บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร
สตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์
ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิด
และหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่
ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้
“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข้าจะเริ่มฝึกสอนวิชามารให้กับเจ้า” นางบอกกับเขาไว้เช่นนั้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนของนาง เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าสีส้มและสีคราม
ดวงอาทิตย์เพิ่งหายลับไปจากท้องฟ้าไปไม่ถึงชั่วยามเองไม่ใช่หรือ?
ลู่เหลียนไม่คิดว่าสตรีคนนั้นจะนอนเร็วขนาดนั้น แต่เมื่อลองฟังและสัมผัสการเคลื่อนไหวดูเขาก็พบว่านางหลับไปแล้วจริงๆ หลับจนกระทั่งถึงยามเช้าของวันต่อมา
“อยากนอนต่อ...” ฟางเซียนผู้ถูกระบบห้ามฆ่าตัวตายปลุกจากความฝันบ่นออกมาด้วยใบหน้าง่วงซึม ลู่เหลียนได้ยินดังนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่าเขาควรเป็นคนที่บ่นมากกว่าเพราะเมื่อคืนเขานอนไปน้อยมากแตกต่างจากฟางเซียนที่นอนไปเยอะมาก
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท้องฟ้า ซึ่งดวงอาทิตย์แทบจะอยู่เหนือหัวอยู่แล้ว...
[โปรดอย่าขี้เกียจครับ ขณะนี้ได้เวลาสอนลู่เหลียนแล้ว บทเรียนแรกก็คือการผสานปราณธาตุเพื่อให้ได้ธาตุใหม่ครับ]
“ปราณธาตุ?” ฟางเซียนฟังด้วยความรู้สึกมึนงงไม่น้อย ระบบจึงอธิบายต่อว่า
[ปราณธาตุก็คือชนิดของพลังปราณในตัวของแต่ละคนครับ ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นปราณสีดำหรือขาว เมื่อดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายพลังปราณก็จะปรับตัวให้เข้ากับธาตุในร่างกายทันที มันจะทำให้คุณสามารถเรียกใช้เปลวไฟหรือลมได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องร่ายคาถาเหมือนวิชาอย่างอื่น ซึ่งปราณธาตุมีทั้งหมดหกธาตุ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืดครับ]
ฟางเซียนพยักหน้าเข้าใจ ซึ่งส่วนมากนางจะฟังข้ามไปเสียมากกว่า
[และยินดีด้วยครับ! คุณมีธาตุหลักครบทุกธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ความมืด และแสงสว่าง! ธาตุความมืดและแสงสว่างหายากมากสำหรับมนุษย์ คุณโชคดีมากเลยล่ะครับ!] ระบบกล่าวแสดงความยินดี แต่ฟางเซียนรู้ดีว่าระบบมันแสร้งพูด! โชคดีบ้าบออะไรล่ะ! เป็นมันนั่นล่ะที่ยัดเยียดปราณธาตุพวกนั้นให้นางเอง!
ระบบจะให้นางเล่นขี้โกงไปถึงไหนกัน ดูดซับพลังปราณเร็วไม่พอยังมีปราณธาตุครบทุกธาตุอีก นี่ระบบมันวางแผนจะให้นางกลายเป็นบอสลับตัวใหญ่เลยรึไงกัน
[อย่าทำหน้าราวกับอสูรร้ายแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวลู่เหลียนกลัวคุณนะครับ] ระบบกล่าวเตือนเสียงจริงจังแบบเสแสร้ง ฟางเซียนรู้สึกหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมระบบจึงเลือกพูดเกี่ยวกับการฝึกของลู่เหลียนต่อ [การสอนลู่เหลียนไม่ยากหรอกครับ ลู่เหลียนเป็นลูกครึ่งปีศาจเขาจึงมีแกนพลังปราณระดับสามตั้งแต่กำเนิด เขาน่าจะรู้จักวิธีใช้ปราณธาตุที่เขามีบ้างแล้วแต่ก็ไม่น่าจะรู้จักกับการผสานธาตุ]
“แค่บอกมาว่าจะให้ทำอะไร” ฟางเซียนไม่อยากทนฟังเสียงของระบบอีกจึงคิดจะทำให้ทุกอย่างจบๆ ไปเสีย
[ลู่เหลียนมีปราณธาตุลมและปราณธาตุไฟ คุณแค่บอกให้เขาผสมผสานธาตุทั้งสองให้รวมเข้าด้วยกันเพื่อที่จะได้เกิดธาตุใหม่]
ฟางเซียนบอกลู่เหลียนตามที่ระบบแนะนำ เมื่อได้รับคำแนะนำแล้วลู่เหลียนก็ได้ทำตามคำแนะนำอยู่ในห้องพักของตัวเอง
ลู่เหลียนเป็นเด็กฉลาด เพียงแค่ได้รับคำแนะนำเขาก็สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง เพราะเช่นนี้เองถึงแม้จะไร้ผู้ปกครองเขาก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้โดยการพึ่งพาไหวพริบและสติปัญหาของตัวเอง
[เอาล่ะคุณฟางเซียน ระหว่างรอให้ลู่เหลียนเรียนรู้การผสานพลังธาตุด้วยตัวเองเรามาลองใช้วิชาปลุกศพกันเถอะ!]
“ทำไมต้องเริ่มทำอะไรที่ไร้ศีลธรรมแบบนั้นด้วย” ฟางเซียนทำหน้าขยะแขยง
[คุณเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่นา ก็ต้องทำอะไรแบบนี้ล่ะครับ]
“ไม่อยากทำ!” นางไม่ยอมทำตามที่ระบบบอกแน่ ใครกันที่อยากจะไปปลุกศพน่าเกลียดน่ากลัวพวกนั้นขึ้นมาใช้งาน?คงเป็นพวกจิตไม่ปกติแน่
[ถึงจะไม่ฝึกแต่อย่างน้อยก็รับข้อมูลนี้ไปเพื่อนำไปฝึกสอนให้กับลูกศิษย์ของคุณนะครับ] กล่าวจบระบบก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับวิชาการต่อสู้และศาสตร์มนต์ดำมากมายให้กับฟางเซียนผ่านทางสมองโดยตรง ด้วยวิธีนี้มันจะทำให้คนขี้เกียจเรียนอย่างฟางเซียนจดจำได้อย่างรวดเร็ว
ฟางเซียนขมวดคิ้วเมื่อได้รับข้อมูลที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในหัว ในตอนแรกมันปวดหัวและสับสนฟางเซียนจึงต้องนั่งเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวใหม่ เมื่อพอเข้าใจแล้วนางจึงทดลองเรียกไฟออกมาเพื่อดูว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้ได้จริง ช่างเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากสำหรับคนต่างโลกอย่างฟางเซียน
ด้วยความรู้สึกสนใจและอยากรู้อยากเห็นฟางเซียนจึงลองนั่งเล่นกับดวงไฟที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
จนกระทั่งระบบห้ามฆ่าตัวตายมอบหมายภารกิจมา [ภารกิจย่อย ทำอาหารให้ลู่เหลียน รางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้ม]
ฟางเซียนไม่ปฏิเสธ นางพอรู้ว่าลู่เหลียนคงไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ซึ่งนั่นก็คงรวมถึงนางด้วย...
ฟางเซียนไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร เมื่อไปถึงนางก็พบว่าลู่เหลียนกำลังรื้อค้นห้องครัวอยู่พอดี คาดว่าลู่เหลียนอาจจะรู้สึกหิวจึงมาหาอาหารในครัว แต่ของในครัวส่วนมากจะเป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร อาหารที่สามารถกินได้ทันทีจึงมีไม่มากนัก นั่นคงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมลู่เหลียนถึงรื้อค้นห้องครัวซะเละเทะ
เมื่อลู่เหลียนรู้ตัวว่าฟางเซียนเข้าไปในห้องครัวเขาก็มีท่าทีหลุกหลิกเหมือนรู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่ดีลงไป
แต่ฟางเซียนก็ไม่ได้เอ่ยปากตำหนิเขา นางเพียงโบกมือไล่เขาให้ออกไปจากห้องครัวและเริ่มทำอาหาร ลู่เหลียนที่ถูกไล่ไม่ได้ไปไหนไกล เขาเกาะประตูห้องครัวและแอบดูฟางเซียนทำอาหาร
เขาหิว แต่เขาไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยปากขออาหารดีหรือไม่ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองถูกซื้อมาในฐานะทาส แม้ฟางเซียนจะรับเขาเป็นลูกศิษย์แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะทำดีกับเขาจนถึงขั้นบริการทำอาหารให้กินแน่ ลู่เหลียนจึงวางแผนขโมยอาหารเหลือไปกินอย่างที่เคยทำ
ลู่เหลียนยืนรออยู่หน้าห้องครัวจนกระทั่งฟางเซียนทำอาหารเสร็จ อาหารที่เพิ่งทำเสร็จส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอย่างมาก ท้องของลู่เหลียนเริ่มส่งเสียงครวญคราง
ฟางเซียนจัดวางอาหารไว้บนโต๊ะก่อนจะหันไปเรียกลู่เหลียน “ยืนทำอะไรอยู่ มานั่งและกินได้แล้ว”
ลู่เหลียนถึงกับทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกเรียกให้ไปทานอาหารพวกนั้น เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองได้ยินถูกต้องหรือไม่จนกระทั่งฟางเซียนเรียกอีกครั้งและพาเขาไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะที่มีอาหารส่งกลิ่นหอมยั่วยวน
เขานั่งนิ่งอยู่นานจนได้รับสายตากดดันของฟางเซียนให้กินพวกมันเข้าไป เขาจึงค่อยๆ หยิบตะเกียบที่ไม่เคยได้ใช้ด้วยท่าทางเงอะงะและเริ่มคีบอาหารเข้าปาก ทันใดนั้นดวงตาสีแดงของลู่เหลียนก็เป็นประกายระยิบระยับทันทีเมื่อเขาได้ลิ้มรสอาหารที่ฟางเซียนทำ สำหรับลู่เหลียนมันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เขาจำความได้
ตลอดมาเขาต้องอาศัยอยู่ในป่าเพราะเขาคือลูกครึ่งปีศาจ เขาถูกรังเกียจและไม่เป็นที่ยอมรับทั้งมนุษย์และปีศาจ เพื่อความอยู่รอดเขาต้องกินผลไม้ป่าหรือไม่ก็สัตว์ป่าตัวเล็กที่ไม่แม้แต่จะได้ผ่านการปรุงสุก เมื่อมาถึงฤดูหนาวอาหารในป่าจะยิ่งหายาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปขโมยอาหารที่ถูกทิ้ง แม้จะเคยได้รับอาหารจากปีศาจที่มีความรู้สึกเห็นใจเขา แต่มันก็ไม่เคยมีความอร่อยอยู่ในนั้นเลย
เมื่อถูกจับเป็นทาสลู่เหลียนยอมรับว่าเขารู้สึกสิ้นหวังและเตรียมใจที่จะได้รับความอัปยศและชีวิตที่ยากลำบาก แต่เขาไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะได้รับห้องนอนอันอบอุ่นและอาหารที่ดี ไม่เคยเลย...
“อร่อยขนาดนั้นเลยรึ?” ฟางเซียนเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อนางเห็นหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาสีแดงของนกยูงสีขาวตัวน้อยน่ารัก
ลู่เหลียนร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงันขณะที่ยังคงเคี้ยวอาหารในปากไม่หยุด
มันดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย...
ฟางเซียนบอกให้ลู่เหลียนทานอาหารทั้งหมดโดยที่นางไม่ได้แตะต้องพวกมันเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าระบบโวยวายอย่างหนัก
[ก็ดีอยู่หรอกนะครับที่คุณให้เด็กกำลังโตทานอาหารเยอะๆ แต่คุณก็ควรทานด้วยนะครับเพราะคุณยังฝึกไม่ถึงระดับเจ็ดที่สามารถอดอาหารได้เลยนะ!] ระบบเตือน แต่ฟางเซียนกลับเมินเฉยราวกับไม่ได้ยิน
ระบบถึงกับถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย พอไม่มีสามพี่น้องฮุ่ยฟางเซียนก็ดื้อไม่ยอมทานอาหารเลยสักคำ หากทิ้งไว้ให้เป็นแบบนี้ต่อไปฟางเซียนอาจจะได้ขาดสารอาหารจนตายเข้าสักวันแน่
“เรื่องผสานธาตุ เจ้าทำได้รึยัง” หลังจากลู่เหลียนทานอาหารจนหมดฟางเซียนก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา
ลู่เหลียนพยักหน้าตอบด้วยสีหน้ากระตือรือร้นอย่างไร้เดียงสาและแสดงสายฟ้าที่เกิดจากการผสานธาตุของธาตุลมและธาตุไฟเข้าด้วยกันให้ฟางเซียนได้เห็น
ฟางเซียนพยักหน้าพอใจ “งั้นสำหรับวันนี้พอเท่านี้ เจ้าสามารถไปนอนหลับพักผ่อนให้สบายเพื่อเริ่มบทเรียนต่อไปในวันพรุ่งนี้”
ลู่เหลียนพยักหน้ารับรู้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่ในหัวใจดวงน้อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา คืนนี้คงไม่ต้องกังวลว่าจะนอนหลับหรือไม่เพราะคืนนี้จะเป็นคืนที่เขาจะนอนหลับได้อย่างสบายใจมากที่สุด ส่วนทางด้านฟางเซียนไม่ต้องกังวลเรื่องการนอนเลย เมื่อหัวถึงหมอนนางก็จะหลับทันทีแม้ว่ามันจะเป็นยามพลบค่ำก็ตาม แต่ที่น่ากังวลคือในวันนี้นางไม่แม้แต่จะกินอาหารหรือดื่มน้ำเลยสักหยดเดียว!
ระบบต้องคิดอย่างหนักเพื่อหาทางไม่ให้ฟางเซียนอดตายก่อนที่ภารกิจทุกอย่างจะเสร็จสิ้นไม่เช่นนั้นมันจะได้รับบทลงโทษที่มันไม่อยากพบเจอมากที่สุด
แค่คิดก็อยากจะร้องไห้เป็นสายเลือดแล้ว...
เช้าวันต่อมาฟางเซียนและลู่เหลียนเดินทางเข้าไปในป่าใกล้เมืองเนื่องจากว่าการฝึกใช้พลังปราณไม่ควรฝึกในบ้านเพราะมันมีพื้นที่เล็กเกินไป ถ้าหากฝึกในบ้านจริงๆ ข้าวของในบ้านก็อาจจะพังจนไม่เหลือให้ใช้งานได้อีก
[สิ่งแรกที่ลู่เหลียนควรฝึกก็คือการใช้สายฟ้าได้อย่างคล่องแคล่ว ผมขอแนะนำให้คุณเดินทางเข้าไปในป่าลึกเพื่อค้นหาสัตว์อสูรและต่อสู้กับพวกมัน เพราะการต่อสู้กับสัตว์อสูรจะทำให้ลู่เหลียนสามารถพัฒนาฝีมือตัวเองได้อย่างดี และไม่ต้องกังวลในป่านี้ไม่อันตรายนักเพราะมีเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำที่อาศัยอยู่ที่นี่]
“สัตว์อสูร...” ฟางเซียนนึกถึงตอนที่เพิ่งมาถึงโลกนี้เป็นครั้งแรก นางได้พบฝูงหมูป่าขนาดใหญ่ผิดปกติในป่าแห่งนี้
[ในโลกนี้มีสัตว์ที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรอยู่ด้วย พวกมันเป็นสัตว์ที่สามารถใช้พลังปราณและบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ พวกมันจึงเหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกฝนต่อสู้มาก คุณก็ลองต่อสู้ด้วยสิครับ มีพลังแต่ใช้ไม่เป็นก็น่าเสียดายแย่นะครับ งั้นผมขอแนะนำให้คุณเดินไปทางซ้ายอีกหน่อย ที่นั่นมีหน้าผาสูงชันไม่มากแต่ข้างล่างมีสัตว์อสูรระดับต่ำอยู่เพียบเลยล่ะ] ระบบพูดยืดยาว ฟางเซียนลองตบหูตัวเองอยู่สองสามครั้งเผื่อเสียงในหัวจะหายไปบ้าง แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผลเลยสักนิด...
“?” นกยูงขาวในชุดคลุมมิดชิดเอียงคอสงสัยกับท่าทางของฟางเซียน
“เฮ้อ...การฝึกของเจ้าในวันนี้คือการใช้สายฟ้าให้คล่องแคล่ว ข้าจะให้เจ้าลองสู้กับสัตว์อสูรสักครั้ง” ฟางเซียนนำทางลู่เหลียนไปยังหน้าผาที่ระบบกล่าวถึง ซึ่งมันก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น
เมื่อไปถึงฟางเซียนก็ชะโงกดูข้างล่างของหน้าผาเพื่อดูให้มั่นใจว่ามันไม่ลึกมากจนเกินไป ตอนตกลงไปจะได้ไม่ตาย แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะว่านางกังวลว่าตัวเองจะตกลงไปตาย นางแค่คิดเผื่อไว้ให้ลู่เหลียนต่างหากล่ะ
“ไปดีมาดีล่ะ” ฟางเซียนได้กล่าวก่อนจะผลักลู่เหลียนไปทางหน้าผา
“อ๊ะ!” ลู่เหลียนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจก่อนจะเสียหลักล้มไปทางหน้าผาและตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนตกลงไปเขาได้มองฟางเซียนด้วยสายตาสับสนและกังวล แลดูน่าเห็นใจอย่างยิ่ง
[คุณฟางเซียน! ทำอะไรลงไปน่ะครับ!] ระบบกรีดร้องเสียงหลงอย่างตื่นตกใจ
“เอาตัวรอดให้ได้ล่ะ แค่นี้คงไม่ทำให้เจ้าตายหรอก” เมื่อลู่เหลียนร่วงไปถึงตีนหน้าผาฟางเซียนก็ตะโกนบอกเพียงเท่านั้น ไม่รอให้ลู่เหลียนได้ตอบกลับมานางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไม่สนใจไยดี
[ปล่อยลู่เหลียนไว้แบบนี้จะดีเหรอครับ?เดี๋ยวเขาก็ตายหรอกนะครับ] ระบบเอ่ยอย่างร้อนรน
“แบบนี้ล่ะดีแล้ว ฉันพยายามทำให้เขาแข็งแกร่งอยู่นะ ไม่รู้รึไงเมื่อคนเราได้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแล้วก็จะพยายามดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เชื่อเถอะว่าสุดท้ายลู่เหลียนก็ต้องรอดมาได้และแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม”
[ไม่นะ ทำไมแนวทางการสอนของคุณถึงได้ดูอันตรายแบบนี้ล่ะ] ระบบไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวิธีการสอนของฟางเซียนจะเป็นแบบนี้ มันน่ากังวลจริงๆ ว่ามารนกยูงจะรอดชีวิตไปจนถึงตอนโตหรือไม่...
“ยังไงซะฉันก็คงอยู่ดูแลเขาไม่นานอยู่แล้ว” ฟางเซียนนั่งแกว่งเท้าสบายใจในขณะที่ลู่เหลียนกำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ใต้หน้าผาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร
ฟางเซียนคาดว่าอีกไม่นานตัวเองอาจได้ขาดสารอาหารตายสมใจภายในไม่เกินสัปดาห์นี้เพราะนางไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรเลย นางจึงควรทำให้ลู่เหลียนแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้สามารถดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่มีนางและจะได้ไม่ถูกจับไปเป็นทาสอีกรอบ
[คุณคิดจะตายจริงเหรอครับ!?] ระบบส่งอีโมจิร้องไห้มาให้ฟางเซียนรัวๆ หวังขอความเห็นใจ
“รู้อยู่แล้วจะถามทำไม” ฟางเซียนกลอกตามองบน
ระบบห้ามฆ่าตัวตายเงียบไปครู่หนึ่ง มันคิดคำนวณบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป [แย่แล้วครับ ไม่ไกลนี้มีสัตว์อสูรระดับสูงที่กำลังจำศีลอยู่ด้วย หากไปรบกวนมันคุณอาจจะไม่รอดก็ได้ ถอยออกไปจากที่นี่หน่อยจะดีกว่านะครับ]
หน้าต่างระบบแสดงแผนที่ให้ฟางเซียนได้เห็นว่ามีสัตว์อสูรร้ายกาจอยู่ที่ไหนและชี้จุดปลอดภัยให้กับฟางเซียน
ดวงตาของฟางเซียนหรี่ลงอย่างเคลือบแคลงใจเพราะฟังยังไงมันก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ฟางเซียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเชื่อระบบดีหรือไม่ หากที่นั่นมีสัตว์อสูรจำศีลอยู่จริงมันอาจจะเป็นทางเลือกในการตายที่น่าสนใจ แต่ที่น่าสงสัยคือทำไมระบบถึงได้บอกนาง?
ฟางเซียนพยายามค้นหาเจตนาของระบบ ซึ่งเจตนาเดียวที่นางนึกออกก็คือ ห้ามนางไม่ให้ฆ่าตัวตาย หากประโยคเมื่อครู่เป็นประโยคแจ้งเตือนจริงแต่ฟางเซียนก็รู้สึกว่ามันมีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง
แต่ถึงจะคิดอะไรมากมาย สุดท้ายแล้วฟางเซียนก็ตัดสินใจจะไปดูสักครั้ง หากมีสัตว์อสูรโมโหร้ายหลังจากถูกรบกวนการนอนจริงมันคงดีไม่น้อย ฟางเซียนนึกภาพของตัวเองขณะถูกสัตว์ร้ายกัดหัวขาดหรือไม่ก็ถูกกรงเล็บตัดร่างเป็นสามท่อน
ภาพที่นางจินตนาการไว้มีหลายภาพหลายเหตุการณ์และโหดร้ายมาก มากซะจนฟางเซียนแอบคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นพวกชื่นชอบความเจ็บปวด ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะถึงนางจะอยากฆ่าตัวตายแต่ก็ใช่ว่าจะชื่นชอบความเจ็บปวดเสียหน่อย
ฟางเซียนมาถึงจุดหมายที่คาดว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงกำลังจำศีลอยู่ นางได้พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่และมีโพรงขนาดใหญ่ใต้รากไม้คล้ายถ้ำ หากเข้าไปไม่แน่ว่าอาจจะเจอบางสิ่งที่อันตราย ฟางเซียนจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปในนั้น ทางเข้าของโพรงไม้ใหญ่มากพอจะให้คนตัวใหญ่ลอดเข้าไปได้ ฟางเซียนจึงไม่มีปัญหาในการเข้าไป
ในโพรงไม่ใหญ่มากนักแต่มีเส้นทางเป็นอุโมงค์ลงไปใต้ดิน ฟางเซียนเดินเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย หากเป็นคนทั่วไปคงถูกเรียกว่าใจกล้าและบ้าบิ่น ทว่าสำหรับคนอย่างฟางเซียนคงต้องเรียกว่าเป็นคนบ้ามากเกินไป
“สวัสดี มีใครอยู่รึเปล่า ขออนุญาตเข้าไปนะ...” ฟางเซียนถามออกไปด้วยน้ำเสียงยานคางพลางเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ระเบิด’ ลงไปบนอากาศด้วยพลังปราณก่อนที่นางจะผลักตัวอักษรตัวนั้นไปข้างหน้าและนับตัวเลขหนึ่งถึงห้ารอในใจ
ตูม!!
และทันใดนั้นตัวอักษรก็ได้ระเบิดออกมา อุโมงค์ใต้ดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่ฟางเซียนก็ไม่ได้รับอันตรายจากมันเลยสักนิด
“ใครกันที่บังอาจมาก่อกวนเวลาจำศีลของข้า!” เมื่อระเบิดสงบลงเสียงคำรามจากส่วนลึกของอุโมงค์ก็ดังขึ้นมา
“เคาะประตูแล้วมีเสียงตอบกลับมาหมายความว่าอนุญาตแล้วสินะ งั้นขอเข้าไปนะ” ฟางเซียนพูดเองเออเองหน้าตาย
ระบบได้ยินดังนั้นถึงกับล้มโต๊ะในจินตนาการ [แบบนี้โลกของคุณเรียกว่าเคาะประตูเหรอครับ!? ระเบิดเมื่อครู่ไม่ทำให้อุโมงค์ถล่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว!]
“น่าสนใจนี่ ถ้าถูกดินทับตายฉันก็ไม่ต้องห่วงว่าศพของตัวเองหลังจากนั้นจะเป็นยังไง” ฟางเซียนได้กล่าว ระบบคิดว่าหากมันมีเท้ามันคงจะเอาเท้ากายหน้าผากเป็นแน่
ฟางเซียนได้ถูกบางอย่างดีดกระเด็นทันทีเมื่อเข้าไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของอุโมงค์ ในนั้นมืดสนิทฟางเซียนจึงมองไม่เห็นว่าอะไรโจมตีนางและไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีเมื่อไหร่ นั่นจึงทำให้กฎห้ามฆ่าตัวตายไม่ได้ควบคุมร่างกายของฟางเซียนให้หลบการโจมตี แต่ถึงจะไม่มีกฎห้ามฆ่าตัวตายควบคุมฟางเซียนก็ไม่บาดเจ็บหนักอยู่ดีเพราะมีโชครอดตายจากการถูกฆ่า
“เจ้ากล้ารบกวนการนอนของข้า!ใจกล้านัก” เจ้าของโพรงใต้ดินกล่าวอย่างขุ่นเคือง ฟางเซียนไม่ได้พูดอะไรออกไปและพยายามหรี่ตามองสิ่งที่อยู่ในความมืดเพื่อดูว่ามันคือตัวอะไร นางเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้นว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าฟางเซียนยังคงนิ่งสงบสัตว์อสูรโมโหร้ายเพราะถูกปลุกให้ตื่นจากการจำศีลอย่างไม่เต็มใจก็ค่อยๆ สงบลงแตกต่างจากที่ฟางเซียนหวังไว้ว่าจะให้มันอาละวาดและฆ่านางให้ตายไปซะ
“เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนักและเก่งมากที่สามารถผ่านม่านพลังแห่งเซียนของข้าเข้ามาได้ ข้าชักสนใจเจ้าเสียแล้ว” สัตว์อสูรในเงามืดกล่าว สีหน้าของฟางเซียนว่างเปล่า “ข้าจะมองข้ามความไร้มารยาทของเจ้าสักครั้งหนึ่งแล้วกัน บุคคลผู้กล้าหาญเหมาะสมที่จะได้รับรางวัล”
ฟางเซียนกัดฟันอย่างหงุดหงิดและพูดออกไปอย่างหัวเสียว่า “ทำไมไม่ฆ่าข้าให้สิ้นเรื่อง ข้าบุกรุกพื้นที่ของเจ้าอยู่นะ!”
“โอ้ เจ้าช่างเป็นคนซื่อตรงนัก เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดพลาดก็กล้ายอมรับบทลงโทษอย่างไม่เกรงกลัว” สัตว์อสูรในเงามืดพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะถูกใจฟางเซียนมากขึ้น “ข้าจะให้ไม้เท้าแห่งเทพเป็นรางวัลให้กับเจ้าแล้วกัน”
“แต่ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร” เมื่อฟางเซียนกล่าวประโยคนี้ออกไปสัตว์อสูรในเงามืดก็หยุดชะงัก มันไม่รอช้าและเข้าโจมตีฟางเซียนอีกรอบ
“มารรึ!ถ้าเช่นนั้นอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดออกไป!” น้ำเสียงของมันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงแห่งความเกลียดชังทันที ร่างของฟางเซียนถูกผลักติดกับผนังอุโมงค์อย่างรุนแรง ลำคอของนางถูกบีบรัดจากมือใหญ่และหยาบกร้าน
รู้อย่างนี้น่าจะบอกตั้งแต่แรก...
ฟางเซียนยิ้มกว้างเตรียมตัวถูกหักคอและโบกมือทักทายยมทูตเต็มที่ แต่น่าแปลกใจเล็กน้อยที่ระบบไม่มาส่งเสียงโวยวายเลยทั้งที่ปกติหากนางตกอยู่ในอันตรายระบบน่าจะไม่ยอมอยู่เฉย
สงสัยได้ไม่นาน ในตอนนั้นเองสัตว์อสูรตัวนั้นก็ได้ปล่อยนางให้เป็นอิสระทั้งที่ยังไม่ได้ฆ่านาง
“อึก! กะ เกิดอะไรขึ้นกับข้า!” สัตว์อสูรตัวนั้นส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
ฟางเซียนสับสนและมึนงงจึงจุดไฟขึ้นมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงได้เห็นหนูยักษ์ตัวหนึ่งกำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นเหมือนกำลังจะตายเร็วๆ นี้ ซึ่งมันก็ตายจริงๆ ร่างของมันค่อยๆ เหี่ยวแห้งราวกับถูกสูบสารอาหารออกจากร่าง ฟางเซียนขมวดคิ้ว นางสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหนูยักษ์ตัวนั้นแต่สิ่งที่นางสงสัยมากกว่าก็คือร่างกายของตัวเอง
นางรู้สึกว่ามีกำลังวังชาขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ...ไม่สิ นางอาจจะรู้ดีอยู่แก่ใจ
“ระบบ...นายทำอะไรลงไป” ฟางเซียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าดำมืด
[คุณบังคับให้ผมทำเองนะครับ ตอนแรกผมไม่คิดจะให้คุณมายุ่งเกี่ยวกับหนูตัวนี้หรอกครับเพราะถึงมันจะครอบครองอาวุธเซียนระดับสูงแต่มันไม่เป็นประโยชน์กับคุณที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารเลย แต่เพราะคุณไม่ยอมกินข้าวเพื่อบำรุงรักษาร่างกายของตัวเอง ผมจึงต้องหลอกให้คุณมาที่นี่เพื่อดูดกลืนแกนพลังปราณของหนูตัวนี้] ระบบกล่าวเสียงเรียบ แต่ฟางเซียนรู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา
“ระบบ...ทำไมฉันถึงมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้” ฟางเซียนถามอย่างเลื่อนลอยเพราะมีอาการช็อกอย่างหนัก
[เพราะคุณมีร่างกายแข็งแรงไงครับ!] ระบบตอบเสียงสดใสและส่งอีโมจิยิ้ม
“ระบบ...ทำไมฉันไม่หิว”
[คุณคงเผลอไปทานอาหารเพราะความหิวละมั้งครับ]
“ระบบ...ถ้าฉันเชื่อก็โง่แล้ว!นายทำบ้าอะไรลงไปกัน!” ฟางเซียนแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง
[ใจเย็นครับ มันไม่เลวร้ายสักหน่อยครับ ผมแค่ให้ร่างกายของคุณดูดกลืนแกนพลังปราณระดับ 7 ทั้งหมดเท่านั้นเอง ตอนนี้คุณจึงมีพลังปราณระดับ 7 พอดียินดีด้วยครับ!]
“ยินดีที่บิดาแกตายสิ!”
บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 1.1 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที ฟางเซียน มีความหมายว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม มันคือชื่อเล่นภาษาจีนที่แม่ของนางตั้งให้เพราะแม่ของนางเป็นชาวจีน แต่เนื่องจากว่าพ่อของนางเป็นชาวไทยดังนั้นฟางเซียนจึงอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เกิดกับพ่อแม่และน้องสาว พวกเราดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นทั่วไปจนกระทั่งแม่ของนางจับได้ว่าพ่อแอบมีผู้หญิงคนอื่น แม่ของนางพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมเพราะเห็นแก่นางที่เพิ่งมีอายุเจ็บขวบและน้องสาวของนางที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่แล้วพ่อของนางก็ทิ้งครอบครัวไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก แม่ของนางจึงตัดสินใจพาพวกนางสองพี่น้องกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศจีน แต่เพราะแม่ของนางถูกตัดขาดออกจากตระกูลแล้วพวกเราสามแม่ลูกจึงต้องไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แม่ของนางต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงนางและน้องสาวจนกระทั่งแม่ของนางพบรักครั้งใหม่กับผู้ชายคนหนึ่ง มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นที่แม่หลงรักไม่ต้องการลูกติด ดังนั้นแม่ของนางซึ่งเหนื่อยกับการเลี้ยงดูนางและน้องจึงตัดสินใจทิ้งพวกนางที่เป็นเหมือนภาระและไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก
บทที่ 1.2 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีราชันมังกรทองสยบนภา คือนิยายแนวผจญภัยในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนและมารเรื่องหนึ่งที่ยาวมากอธิบาย ‘มาร’ และ ‘เซียน’ ก็คือมนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรตบะเพื่อให้ได้รับพลังมา ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันแค่ มารจะฝึกวิชาสายชั่วร้ายและดูดซับปราณสีดำ ฝ่ายเซียนก็จะฝึกในเส้นทางตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าเส้นทางคนดี๊ดี ดูดซับแค่ปราณขาวสะอาด ส่วน ‘ปีศาจ’ และ ‘เทพ’ ก็คือเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายแน่นอนว่าสูตรโกงของพระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ ก็คือการที่ได้เกิดเป็นมังกรทองเผ่าเทพ จ้าวหลงเทียน คือชื่อของเขา ตำแหน่งของเขาในพิภพเทพค่อนข้างสูงส่งเพราะมังกรทองมีไม่มากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งจ้าวหลงเทียนเหมือนจะเบื่อการเป็นเทพหรืออะไรก็ไม่รู้เขาได้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนพิภพมนุษย์เรื่องราวนิยายเริ่มต้นตรงนั้นเนื่องมาจากว่านิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เป็นนิยายแนวฝึกฝนพลังและออกไปวิ่งไล่ตบตัวร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้อ่านจึงจะได้พบแค่เพียงการต่อสู้ของพระเอกและตัวร้ายจนดูน่าเบื่อหน่าย แต่จุดขายอย่า
บทที่ 2.1ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเองแม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำแต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว
บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นพิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอดมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพี