หน้าหลัก / รักโบราณ / ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย / บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น

แชร์

บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-10 07:36:42

บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น

พิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์

เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด

มนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

แต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้

เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์กับปราณเทพหรือปราณปีศาจของเทพและปีศาจแล้ว พวกมันมีระดับพลังแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น ปราณเซียนระดับสิบจะเท่ากับปราณเทพระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่แปลกที่มนุษย์จะดูอ่อนแอในสายตาของทั้งสองเผ่า

หากมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสายใดก็ตามที่ต้องการเลื่อนระดับพลังปราณเป็นปราณเทพหรือปีศาจ พวกเขาก็จะต้องเดินทางไปยังอีกพิภพเพื่อดูดซับปราณเทพหรือปราณปีศาจที่ไม่มีอยู่ในพิภพมนุษย์

ซึ่งเส้นทางในการบำเพ็ญเพียรมันช่างหนักหนาสาหัสมากนัก ผู้คนจึงต่างก็ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับเจ็ดก่อนตายให้ได้เพราะมันเป็นระดับพลังที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเป็นอมตะ แต่ทว่าผู้คนมักจะไปไม่ถึงเป้าหมายเพราะการฝึกมันกินเวลานานมาก กว่าจะฝึกไปจนถึงขั้นสามได้มันต้องใช้เวลามากกว่าสิบถึงยี่สิบปีขึ้นไป

ไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามีหลายคนหมดกำลังใจและล้มเลิกกลางคัน

[ยินดีด้วยครับปราณมารของคุณเดินทางมาถึงระดับสามขั้นต่ำแล้ว! ได้รับรางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้มครับ]

แต่การฝึกตนที่ใครก็ต่างบอกกันว่ามันลำบากนักหนา ทว่ามันกลับมีคนบางคนสามารถเลื่อนระดับพลังปราณได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย และใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งเดือนก็สามารถเลื่อนระดับพลังปราณไปจนถึงระดับสามได้แล้ว

หากมีผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ได้รู้เรื่องนี้เข้าคงกระอักเลือดตายไปตามๆ กัน

“เพิ่มอีกแล้วเหรอ” ฟางเซียนถอนหายใจปลงเมื่อได้ยินระบบประกาศ นางไม่สามารถหยุดการเพิ่มพลังปราณอย่างต่อเนื่องนี่ได้เลย แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะมีชีวิตต่อนางยังไม่มีเลยเรี่ยวแรงที่จะไปโมโหกับมันอีกคงไม่มีแล้วเหมือนกัน “จะว่าไปสามพี่น้องนั่นไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าฉันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งเป็นสายตรงกันข้ามกับพวกเขา”

[ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับเพราะผมทำการเปิดระบบปกปิดพลังปราณของคุณไว้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าคุณมีพลังปราณแน่นอน] นั่นจึงไม่แปลกที่ว่าทำไมสามพี่น้องฮุ่ยถึงไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาฟางเซียนได้ขโมยพลังปราณจากแกนพลังปราณของพวกเขา

แผนการที่จะให้พวกเขารู้ว่านางเป็นมารและสังหารนางคงเป็นไปไม่ได้ แม้จะบอกไปตามตรงพวกเขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี

“ฉันเคยบอกรึยังว่าเกลียดนายมาก” ฟางเซียนบ่น

[คุณเคยบอกแล้วครับ]

ฟางเซียนถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก โลกไม่น่าอยู่เลยสักนิด แล้วนางจะอยู่ต่อไปทำไมกัน ไร้ค่าซะจริง...

[คุณฟางเซียน ขณะนี้ถึงเวลาออกไปเดินตลาดแล้วครับ เพื่อเป็นการแสดงให้สามพี่น้องฮุ่ยได้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะอยู่คนเดียวแล้ว โปรดทำตามด้วย] เพื่อขัดขวางไม่ให้จิตใจของฟางเซียนย่ำแย่จากความคิดที่วนเวียนอยู่กับแค่เรื่องฆ่าตัวตายมันจึงจำเป็นต้องบังคับให้ฟางเซียนทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

“ระบบเฮงซวย” ฟางเซียนลากสังขารตัวเองออกจากบ้านอย่างไม่มีทางเลือก

เพื่อรักษาโรคซึมเศร้าของฟางเซียนแม้จะต้องถูกด่าหรือถูกเกลียดระบบห้ามฆ่าตัวตายก็จำเป็นต้องทำต่อไป

“คนเยอะชะมัด” เมื่อมาถึงตลาดฟางเซียนก็บ่นอย่างหัวเสียอย่างเช่นทุกที ตั้งแต่ที่เลิกเป็นนักร้องนางก็เกลียดการที่ต้องอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาตลอด ถึงแม้นางจะพอทนได้หากไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่ยังก็เกลียดจนอดบ่นไม่ได้อยู่ดี

แต่ดูเหมือนว่ายิ่งบ่นก็จะยิ่งเจอเพราะในเวลานี้เส้นทางในตลาดหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากว่ามีขบวนรถขนสินค้าของพ่อค้าทาสกลุ่มหนึ่งมายังตลาดแห่งนี้ พ่อค้าทาสกลุ่มนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศได้อย่างดีเพราะว่าสินค้าของพวกเขาไม่ใช่สินค้าธรรมดา มันคือปีศาจและสัตว์อสูรหายาก พ่อค้าทาสกลุ่มนี้จึงสามารถดึงดูดผู้คนที่สนใจซื้อปีศาจและชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นให้มารวมตัวกันได้ไม่ยาก

“การประมูลจะเริ่มในอีกสามวันข้างหน้า ใครก็ตามที่สนใจสินค้าของเราเชิญที่โรงประมูลของเมืองแห่งนี้ได้เลย” ชายผู้นำขบวนขนสินค้าป่าวประกาศขึ้นมาเสียงดังฟังชัดเรียกความสนใจของชาวบ้านมากขึ้น

และการเพิ่มจำนวนของชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นมันได้ทำให้ฟางเซียนต้องมาติดอยู่ในฝูงชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้จึงนับเป็นวันที่โชคร้ายของฟางเซียนไปโดยปริยาย

“ฉันกำลังขาดใจตาย” ฟางเซียนพึมพำหน้าซีดเผือดทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

[อย่างน้อยตอนนี้คุณควรสนใจรถลากคันต่อไปนี้นะครับ] ระบบบอก

ทันใดนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นเพราะผ้าคลุมของรถลากคันหนึ่งได้หลุดออกมาและเผยให้เห็นสินค้าของพ่อค้าทาส เสียงอื้ออึงของผู้คนในละแวกนั้นปะทุขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นเด็กคนหนึ่งในกรงขังบนรถลาก

แน่นอนว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา เส้นผมสีขาวและดวงตาสีแดงรวมทั้งหางและหงอนเหมือนนกยูงที่มีสีขาวลวดลายสีแดงมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจ

ฟางเซียนยืนนิ่งงันขณะมองดูร่างเล็กของเด็กอายุน้อยกว่าสิบขวบนั่งขดตัวอยู่ในกรง ใบหน้าที่น่ารักแสดงออกถึงความเย็นชาและดวงตาสีแดงได้จ้องมองผู้คนด้วยแววตาวาวโรจน์อย่างเงียบงัน เหมือนสัตว์ตัวเล็กและอ่อนแอที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมและพยายามปกป้องตัวเอง แม้ว่าจะไร้เรี่ยวแรงต่อต้านก็ตาม

มันช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสะเทือนใจแต่ทว่าทุกคนกลับแสดงความตื่นเต้นเหมือนได้พบเห็นสัตว์หายาก

ฟางเซียนเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ในฝูงชนที่กำลังโลดเต้น ดวงตาสีแดงของเด็กคนนั้นจึงหยุดชะงักอยู่ที่ฟางเซียน ทั้งคู่บังเอิญสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ทันใดนั้นระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ได้ประกาศขึ้นมาว่า [คุณได้แรกพบสบตากับตัวร้ายสูงสุดในอนาคตแล้ว ภารกิจคือ รับเขาเป็นลูกศิษย์ หากทำสำเร็จคุณจะได้รับแต้มลบ 1,000 แต้ม หากทำพลาดแต้มบวกจะเพิ่มหนึ่งล้าน]

ฟางเซียนชะงัก นางพบกับตัวร้ายสูงสุดแล้วงั้นเหรอ?

ฟางเซียนนึกย้อนไปว่าเมื่อครู่นางสบตากับใคร ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางได้สบตาด้วย ฟางเซียนหันขวับไปมองปีศาจนกยูงตัวน้อยในกรงอีกครั้ง หน้าตาน่ารักไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่ทว่าเมื่อครู่ระบบบอกว่าเด็กคนนั้นคือตัวร้ายสูงสุดหรือมารนกยูงที่น่าจะมีเพศเป็นผู้ชาย!หรือนางเข้าใจผิด?

“ตัวร้ายสูงสุดคือผู้ชายหรือผู้หญิง?” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

[ผมยืนยันได้เลยว่าตัวร้ายสูงสุดเป็นผู้ชายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเลยล่ะครับ]

ฟางเซียนจำได้ว่าในเรื่องย่อของนิยาย ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ มันบรรยายไว้ว่าตัวร้ายสูงสุดหล่อเหล่าเทียบเท่าพระเอกเลยทีเดียว แต่ว่าเส้นผมสีขาวที่ดูนุ่มลื่น ใบหน้ารูปไข่ คิ้วบาง ขนตาหนาและงอนยาว ดวงตากลมโต และริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม ดูโดยรวมแล้วมันก็...น่ารักมากเลยไม่ใช่รึไง?

นึกภาพอนาคตของวายร้ายสุดหล่อเลวไม่ออกเลย...

เช้าวันหนึ่งนกส่งสารได้บินมาส่งจดหมายถึงสามพี่น้องฮุ่ย มันคือจดหมายเร่งด่วนจากสำนักเฉิน ในจดหมายมีคำสั่งให้พวกเขากลับไปยังสำนักเฉินโดยเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลาจากฟางเซียนไปอย่างกะทันหัน เวลาสำหรับการอำลาจึงมีน้อยมาก

“รักษาตัวด้วยนะขอรับ แม่นางฟางเซียน” ฮุ่ยหวงกล่าวกับฟางเซียนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์

“หากประสบปัญหาเจ้าสามารถไปพบพวกเราที่สำนักเฉินได้ทุกเมื่อ” ฮุ่ยเหอเอ่ยพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม

“ไว้ข้าจะหาเวลาแวะมาเยี่ยมนะ! พยายามมีชีวิตต่อไปให้ดีล่ะเพราะยังมีเช้าวันใหม่ที่สดใสรอเจ้าอยู่!” ฮุ่ยหลิงพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มสดใส

ฟางเซียนอยากจะตอบเขาไปว่า นาง เกลียด เช้า วัน ใหม่!

พวกเขาจะเอาอะไรกับคนอยากตายกันนักหนา ในช่วงหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกเขาบังคับให้นางเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร การต่อสู้ และการทำงานหาเงินด้วย เพราะเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตมาก เมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาจึงฝากให้นางทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง การทำงานในโรงเตี๊ยมนั่นเป็นสิ่งที่ฟางเซียนต้องฝืนใจทำมากที่สุดเลยล่ะ

ดังนั้นฟางเซียนจึงเกลียดสามพี่น้องฮุ่ยมาก แต่ฟางเซียนก็ยังคงต้องแสร้งส่งยิ้มอำลาเพื่อสร้างความสบายใจให้กับพวกเขาแม้ในใจจะตะโกนว่า ไม่ต้องกลับมาเลย! ก็ตาม...

[ได้เวลาไปโรงประมูลแล้วนะครับ คุณจะต้องประมูลมารนกยูงในอนาคตมาให้ได้] ระบบแจ้งเตือน เมื่อสามวันก่อนพ่อค้าทาสได้ประกาศไว้ว่าจะจัดงานประมูลทาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ตรงกับวันนี้พอดี

“จะใช้เงินที่ไหนไปประมูลมารนกยูงนั่นกัน?” นั่นคือสิ่งที่ฟางเซียนสงสัย แม้จะมีเงินที่สามพี่น้องฮุ่ยให้ไว้นางก็ยังมีเงินไม่มากพอที่จะไปใช้ซื้อทาสแน่นอน

[ผมยังไม่บอกเหรอครับว่าผมมีเงินมากพอที่จะให้คุณใช้ทั้งชาติเลย] เมื่อระบบกล่าวจบเงินทองมากมายก็ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและร่วงหล่นลงมากองตรงหน้าฟางเซียน ในตอนนั้นหน้าตาของฟางเซียนยับย่นราวกับสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก เมื่อก่อนนางเคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา ไม่ว่าจะยากลำบากแต่ไหนก็ตาม แต่เมื่อได้มาง่ายๆ เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังมาก

เมื่อมีเงินทองมากมายให้ใช้อย่างไม่จำกัดฟางเซียนจึงสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไม่มีปัญหา

“สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานประมูลของเรา วันนี้พวกเรามีสินค้ามากมายให้ทุกท่านได้เลือกชมหวังว่าจะถูกใจกันนะขอรับ” พิธีกรได้กล่าวเปิดงานและการประมูลชุดแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที

บุคคลผู้ร่ำรวยทั้งหลายในโรงประมูลต่างก็พยายามตะโกนเพิ่มราคาสินค้าแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ฟางเซียนนั่งหน้าตึงและมอง ‘สินค้า’ ที่ถูกประมูลออกไป

เมื่อได้มองมันทำให้นางรู้สึกขำเสียจริง ระบบบอกว่าโลกต้องการสมดุลขาวดำจึงดึงนางมาเพื่อสร้างความมืดที่ขาดหายไป แต่ดูแล้วความมืดไม่น่าจะขาดนะ ก็ดูสิพวกน่ารังเกียจมีเยอะแยะเลยไม่ใช่รึไง?แค่ได้เห็นสีหน้าโลภมากและเต็มไปด้วยตัณหาของพวกนั้นฟางเซียนก็รู้สึกรังเกียจแล้ว

รู้อนาคตได้เลยว่า ‘สินค้า’ เหล่านั้นจะได้พบเจอกับอะไร

แต่จะว่าไปตัวร้ายสูงสุดมีจุดเริ่มต้นจากการถูกจับมาขายเป็นทาสสินะ?ดูจากความน่ารักจนเพศหญิงไม่อยากให้อภัยนั่นหากถูกซื้อไปโดยพวกมากตัณหาสักคนชีวิตคงไม่น่าอภิรมย์นัก ประวัติของตัวร้ายสูงสุดน่าจะประมาณว่าถูกเหยียบย่ำร่างกายจนเกิดความแค้นและเข้าสู่ด้านมืด?

“ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด มันจะดีเหรอถ้ามาช่วยเขาตอนนี้?” ฟางเซียนเอ่ยถามระบบ หากต้องการตัวร้ายที่โคตรจะชั่วร้าย การปล่อยให้ตัวร้ายได้ผจญกับความโหดร้ายของโลกอีกสักหน่อยมันก็น่าจะทำให้ตัวร้ายเกลียดชังโลกใบนี้และสร้างหายนะให้กับโลกอย่างไม่ลังเล

[แค่สอนวิชาต้องห้ามให้กับเขาจนเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ถือว่าได้ตัวร้ายสูงสุดมาแล้วล่ะครับ]

“นั่นมันเรียกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว แค่ฝึกวิชาต้องห้ามก็ถือว่าเป็นตัวร้ายเลยรึไง”

[โลกนี้แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนครับ ถึงการบำเพ็ญเพียรของเซียนและมารแทบจะเหมือนกันก็เถอะ แต่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรสายมารมีปราณสีดำและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนมีปราณสีขาว พวกเขาจึงแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายอย่างที่เห็น คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เพราะโลกนี้ถูกตั้งค่ามาเช่นนั้น]

ฟางเซียนหัวเราะในลำคออดนึกสังเวชผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไม่ได้ โชคร้ายเสียจริง

“ต่อไปนี้จะเป็นสินค้าชิ้นพิเศษสำหรับงานในวันนี้ เชิญทุกท่านรับชมได้เลย!” พิธีกรได้กล่าวด้วยน้ำเสียงอลังการชวนตื่นเต้น ต่อมาสินค้าชิ้นพิเศษก็ได้ถูกนำตัวขึ้นไปบนเวทีโดยยังมีผ้าสีขาวคลุมร่างไว้

ฟางเซียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือ มารนกยูง ตัวร้ายสูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน

เมื่อผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกร่างเล็กของเด็กผู้ชายแต่เหมือนเด็กผู้หญิงก็ได้ปรากฏสู่สายตาของผู้คน หางและหงอนของนกยูงสีขาวลวดลายสีแดงอันสง่างามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้คนในโรงประมูลเป็นอย่างมาก

ในยามนี้เด็กคนนั้นดูสวยงามกว่าเมื่อสามวันก่อนมากเพราะร่างกายดูสะอาดสะอ้านจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนและเมื่อถูกตกแต่งด้วยเสื้อผ้าชั้นดีมันก็ยิ่งเสริมให้เด็กคนนั้นดูสูงค่า

ผู้คนต่างโห่ร้องแสดงความตื่นเต้นและอยากได้

“นี่คือลูกครึ่งปีศาจนกยูงสีขาวอันหายากแม้อายุจะยังน้อยและมีเพศชายแต่รับรองได้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นมันสามารถสร้างความบันเทิงให้กับทุกท่านได้อย่างแน่นอน!ราคาเริ่มต้นอยู่ที่...”

“ห้าแสน!” ทว่าไม่ทันที่พิธีกรจะได้กล่าวราคาเริ่มต้นใครบางคนที่ใจร้อนก็ได้ตะโกนเสนอราคาขึ้นมาเสียก่อน

“เก้าแสน!” ทว่าคนอื่นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ราคาของลูกครึ่งปีศาจนกยูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มมีราคาแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะจ่ายไหว

ทว่าชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนก็ยังคงไม่ยอมแพ้และตะโกนเพิ่มราคาต่อไป

[คุณสามารถเสนอราคาเท่าไหร่ก็ได้ตามใจคุณเพื่อรับตัวมารนกยูงมาเป็นลูกศิษย์] ระบบได้กล่าวไว้ฟางเซียนจึงไม่เกรงใจที่จะเสนอราคาสูงสุดออกไป

“สามร้อยล้าน”

เพียงคำพูดแสนสั้นของฟางเซียนมันก็ได้ทำให้ทั้งโรงประมูลเงียบกริบอย่างรวดเร็ว

ฟางเซียนตีหน้ามึน มองนางทำไม?นางก็แค่เห็นใจคนแก่ที่พยายามตะโกนเสนอราคาจนแทบเป็นโรคหอบหืดจึงตัดสินใจจบการประมูลให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง

“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนสบถอย่างหัวเสียพลางหันมาจ้องมองฟางเซียนด้วยสายตาอาฆาต

ฟางเซียนแสร้งเลิกคิ้วถาม ทำไมต้องส่งสายตาอาฆาตให้กันขนาดนั้น?นางก็อุตส่าห์ช่วยประหยัดเงินให้ตาแก่มากตัณหามีเงินเหลือไว้ให้ลูกหลานใช้เชียวนะ

“ท่าน...” พิธีกรไม่ทราบว่าฟางเซียนเป็นใครจึงหยุดพูดอยู่เพียงเท่านั้น เขาไม่แน่ใจนักว่าควรประกาศดีหรือไม่เพราะเกรงว่าฟางเซียนจะเป็นเพียงพวกไม่ประมาณเงินในคลังสมบัติตัวเอง

ฟางเซียนเห็นสายตาเคลือบแคลงนั่นจึงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ระบบห้ามฆ่าตัวตายรู้งานอย่างดีจึงปล่อยเงินทองจำนวนมหาศาลลงไปกองต่อหน้าพิธีกรการประมูลทันที ผู้คนในโรงประมูลอ้าปากค้างตาโตเท่าไข่มังกรเมื่อเห็นเงินทองจำนวนไม่อาจนับได้ร่วงหล่นออกมาจากอากาศ

ทันใดนั้นชายร่างท้วมคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากหลังเวทีและเข้าไปดูเงินทองกองมหาศาลบนเวทีด้วยสีหน้าโลภมากอย่างถึงที่สุด ชายร่างท้วมคล้ายกับกำลังตรวจสอบเงินเหล่านั้นว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริงเขาก็ส่งสัญญาณให้คนมาเก็บสมบัติก่อนจะวิ่งมาหาฟางเซียนอย่างกระตือรือร้น

“ท่าน...ท่านหญิงผู้สูงส่งเชิญรับสินค้าไปได้เลยขอรับ” ชายร่างท้วมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

“แน่นอน” ฟางเซียนเชิดหน้าอย่างถือตัว ในสายตาของผู้คนพวกเขาคิดว่าฟางเซียนคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง จึงไม่นึกแปลกใจทันทีว่าทำไมนางถึงสามารถทำให้เงินทองหล่นออกมาจากอากาศได้

แผนการดักปล้นเพื่อแย่งชิงเงินทองและทาสนกยูงตัวงามคงต้องคิดดูกันอีกที

เมื่อจ่ายเงินจนครบแล้วฟางเซียนก็ได้รับตัวมารนกยูงในอนาคตมาไว้ในครอบครอง พ่อค้าทาสเห็นฟางเซียนเป็นลูกค้าชั้นดีจึงบริการจัดส่งสินค้าและบริการคุ้มครองให้อย่างดี นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดักปล้นหรือแย่งชิงตัวทาสระหว่างทางกลับนั่นเอง

พ่อค้าทาสมีความระมัดระวังตัวสูงมากการคุ้มครองของพวกเขาจึงแน่นหนาอย่างมาก ฟางเซียนกลับมาถึงบ้านพักได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหาตามมากวนใจ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กวนใจก็ยังคงเหลืออยู่อีกหนึ่ง นั่นก็คือนกยูงตัวสีขาวที่นั่งจ้องมองนางอยู่ในขณะนี้

ไม่แน่ใจว่ามองผิดหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเขามองนางด้วยสายตาเหมือนกับกำลังมองยัยป้ามากตัณหาที่ต้องการกินเด็กอย่างไรอย่างนั้น มันน่าหงุดหงิดไม่น้อย

ฟางเซียนจึงมองตอบเขากลับไปด้วยสายตาไม่พอใจ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นการเล่นจ้องตากันไปซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนั่งเล่นจ้องตากันทำไม

ท่าทางของเขาดูเหมือนจะระแวดระวังตัวมาก แม้ว่าจะถูกจับขายมาเป็นทาสแล้วแต่แววตาก็ฉายแววแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง ทั้งที่ดูยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แล้วเพราะพ่อค้าทาสได้สวมกำไลสำหรับทาสไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองของเขาแล้ว

มันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มีไว้เพื่อระบุตัวตนว่าใครเป็นทาสหรือไม่เท่านั้น มันมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น การระบุตำแหน่งของทาส ตราบใดที่มีกำไลบนข้อเท้าทาสเหล่านั้นก็จะหนีไม่รอด นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่ทาสต้องการที่จะต่อต้าน กำไลอาคมก็จะปลดปล่อยพลังงานออกมาทรมาน และคุณสมบัติสุดท้ายก็คือการปิดกั้นการใช้พลังปราณนั่นเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปีศาจที่ถูกจับมาเป็นทาสถึงไม่สามารถขัดขืนหรือหลบหนีไปได้

[เอาแต่จ้องตากันไม่ได้นะครับ รับเขาเป็นลูกศิษย์เลย ไม่สิ ก่อนอื่นคือต้องถอดกำไลทาสออกก่อนเพื่อสร้างความไว้วางใจ จากนั้นก็ประทับสัญลักษณ์เพื่อยืนยันว่าเขาคือลูกศิษย์ของคุณ จากนั้นก็สอนวิชามารให้กับเขา] ระบบกล่าวสิ่งที่ฟางเซียนต้องทำอย่างเป็นลำดับ แต่ฟางเซียนกลับนั่งหาวนอนเหมือนไม่ได้ฟังซะงั้น

“เจ้าเป็นเด็กผู้ชายจริงงั้นเหรอ?” ฟางเซียนถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด ยิ่งได้มองใกล้ๆ นางก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ามารนกยูงในอนาคตที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือเด็กผู้ชายจริงๆ

[ชื่อเขาคือ ลู่เหลียน แซ่ลู่ที่มาหมายถึง ‘หยก’ และนามเหลียนที่หมายถึง ‘ดอกบัว’ อายุ 7 ขวบ และเป็นเด็กผู้ชายแน่นอนครับ ลู่เหลียนเกิดจากแม่ที่เป็นปีศาจนกยูงและพ่อที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เขาที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าจึงอาศัยอยู่ในป่าอย่างหลบๆ ซ่อนๆ กับปีศาจตนอื่นจนกระทั่งถูกพ่อค้าทาสพบตัวและถูกจับมาขายอย่างที่เห็นครับ]

“เด็กผู้ชาย...” ฟางเซียนพึมพำอย่างไม่แน่ใจพลางกวาดสายตามองเด็กชายตรงหน้าขึ้นลงอยู่หลายครั้ง

ดูจากชุดที่ลู่เหลียนสวมใส่พ่อค้าทาสพวกนั้นคงตั้งใจจะทำให้ลูกค้าสับสนว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแน่นอน เพราะทั้งลักษณะและลวดลายเสื้อผ้ามันดูคล้ายชุดของเด็กผู้หญิงมาก จะสับสนเรื่องเพศของเด็กคนนี้ก็คงไม่แปลกล่ะนะ

“เจ้าชื่อลู่เหลียนสินะ” ฟางเซียนเอ่ยถาม

ลู่เหลียนชะงัก ทั้งที่เขาไม่เคยบอกชื่อออกไปแต่ฟางเซียนกลับรู้ เขาจึงรู้สึกไม่ไว้วางใจและมองฟางเซียนด้วยความรู้สึกหวาดระแวงที่เพิ่มมากขึ้น ดวงตาสีแดงราวกับสัตว์ป่าของเขาจ้องมองนางอย่างดุร้าย

แต่ถึงแม้ว่าลู่เหลียนจะพยายามใช้สายตาดุร้ายเพื่อข่มขู่ฟางเซียนมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้วสายตาคู่นั้นก็ไม่ดูน่ากลัวเลย ตรงกันข้ามมันดูน่าสนใจ แต่ก็น่าหงุดหงิดเช่นกันทั้งที่ในใจก็หวาดกลัวแต่ก็ยังแสดงออกอย่างกล้าหาญเพื่อต่อสู้กับโชคร้ายในชีวิต เมื่อได้เห็นดังนั้นฟางเซียนรู้สึกว่าหัวใจมันด้านชา นางน่ะเป็นผู้ที่ยอมแพ้ทุกสิ่งและต้องการความตาย นางและเด็กคนนี้ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

แต่ก็ใช่ว่านางจะเกลียดเพราะอย่างไรก็ตามนางก็เคยพยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตเหมือนกับเขาเช่นกัน แต่เขาจะแตกต่างจากนางก็ตรงที่เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อใครหรือมีเป้าหมายชีวิตอะไรทั้งสิ้น เขาพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

ไร้จุดหมายสิ้นดี...แต่ก็คงดีไม่น้อยถ้าเขาไม่ยอมแพ้เหมือนกับนาง

“เคารพข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าเสียสิ ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเอง”

 

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร

    บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-10
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสาร

    บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-15
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไป

    บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-17
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย    บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไป

    บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปพื้นที่รอบเมืองเหยียนเป็นหุบเขามีภูเขาและเทือกเขาสูงใหญ่มากมาย การจะสร้างบ้านบนภูเขาสักลูกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เพราะฟางเซียนอยากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบนางจึงยอมจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่อั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เงินของนางอยู่แล้ว ทางด้านผู้รับเหมาก่อสร้างยินดีให้บริการอย่างยิ่งเมื่อได้รับเงินมากมาย พวกเขาสัญญาว่าจะเร่งมือแต่คาดว่าการก่อสร้างคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ในขณะที่รอให้บ้านสร้างเสร็จฟางเซียนและลู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวและในระหว่างนั้นลู่เหลียนก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและเขียนยันต์ สำหรับมารหรือเซียนมือใหม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนยันต์เพราะการจะใช้คาถาจำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลู่เหลียนจำเป็นต้องอ่านและเขียนตัวอักษรให้ได้ทุกตัว แน่นอนว่าคนที่จะสอนลู่เหลียนอ่านเขียนจะต้องเป็นฟางเซียน แม้ว่าลายมือของฟางเซียนจะแย่สักหน่อยเพราะนางไม่คุ้นเคยกับการใช้พู่กัน แต่อย่างน้อยลู่เหลียนก็สามารถเขียนออกมาได้สวยงามตามตำราเพราะหากเขา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-17
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตายบทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตาย

    บทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตายฟางเซียนต้องการค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายและปีศาจกินคน แต่ระบบก็แย้งว่าถึงนางจะค้นพบลัทธิฆ่าตัวตายนางก็คงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อยู่ดีและถึงจะเจอปีศาจกินคนนางก็ไม่มีทางถูกกินเช่นกันเพราะโชคอันเหลือล้นของนางเอง แต่ฟางเซียนก็อยากลองออกไปค้นหาดูเผื่อจะโชคดีเจอคนพวกนั้นเข้า แต่สุดท้ายนางก็ไม่พบและต้องกลับบ้านบนภูเขาเฮยอั้นพร้อมกับความผิดหวัง “ทำไมความตายถึงได้หายากอย่างนี้!” ฟางเซียนบ่น ลู่เหลียนวางหนังสือที่กำลังอ่านลงและแอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อฟางเซียนบ่นถึงความตายมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในใจจนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือเลย “ลู่เหลียน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งแล้วมาสังหารข้า? ข้าเลี้ยงดูเจ้าเพราะอยากให้เจ้าแข็งแกร่งเหนือทุกคนและมาสังหารข้า หากเจ้าไม่สามารถทำได้ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ฟางเซียนกล่าวออกมาเสียงเรียบและเย็นชา [คุณทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะครับ] ระบบหัวเราะ ฟางเซียนทำหน้าบึ้งตึง นางรู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไม่ได้ นางพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากกดดันลู่เหลียนเท่านั้นเอง หากเด็กคนนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-18
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 6 สุสานอาวุธ

    บทที่ 6 สุสานอาวุธสุสานอาวุธมีชื่อเสียงในด้านความอันตรายมาก เนื่องจากว่าที่นั่นมีอาวุธอันตรายรวมกันอยู่มากมาย เมื่อความชั่วร้ายของพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจึงสามารถสร้างหมอกพิษมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบได้ อีกทั้งมันยังสามารถดึงดูดสัตว์อสูรอันตรายได้อีกด้วย สุสานอาวุธจึงกลายเป็นเหมือนสถานที่รวมตัวของสัตว์อสูรอีกด้วย แต่เพราะมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสมบัติและอาวุธวิเศษ เหล่านักล่าสมบัติผู้โลภมากทั้งหลายจึงเดินทางเข้าไปในสุสานแห่งนั้นไม่หยุดหย่อน แต่ผู้คนส่วนมากที่เข้าไปในนั้นมักจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์อสูรหรือไม่ก็พิษที่อยู่โดยรอบสุสานอาวุธ หรือบางครั้งพวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าโดยอาวุธชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ที่นั่น แต่ถึงจะมีผู้คนมากมายตายที่นั่น นักล่าสมบัติก็ยังคงเข้าไปในสุสานอาวุธอย่างไม่กลัวตายอยู่ทุกวัน เมืองซู ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับสุสานอาวุธมากที่สุดจึงมักจะถูกใช้เป็นสถานที่แวะพักของเหล่านักล่าสมบัติ มันจึงไม่แปลกที่เมืองซูจะพลุกพล่านและคึกคักไปด้วยผู้คนอยู่ทุกวันและฟางเซียนและลู่เหลียนก็ได้เดินทางมาถึงเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ฟางเซียนเดินทางมาที่นี่ก็เพราะภารกิจจากระบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 7.1 เทพมังกรทอง

    บทที่ 7.1 เทพมังกรทอง[ยินดีด้วย ภารกิจตามหาอาวุธของลู่เหลียนและของคุณเองสำเร็จแล้ว รวมรางวัลแต้มลบได้ 1,600 แต้ม แต่เนื่องจากคุณไม่มีความรอบคอบจึงทำให้ลู่เหลียนบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงขอมอบบทลงโทษให้กับคุณนั่นก็คือโชคป้องกันการบาดเจ็บ เมื่อโชคป้องกันการบาดเจ็บเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แบบไหนคุณก็จะถูกโชคช่วยเหลือไว้ไม่ให้ได้บาดเจ็บเสมอ] เมื่อฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมาระบบฆ่าตัวตายก็รีบประกาศทันทีราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก ฟางเซียนแทบสบถคำหยาบออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด ฟางเซียนไม่อยากตื่นเพราะเสียงน่ารำคาญและน่าโมโหของระบบห้ามฆ่าตัวตายนี่แหละ พอได้ยินแล้วมันทำให้นางอยากจะหลับไม่ตื่นไปเลย แต่เพราะนางรู้สึกไม่สบายตัวจากบาดแผลเมื่อวานจึงข่มตาหลับต่อไปไม่ลง แม้ว่าขณะนี้บาดแผลบนไหล่ซ้ายของนางจะถูกรักษาด้วยคาถาเวทรักษาของจ้าวหลงเทียนแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียจากการได้รับพิษจากหมอกพิษนั่น ความจริงแล้วนางไม่ได้รับยาถอนพิษแต่อย่างใด แต่ที่รอดมาได้ก็เป็นเพราะว่าระบบยัดเยียดวิธีขับพิษออกจากร่างกายด้วยการโคจรพลังปราณนั่นเอง กฎห้ามฆ่าตัวตายก็ดีเยี่ยมเสีย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-21
  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย    บทที่ 7.2 เทพมังกรทอง

    บทที่ 7.2 เทพมังกรทอง“เพิ่มไฟแรงกว่านี้ได้ไหมนะ จะได้สุกเร็วขึ้น” [ไม่ได้แน่นอนครับ! คุณคิดจะต้มตัวเองให้สุกรึไง] แม้แต่ตอนแช่น้ำร้อนฟางเซียนก็ไม่วายคิดหาทางฆ่าตัวตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายล่ะเหนื่อยใจจริงๆ เนื่องจากว่าหลังจากกลับมาถึงบ้านบนภูเขาเฮยอั้นฟางเซียนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในบ้านของนางมีบ่ออาบน้ำอยู่ด้วย นางก็เลยมาแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย แต่พอแช่ไปได้สักพักนางก็มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยการต้มตัวเองในน้ำร้อนเพราะว่านางควบคุมความร้อนของน้ำในบ่ออาบน้ำได้ด้วยการใช้พลังปราณสร้างเปลวไฟไว้ใต้น้ำได้ตามใจชอบ นางจึงมีความคิดว่าถ้าเพิ่มความร้อนอีกหน่อยตัวเองอาจจะสุกก็ได้ ใช้เวลาอยู่นานในการนั่งใคร่ครวญ ขณะเดียวกันนางก็มองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้น้ำในบ่ออาบน้ำ เปลวไฟนั่นไม่มีทางดับมอดหากว่านางไม่ต้องการ และหากว่านางต้องการให้มันลุกไหม้มากกว่านี้ก็ทำได้ แต่กฎห้ามฆ่าตัวตายคงไม่ต้องการให้นางทำอย่างนั้น มันน่าเสียดายจริงๆ [หยุดหาวิธีฆ่าตัวตายได้แล้วครับ คุณควรเอาเวลามาทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ให้แต้มลบกับคุณ] ระบบเอ่ยเสียงดุ [คุณรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์ของคุณน่ะมีคว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-22

บทล่าสุด

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   ตอนพิเศษสั้น

    ตอนพิเศษ ลู่เหลียนกับความฝัน ลู่เหลียนเฝ้ารอ เฝ้ารอมาหลายปี ณ ทางเข้าปรโลก แต่แล้วเขาก็ไม่พบสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดหลายปี หลายคนบอกให้เขาตัดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถที่จะลืมฟางเซียนไปได้ เขาจึงตัดสินใจฝึกฝนตัวเองอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาลืมเวลาได้รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว เขาเติบโตเต็มวัยแล้วและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เขาจึงสร้างพรรคมารขึ้นมาเพื่อเผยแพร่วิชามารที่ฟางเซียนเคยบอกในทำก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่ปรโลก แต่ลู่เหลียนไม่ได้สนใจพรรคมารที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมามากนัก ส่วนมากเขาจะยกให้ซงเลี่ยงจินจัดการทุกอย่างแบบไม่สนใจไยดีระหว่างที่ซงเลี่ยงจินต้องหัวหมุนกับงานเขาก็จะไปอาละวาด ใช่แล้ว เขาอาละวาดกับเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ เขาเกลียดเผ่าเทพมากจึงตามสังหารเผ่าเทพที่ลงมาที่พิภพมนุษย์ทั้งหมด นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับเผ่าเทพ แต่ลู่เหลียนก็หาสนใจไม่เขาอาละวาดต่อไปจนมีแข็งแกร่ง

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   ตอนพิเศษ นิทานเจ้าหญิง

    ตอนพิเศษ นิทานเจ้าหญิง***เนื่องมาจากว่ามีคนถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ว่าทำไมฟางเซียนในชาติก่อนฆ่าตัวตาย ตอนพิเศษสั้นๆ ฉบับนิทานจึงถือกำเนิดกาลครั้งหนึ่ง ณ โลกสีเทา ภูตหนุ่มได้พบกับเจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ เขาได้พาเธอออกมาจากโลกสีเทาไปยังโลกใบใหม่โลกใบใหม่สวยงามแต่ทว่ามันกลับกำลังล่มสลายและกลายเป็นเหมือนโลกสีเทาที่เธอจากมา ภูตตนนั้นจึงขอให้เธอช่วยเหลือโลกใบนี้เจ้าหญิงผู้สิ้นหวังที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ราวกับได้พบเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเธอ เธอจึงยอมตอบรับคำขอของภูตตนนั้นอย่างง่ายดายเจ้าหญิงช่วยเหลือผู้คนและโลกใบใหม่นี้ด้วยความรู้สึกมีความสุขจากใจจริง นั่นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีประโยชน์ ผู้ที่มีประโยชน์เท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับ เธอเชื่อมั่นอย่างสุดใจนั่นทำให้เธอมีความสุขมากที่ตนเองมีประโยชน์ต่อทุกคนและได้รับการยอมรับเจ้าหญิงทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทส่งท้าย 

    บทส่งท้ายหลังจากหนังสือสัญญายุติสงครามระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรสายมารและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนถูกเขียนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ปัญหาระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรบนพิภพมนุษย์ก็ลดน้อยลงและเมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะสงบลู่เหลียนก็ไม่ลังเลที่จะจัดงานแต่งงานของเขากับฟางเซียนขึ้นมาลู่เหลียนได้จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตแต่ไม่มากพิธีเพราะหลังจากคำนับฟ้าดินแล้วลู่เหลียนก็ลากฟางเซียนเข้าห้องหอทันทีโดยไม่คิดจะส่งแขกก่อน ฟางเซียนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ“ข้าเพียงแค่อยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าท่านคือภรรยาของข้าเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ท่านจะต้องเปิดเผยความงามของท่านให้คนพวกนั้นเห็น” ลู่เหลียนว่ามาอย่างนั้น“เจ้าไม่คิดจะให้ข้าออกไปพบปะผู้คนหรืออย่างไร” แม้ว่าฟางเซียนจะบ่นไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายนางก็ชอบนอนเล่นอยู่ในห้องมากกว่าออกไปข้างนอกอยู่ดี เพราะในช่วงที่นางอยากฆ่าตัวตาย นางมักจะหมกตัวอยู่ในบ้านจนมันก

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 21 ค่ำคืนแรกอันร้อนแรง 

    บทที่ 21 ค่ำคืนแรกอันร้อนแรง หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากต้นไม้แห่งหายนะถูกโค่นล้ม กองทัพปีศาจก็กลับพิภพปีศาจ กองทัพเทพก็กลับพิภพเทพ กองทัพเทพที่มาพิภพมนุษย์เพื่อต่อสู้กับพรรคมารข่งเชวียก็กลับไปเช่นกัน ส่วนพรรคมารข่งเชวียและสำนักเซียนทั้งหลายบนพิภพมนุษย์ก็สงบศึกกันชั่วคราวเพราะสูญเสียกำลังรบไปมากจากการโจมตีของต้นไม้แห่งหายนะ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงทำสงครามเย็นใส่กัน เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียมากกว่านี้จ้าวหลงเทียนจึงไปพบทั้งสองฝ่ายเพื่อเจรจาสงบศึกและเสนอให้ทั้งสองฝ่ายทำสัญญาปรองดองกัน เนื่องจากว่าผู้นำฝ่ายเซียนอย่างฮุ่ยหวงตายไปแล้วฝ่ายเซียนจึงยอมสงบศึกแต่โดยดี แต่ลู่เหลียนกลับไม่ยอมสงบศึกโดยง่าย เขาให้เหตุผลว่าฝ่ายมารเป็นฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเซียนที่เป็นฝ่ายเริ่มสงครามจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝ่ายมารก่อนเขาจึงจะยอมสงบศึกแต่โดยดี จ้าวหลงเทียนพยายามเป็นตัวกลางเจรจากับลู่เหลียนและฝ่ายเซียนอยู่นานจนกระทั่งฝ่ายเซียนยอมชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินทอง ทรัพยากรทางธรรมชาติหรือก็คือดินแดน และสัญญาการซื้อขายสินค้าด้วยเพราะการปิดเขตแดนของพรรคข่งเชวียทำให้ชาวบ้านขาดแคลนอะไรหลายอย่าง การติดต่อซื้อขายสินค้าจากนอกด

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 20.2 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีก

    บทที่ 20.2 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกระบบนำทางสู่ความตายทราบดีว่าถ้าหากมันปะทะกับลู่เหลียนและหมิงหยู มันจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะมันจะสูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป ถ้าหากมีพลังวิญญาณน้อยเกินไปแกนวิญญาณก็จะได้รับความเสียหายได้ง่ายมากขึ้น มันจึงควรประหยัดพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุดและเพื่อการนั้นมันจึงทำให้ฮุ่ยหวงหลุดออกจากผนึกน้ำแข็งของฟางเซียนและสิงร่างของฮุ่ยหวงเพื่อดึงพลังของฮุ่ยหวงมาใช้แทนพลังวิญญาณที่กำลังร่อยหรอของตัวเองและเพื่อลดผลกระทบจากการโจมตีด้วย ถ้าหากมันถูกโจมตี ฮุ่ยหวงจะได้รับผลกระทบจากการโจมตีเป็นส่วนมากเมื่อเป็นเช่นนั้นการจัดการกับระบบนำทางสู่ความตายก็คงจะยากมากขึ้น แต่ลู่เหลียนและหมิงหยูก็ไม่หวั่นและร่วมมือกันโจมตีระบบนำทางสู่ความตายไม่ยั้งมือ มันไม่เหลือช่องว่างให้ฟางเซียนเข้าไปโจมตีเลย ฟางเซียนจึงได้แต่ยืนมองกระบี่หลายสิบเล่มและธนูไฟหลายดอกลอยผ่านหน้าไปมา“ดิ้วเหล็กนั่นเปลี่ยนร่างได้ด้วยเหรอ” ฟางเซียนพึมพำถามระบบใหม่เมื่อเห็นว่าดิ้วเหล

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 20.1 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีก

    บทที่ 20.1 ระบบใหม่น่ารำคาญกว่านายอีกไม่ว่าโลกไหนหรือยุคไหนก็หนีไม่พ้นสงครามและบางครั้งสงครามก็เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อย่างเช่นสงครามระหว่างมารและเซียนในครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนต่างก็คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารนั้นชั่วร้ายและไม่ควรมีตัวตนอยู่ พวกเซียนจึงยอมรับไม่ได้ที่พวกมารมีดินแดนในครอบครองหรือก็คือพวกเซียนหวาดกลัวความแข็งแกร่งของเหล่ามารและคิดไปเองว่าพรรคมารข่งเชวียปกครองดินแดนอย่างโหดเหี้ยมและบังคับให้ชาวบ้านกลายเป็นมารเหล่าเซียนจึงคิดจะก่อสงครามกับเหล่ามารเพื่อแย่งชิงความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านธรรมดาทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความจริงหรือความเท็จ พวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไร้ที่อยู่ในแผ่นดินอีกครั้งมันช่างไร้ความยุติธรรมสิ้นดีทั้งที่หากเหล่ามารไม่มีความคิดโง่เง่าฝังหัวว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายมารจะต้องทำสิ่งชั่วร้ายอย่างที่สั

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 19.2 ระบบนำทางสู่ความตาย

    บทที่ 19.2 ระบบนำทางสู่ความตายย้อนกลับไปเมื่อสามร้อยปีก่อน ถ้านอนหลับแล้วฝันร้าย แค่ตื่นขึ้นมาฝันร้ายก็จะหายไป แต่สำหรับฮุ่ยหวงไม่ว่าจะหลับหรือตื่นเขาก็ยังฝันร้ายและมันยังเป็นฝันร้ายที่สุดแสนจะยาวนาน... “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าขอโทษเพราะข้าชักช้าเราจึงมาช่วยแม่นางฟางเซียนไว้ไม่ทันการ” ฮุ่ยหลิงร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นเวลานานและเขาก็ยังโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าป้ายหลุมศพที่มีชื่อสลักไว้ว่า ‘ฟางเซียน’ “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ น้องเล็ก” ฮุ่ยเหอเอ่ยปลอบใจน้องชาย แต่ฮุ่ยหลิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ดูเหมือนว่าการจากไปของ ‘แม่นางฟางเซียน’ จะสร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับน้องชายของเขามากเกินไป ฮุ่ยเหอที่ไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรต่อจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต “ชาตินี้เป็นเคราะห์ร้ายของนาง...ข้าจึงเชื่อว่าชาติหน้านางจะต้องได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขยาวนาน” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนพลางลูบหัวปลอบฮุ่ยหลิงอย่างอ่อนโยน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮุ่ยหลิงเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เจ้าของหลุมศพนามว่าฟางเซียนเป็นหญิงสาวที่น่าเห็นใจ นางสูญเสียทุกอย่างรวมถึงเหตุผลที่จะมีชีวิต นางจึงอยากฆ่าตัวตา

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย   บทที่ 19.1 ระบบนำทางสู่ความตาย

    บทที่ 19.1 ระบบนำทางสู่ความตายเมื่อตื่นขึ้นมาฟางเซียนก็รู้สึกถึงอาการเมื่อยล้าตามร่างกายซึ่งเป็นผลมาจากการนอนหลับกึ่งตายมาหลายวัน ฟางเซียนก็เลยนอนต่ออีกสักพักเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงที่หายไปกลับมา แต่เพราะนอนหงายมานานก็เลยเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว นางจึงเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคงข้างและเมื่อพลิกตัวนางก็ได้พบกับใบหน้ายามหลับใหลของปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจรูปงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์อีกด้วยรูปหน้าสมบูรณ์แบบ ริมฝีปากเรียวสวยและหยักเป็นธรรมชาติ สีสันก็สดใสไม่หมองคล้ำ จมูกก็โด่งเป็นสัน คิ้วก็คมเข้ม ขนตาก็ยาวราวกับขนตาม้า รวมแล้วมันช่างเป็นใบหน้าที่งดงามและหล่อเหล่าไปในเวลาเดียวกันจนหลายคนลุ่มหลงฟางเซียนนอนมองลู่เหลียนจนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่ามันถึงเวลาที่ควรจะลุกออกจากเตียงได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลูกขึ้นนั่ง คนที่น่าจะกำลังหลับก็ดึงแขนของนางจนนางล้มลงไปนอนอีกครั้ง“ไม่คิดว่ามันเช้าเกินไปที่จะตื่นหรือขอรับ?” ลู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยยามกะพริบตา “หรือคิดจะไปไหนแต่เช้า?คิดจะทิ้งข้าไว้บนเตียงแล้วหนีไปที่อื่นหรือขอรับ?” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีแดงที่เปิด

  • ระบบห้ามฆ่าตัวตายบังคับให้เป็นอาจารย์ของตัวร้าย    บทที่ 18.2 ข้ารักท่าน…ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไป

    บทที่ 18.2 ข้ารักท่าน…ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปลู่เหลียนกุมมือฟางเซียนแน่น เขาหวังว่าความร้อนจากมือของเขาจะทำให้มืออันเย็นเฉียบของฟางเซียนอบอุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะกุมมือของฟางเซียนนานเพียงไร มันก็ยังคงเย็นเฉียบราวกับว่ามันแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดเวลา ลู่เหลียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคลาดสายตาเพียงครู่เดียว ฟางเซียนก็สลบไสลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของซงเลี่ยงจินเสียแล้ว ทั้งที่สงครามระหว่างมารและเซียนจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน แต่ฟางเซียนก็ยังคงหลับไม่ยอมตื่นราวกับว่าไม่ต้องการที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง “ลู่เหลียน...เจ้าอยู่เช่นนี้มาหลายวันแล้วนะ” ซงเลี่ยงจินเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะลู่เหลียนมัวแต่นั่งเฝ้าฟางเซียนไม่ยอมขยับไปไหนเลยมาหลายวันแล้ว หากปล่อยไว้เช่นนี้ร่างกายของลู่เหลียนคงทรุดโทรมอีกแน่ แต่ไม่ว่าซงเลี่ยงจินจะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงมากเท่าไหร่ ลู่เหลียนก็ไม่ยอมตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ซงเลี่ยงจินถอนหายใจก่อนจะหยิบคัมภีร์ออกมา “ข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเช่นนี้ของท่านปรมาจารย์ฟางเซียนมาหมดแล้ว ข้าคาดว่าท่านปรมาจารย์ฟางเซียนน่าจะโดนโจมตีทางวิญญาณเ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status