หน้าหลัก / โรแมนติก / ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย / บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร

แชร์

บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร

บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร

สตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์

ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิด

และหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่

ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้

“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข้าจะเริ่มฝึกสอนวิชามารให้กับเจ้า” นางบอกกับเขาไว้เช่นนั้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนของนาง เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าสีส้มและสีคราม

ดวงอาทิตย์เพิ่งหายลับไปจากท้องฟ้าไปไม่ถึงชั่วยามเองไม่ใช่หรือ?

ลู่เหลียนไม่คิดว่าสตรีคนนั้นจะนอนเร็วขนาดนั้น แต่เมื่อลองฟังและสัมผัสการเคลื่อนไหวดูเขาก็พบว่านางหลับไปแล้วจริงๆ หลับจนกระทั่งถึงยามเช้าของวันต่อมา

“อยากนอนต่อ...” ฟางเซียนผู้ถูกระบบห้ามฆ่าตัวตายปลุกจากความฝันบ่นออกมาด้วยใบหน้าง่วงซึม ลู่เหลียนได้ยินดังนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่าเขาควรเป็นคนที่บ่นมากกว่าเพราะเมื่อคืนเขานอนไปน้อยมากแตกต่างจากฟางเซียนที่นอนไปเยอะมาก

เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท้องฟ้า ซึ่งดวงอาทิตย์แทบจะอยู่เหนือหัวอยู่แล้ว...

[โปรดอย่าขี้เกียจครับ ขณะนี้ได้เวลาสอนลู่เหลียนแล้ว บทเรียนแรกก็คือการผสานปราณธาตุเพื่อให้ได้ธาตุใหม่ครับ]

“ปราณธาตุ?” ฟางเซียนฟังด้วยความรู้สึกมึนงงไม่น้อย ระบบจึงอธิบายต่อว่า

[ปราณธาตุก็คือชนิดของพลังปราณในตัวของแต่ละคนครับ ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นปราณสีดำหรือขาว เมื่อดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายพลังปราณก็จะปรับตัวให้เข้ากับธาตุในร่างกายทันที มันจะทำให้คุณสามารถเรียกใช้เปลวไฟหรือลมได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องร่ายคาถาเหมือนวิชาอย่างอื่น ซึ่งปราณธาตุมีทั้งหมดหกธาตุ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืดครับ]

ฟางเซียนพยักหน้าเข้าใจ ซึ่งส่วนมากนางจะฟังข้ามไปเสียมากกว่า

[และยินดีด้วยครับ! คุณมีธาตุหลักครบทุกธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ความมืด และแสงสว่าง! ธาตุความมืดและแสงสว่างหายากมากสำหรับมนุษย์ คุณโชคดีมากเลยล่ะครับ!] ระบบกล่าวแสดงความยินดี แต่ฟางเซียนรู้ดีว่าระบบมันแสร้งพูด! โชคดีบ้าบออะไรล่ะ! เป็นมันนั่นล่ะที่ยัดเยียดปราณธาตุพวกนั้นให้นางเอง!

ระบบจะให้นางเล่นขี้โกงไปถึงไหนกัน ดูดซับพลังปราณเร็วไม่พอยังมีปราณธาตุครบทุกธาตุอีก นี่ระบบมันวางแผนจะให้นางกลายเป็นบอสลับตัวใหญ่เลยรึไงกัน

[อย่าทำหน้าราวกับอสูรร้ายแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวลู่เหลียนกลัวคุณนะครับ] ระบบกล่าวเตือนเสียงจริงจังแบบเสแสร้ง ฟางเซียนรู้สึกหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมระบบจึงเลือกพูดเกี่ยวกับการฝึกของลู่เหลียนต่อ [การสอนลู่เหลียนไม่ยากหรอกครับ ลู่เหลียนเป็นลูกครึ่งปีศาจเขาจึงมีแกนพลังปราณระดับสามตั้งแต่กำเนิด เขาน่าจะรู้จักวิธีใช้ปราณธาตุที่เขามีบ้างแล้วแต่ก็ไม่น่าจะรู้จักกับการผสานธาตุ]

“แค่บอกมาว่าจะให้ทำอะไร” ฟางเซียนไม่อยากทนฟังเสียงของระบบอีกจึงคิดจะทำให้ทุกอย่างจบๆ ไปเสีย

[ลู่เหลียนมีปราณธาตุลมและปราณธาตุไฟ คุณแค่บอกให้เขาผสมผสานธาตุทั้งสองให้รวมเข้าด้วยกันเพื่อที่จะได้เกิดธาตุใหม่]

ฟางเซียนบอกลู่เหลียนตามที่ระบบแนะนำ เมื่อได้รับคำแนะนำแล้วลู่เหลียนก็ได้ทำตามคำแนะนำอยู่ในห้องพักของตัวเอง

ลู่เหลียนเป็นเด็กฉลาด เพียงแค่ได้รับคำแนะนำเขาก็สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง เพราะเช่นนี้เองถึงแม้จะไร้ผู้ปกครองเขาก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้โดยการพึ่งพาไหวพริบและสติปัญหาของตัวเอง

[เอาล่ะคุณฟางเซียน ระหว่างรอให้ลู่เหลียนเรียนรู้การผสานพลังธาตุด้วยตัวเองเรามาลองใช้วิชาปลุกศพกันเถอะ!]

“ทำไมต้องเริ่มทำอะไรที่ไร้ศีลธรรมแบบนั้นด้วย” ฟางเซียนทำหน้าขยะแขยง

[คุณเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่นา ก็ต้องทำอะไรแบบนี้ล่ะครับ]

“ไม่อยากทำ!” นางไม่ยอมทำตามที่ระบบบอกแน่ ใครกันที่อยากจะไปปลุกศพน่าเกลียดน่ากลัวพวกนั้นขึ้นมาใช้งาน?คงเป็นพวกจิตไม่ปกติแน่

[ถึงจะไม่ฝึกแต่อย่างน้อยก็รับข้อมูลนี้ไปเพื่อนำไปฝึกสอนให้กับลูกศิษย์ของคุณนะครับ] กล่าวจบระบบก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับวิชาการต่อสู้และศาสตร์มนต์ดำมากมายให้กับฟางเซียนผ่านทางสมองโดยตรง ด้วยวิธีนี้มันจะทำให้คนขี้เกียจเรียนอย่างฟางเซียนจดจำได้อย่างรวดเร็ว

ฟางเซียนขมวดคิ้วเมื่อได้รับข้อมูลที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในหัว ในตอนแรกมันปวดหัวและสับสนฟางเซียนจึงต้องนั่งเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวใหม่ เมื่อพอเข้าใจแล้วนางจึงทดลองเรียกไฟออกมาเพื่อดูว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้ได้จริง ช่างเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากสำหรับคนต่างโลกอย่างฟางเซียน

ด้วยความรู้สึกสนใจและอยากรู้อยากเห็นฟางเซียนจึงลองนั่งเล่นกับดวงไฟที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

จนกระทั่งระบบห้ามฆ่าตัวตายมอบหมายภารกิจมา [ภารกิจย่อย ทำอาหารให้ลู่เหลียน รางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้ม]

ฟางเซียนไม่ปฏิเสธ นางพอรู้ว่าลู่เหลียนคงไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ซึ่งนั่นก็คงรวมถึงนางด้วย...

ฟางเซียนไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร เมื่อไปถึงนางก็พบว่าลู่เหลียนกำลังรื้อค้นห้องครัวอยู่พอดี คาดว่าลู่เหลียนอาจจะรู้สึกหิวจึงมาหาอาหารในครัว แต่ของในครัวส่วนมากจะเป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร อาหารที่สามารถกินได้ทันทีจึงมีไม่มากนัก นั่นคงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมลู่เหลียนถึงรื้อค้นห้องครัวซะเละเทะ

เมื่อลู่เหลียนรู้ตัวว่าฟางเซียนเข้าไปในห้องครัวเขาก็มีท่าทีหลุกหลิกเหมือนรู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่ดีลงไป

แต่ฟางเซียนก็ไม่ได้เอ่ยปากตำหนิเขา นางเพียงโบกมือไล่เขาให้ออกไปจากห้องครัวและเริ่มทำอาหาร ลู่เหลียนที่ถูกไล่ไม่ได้ไปไหนไกล เขาเกาะประตูห้องครัวและแอบดูฟางเซียนทำอาหาร

เขาหิว แต่เขาไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยปากขออาหารดีหรือไม่ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองถูกซื้อมาในฐานะทาส แม้ฟางเซียนจะรับเขาเป็นลูกศิษย์แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะทำดีกับเขาจนถึงขั้นบริการทำอาหารให้กินแน่ ลู่เหลียนจึงวางแผนขโมยอาหารเหลือไปกินอย่างที่เคยทำ

ลู่เหลียนยืนรออยู่หน้าห้องครัวจนกระทั่งฟางเซียนทำอาหารเสร็จ อาหารที่เพิ่งทำเสร็จส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอย่างมาก ท้องของลู่เหลียนเริ่มส่งเสียงครวญคราง

ฟางเซียนจัดวางอาหารไว้บนโต๊ะก่อนจะหันไปเรียกลู่เหลียน “ยืนทำอะไรอยู่ มานั่งและกินได้แล้ว”

ลู่เหลียนถึงกับทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกเรียกให้ไปทานอาหารพวกนั้น เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองได้ยินถูกต้องหรือไม่จนกระทั่งฟางเซียนเรียกอีกครั้งและพาเขาไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะที่มีอาหารส่งกลิ่นหอมยั่วยวน

เขานั่งนิ่งอยู่นานจนได้รับสายตากดดันของฟางเซียนให้กินพวกมันเข้าไป เขาจึงค่อยๆ หยิบตะเกียบที่ไม่เคยได้ใช้ด้วยท่าทางเงอะงะและเริ่มคีบอาหารเข้าปาก ทันใดนั้นดวงตาสีแดงของลู่เหลียนก็เป็นประกายระยิบระยับทันทีเมื่อเขาได้ลิ้มรสอาหารที่ฟางเซียนทำ สำหรับลู่เหลียนมันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เขาจำความได้

ตลอดมาเขาต้องอาศัยอยู่ในป่าเพราะเขาคือลูกครึ่งปีศาจ เขาถูกรังเกียจและไม่เป็นที่ยอมรับทั้งมนุษย์และปีศาจ เพื่อความอยู่รอดเขาต้องกินผลไม้ป่าหรือไม่ก็สัตว์ป่าตัวเล็กที่ไม่แม้แต่จะได้ผ่านการปรุงสุก เมื่อมาถึงฤดูหนาวอาหารในป่าจะยิ่งหายาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปขโมยอาหารที่ถูกทิ้ง แม้จะเคยได้รับอาหารจากปีศาจที่มีความรู้สึกเห็นใจเขา แต่มันก็ไม่เคยมีความอร่อยอยู่ในนั้นเลย

เมื่อถูกจับเป็นทาสลู่เหลียนยอมรับว่าเขารู้สึกสิ้นหวังและเตรียมใจที่จะได้รับความอัปยศและชีวิตที่ยากลำบาก แต่เขาไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะได้รับห้องนอนอันอบอุ่นและอาหารที่ดี ไม่เคยเลย...

“อร่อยขนาดนั้นเลยรึ?” ฟางเซียนเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อนางเห็นหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาสีแดงของนกยูงสีขาวตัวน้อยน่ารัก

ลู่เหลียนร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงันขณะที่ยังคงเคี้ยวอาหารในปากไม่หยุด

มันดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย...

ฟางเซียนบอกให้ลู่เหลียนทานอาหารทั้งหมดโดยที่นางไม่ได้แตะต้องพวกมันเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าระบบโวยวายอย่างหนัก

[ก็ดีอยู่หรอกนะครับที่คุณให้เด็กกำลังโตทานอาหารเยอะๆ แต่คุณก็ควรทานด้วยนะครับเพราะคุณยังฝึกไม่ถึงระดับเจ็ดที่สามารถอดอาหารได้เลยนะ!] ระบบเตือน แต่ฟางเซียนกลับเมินเฉยราวกับไม่ได้ยิน

ระบบถึงกับถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย พอไม่มีสามพี่น้องฮุ่ยฟางเซียนก็ดื้อไม่ยอมทานอาหารเลยสักคำ หากทิ้งไว้ให้เป็นแบบนี้ต่อไปฟางเซียนอาจจะได้ขาดสารอาหารจนตายเข้าสักวันแน่

“เรื่องผสานธาตุ เจ้าทำได้รึยัง” หลังจากลู่เหลียนทานอาหารจนหมดฟางเซียนก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา

ลู่เหลียนพยักหน้าตอบด้วยสีหน้ากระตือรือร้นอย่างไร้เดียงสาและแสดงสายฟ้าที่เกิดจากการผสานธาตุของธาตุลมและธาตุไฟเข้าด้วยกันให้ฟางเซียนได้เห็น

ฟางเซียนพยักหน้าพอใจ “งั้นสำหรับวันนี้พอเท่านี้ เจ้าสามารถไปนอนหลับพักผ่อนให้สบายเพื่อเริ่มบทเรียนต่อไปในวันพรุ่งนี้”

ลู่เหลียนพยักหน้ารับรู้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่ในหัวใจดวงน้อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา คืนนี้คงไม่ต้องกังวลว่าจะนอนหลับหรือไม่เพราะคืนนี้จะเป็นคืนที่เขาจะนอนหลับได้อย่างสบายใจมากที่สุด ส่วนทางด้านฟางเซียนไม่ต้องกังวลเรื่องการนอนเลย เมื่อหัวถึงหมอนนางก็จะหลับทันทีแม้ว่ามันจะเป็นยามพลบค่ำก็ตาม แต่ที่น่ากังวลคือในวันนี้นางไม่แม้แต่จะกินอาหารหรือดื่มน้ำเลยสักหยดเดียว!

ระบบต้องคิดอย่างหนักเพื่อหาทางไม่ให้ฟางเซียนอดตายก่อนที่ภารกิจทุกอย่างจะเสร็จสิ้นไม่เช่นนั้นมันจะได้รับบทลงโทษที่มันไม่อยากพบเจอมากที่สุด

แค่คิดก็อยากจะร้องไห้เป็นสายเลือดแล้ว...

เช้าวันต่อมาฟางเซียนและลู่เหลียนเดินทางเข้าไปในป่าใกล้เมืองเนื่องจากว่าการฝึกใช้พลังปราณไม่ควรฝึกในบ้านเพราะมันมีพื้นที่เล็กเกินไป ถ้าหากฝึกในบ้านจริงๆ ข้าวของในบ้านก็อาจจะพังจนไม่เหลือให้ใช้งานได้อีก

[สิ่งแรกที่ลู่เหลียนควรฝึกก็คือการใช้สายฟ้าได้อย่างคล่องแคล่ว ผมขอแนะนำให้คุณเดินทางเข้าไปในป่าลึกเพื่อค้นหาสัตว์อสูรและต่อสู้กับพวกมัน เพราะการต่อสู้กับสัตว์อสูรจะทำให้ลู่เหลียนสามารถพัฒนาฝีมือตัวเองได้อย่างดี และไม่ต้องกังวลในป่านี้ไม่อันตรายนักเพราะมีเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำที่อาศัยอยู่ที่นี่]

“สัตว์อสูร...” ฟางเซียนนึกถึงตอนที่เพิ่งมาถึงโลกนี้เป็นครั้งแรก นางได้พบฝูงหมูป่าขนาดใหญ่ผิดปกติในป่าแห่งนี้

[ในโลกนี้มีสัตว์ที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรอยู่ด้วย พวกมันเป็นสัตว์ที่สามารถใช้พลังปราณและบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ พวกมันจึงเหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกฝนต่อสู้มาก คุณก็ลองต่อสู้ด้วยสิครับ มีพลังแต่ใช้ไม่เป็นก็น่าเสียดายแย่นะครับ งั้นผมขอแนะนำให้คุณเดินไปทางซ้ายอีกหน่อย ที่นั่นมีหน้าผาสูงชันไม่มากแต่ข้างล่างมีสัตว์อสูรระดับต่ำอยู่เพียบเลยล่ะ] ระบบพูดยืดยาว ฟางเซียนลองตบหูตัวเองอยู่สองสามครั้งเผื่อเสียงในหัวจะหายไปบ้าง แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผลเลยสักนิด...

“?” นกยูงขาวในชุดคลุมมิดชิดเอียงคอสงสัยกับท่าทางของฟางเซียน

“เฮ้อ...การฝึกของเจ้าในวันนี้คือการใช้สายฟ้าให้คล่องแคล่ว ข้าจะให้เจ้าลองสู้กับสัตว์อสูรสักครั้ง” ฟางเซียนนำทางลู่เหลียนไปยังหน้าผาที่ระบบกล่าวถึง ซึ่งมันก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น

เมื่อไปถึงฟางเซียนก็ชะโงกดูข้างล่างของหน้าผาเพื่อดูให้มั่นใจว่ามันไม่ลึกมากจนเกินไป ตอนตกลงไปจะได้ไม่ตาย แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะว่านางกังวลว่าตัวเองจะตกลงไปตาย นางแค่คิดเผื่อไว้ให้ลู่เหลียนต่างหากล่ะ

“ไปดีมาดีล่ะ” ฟางเซียนได้กล่าวก่อนจะผลักลู่เหลียนไปทางหน้าผา

“อ๊ะ!” ลู่เหลียนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจก่อนจะเสียหลักล้มไปทางหน้าผาและตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนตกลงไปเขาได้มองฟางเซียนด้วยสายตาสับสนและกังวล แลดูน่าเห็นใจอย่างยิ่ง

[คุณฟางเซียน! ทำอะไรลงไปน่ะครับ!] ระบบกรีดร้องเสียงหลงอย่างตื่นตกใจ

“เอาตัวรอดให้ได้ล่ะ แค่นี้คงไม่ทำให้เจ้าตายหรอก” เมื่อลู่เหลียนร่วงไปถึงตีนหน้าผาฟางเซียนก็ตะโกนบอกเพียงเท่านั้น ไม่รอให้ลู่เหลียนได้ตอบกลับมานางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไม่สนใจไยดี

[ปล่อยลู่เหลียนไว้แบบนี้จะดีเหรอครับ?เดี๋ยวเขาก็ตายหรอกนะครับ] ระบบเอ่ยอย่างร้อนรน

“แบบนี้ล่ะดีแล้ว ฉันพยายามทำให้เขาแข็งแกร่งอยู่นะ ไม่รู้รึไงเมื่อคนเราได้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแล้วก็จะพยายามดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เชื่อเถอะว่าสุดท้ายลู่เหลียนก็ต้องรอดมาได้และแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม”

[ไม่นะ ทำไมแนวทางการสอนของคุณถึงได้ดูอันตรายแบบนี้ล่ะ] ระบบไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวิธีการสอนของฟางเซียนจะเป็นแบบนี้ มันน่ากังวลจริงๆ ว่ามารนกยูงจะรอดชีวิตไปจนถึงตอนโตหรือไม่...

“ยังไงซะฉันก็คงอยู่ดูแลเขาไม่นานอยู่แล้ว” ฟางเซียนนั่งแกว่งเท้าสบายใจในขณะที่ลู่เหลียนกำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ใต้หน้าผาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร

ฟางเซียนคาดว่าอีกไม่นานตัวเองอาจได้ขาดสารอาหารตายสมใจภายในไม่เกินสัปดาห์นี้เพราะนางไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรเลย นางจึงควรทำให้ลู่เหลียนแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้สามารถดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่มีนางและจะได้ไม่ถูกจับไปเป็นทาสอีกรอบ

[คุณคิดจะตายจริงเหรอครับ!?] ระบบส่งอีโมจิร้องไห้มาให้ฟางเซียนรัวๆ หวังขอความเห็นใจ

“รู้อยู่แล้วจะถามทำไม” ฟางเซียนกลอกตามองบน

ระบบห้ามฆ่าตัวตายเงียบไปครู่หนึ่ง มันคิดคำนวณบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป [แย่แล้วครับ ไม่ไกลนี้มีสัตว์อสูรระดับสูงที่กำลังจำศีลอยู่ด้วย หากไปรบกวนมันคุณอาจจะไม่รอดก็ได้ ถอยออกไปจากที่นี่หน่อยจะดีกว่านะครับ]

หน้าต่างระบบแสดงแผนที่ให้ฟางเซียนได้เห็นว่ามีสัตว์อสูรร้ายกาจอยู่ที่ไหนและชี้จุดปลอดภัยให้กับฟางเซียน

ดวงตาของฟางเซียนหรี่ลงอย่างเคลือบแคลงใจเพราะฟังยังไงมันก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ฟางเซียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเชื่อระบบดีหรือไม่ หากที่นั่นมีสัตว์อสูรจำศีลอยู่จริงมันอาจจะเป็นทางเลือกในการตายที่น่าสนใจ แต่ที่น่าสงสัยคือทำไมระบบถึงได้บอกนาง?

ฟางเซียนพยายามค้นหาเจตนาของระบบ ซึ่งเจตนาเดียวที่นางนึกออกก็คือ ห้ามนางไม่ให้ฆ่าตัวตาย หากประโยคเมื่อครู่เป็นประโยคแจ้งเตือนจริงแต่ฟางเซียนก็รู้สึกว่ามันมีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง

แต่ถึงจะคิดอะไรมากมาย สุดท้ายแล้วฟางเซียนก็ตัดสินใจจะไปดูสักครั้ง หากมีสัตว์อสูรโมโหร้ายหลังจากถูกรบกวนการนอนจริงมันคงดีไม่น้อย ฟางเซียนนึกภาพของตัวเองขณะถูกสัตว์ร้ายกัดหัวขาดหรือไม่ก็ถูกกรงเล็บตัดร่างเป็นสามท่อน

ภาพที่นางจินตนาการไว้มีหลายภาพหลายเหตุการณ์และโหดร้ายมาก มากซะจนฟางเซียนแอบคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นพวกชื่นชอบความเจ็บปวด ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะถึงนางจะอยากฆ่าตัวตายแต่ก็ใช่ว่าจะชื่นชอบความเจ็บปวดเสียหน่อย

ฟางเซียนมาถึงจุดหมายที่คาดว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงกำลังจำศีลอยู่ นางได้พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่และมีโพรงขนาดใหญ่ใต้รากไม้คล้ายถ้ำ หากเข้าไปไม่แน่ว่าอาจจะเจอบางสิ่งที่อันตราย ฟางเซียนจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปในนั้น ทางเข้าของโพรงไม้ใหญ่มากพอจะให้คนตัวใหญ่ลอดเข้าไปได้ ฟางเซียนจึงไม่มีปัญหาในการเข้าไป

ในโพรงไม่ใหญ่มากนักแต่มีเส้นทางเป็นอุโมงค์ลงไปใต้ดิน ฟางเซียนเดินเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย หากเป็นคนทั่วไปคงถูกเรียกว่าใจกล้าและบ้าบิ่น ทว่าสำหรับคนอย่างฟางเซียนคงต้องเรียกว่าเป็นคนบ้ามากเกินไป

“สวัสดี มีใครอยู่รึเปล่า ขออนุญาตเข้าไปนะ...” ฟางเซียนถามออกไปด้วยน้ำเสียงยานคางพลางเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ระเบิด’ ลงไปบนอากาศด้วยพลังปราณก่อนที่นางจะผลักตัวอักษรตัวนั้นไปข้างหน้าและนับตัวเลขหนึ่งถึงห้ารอในใจ

ตูม!!

และทันใดนั้นตัวอักษรก็ได้ระเบิดออกมา อุโมงค์ใต้ดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่ฟางเซียนก็ไม่ได้รับอันตรายจากมันเลยสักนิด

“ใครกันที่บังอาจมาก่อกวนเวลาจำศีลของข้า!” เมื่อระเบิดสงบลงเสียงคำรามจากส่วนลึกของอุโมงค์ก็ดังขึ้นมา

“เคาะประตูแล้วมีเสียงตอบกลับมาหมายความว่าอนุญาตแล้วสินะ งั้นขอเข้าไปนะ” ฟางเซียนพูดเองเออเองหน้าตาย

ระบบได้ยินดังนั้นถึงกับล้มโต๊ะในจินตนาการ [แบบนี้โลกของคุณเรียกว่าเคาะประตูเหรอครับ!? ระเบิดเมื่อครู่ไม่ทำให้อุโมงค์ถล่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว!]

“น่าสนใจนี่ ถ้าถูกดินทับตายฉันก็ไม่ต้องห่วงว่าศพของตัวเองหลังจากนั้นจะเป็นยังไง” ฟางเซียนได้กล่าว ระบบคิดว่าหากมันมีเท้ามันคงจะเอาเท้ากายหน้าผากเป็นแน่

ฟางเซียนได้ถูกบางอย่างดีดกระเด็นทันทีเมื่อเข้าไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของอุโมงค์ ในนั้นมืดสนิทฟางเซียนจึงมองไม่เห็นว่าอะไรโจมตีนางและไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีเมื่อไหร่ นั่นจึงทำให้กฎห้ามฆ่าตัวตายไม่ได้ควบคุมร่างกายของฟางเซียนให้หลบการโจมตี แต่ถึงจะไม่มีกฎห้ามฆ่าตัวตายควบคุมฟางเซียนก็ไม่บาดเจ็บหนักอยู่ดีเพราะมีโชครอดตายจากการถูกฆ่า

“เจ้ากล้ารบกวนการนอนของข้า!ใจกล้านัก” เจ้าของโพรงใต้ดินกล่าวอย่างขุ่นเคือง ฟางเซียนไม่ได้พูดอะไรออกไปและพยายามหรี่ตามองสิ่งที่อยู่ในความมืดเพื่อดูว่ามันคือตัวอะไร นางเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้นว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นว่าฟางเซียนยังคงนิ่งสงบสัตว์อสูรโมโหร้ายเพราะถูกปลุกให้ตื่นจากการจำศีลอย่างไม่เต็มใจก็ค่อยๆ สงบลงแตกต่างจากที่ฟางเซียนหวังไว้ว่าจะให้มันอาละวาดและฆ่านางให้ตายไปซะ

“เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนักและเก่งมากที่สามารถผ่านม่านพลังแห่งเซียนของข้าเข้ามาได้ ข้าชักสนใจเจ้าเสียแล้ว” สัตว์อสูรในเงามืดกล่าว สีหน้าของฟางเซียนว่างเปล่า “ข้าจะมองข้ามความไร้มารยาทของเจ้าสักครั้งหนึ่งแล้วกัน บุคคลผู้กล้าหาญเหมาะสมที่จะได้รับรางวัล”

ฟางเซียนกัดฟันอย่างหงุดหงิดและพูดออกไปอย่างหัวเสียว่า “ทำไมไม่ฆ่าข้าให้สิ้นเรื่อง ข้าบุกรุกพื้นที่ของเจ้าอยู่นะ!”

“โอ้ เจ้าช่างเป็นคนซื่อตรงนัก เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดพลาดก็กล้ายอมรับบทลงโทษอย่างไม่เกรงกลัว” สัตว์อสูรในเงามืดพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะถูกใจฟางเซียนมากขึ้น “ข้าจะให้ไม้เท้าแห่งเทพเป็นรางวัลให้กับเจ้าแล้วกัน”

“แต่ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร” เมื่อฟางเซียนกล่าวประโยคนี้ออกไปสัตว์อสูรในเงามืดก็หยุดชะงัก มันไม่รอช้าและเข้าโจมตีฟางเซียนอีกรอบ

“มารรึ!ถ้าเช่นนั้นอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดออกไป!” น้ำเสียงของมันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงแห่งความเกลียดชังทันที ร่างของฟางเซียนถูกผลักติดกับผนังอุโมงค์อย่างรุนแรง ลำคอของนางถูกบีบรัดจากมือใหญ่และหยาบกร้าน

รู้อย่างนี้น่าจะบอกตั้งแต่แรก...

ฟางเซียนยิ้มกว้างเตรียมตัวถูกหักคอและโบกมือทักทายยมทูตเต็มที่ แต่น่าแปลกใจเล็กน้อยที่ระบบไม่มาส่งเสียงโวยวายเลยทั้งที่ปกติหากนางตกอยู่ในอันตรายระบบน่าจะไม่ยอมอยู่เฉย

สงสัยได้ไม่นาน ในตอนนั้นเองสัตว์อสูรตัวนั้นก็ได้ปล่อยนางให้เป็นอิสระทั้งที่ยังไม่ได้ฆ่านาง

“อึก! กะ เกิดอะไรขึ้นกับข้า!” สัตว์อสูรตัวนั้นส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด

ฟางเซียนสับสนและมึนงงจึงจุดไฟขึ้นมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงได้เห็นหนูยักษ์ตัวหนึ่งกำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นเหมือนกำลังจะตายเร็วๆ นี้ ซึ่งมันก็ตายจริงๆ ร่างของมันค่อยๆ เหี่ยวแห้งราวกับถูกสูบสารอาหารออกจากร่าง ฟางเซียนขมวดคิ้ว นางสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหนูยักษ์ตัวนั้นแต่สิ่งที่นางสงสัยมากกว่าก็คือร่างกายของตัวเอง

นางรู้สึกว่ามีกำลังวังชาขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ...ไม่สิ นางอาจจะรู้ดีอยู่แก่ใจ

“ระบบ...นายทำอะไรลงไป” ฟางเซียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าดำมืด

[คุณบังคับให้ผมทำเองนะครับ ตอนแรกผมไม่คิดจะให้คุณมายุ่งเกี่ยวกับหนูตัวนี้หรอกครับเพราะถึงมันจะครอบครองอาวุธเซียนระดับสูงแต่มันไม่เป็นประโยชน์กับคุณที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารเลย แต่เพราะคุณไม่ยอมกินข้าวเพื่อบำรุงรักษาร่างกายของตัวเอง ผมจึงต้องหลอกให้คุณมาที่นี่เพื่อดูดกลืนแกนพลังปราณของหนูตัวนี้] ระบบกล่าวเสียงเรียบ แต่ฟางเซียนรู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา

“ระบบ...ทำไมฉันถึงมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้” ฟางเซียนถามอย่างเลื่อนลอยเพราะมีอาการช็อกอย่างหนัก

[เพราะคุณมีร่างกายแข็งแรงไงครับ!] ระบบตอบเสียงสดใสและส่งอีโมจิยิ้ม

“ระบบ...ทำไมฉันไม่หิว”

[คุณคงเผลอไปทานอาหารเพราะความหิวละมั้งครับ]

“ระบบ...ถ้าฉันเชื่อก็โง่แล้ว!นายทำบ้าอะไรลงไปกัน!” ฟางเซียนแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง

[ใจเย็นครับ มันไม่เลวร้ายสักหน่อยครับ ผมแค่ให้ร่างกายของคุณดูดกลืนแกนพลังปราณระดับ 7 ทั้งหมดเท่านั้นเอง ตอนนี้คุณจึงมีพลังปราณระดับ 7 พอดียินดีด้วยครับ!]

“ยินดีที่บิดาแกตายสิ!”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status