บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น
พิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์
เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด
มนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้
เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์กับปราณเทพหรือปราณปีศาจของเทพและปีศาจแล้ว พวกมันมีระดับพลังแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น ปราณเซียนระดับสิบจะเท่ากับปราณเทพระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่แปลกที่มนุษย์จะดูอ่อนแอในสายตาของทั้งสองเผ่า
หากมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสายใดก็ตามที่ต้องการเลื่อนระดับพลังปราณเป็นปราณเทพหรือปีศาจ พวกเขาก็จะต้องเดินทางไปยังอีกพิภพเพื่อดูดซับปราณเทพหรือปราณปีศาจที่ไม่มีอยู่ในพิภพมนุษย์
ซึ่งเส้นทางในการบำเพ็ญเพียรมันช่างหนักหนาสาหัสมากนัก ผู้คนจึงต่างก็ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับเจ็ดก่อนตายให้ได้เพราะมันเป็นระดับพลังที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเป็นอมตะ แต่ทว่าผู้คนมักจะไปไม่ถึงเป้าหมายเพราะการฝึกมันกินเวลานานมาก กว่าจะฝึกไปจนถึงขั้นสามได้มันต้องใช้เวลามากกว่าสิบถึงยี่สิบปีขึ้นไป
ไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามีหลายคนหมดกำลังใจและล้มเลิกกลางคัน
[ยินดีด้วยครับปราณมารของคุณเดินทางมาถึงระดับสามขั้นต่ำแล้ว! ได้รับรางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้มครับ]
แต่การฝึกตนที่ใครก็ต่างบอกกันว่ามันลำบากนักหนา ทว่ามันกลับมีคนบางคนสามารถเลื่อนระดับพลังปราณได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย และใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งเดือนก็สามารถเลื่อนระดับพลังปราณไปจนถึงระดับสามได้แล้ว
หากมีผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ได้รู้เรื่องนี้เข้าคงกระอักเลือดตายไปตามๆ กัน
“เพิ่มอีกแล้วเหรอ” ฟางเซียนถอนหายใจปลงเมื่อได้ยินระบบประกาศ นางไม่สามารถหยุดการเพิ่มพลังปราณอย่างต่อเนื่องนี่ได้เลย แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะมีชีวิตต่อนางยังไม่มีเลยเรี่ยวแรงที่จะไปโมโหกับมันอีกคงไม่มีแล้วเหมือนกัน “จะว่าไปสามพี่น้องนั่นไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าฉันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งเป็นสายตรงกันข้ามกับพวกเขา”
[ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับเพราะผมทำการเปิดระบบปกปิดพลังปราณของคุณไว้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าคุณมีพลังปราณแน่นอน] นั่นจึงไม่แปลกที่ว่าทำไมสามพี่น้องฮุ่ยถึงไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาฟางเซียนได้ขโมยพลังปราณจากแกนพลังปราณของพวกเขา
แผนการที่จะให้พวกเขารู้ว่านางเป็นมารและสังหารนางคงเป็นไปไม่ได้ แม้จะบอกไปตามตรงพวกเขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
“ฉันเคยบอกรึยังว่าเกลียดนายมาก” ฟางเซียนบ่น
[คุณเคยบอกแล้วครับ]
ฟางเซียนถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก โลกไม่น่าอยู่เลยสักนิด แล้วนางจะอยู่ต่อไปทำไมกัน ไร้ค่าซะจริง...
[คุณฟางเซียน ขณะนี้ถึงเวลาออกไปเดินตลาดแล้วครับ เพื่อเป็นการแสดงให้สามพี่น้องฮุ่ยได้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะอยู่คนเดียวแล้ว โปรดทำตามด้วย] เพื่อขัดขวางไม่ให้จิตใจของฟางเซียนย่ำแย่จากความคิดที่วนเวียนอยู่กับแค่เรื่องฆ่าตัวตายมันจึงจำเป็นต้องบังคับให้ฟางเซียนทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“ระบบเฮงซวย” ฟางเซียนลากสังขารตัวเองออกจากบ้านอย่างไม่มีทางเลือก
เพื่อรักษาโรคซึมเศร้าของฟางเซียนแม้จะต้องถูกด่าหรือถูกเกลียดระบบห้ามฆ่าตัวตายก็จำเป็นต้องทำต่อไป
“คนเยอะชะมัด” เมื่อมาถึงตลาดฟางเซียนก็บ่นอย่างหัวเสียอย่างเช่นทุกที ตั้งแต่ที่เลิกเป็นนักร้องนางก็เกลียดการที่ต้องอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาตลอด ถึงแม้นางจะพอทนได้หากไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่ยังก็เกลียดจนอดบ่นไม่ได้อยู่ดี
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งบ่นก็จะยิ่งเจอเพราะในเวลานี้เส้นทางในตลาดหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากว่ามีขบวนรถขนสินค้าของพ่อค้าทาสกลุ่มหนึ่งมายังตลาดแห่งนี้ พ่อค้าทาสกลุ่มนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศได้อย่างดีเพราะว่าสินค้าของพวกเขาไม่ใช่สินค้าธรรมดา มันคือปีศาจและสัตว์อสูรหายาก พ่อค้าทาสกลุ่มนี้จึงสามารถดึงดูดผู้คนที่สนใจซื้อปีศาจและชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นให้มารวมตัวกันได้ไม่ยาก
“การประมูลจะเริ่มในอีกสามวันข้างหน้า ใครก็ตามที่สนใจสินค้าของเราเชิญที่โรงประมูลของเมืองแห่งนี้ได้เลย” ชายผู้นำขบวนขนสินค้าป่าวประกาศขึ้นมาเสียงดังฟังชัดเรียกความสนใจของชาวบ้านมากขึ้น
และการเพิ่มจำนวนของชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นมันได้ทำให้ฟางเซียนต้องมาติดอยู่ในฝูงชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้จึงนับเป็นวันที่โชคร้ายของฟางเซียนไปโดยปริยาย
“ฉันกำลังขาดใจตาย” ฟางเซียนพึมพำหน้าซีดเผือดทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
[อย่างน้อยตอนนี้คุณควรสนใจรถลากคันต่อไปนี้นะครับ] ระบบบอก
ทันใดนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นเพราะผ้าคลุมของรถลากคันหนึ่งได้หลุดออกมาและเผยให้เห็นสินค้าของพ่อค้าทาส เสียงอื้ออึงของผู้คนในละแวกนั้นปะทุขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นเด็กคนหนึ่งในกรงขังบนรถลาก
แน่นอนว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา เส้นผมสีขาวและดวงตาสีแดงรวมทั้งหางและหงอนเหมือนนกยูงที่มีสีขาวลวดลายสีแดงมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจ
ฟางเซียนยืนนิ่งงันขณะมองดูร่างเล็กของเด็กอายุน้อยกว่าสิบขวบนั่งขดตัวอยู่ในกรง ใบหน้าที่น่ารักแสดงออกถึงความเย็นชาและดวงตาสีแดงได้จ้องมองผู้คนด้วยแววตาวาวโรจน์อย่างเงียบงัน เหมือนสัตว์ตัวเล็กและอ่อนแอที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมและพยายามปกป้องตัวเอง แม้ว่าจะไร้เรี่ยวแรงต่อต้านก็ตาม
มันช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสะเทือนใจแต่ทว่าทุกคนกลับแสดงความตื่นเต้นเหมือนได้พบเห็นสัตว์หายาก
ฟางเซียนเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ในฝูงชนที่กำลังโลดเต้น ดวงตาสีแดงของเด็กคนนั้นจึงหยุดชะงักอยู่ที่ฟางเซียน ทั้งคู่บังเอิญสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ได้ประกาศขึ้นมาว่า [คุณได้แรกพบสบตากับตัวร้ายสูงสุดในอนาคตแล้ว ภารกิจคือ รับเขาเป็นลูกศิษย์ หากทำสำเร็จคุณจะได้รับแต้มลบ 1,000 แต้ม หากทำพลาดแต้มบวกจะเพิ่มหนึ่งล้าน]
ฟางเซียนชะงัก นางพบกับตัวร้ายสูงสุดแล้วงั้นเหรอ?
ฟางเซียนนึกย้อนไปว่าเมื่อครู่นางสบตากับใคร ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางได้สบตาด้วย ฟางเซียนหันขวับไปมองปีศาจนกยูงตัวน้อยในกรงอีกครั้ง หน้าตาน่ารักไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่ทว่าเมื่อครู่ระบบบอกว่าเด็กคนนั้นคือตัวร้ายสูงสุดหรือมารนกยูงที่น่าจะมีเพศเป็นผู้ชาย!หรือนางเข้าใจผิด?
“ตัวร้ายสูงสุดคือผู้ชายหรือผู้หญิง?” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
[ผมยืนยันได้เลยว่าตัวร้ายสูงสุดเป็นผู้ชายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเลยล่ะครับ]
ฟางเซียนจำได้ว่าในเรื่องย่อของนิยาย ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ มันบรรยายไว้ว่าตัวร้ายสูงสุดหล่อเหล่าเทียบเท่าพระเอกเลยทีเดียว แต่ว่าเส้นผมสีขาวที่ดูนุ่มลื่น ใบหน้ารูปไข่ คิ้วบาง ขนตาหนาและงอนยาว ดวงตากลมโต และริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม ดูโดยรวมแล้วมันก็...น่ารักมากเลยไม่ใช่รึไง?
นึกภาพอนาคตของวายร้ายสุดหล่อเลวไม่ออกเลย...
เช้าวันหนึ่งนกส่งสารได้บินมาส่งจดหมายถึงสามพี่น้องฮุ่ย มันคือจดหมายเร่งด่วนจากสำนักเฉิน ในจดหมายมีคำสั่งให้พวกเขากลับไปยังสำนักเฉินโดยเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลาจากฟางเซียนไปอย่างกะทันหัน เวลาสำหรับการอำลาจึงมีน้อยมาก
“รักษาตัวด้วยนะขอรับ แม่นางฟางเซียน” ฮุ่ยหวงกล่าวกับฟางเซียนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
“หากประสบปัญหาเจ้าสามารถไปพบพวกเราที่สำนักเฉินได้ทุกเมื่อ” ฮุ่ยเหอเอ่ยพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ไว้ข้าจะหาเวลาแวะมาเยี่ยมนะ! พยายามมีชีวิตต่อไปให้ดีล่ะเพราะยังมีเช้าวันใหม่ที่สดใสรอเจ้าอยู่!” ฮุ่ยหลิงพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มสดใส
ฟางเซียนอยากจะตอบเขาไปว่า นาง เกลียด เช้า วัน ใหม่!
พวกเขาจะเอาอะไรกับคนอยากตายกันนักหนา ในช่วงหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกเขาบังคับให้นางเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร การต่อสู้ และการทำงานหาเงินด้วย เพราะเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตมาก เมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาจึงฝากให้นางทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง การทำงานในโรงเตี๊ยมนั่นเป็นสิ่งที่ฟางเซียนต้องฝืนใจทำมากที่สุดเลยล่ะ
ดังนั้นฟางเซียนจึงเกลียดสามพี่น้องฮุ่ยมาก แต่ฟางเซียนก็ยังคงต้องแสร้งส่งยิ้มอำลาเพื่อสร้างความสบายใจให้กับพวกเขาแม้ในใจจะตะโกนว่า ไม่ต้องกลับมาเลย! ก็ตาม...
[ได้เวลาไปโรงประมูลแล้วนะครับ คุณจะต้องประมูลมารนกยูงในอนาคตมาให้ได้] ระบบแจ้งเตือน เมื่อสามวันก่อนพ่อค้าทาสได้ประกาศไว้ว่าจะจัดงานประมูลทาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ตรงกับวันนี้พอดี
“จะใช้เงินที่ไหนไปประมูลมารนกยูงนั่นกัน?” นั่นคือสิ่งที่ฟางเซียนสงสัย แม้จะมีเงินที่สามพี่น้องฮุ่ยให้ไว้นางก็ยังมีเงินไม่มากพอที่จะไปใช้ซื้อทาสแน่นอน
[ผมยังไม่บอกเหรอครับว่าผมมีเงินมากพอที่จะให้คุณใช้ทั้งชาติเลย] เมื่อระบบกล่าวจบเงินทองมากมายก็ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและร่วงหล่นลงมากองตรงหน้าฟางเซียน ในตอนนั้นหน้าตาของฟางเซียนยับย่นราวกับสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก เมื่อก่อนนางเคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา ไม่ว่าจะยากลำบากแต่ไหนก็ตาม แต่เมื่อได้มาง่ายๆ เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังมาก
เมื่อมีเงินทองมากมายให้ใช้อย่างไม่จำกัดฟางเซียนจึงสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไม่มีปัญหา
“สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานประมูลของเรา วันนี้พวกเรามีสินค้ามากมายให้ทุกท่านได้เลือกชมหวังว่าจะถูกใจกันนะขอรับ” พิธีกรได้กล่าวเปิดงานและการประมูลชุดแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที
บุคคลผู้ร่ำรวยทั้งหลายในโรงประมูลต่างก็พยายามตะโกนเพิ่มราคาสินค้าแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ฟางเซียนนั่งหน้าตึงและมอง ‘สินค้า’ ที่ถูกประมูลออกไป
เมื่อได้มองมันทำให้นางรู้สึกขำเสียจริง ระบบบอกว่าโลกต้องการสมดุลขาวดำจึงดึงนางมาเพื่อสร้างความมืดที่ขาดหายไป แต่ดูแล้วความมืดไม่น่าจะขาดนะ ก็ดูสิพวกน่ารังเกียจมีเยอะแยะเลยไม่ใช่รึไง?แค่ได้เห็นสีหน้าโลภมากและเต็มไปด้วยตัณหาของพวกนั้นฟางเซียนก็รู้สึกรังเกียจแล้ว
รู้อนาคตได้เลยว่า ‘สินค้า’ เหล่านั้นจะได้พบเจอกับอะไร
แต่จะว่าไปตัวร้ายสูงสุดมีจุดเริ่มต้นจากการถูกจับมาขายเป็นทาสสินะ?ดูจากความน่ารักจนเพศหญิงไม่อยากให้อภัยนั่นหากถูกซื้อไปโดยพวกมากตัณหาสักคนชีวิตคงไม่น่าอภิรมย์นัก ประวัติของตัวร้ายสูงสุดน่าจะประมาณว่าถูกเหยียบย่ำร่างกายจนเกิดความแค้นและเข้าสู่ด้านมืด?
“ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด มันจะดีเหรอถ้ามาช่วยเขาตอนนี้?” ฟางเซียนเอ่ยถามระบบ หากต้องการตัวร้ายที่โคตรจะชั่วร้าย การปล่อยให้ตัวร้ายได้ผจญกับความโหดร้ายของโลกอีกสักหน่อยมันก็น่าจะทำให้ตัวร้ายเกลียดชังโลกใบนี้และสร้างหายนะให้กับโลกอย่างไม่ลังเล
[แค่สอนวิชาต้องห้ามให้กับเขาจนเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ถือว่าได้ตัวร้ายสูงสุดมาแล้วล่ะครับ]
“นั่นมันเรียกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว แค่ฝึกวิชาต้องห้ามก็ถือว่าเป็นตัวร้ายเลยรึไง”
[โลกนี้แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนครับ ถึงการบำเพ็ญเพียรของเซียนและมารแทบจะเหมือนกันก็เถอะ แต่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรสายมารมีปราณสีดำและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนมีปราณสีขาว พวกเขาจึงแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายอย่างที่เห็น คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เพราะโลกนี้ถูกตั้งค่ามาเช่นนั้น]
ฟางเซียนหัวเราะในลำคออดนึกสังเวชผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไม่ได้ โชคร้ายเสียจริง
“ต่อไปนี้จะเป็นสินค้าชิ้นพิเศษสำหรับงานในวันนี้ เชิญทุกท่านรับชมได้เลย!” พิธีกรได้กล่าวด้วยน้ำเสียงอลังการชวนตื่นเต้น ต่อมาสินค้าชิ้นพิเศษก็ได้ถูกนำตัวขึ้นไปบนเวทีโดยยังมีผ้าสีขาวคลุมร่างไว้
ฟางเซียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือ มารนกยูง ตัวร้ายสูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกร่างเล็กของเด็กผู้ชายแต่เหมือนเด็กผู้หญิงก็ได้ปรากฏสู่สายตาของผู้คน หางและหงอนของนกยูงสีขาวลวดลายสีแดงอันสง่างามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้คนในโรงประมูลเป็นอย่างมาก
ในยามนี้เด็กคนนั้นดูสวยงามกว่าเมื่อสามวันก่อนมากเพราะร่างกายดูสะอาดสะอ้านจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนและเมื่อถูกตกแต่งด้วยเสื้อผ้าชั้นดีมันก็ยิ่งเสริมให้เด็กคนนั้นดูสูงค่า
ผู้คนต่างโห่ร้องแสดงความตื่นเต้นและอยากได้
“นี่คือลูกครึ่งปีศาจนกยูงสีขาวอันหายากแม้อายุจะยังน้อยและมีเพศชายแต่รับรองได้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นมันสามารถสร้างความบันเทิงให้กับทุกท่านได้อย่างแน่นอน!ราคาเริ่มต้นอยู่ที่...”
