสายลม ทุกเสียงล้วนเป็นเสียงของธรรมชาติ มันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้อย่างดีแต่ภายใต้เสียงของธรรมชาติที่ขับร้องผสานกันราวกับเสียงเพลงก็ได้มีเสียงฝีเท้าของคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็คือ นักฆ่า ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาลอบสังหารคนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนภูเขาเฮยอั้น เพราะเงินตอบแทนดีมากพวกเขาจึงไม่มีทางพลาดงานนี้อย่างแน่นอนและเมื่อพวกเขามาถึงบ้านท่ามกลางป่าธรรมชาติเพียงหลังเดียวบนภูเขาพวกเขาก็ส่งสัญญาณมือให้กันและเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบมากขึ้น พวกเขาเฝ้าสังเกตเป้าหมายก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งเป้าหมายก็คือหญิงสาวรูปโฉมงดงาม แม้จะเสียดายความงามนั่นไม่น้อยแต่พวกเขาก็ต้องทำงานให้เสร็จสิ้นทว่ายังไม่ทันที่เหล่านักฆ่าจะได้ลงมือ เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ราวกับเด็กสาวก็ได้ปรากฏตัวและจัดการสังหารนักฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยกระบี่เคลือบพิษ“เจ้า!...” ยังไม่ทันที่นักฆ่าคนนั้นจะได้พูดต่อเขาก็ถูกสังหารด้วยกระบี่เคลือบพิษอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
บทที่ 9.1 ลูกศิษย์คนใหม่ณ ห้องพักส่วนตัวของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองเฉิน “ปลดผนึกเสีย” ฟางเซียนออกคำสั่ง “ไม่ขอรับ” ลู่เหลียนปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ลู่เหลียน!” ฟางเซียนตะโกนเรียกชื่อของลูกศิษย์ตัวดีด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ขอรับ!” แม้ว่าตอนนี้ฟางเซียนจะดูโกรธมาก แต่ลู่เหลียนก็ตอบรับเสียงหนักแน่นอย่างไร้ท่าทีหวาดกลัว ฟางเซียนโกรธมากจนอยากจับลูกศิษย์คนงามที่ไม่ยอมเชื่อฟังมาตีสักครั้ง เขาแอบปิดผนึกกระบี่ของนางและไม่ยินยอมปลดผนึกแม้ว่านางจะออกคำสั่งก็ตาม ไหนกันลูกศิษย์ที่เชื่อฟังอาจารย์ทุกอย่าง? มีแต่นกยูงจอมดื้อดึงเท่านั้นแหละ! “อย่าให้ข้าใช้กำลังลู่เหลียน!” ฟางเซียนจ้องตาของเขาเพื่อกดดัน ลู่เหลียนส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะถามว่า “ทำไมท่านอาจารย์ไม่ปลดผนึกเองล่ะขอรับ? ผนึกเพียงเท่านั้นไม่น่าจะคณามือของท่านนี่ขอรับ” ทันใดนั้นใบหน้าของฟางเซียนก็หม่นหมอง ให้นางปลดผนึกเองงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้เลยเพราะตอนนี้แม้แต่โคจรพลังปราณนางก็ยังทำไม่ได้เลย บางครั้งกฎห้ามฆ่าตัวตายก็ทำมากเกินไป ปิดกั้นพลังปราณของนางทุกจุดราวกับกลัวว่าหากปราณมารของนางรั่วไหลออกมาเพียงแค่นิดเดียวนางก็จะตาย ซึ่งมันไม่มีท
ตอนพิเศษ ลู่เหลียนกับความฝัน ลู่เหลียนเฝ้ารอ เฝ้ารอมาหลายปี ณ ทางเข้าปรโลก แต่แล้วเขาก็ไม่พบสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดหลายปี หลายคนบอกให้เขาตัดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถที่จะลืมฟางเซียนไปได้ เขาจึงตัดสินใจฝึกฝนตัวเองอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาลืมเวลาได้รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว เขาเติบโตเต็มวัยแล้วและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เขาจึงสร้างพรรคมารขึ้นมาเพื่อเผยแพร่วิชามารที่ฟางเซียนเคยบอกในทำก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่ปรโลก แต่ลู่เหลียนไม่ได้สนใจพรรคมารที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมามากนัก ส่วนมากเขาจะยกให้ซงเลี่ยงจินจัดการทุกอย่างแบบไม่สนใจไยดีระหว่างที่ซงเลี่ยงจินต้องหัวหมุนกับงานเขาก็จะไปอาละวาด ใช่แล้ว เขาอาละวาดกับเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ เขาเกลียดเผ่าเทพมากจึงตามสังหารเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ทั้งหมด นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับเผ่าเทพ แต่ลู่เหลียนก็หาสนใจไม่เขาอาละวาดต่อไปจนมีแข็งแกร่ง
ตอนพิเศษ นิทานเจ้าหญิง***เนื่องมาจากว่ามีคนถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ว่าทำไมฟางเซียนในชาติก่อนฆ่าตัวตาย ตอนพิเศษสั้นๆ ฉบับนิทานจึงถือกำเนิดกาลครั้งหนึ่ง ณ โลกสีเทา ภูตหนุ่มได้พบกับเจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ เขาได้พาเธอออกมาจากโลกสีเทาไปยังโลกใบใหม่โลกใบใหม่สวยงามแต่ทว่ามันกลับกำลังล่มสลายและกลายเป็นเหมือนโลกสีเทาที่เธอจากมา ภูตตนนั้นจึงขอให้เธอช่วยเหลือโลกใบนี้เจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ราวกับได้พบเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเธอ เธอจึงยอมตอบรับคำขอของภูตตนนั้นอย่างง่ายดายเจ้าหญิงช่วยเหลือผู้คนและโลกใบใหม่นี้ด้วยความรู้สึกมีความสุขจากใจจริง นั่นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีประโยชน์ ผู้ที่มีประโยชน์เท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับ เธอเชื่อมั่นอย่างสุดใจนั่นทำให้เธอมีความสุขมากที่ตนเองมีประโยชน์ต่อทุกคนและได้รับการยอมรับเจ้าหญิงทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ
บทส่งท้ายหลังจากหนังสือสัญญายุติสงครามระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรสายมารและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนถูกเขียนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ปัญหาระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรบนพิภพมนุษย์ก็ลดน้อยลงและเมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะสงบลู่เหลียนก็ไม่ลังเลที่จะจัดงานแต่งงานของเขากับฟางเซียนขึ้นมาลู่เหลียนได้จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตแต่ไม่มากพิธีเพราะหลังจากคำนับฟ้าดินแล้วลู่เหลียนก็ลากฟางเซียนเข้าห้องหอทันทีโดยไม่คิดจะส่งแขกก่อน ฟางเซียนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ“ข้าเพียงแค่อยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าท่านคือภรรยาของข้าเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ท่านจะต้องเปิดเผยความงามของท่านให้คนพวกนั้นเห็น” ลู่เหลียนว่ามาอย่างนั้น“เจ้าไม่คิดจะให้ข้าออกไปพบปะผู้คนหรืออย่างไร” แม้ว่าฟางเซียนจะบ่นไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายนางก็ชอบนอนเล่นอยู่ในห้องมากกว่าออกไปข้างนอกอยู่ดี เพราะในช่วงที่นางอยากฆ่าตัวตาย นางมักจะหมกตัวอยู่ในบ้านจนมันก
บทที่ 21 ค่ำคืนแรกอันร้อนแรง หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากต้นไม้แห่งหายนะถูกโค่นล้ม กองทัพปีศาจก็กลับพิภพปีศาจ กองทัพเทพก็กลับพิภพเทพ กองทัพเทพที่มาพิภพมนุษย์เพื่อต่อสู้กับพรรคมารข่งเชวียก็กลับไปเช่นกัน ส่วนพรรคมารข่งเชวียและสำนักเซียนทั้งหลายบนพิภพมนุษย์ก็สงบศึกกันชั่วคราวเพราะสูญเสียกำลังรบไปมากจากการโจมตีของต้นไม้แห่งหายนะ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงทำสงครามเย็นใส่กัน เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียมากกว่านี้จ้าวหลงเทียนจึงไปพบทั้งสองฝ่ายเพื่อเจรจาสงบศึกและเสนอให้ทั้งสองฝ่ายทำสัญญาปรองดองกัน เนื่องจากว่าผู้นำฝ่ายเซียนอย่างฮุ่ยหวงตายไปแล้วฝ่ายเซียนจึงยอมสงบศึกแต่โดยดี แต่ลู่เหลียนกลับไม่ยอมสงบศึกโดยง่าย เขาให้เหตุผลว่าฝ่ายมารเป็นฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเซียนที่เป็นฝ่ายเริ่มสงครามจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝ่ายมารก่อนเขาจึงจะยอมสงบศึกแต่โดยดี จ้าวหลงเทียนพยายามเป็นตัวกลางเจรจากับลู่เหลียนและฝ่ายเซียนอยู่นานจนกระทั่งฝ่ายเซียนยอมชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินทอง ทรัพยากรทางธรรมชาติหรือก็คือดินแดน และสัญญาการซื้อขายสินค้าด้วยเพราะการปิดเขตแดนของพรรคข่งเชวียทำให้ชาวบ้านขาดแคลนอะไรหลายอย่าง การติดต่อซื้อขายสินค้าจากนอกด
บทที่ 20.2 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกระบบนำทางสู่ความตายทราบดีว่าถ้าหากมันปะทะกับลู่เหลียนและหมิงหยู มันจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะมันจะสูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป ถ้าหากมีพลังวิญญาณน้อยเกินไปแกนวิญญาณก็จะได้รับความเสียหายได้ง่ายมากขึ้น มันจึงควรประหยัดพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุดและเพื่อการนั้นมันจึงทำให้ฮุ่ยหวงหลุดออกจากผนึกน้ำแข็งของฟางเซียนและสิงร่างของฮุ่ยหวงเพื่อดึงพลังของฮุ่ยหวงมาใช้แทนพลังวิญญาณที่กำลังร่อยหรอของตัวเองและเพื่อลดผลกระทบจากการโจมตีด้วย ถ้าหากมันถูกโจมตี ฮุ่ยหวงจะได้รับผลกระทบจากการโจมตีเป็นส่วนมากเมื่อเป็นเช่นนั้นการจัดการกับระบบนำทางสู่ความตายก็คงจะยากมากขึ้น แต่ลู่เหลียนและหมิงหยูก็ไม่หวั่นและร่วมมือกันโจมตีระบบนำทางสู่ความตายไม่ยั้งมือ มันไม่เหลือช่องว่างให้ฟางเซียนเข้าไปโจมตีเลย ฟางเซียนจึงได้แต่ยืนมองกระบี่หลายสิบเล่มและธนูไฟหลายดอกลอยผ่านหน้าไปมา“ดิ้วเหล็กนั่นเปลี่ยนร่างได้ด้วยเหรอ” ฟางเซียนพึมพำถามระบบใหม่เมื่อเห็นว่าดิ้วเหล
บทที่ 20.1 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกไม่ว่าโลกไหนหรือยุคไหนก็หนีไม่พ้นสงครามและบางครั้งสงครามก็เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อย่างเช่นสงครามระหว่างมารและเซียนในครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนต่างก็คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารนั้นชั่วร้ายและไม่ควรมีตัวตนอยู่ พวกเซียนจึงยอมรับไม่ได้ที่พวกมารมีดินแดนในครอบครองหรือก็คือพวกเซียนหวาดกลัวความแข็งแกร่งของเหล่ามารและคิดไปเองว่าพรรคมารข่งเชวียปกครองดินแดนอย่างโหดเหี้ยมและบังคับให้ชาวบ้านกลายเป็นมารเหล่าเซียนจึงคิดจะก่อสงครามกับเหล่ามารเพื่อแย่งชิงความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านธรรมดาทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงหรือความเท็จ พวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไร้ที่อยู่ในแผ่นดินอีกครั้งมันช่างไร้ความยุติธรรมสิ้นดีทั้งที่หากเหล่ามารไม่มีความคิดโง่เง่าฝังหัวว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารจะต้องทำสิ่งชั่วร้ายอย่างที่สั
บทที่ 19.2 ระบบนำทางสู่ความตายย้อนกลับไปเมื่อสามร้อยปีก่อน ถ้านอนหลับแล้วฝันร้าย แค่ตื่นขึ้นมาฝันร้ายก็จะหายไป แต่สำหรับฮุ่ยหวงไม่ว่าจะหลับหรือตื่นเขาก็ยังฝันร้ายและมันยังเป็นฝันร้ายที่สุดแสนจะยาวนาน... “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าขอโทษเพราะข้าชักช้าเราจึงมาช่วยแม่นางฟางเซียนไว้ไม่ทันการ” ฮุ่ยหลิงร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นเวลานานและเขาก็ยังโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าป้ายหลุมศพที่มีชื่อสลักไว้ว่า ‘ฟางเซียน’ “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ น้องเล็ก” ฮุ่ยเหอเอ่ยปลอบใจน้องชาย แต่ฮุ่ยหลิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ดูเหมือนว่าการจากไปของ ‘แม่นางฟางเซียน’ จะสร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับน้องชายของเขามากเกินไป ฮุ่ยเหอที่ไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรต่อจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต “ชาตินี้เป็นเคราะห์ร้ายของนาง...ข้าจึงเชื่อว่าชาติหน้านางจะต้องได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขยาวนาน” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนพลางลูบหัวปลอบฮุ่ยหลิงอย่างอ่อนโยน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮุ่ยหลิงเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เจ้าของหลุมศพนามว่าฟางเซียนเป็นหญิงสาวที่น่าเห็นใจ นางสูญเสียทุกอย่างรวมถึงเหตุผลที่จะมีชีวิต นางจึงอยากฆ่าตัวตา
บทที่ 19.1 ระบบนำทางสู่ความตายเมื่อตื่นขึ้นมาฟางเซียนก็รู้สึกถึงอาการเมื่อยล้าตามร่างกายซึ่งเป็นผลมาจากการนอนหลับกึ่งตายมาหลายวัน ฟางเซียนก็เลยนอนต่ออีกสักพักเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงที่หายไปกลับมา แต่เพราะนอนหงายมานานก็เลยเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว นางจึงเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคงข้างและเมื่อพลิกตัวนางก็ได้พบกับใบหน้ายามหลับใหลของปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจรูปงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์อีกด้วยรูปหน้าสมบูรณ์แบบ ริมฝีปากเรียวสวยและหยักเป็นธรรมชาติ สีสันก็สดใสไม่หมองคล้ำ จมูกก็โด่งเป็นสัน คิ้วก็คมเข้ม ขนตาก็ยาวราวกับขนตาม้า รวมแล้วมันช่างเป็นใบหน้าที่งดงามและหล่อเหล่าไปในเวลาเดียวกันจนหลายคนลุ่มหลงฟางเซียนนอนมองลู่เหลียนจนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่ามันถึงเวลาที่ควรจะลุกออกจากเตียงได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลูกขึ้นนั่ง คนที่น่าจะกำลังหลับก็ดึงแขนของนางจนนางล้มลงไปนอนอีกครั้ง“ไม่คิดว่ามันเช้าเกินไปที่จะตื่นหรือขอรับ?” ลู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยยามกะพริบตา “หรือคิดจะไปไหนแต่เช้า?คิดจะทิ้งข้าไว้บนเตียงแล้วหนีไปที่อื่นหรือขอรับ?” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีแดงที่เปิด
บทที่ 18.2 ข้ารักท่าน…ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปลู่เหลียนกุมมือฟางเซียนแน่น เขาหวังว่าความร้อนจากมือของเขาจะทำให้มืออันเย็นเฉียบของฟางเซียนอบอุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะกุมมือของฟางเซียนนานเพียงไร มันก็ยังคงเย็นเฉียบราวกับว่ามันแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดเวลา ลู่เหลียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคลาดสายตาเพียงครู่เดียว ฟางเซียนก็สลบไสลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของซงเลี่ยงจินเสียแล้ว ทั้งที่สงครามระหว่างมารและเซียนจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน แต่ฟางเซียนก็ยังคงหลับไม่ยอมตื่นราวกับว่าไม่ต้องการที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง “ลู่เหลียน...เจ้าอยู่เช่นนี้มาหลายวันแล้วนะ” ซงเลี่ยงจินเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะลู่เหลียนมัวแต่นั่งเฝ้าฟางเซียนไม่ยอมขยับไปไหนเลยมาหลายวันแล้ว หากปล่อยไว้เช่นนี้ร่างกายของลู่เหลียนคงทรุดโทรมอีกแน่ แต่ไม่ว่าซงเลี่ยงจินจะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงมากเท่าไหร่ ลู่เหลียนก็ไม่ยอมตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ซงเลี่ยงจินถอนหายใจก่อนจะหยิบคัมภีร์ออกมา “ข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเช่นนี้ของท่านปรมาจารย์ฟางเซียนมาหมดแล้ว ข้าคาดว่าท่านปรมาจารย์ฟางเซียนน่าจะโดนโจมตีทางวิญญาณเ