“ห้าแสน!” ทว่าไม่ทันที่พิธีกรจะได้กล่าวราคาเริ่มต้นใครบางคนที่ใจร้อนก็ได้ตะโกนเสนอราคาขึ้นมาเสียก่อน
“เก้าแสน!” ทว่าคนอื่นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ราคาของลูกครึ่งปีศาจนกยูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มมีราคาแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะจ่ายไหว
ทว่าชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนก็ยังคงไม่ยอมแพ้และตะโกนเพิ่มราคาต่อไป
[คุณสามารถเสนอราคาเท่าไหร่ก็ได้ตามใจคุณเพื่อรับตัวมารนกยูงมาเป็นลูกศิษย์] ระบบได้กล่าวไว้ฟางเซียนจึงไม่เกรงใจที่จะเสนอราคาสูงสุดออกไป
“สามร้อยล้าน”
เพียงคำพูดแสนสั้นของฟางเซียนมันก็ได้ทำให้ทั้งโรงประมูลเงียบกริบอย่างรวดเร็ว
ฟางเซียนตีหน้ามึน มองนางทำไม?นางก็แค่เห็นใจคนแก่ที่พยายามตะโกนเสนอราคาจนแทบเป็นโรคหอบหืดจึงตัดสินใจจบการประมูลให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนสบถอย่างหัวเสียพลางหันมาจ้องมองฟางเซียนด้วยสายตาอาฆาต
ฟางเซียนแสร้งเลิกคิ้วถาม ทำไมต้องส่งสายตาอาฆาตให้กันขนาดนั้น?นางก็อุตส่าห์ช่วยประหยัดเงินให้ตาแก่มากตัณหามีเงินเหลือไว้ให้ลูกหลานใช้เชียวนะ
“ท่าน...” พิธีกรไม่ทราบว่าฟางเซียนเป็นใครจึงหยุดพูดอยู่เพียงเท่านั้น เขาไม่แน่ใจนักว่าควรประกาศดีหรือไม่เพราะเกรงว่าฟางเซียนจะเป็นเพียงพวกไม่ประมาณเงินในคลังสมบัติตัวเอง
ฟางเซียนเห็นสายตาเคลือบแคลงนั่นจึงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ระบบห้ามฆ่าตัวตายรู้งานอย่างดีจึงปล่อยเงินทองจำนวนมหาศาลลงไปกองต่อหน้าพิธีกรการประมูลทันที ผู้คนในโรงประมูลอ้าปากค้างตาโตเท่าไข่มังกรเมื่อเห็นเงินทองจำนวนไม่อาจนับได้ร่วงหล่นออกมาจากอากาศ
ทันใดนั้นชายร่างท้วมคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากหลังเวทีและเข้าไปดูเงินทองกองมหาศาลบนเวทีด้วยสีหน้าโลภมากอย่างถึงที่สุด ชายร่างท้วมคล้ายกับกำลังตรวจสอบเงินเหล่านั้นว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริงเขาก็ส่งสัญญาณให้คนมาเก็บสมบัติก่อนจะวิ่งมาหาฟางเซียนอย่างกระตือรือร้น
“ท่าน...ท่านหญิงผู้สูงส่งเชิญรับสินค้าไปได้เลยขอรับ” ชายร่างท้วมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
“แน่นอน” ฟางเซียนเชิดหน้าอย่างถือตัว ในสายตาของผู้คนพวกเขาคิดว่าฟางเซียนคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง จึงไม่นึกแปลกใจทันทีว่าทำไมนางถึงสามารถทำให้เงินทองหล่นออกมาจากอากาศได้
แผนการดักปล้นเพื่อแย่งชิงเงินทองและทาสนกยูงตัวงามคงต้องคิดดูกันอีกที
เมื่อจ่ายเงินจนครบแล้วฟางเซียนก็ได้รับตัวมารนกยูงในอนาคตมาไว้ในครอบครอง พ่อค้าทาสเห็นฟางเซียนเป็นลูกค้าชั้นดีจึงบริการจัดส่งสินค้าและบริการคุ้มครองให้อย่างดี นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดักปล้นหรือแย่งชิงตัวทาสระหว่างทางกลับนั่นเอง
พ่อค้าทาสมีความระมัดระวังตัวสูงมากการคุ้มครองของพวกเขาจึงแน่นหนาอย่างมาก ฟางเซียนกลับมาถึงบ้านพักได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหาตามมากวนใจ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กวนใจก็ยังคงเหลืออยู่อีกหนึ่ง นั่นก็คือนกยูงตัวสีขาวที่นั่งจ้องมองนางอยู่ในขณะนี้
ไม่แน่ใจว่ามองผิดหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเขามองนางด้วยสายตาเหมือนกับกำลังมองยัยป้ามากตัณหาที่ต้องการกินเด็กอย่างไรอย่างนั้น มันน่าหงุดหงิดไม่น้อย
ฟางเซียนจึงมองตอบเขากลับไปด้วยสายตาไม่พอใจ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นการเล่นจ้องตากันไปซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนั่งเล่นจ้องตากันทำไม
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะระแวดระวังตัวมาก แม้ว่าจะถูกจับขายมาเป็นทาสแล้วแต่แววตาก็ฉายแววแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง ทั้งที่ดูยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แล้วเพราะพ่อค้าทาสได้สวมกำไลสำหรับทาสไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองของเขาแล้ว
มันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มีไว้เพื่อระบุตัวตนว่าใครเป็นทาสหรือไม่เท่านั้น มันมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น การระบุตำแหน่งของทาส ตราบใดที่มีกำไลบนข้อเท้าทาสเหล่านั้นก็จะหนีไม่รอด นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่ทาสต้องการที่จะต่อต้าน กำไลอาคมก็จะปลดปล่อยพลังงานออกมาทรมาน และคุณสมบัติสุดท้ายก็คือการปิดกั้นการใช้พลังปราณนั่นเอง
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปีศาจที่ถูกจับมาเป็นทาสถึงไม่สามารถขัดขืนหรือหลบหนีไปได้
[เอาแต่จ้องตากันไม่ได้นะครับ รับเขาเป็นลูกศิษย์เลย ไม่สิ ก่อนอื่นคือต้องถอดกำไลทาสออกก่อนเพื่อสร้างความไว้วางใจ จากนั้นก็ประทับสัญลักษณ์เพื่อยืนยันว่าเขาคือลูกศิษย์ของคุณ จากนั้นก็สอนวิชามารให้กับเขา] ระบบกล่าวสิ่งที่ฟางเซียนต้องทำอย่างเป็นลำดับ แต่ฟางเซียนกลับนั่งหาวนอนเหมือนไม่ได้ฟังซะงั้น
“เจ้าเป็นเด็กผู้ชายจริงงั้นเหรอ?” ฟางเซียนถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด ยิ่งได้มองใกล้ๆ นางก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ามารนกยูงในอนาคตที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือเด็กผู้ชายจริงๆ
[ชื่อเขาคือ ลู่เหลียน แซ่ลู่ที่มาหมายถึง ‘หยก’ และนามเหลียนที่หมายถึง ‘ดอกบัว’ อายุ 7 ขวบ และเป็นเด็กผู้ชายแน่นอนครับ ลู่เหลียนเกิดจากแม่ที่เป็นปีศาจนกยูงและพ่อที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เขาที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าจึงอาศัยอยู่ในป่าอย่างหลบๆ ซ่อนๆ กับปีศาจตนอื่นจนกระทั่งถูกพ่อค้าทาสพบตัวและถูกจับมาขายอย่างที่เห็นครับ]
“เด็กผู้ชาย...” ฟางเซียนพึมพำอย่างไม่แน่ใจพลางกวาดสายตามองเด็กชายตรงหน้าขึ้นลงอยู่หลายครั้ง
ดูจากชุดที่ลู่เหลียนสวมใส่พ่อค้าทาสพวกนั้นคงตั้งใจจะทำให้ลูกค้าสับสนว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแน่นอน เพราะทั้งลักษณะและลวดลายเสื้อผ้ามันดูคล้ายชุดของเด็กผู้หญิงมาก จะสับสนเรื่องเพศของเด็กคนนี้ก็คงไม่แปลกล่ะนะ
“เจ้าชื่อลู่เหลียนสินะ” ฟางเซียนเอ่ยถาม
ลู่เหลียนชะงัก ทั้งที่เขาไม่เคยบอกชื่อออกไปแต่ฟางเซียนกลับรู้ เขาจึงรู้สึกไม่ไว้วางใจและมองฟางเซียนด้วยความรู้สึกหวาดระแวงที่เพิ่มมากขึ้น ดวงตาสีแดงราวกับสัตว์ป่าของเขาจ้องมองนางอย่างดุร้าย
แต่ถึงแม้ว่าลู่เหลียนจะพยายามใช้สายตาดุร้ายเพื่อข่มขู่ฟางเซียนมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้วสายตาคู่นั้นก็ไม่ดูน่ากลัวเลย ตรงกันข้ามมันดูน่าสนใจ แต่ก็น่าหงุดหงิดเช่นกันทั้งที่ในใจก็หวาดกลัวแต่ก็ยังแสดงออกอย่างกล้าหาญเพื่อต่อสู้กับโชคร้ายในชีวิต เมื่อได้เห็นดังนั้นฟางเซียนรู้สึกว่าหัวใจมันด้านชา นางน่ะเป็นผู้ที่ยอมแพ้ทุกสิ่งและต้องการความตาย นางและเด็กคนนี้ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็ใช่ว่านางจะเกลียดเพราะอย่างไรก็ตามนางก็เคยพยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตเหมือนกับเขาเช่นกัน แต่เขาจะแตกต่างจากนางก็ตรงที่เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อใครหรือมีเป้าหมายชีวิตอะไรทั้งสิ้น เขาพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ไร้จุดหมายสิ้นดี...แต่ก็คงดีไม่น้อยถ้าเขาไม่ยอมแพ้เหมือนกับนาง
“เคารพข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าเสียสิ ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเอง”
บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข
บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 1.1 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที ฟางเซียน มีความหมายว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม มันคือชื่อเล่นภาษาจีนที่แม่ของนางตั้งให้เพราะแม่ของนางเป็นชาวจีน แต่เนื่องจากว่าพ่อของนางเป็นชาวไทยดังนั้นฟางเซียนจึงอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เกิดกับพ่อแม่และน้องสาว พวกเราดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นทั่วไปจนกระทั่งแม่ของนางจับได้ว่าพ่อแอบมีผู้หญิงคนอื่น แม่ของนางพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมเพราะเห็นแก่นางที่เพิ่งมีอายุเจ็บขวบและน้องสาวของนางที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่แล้วพ่อของนางก็ทิ้งครอบครัวไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก แม่ของนางจึงตัดสินใจพาพวกนางสองพี่น้องกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศจีน แต่เพราะแม่ของนางถูกตัดขาดออกจากตระกูลแล้วพวกเราสามแม่ลูกจึงต้องไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แม่ของนางต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงนางและน้องสาวจนกระทั่งแม่ของนางพบรักครั้งใหม่กับผู้ชายคนหนึ่ง มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นที่แม่หลงรักไม่ต้องการลูกติด ดังนั้นแม่ของนางซึ่งเหนื่อยกับการเลี้ยงดูนางและน้องจึงตัดสินใจทิ้งพวกนางที่เป็นเหมือนภาระและไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก
บทที่ 1.2 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีราชันมังกรทองสยบนภา คือนิยายแนวผจญภัยในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนและมารเรื่องหนึ่งที่ยาวมากอธิบาย ‘มาร’ และ ‘เซียน’ ก็คือมนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรตบะเพื่อให้ได้รับพลังมา ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันแค่ มารจะฝึกวิชาสายชั่วร้ายและดูดซับปราณสีดำ ฝ่ายเซียนก็จะฝึกในเส้นทางตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าเส้นทางคนดี๊ดี ดูดซับแค่ปราณขาวสะอาด ส่วน ‘ปีศาจ’ และ ‘เทพ’ ก็คือเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายแน่นอนว่าสูตรโกงของพระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ ก็คือการที่ได้เกิดเป็นมังกรทองเผ่าเทพ จ้าวหลงเทียน คือชื่อของเขา ตำแหน่งของเขาในพิภพเทพค่อนข้างสูงส่งเพราะมังกรทองมีไม่มากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งจ้าวหลงเทียนเหมือนจะเบื่อการเป็นเทพหรืออะไรก็ไม่รู้เขาได้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนพิภพมนุษย์เรื่องราวนิยายเริ่มต้นตรงนั้นเนื่องมาจากว่านิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เป็นนิยายแนวฝึกฝนพลังและออกไปวิ่งไล่ตบตัวร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้อ่านจึงจะได้พบแค่เพียงการต่อสู้ของพระเอกและตัวร้ายจนดูน่าเบื่อหน่าย แต่จุดขายอย่า
บทที่ 2.1ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเองแม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำแต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว