บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น
พิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์
เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด
มนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้
เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์กับปราณเทพหรือปราณปีศาจของเทพและปีศาจแล้ว พวกมันมีระดับพลังแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น ปราณเซียนระดับสิบจะเท่ากับปราณเทพระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่แปลกที่มนุษย์จะดูอ่อนแอในสายตาของทั้งสองเผ่า
หากมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสายใดก็ตามที่ต้องการเลื่อนระดับพลังปราณเป็นปราณเทพหรือปีศาจ พวกเขาก็จะต้องเดินทางไปยังอีกพิภพเพื่อดูดซับปราณเทพหรือปราณปีศาจที่ไม่มีอยู่ในพิภพมนุษย์
ซึ่งเส้นทางในการบำเพ็ญเพียรมันช่างหนักหนาสาหัสมากนัก ผู้คนจึงต่างก็ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับเจ็ดก่อนตายให้ได้เพราะมันเป็นระดับพลังที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเป็นอมตะ แต่ทว่าผู้คนมักจะไปไม่ถึงเป้าหมายเพราะการฝึกมันกินเวลานานมาก กว่าจะฝึกไปจนถึงขั้นสามได้มันต้องใช้เวลามากกว่าสิบถึงยี่สิบปีขึ้นไป
ไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามีหลายคนหมดกำลังใจและล้มเลิกกลางคัน
[ยินดีด้วยครับปราณมารของคุณเดินทางมาถึงระดับสามขั้นต่ำแล้ว! ได้รับรางวัลเป็นแต้มลบ 100 แต้มครับ]
แต่การฝึกตนที่ใครก็ต่างบอกกันว่ามันลำบากนักหนา ทว่ามันกลับมีคนบางคนสามารถเลื่อนระดับพลังปราณได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย และใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งเดือนก็สามารถเลื่อนระดับพลังปราณไปจนถึงระดับสามได้แล้ว
หากมีผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ได้รู้เรื่องนี้เข้าคงกระอักเลือดตายไปตามๆ กัน
“เพิ่มอีกแล้วเหรอ” ฟางเซียนถอนหายใจปลงเมื่อได้ยินระบบประกาศ นางไม่สามารถหยุดการเพิ่มพลังปราณอย่างต่อเนื่องนี่ได้เลย แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะมีชีวิตต่อนางยังไม่มีเลยเรี่ยวแรงที่จะไปโมโหกับมันอีกคงไม่มีแล้วเหมือนกัน “จะว่าไปสามพี่น้องนั่นไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าฉันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งเป็นสายตรงกันข้ามกับพวกเขา”
[ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับเพราะผมทำการเปิดระบบปกปิดพลังปราณของคุณไว้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าคุณมีพลังปราณแน่นอน] นั่นจึงไม่แปลกที่ว่าทำไมสามพี่น้องฮุ่ยถึงไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาฟางเซียนได้ขโมยพลังปราณจากแกนพลังปราณของพวกเขา
แผนการที่จะให้พวกเขารู้ว่านางเป็นมารและสังหารนางคงเป็นไปไม่ได้ แม้จะบอกไปตามตรงพวกเขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
“ฉันเคยบอกรึยังว่าเกลียดนายมาก” ฟางเซียนบ่น
[คุณเคยบอกแล้วครับ]
ฟางเซียนถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก โลกไม่น่าอยู่เลยสักนิด แล้วนางจะอยู่ต่อไปทำไมกัน ไร้ค่าซะจริง...
[คุณฟางเซียน ขณะนี้ถึงเวลาออกไปเดินตลาดแล้วครับ เพื่อเป็นการแสดงให้สามพี่น้องฮุ่ยได้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะอยู่คนเดียวแล้ว โปรดทำตามด้วย] เพื่อขัดขวางไม่ให้จิตใจของฟางเซียนย่ำแย่จากความคิดที่วนเวียนอยู่กับแค่เรื่องฆ่าตัวตายมันจึงจำเป็นต้องบังคับให้ฟางเซียนทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“ระบบเฮงซวย” ฟางเซียนลากสังขารตัวเองออกจากบ้านอย่างไม่มีทางเลือก
เพื่อรักษาโรคซึมเศร้าของฟางเซียนแม้จะต้องถูกด่าหรือถูกเกลียดระบบห้ามฆ่าตัวตายก็จำเป็นต้องทำต่อไป
“คนเยอะชะมัด” เมื่อมาถึงตลาดฟางเซียนก็บ่นอย่างหัวเสียอย่างเช่นทุกที ตั้งแต่ที่เลิกเป็นนักร้องนางก็เกลียดการที่ต้องอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาตลอด ถึงแม้นางจะพอทนได้หากไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่ยังก็เกลียดจนอดบ่นไม่ได้อยู่ดี
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งบ่นก็จะยิ่งเจอเพราะในเวลานี้เส้นทางในตลาดหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากว่ามีขบวนรถขนสินค้าของพ่อค้าทาสกลุ่มหนึ่งมายังตลาดแห่งนี้ พ่อค้าทาสกลุ่มนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศได้อย่างดีเพราะว่าสินค้าของพวกเขาไม่ใช่สินค้าธรรมดา มันคือปีศาจและสัตว์อสูรหายาก พ่อค้าทาสกลุ่มนี้จึงสามารถดึงดูดผู้คนที่สนใจซื้อปีศาจและชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นให้มารวมตัวกันได้ไม่ยาก
“การประมูลจะเริ่มในอีกสามวันข้างหน้า ใครก็ตามที่สนใจสินค้าของเราเชิญที่โรงประมูลของเมืองแห่งนี้ได้เลย” ชายผู้นำขบวนขนสินค้าป่าวประกาศขึ้นมาเสียงดังฟังชัดเรียกความสนใจของชาวบ้านมากขึ้น
และการเพิ่มจำนวนของชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็นมันได้ทำให้ฟางเซียนต้องมาติดอยู่ในฝูงชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้จึงนับเป็นวันที่โชคร้ายของฟางเซียนไปโดยปริยาย
“ฉันกำลังขาดใจตาย” ฟางเซียนพึมพำหน้าซีดเผือดทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
[อย่างน้อยตอนนี้คุณควรสนใจรถลากคันต่อไปนี้นะครับ] ระบบบอก
ทันใดนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นเพราะผ้าคลุมของรถลากคันหนึ่งได้หลุดออกมาและเผยให้เห็นสินค้าของพ่อค้าทาส เสียงอื้ออึงของผู้คนในละแวกนั้นปะทุขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นเด็กคนหนึ่งในกรงขังบนรถลาก
แน่นอนว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา เส้นผมสีขาวและดวงตาสีแดงรวมทั้งหางและหงอนเหมือนนกยูงที่มีสีขาวลวดลายสีแดงมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจ
ฟางเซียนยืนนิ่งงันขณะมองดูร่างเล็กของเด็กอายุน้อยกว่าสิบขวบนั่งขดตัวอยู่ในกรง ใบหน้าที่น่ารักแสดงออกถึงความเย็นชาและดวงตาสีแดงได้จ้องมองผู้คนด้วยแววตาวาวโรจน์อย่างเงียบงัน เหมือนสัตว์ตัวเล็กและอ่อนแอที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมและพยายามปกป้องตัวเอง แม้ว่าจะไร้เรี่ยวแรงต่อต้านก็ตาม
มันช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสะเทือนใจแต่ทว่าทุกคนกลับแสดงความตื่นเต้นเหมือนได้พบเห็นสัตว์หายาก
ฟางเซียนเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ในฝูงชนที่กำลังโลดเต้น ดวงตาสีแดงของเด็กคนนั้นจึงหยุดชะงักอยู่ที่ฟางเซียน ทั้งคู่บังเอิญสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ได้ประกาศขึ้นมาว่า [คุณได้แรกพบสบตากับตัวร้ายสูงสุดในอนาคตแล้ว ภารกิจคือ รับเขาเป็นลูกศิษย์ หากทำสำเร็จคุณจะได้รับแต้มลบ 1,000 แต้ม หากทำพลาดแต้มบวกจะเพิ่มหนึ่งล้าน]
ฟางเซียนชะงัก นางพบกับตัวร้ายสูงสุดแล้วงั้นเหรอ?
ฟางเซียนนึกย้อนไปว่าเมื่อครู่นางสบตากับใคร ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางได้สบตาด้วย ฟางเซียนหันขวับไปมองปีศาจนกยูงตัวน้อยในกรงอีกครั้ง หน้าตาน่ารักไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่ทว่าเมื่อครู่ระบบบอกว่าเด็กคนนั้นคือตัวร้ายสูงสุดหรือมารนกยูงที่น่าจะมีเพศเป็นผู้ชาย!หรือนางเข้าใจผิด?
“ตัวร้ายสูงสุดคือผู้ชายหรือผู้หญิง?” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
[ผมยืนยันได้เลยว่าตัวร้ายสูงสุดเป็นผู้ชายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเลยล่ะครับ]
ฟางเซียนจำได้ว่าในเรื่องย่อของนิยาย ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ มันบรรยายไว้ว่าตัวร้ายสูงสุดหล่อเหล่าเทียบเท่าพระเอกเลยทีเดียว แต่ว่าเส้นผมสีขาวที่ดูนุ่มลื่น ใบหน้ารูปไข่ คิ้วบาง ขนตาหนาและงอนยาว ดวงตากลมโต และริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม ดูโดยรวมแล้วมันก็...น่ารักมากเลยไม่ใช่รึไง?
นึกภาพอนาคตของวายร้ายสุดหล่อเลวไม่ออกเลย...
เช้าวันหนึ่งนกส่งสารได้บินมาส่งจดหมายถึงสามพี่น้องฮุ่ย มันคือจดหมายเร่งด่วนจากสำนักเฉิน ในจดหมายมีคำสั่งให้พวกเขากลับไปยังสำนักเฉินโดยเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลาจากฟางเซียนไปอย่างกะทันหัน เวลาสำหรับการอำลาจึงมีน้อยมาก
“รักษาตัวด้วยนะขอรับ แม่นางฟางเซียน” ฮุ่ยหวงกล่าวกับฟางเซียนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
“หากประสบปัญหาเจ้าสามารถไปพบพวกเราที่สำนักเฉินได้ทุกเมื่อ” ฮุ่ยเหอเอ่ยพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ไว้ข้าจะหาเวลาแวะมาเยี่ยมนะ! พยายามมีชีวิตต่อไปให้ดีล่ะเพราะยังมีเช้าวันใหม่ที่สดใสรอเจ้าอยู่!” ฮุ่ยหลิงพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มสดใส
ฟางเซียนอยากจะตอบเขาไปว่า นาง เกลียด เช้า วัน ใหม่!
พวกเขาจะเอาอะไรกับคนอยากตายกันนักหนา ในช่วงหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกเขาบังคับให้นางเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร การต่อสู้ และการทำงานหาเงินด้วย เพราะเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตมาก เมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาจึงฝากให้นางทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง การทำงานในโรงเตี๊ยมนั่นเป็นสิ่งที่ฟางเซียนต้องฝืนใจทำมากที่สุดเลยล่ะ
ดังนั้นฟางเซียนจึงเกลียดสามพี่น้องฮุ่ยมาก แต่ฟางเซียนก็ยังคงต้องแสร้งส่งยิ้มอำลาเพื่อสร้างความสบายใจให้กับพวกเขาแม้ในใจจะตะโกนว่า ไม่ต้องกลับมาเลย! ก็ตาม...
[ได้เวลาไปโรงประมูลแล้วนะครับ คุณจะต้องประมูลมารนกยูงในอนาคตมาให้ได้] ระบบแจ้งเตือน เมื่อสามวันก่อนพ่อค้าทาสได้ประกาศไว้ว่าจะจัดงานประมูลทาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ตรงกับวันนี้พอดี
“จะใช้เงินที่ไหนไปประมูลมารนกยูงนั่นกัน?” นั่นคือสิ่งที่ฟางเซียนสงสัย แม้จะมีเงินที่สามพี่น้องฮุ่ยให้ไว้นางก็ยังมีเงินไม่มากพอที่จะไปใช้ซื้อทาสแน่นอน
[ผมยังไม่บอกเหรอครับว่าผมมีเงินมากพอที่จะให้คุณใช้ทั้งชาติเลย] เมื่อระบบกล่าวจบเงินทองมากมายก็ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและร่วงหล่นลงมากองตรงหน้าฟางเซียน ในตอนนั้นหน้าตาของฟางเซียนยับย่นราวกับสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก เมื่อก่อนนางเคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา ไม่ว่าจะยากลำบากแต่ไหนก็ตาม แต่เมื่อได้มาง่ายๆ เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังมาก
เมื่อมีเงินทองมากมายให้ใช้อย่างไม่จำกัดฟางเซียนจึงสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไม่มีปัญหา
“สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานประมูลของเรา วันนี้พวกเรามีสินค้ามากมายให้ทุกท่านได้เลือกชมหวังว่าจะถูกใจกันนะขอรับ” พิธีกรได้กล่าวเปิดงานและการประมูลชุดแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที
บุคคลผู้ร่ำรวยทั้งหลายในโรงประมูลต่างก็พยายามตะโกนเพิ่มราคาสินค้าแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ฟางเซียนนั่งหน้าตึงและมอง ‘สินค้า’ ที่ถูกประมูลออกไป
เมื่อได้มองมันทำให้นางรู้สึกขำเสียจริง ระบบบอกว่าโลกต้องการสมดุลขาวดำจึงดึงนางมาเพื่อสร้างความมืดที่ขาดหายไป แต่ดูแล้วความมืดไม่น่าจะขาดนะ ก็ดูสิพวกน่ารังเกียจมีเยอะแยะเลยไม่ใช่รึไง?แค่ได้เห็นสีหน้าโลภมากและเต็มไปด้วยตัณหาของพวกนั้นฟางเซียนก็รู้สึกรังเกียจแล้ว
รู้อนาคตได้เลยว่า ‘สินค้า’ เหล่านั้นจะได้พบเจอกับอะไร
แต่จะว่าไปตัวร้ายสูงสุดมีจุดเริ่มต้นจากการถูกจับมาขายเป็นทาสสินะ?ดูจากความน่ารักจนเพศหญิงไม่อยากให้อภัยนั่นหากถูกซื้อไปโดยพวกมากตัณหาสักคนชีวิตคงไม่น่าอภิรมย์นัก ประวัติของตัวร้ายสูงสุดน่าจะประมาณว่าถูกเหยียบย่ำร่างกายจนเกิดความแค้นและเข้าสู่ด้านมืด?
“ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด มันจะดีเหรอถ้ามาช่วยเขาตอนนี้?” ฟางเซียนเอ่ยถามระบบ หากต้องการตัวร้ายที่โคตรจะชั่วร้าย การปล่อยให้ตัวร้ายได้ผจญกับความโหดร้ายของโลกอีกสักหน่อยมันก็น่าจะทำให้ตัวร้ายเกลียดชังโลกใบนี้และสร้างหายนะให้กับโลกอย่างไม่ลังเล
[แค่สอนวิชาต้องห้ามให้กับเขาจนเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ถือว่าได้ตัวร้ายสูงสุดมาแล้วล่ะครับ]
“นั่นมันเรียกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว แค่ฝึกวิชาต้องห้ามก็ถือว่าเป็นตัวร้ายเลยรึไง”
[โลกนี้แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนครับ ถึงการบำเพ็ญเพียรของเซียนและมารแทบจะเหมือนกันก็เถอะ แต่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรสายมารมีปราณสีดำและผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนมีปราณสีขาว พวกเขาจึงแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายอย่างที่เห็น คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เพราะโลกนี้ถูกตั้งค่ามาเช่นนั้น]
ฟางเซียนหัวเราะในลำคออดนึกสังเวชผู้บำเพ็ญเพียรสายมารไม่ได้ โชคร้ายเสียจริง
“ต่อไปนี้จะเป็นสินค้าชิ้นพิเศษสำหรับงานในวันนี้ เชิญทุกท่านรับชมได้เลย!” พิธีกรได้กล่าวด้วยน้ำเสียงอลังการชวนตื่นเต้น ต่อมาสินค้าชิ้นพิเศษก็ได้ถูกนำตัวขึ้นไปบนเวทีโดยยังมีผ้าสีขาวคลุมร่างไว้
ฟางเซียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือ มารนกยูง ตัวร้ายสูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกร่างเล็กของเด็กผู้ชายแต่เหมือนเด็กผู้หญิงก็ได้ปรากฏสู่สายตาของผู้คน หางและหงอนของนกยูงสีขาวลวดลายสีแดงอันสง่างามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้คนในโรงประมูลเป็นอย่างมาก
ในยามนี้เด็กคนนั้นดูสวยงามกว่าเมื่อสามวันก่อนมากเพราะร่างกายดูสะอาดสะอ้านจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนและเมื่อถูกตกแต่งด้วยเสื้อผ้าชั้นดีมันก็ยิ่งเสริมให้เด็กคนนั้นดูสูงค่า
ผู้คนต่างโห่ร้องแสดงความตื่นเต้นและอยากได้
“นี่คือลูกครึ่งปีศาจนกยูงสีขาวอันหายากแม้อายุจะยังน้อยและมีเพศชายแต่รับรองได้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นมันสามารถสร้างความบันเทิงให้กับทุกท่านได้อย่างแน่นอน!ราคาเริ่มต้นอยู่ที่...”
“ห้าแสน!” ทว่าไม่ทันที่พิธีกรจะได้กล่าวราคาเริ่มต้นใครบางคนที่ใจร้อนก็ได้ตะโกนเสนอราคาขึ้นมาเสียก่อน
“เก้าแสน!” ทว่าคนอื่นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ราคาของลูกครึ่งปีศาจนกยูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มมีราคาแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะจ่ายไหว
ทว่าชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนก็ยังคงไม่ยอมแพ้และตะโกนเพิ่มราคาต่อไป
[คุณสามารถเสนอราคาเท่าไหร่ก็ได้ตามใจคุณเพื่อรับตัวมารนกยูงมาเป็นลูกศิษย์] ระบบได้กล่าวไว้ฟางเซียนจึงไม่เกรงใจที่จะเสนอราคาสูงสุดออกไป
“สามร้อยล้าน”
เพียงคำพูดแสนสั้นของฟางเซียนมันก็ได้ทำให้ทั้งโรงประมูลเงียบกริบอย่างรวดเร็ว
ฟางเซียนตีหน้ามึน มองนางทำไม?นางก็แค่เห็นใจคนแก่ที่พยายามตะโกนเสนอราคาจนแทบเป็นโรคหอบหืดจึงตัดสินใจจบการประมูลให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ชายแก่ที่นั่งตรงหน้าของฟางเซียนสบถอย่างหัวเสียพลางหันมาจ้องมองฟางเซียนด้วยสายตาอาฆาต
ฟางเซียนแสร้งเลิกคิ้วถาม ทำไมต้องส่งสายตาอาฆาตให้กันขนาดนั้น?นางก็อุตส่าห์ช่วยประหยัดเงินให้ตาแก่มากตัณหามีเงินเหลือไว้ให้ลูกหลานใช้เชียวนะ
“ท่าน...” พิธีกรไม่ทราบว่าฟางเซียนเป็นใครจึงหยุดพูดอยู่เพียงเท่านั้น เขาไม่แน่ใจนักว่าควรประกาศดีหรือไม่เพราะเกรงว่าฟางเซียนจะเป็นเพียงพวกไม่ประมาณเงินในคลังสมบัติตัวเอง
ฟางเซียนเห็นสายตาเคลือบแคลงนั่นจึงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ระบบห้ามฆ่าตัวตายรู้งานอย่างดีจึงปล่อยเงินทองจำนวนมหาศาลลงไปกองต่อหน้าพิธีกรการประมูลทันที ผู้คนในโรงประมูลอ้าปากค้างตาโตเท่าไข่มังกรเมื่อเห็นเงินทองจำนวนไม่อาจนับได้ร่วงหล่นออกมาจากอากาศ
ทันใดนั้นชายร่างท้วมคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากหลังเวทีและเข้าไปดูเงินทองกองมหาศาลบนเวทีด้วยสีหน้าโลภมากอย่างถึงที่สุด ชายร่างท้วมคล้ายกับกำลังตรวจสอบเงินเหล่านั้นว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริงเขาก็ส่งสัญญาณให้คนมาเก็บสมบัติก่อนจะวิ่งมาหาฟางเซียนอย่างกระตือรือร้น
“ท่าน...ท่านหญิงผู้สูงส่งเชิญรับสินค้าไปได้เลยขอรับ” ชายร่างท้วมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
“แน่นอน” ฟางเซียนเชิดหน้าอย่างถือตัว ในสายตาของผู้คนพวกเขาคิดว่าฟางเซียนคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง จึงไม่นึกแปลกใจทันทีว่าทำไมนางถึงสามารถทำให้เงินทองหล่นออกมาจากอากาศได้
แผนการดักปล้นเพื่อแย่งชิงเงินทองและทาสนกยูงตัวงามคงต้องคิดดูกันอีกที
เมื่อจ่ายเงินจนครบแล้วฟางเซียนก็ได้รับตัวมารนกยูงในอนาคตมาไว้ในครอบครอง พ่อค้าทาสเห็นฟางเซียนเป็นลูกค้าชั้นดีจึงบริการจัดส่งสินค้าและบริการคุ้มครองให้อย่างดี นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดักปล้นหรือแย่งชิงตัวทาสระหว่างทางกลับนั่นเอง
พ่อค้าทาสมีความระมัดระวังตัวสูงมากการคุ้มครองของพวกเขาจึงแน่นหนาอย่างมาก ฟางเซียนกลับมาถึงบ้านพักได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหาตามมากวนใจ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กวนใจก็ยังคงเหลืออยู่อีกหนึ่ง นั่นก็คือนกยูงตัวสีขาวที่นั่งจ้องมองนางอยู่ในขณะนี้
ไม่แน่ใจว่ามองผิดหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเขามองนางด้วยสายตาเหมือนกับกำลังมองยัยป้ามากตัณหาที่ต้องการกินเด็กอย่างไรอย่างนั้น มันน่าหงุดหงิดไม่น้อย
ฟางเซียนจึงมองตอบเขากลับไปด้วยสายตาไม่พอใจ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นการเล่นจ้องตากันไปซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนั่งเล่นจ้องตากันทำไม
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะระแวดระวังตัวมาก แม้ว่าจะถูกจับขายมาเป็นทาสแล้วแต่แววตาก็ฉายแววแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง ทั้งที่ดูยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แล้วเพราะพ่อค้าทาสได้สวมกำไลสำหรับทาสไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองของเขาแล้ว
มันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มีไว้เพื่อระบุตัวตนว่าใครเป็นทาสหรือไม่เท่านั้น มันมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น การระบุตำแหน่งของทาส ตราบใดที่มีกำไลบนข้อเท้าทาสเหล่านั้นก็จะหนีไม่รอด นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่ทาสต้องการที่จะต่อต้าน กำไลอาคมก็จะปลดปล่อยพลังงานออกมาทรมาน และคุณสมบัติสุดท้ายก็คือการปิดกั้นการใช้พลังปราณนั่นเอง
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปีศาจที่ถูกจับมาเป็นทาสถึงไม่สามารถขัดขืนหรือหลบหนีไปได้
[เอาแต่จ้องตากันไม่ได้นะครับ รับเขาเป็นลูกศิษย์เลย ไม่สิ ก่อนอื่นคือต้องถอดกำไลทาสออกก่อนเพื่อสร้างความไว้วางใจ จากนั้นก็ประทับสัญลักษณ์เพื่อยืนยันว่าเขาคือลูกศิษย์ของคุณ จากนั้นก็สอนวิชามารให้กับเขา] ระบบกล่าวสิ่งที่ฟางเซียนต้องทำอย่างเป็นลำดับ แต่ฟางเซียนกลับนั่งหาวนอนเหมือนไม่ได้ฟังซะงั้น
“เจ้าเป็นเด็กผู้ชายจริงงั้นเหรอ?” ฟางเซียนถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด ยิ่งได้มองใกล้ๆ นางก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ามารนกยูงในอนาคตที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือเด็กผู้ชายจริงๆ
[ชื่อเขาคือ ลู่เหลียน แซ่ลู่ที่มาหมายถึง ‘หยก’ และนามเหลียนที่หมายถึง ‘ดอกบัว’ อายุ 7 ขวบ และเป็นเด็กผู้ชายแน่นอนครับ ลู่เหลียนเกิดจากแม่ที่เป็นปีศาจนกยูงและพ่อที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เขาที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าจึงอาศัยอยู่ในป่าอย่างหลบๆ ซ่อนๆ กับปีศาจตนอื่นจนกระทั่งถูกพ่อค้าทาสพบตัวและถูกจับมาขายอย่างที่เห็นครับ]
“เด็กผู้ชาย...” ฟางเซียนพึมพำอย่างไม่แน่ใจพลางกวาดสายตามองเด็กชายตรงหน้าขึ้นลงอยู่หลายครั้ง
ดูจากชุดที่ลู่เหลียนสวมใส่พ่อค้าทาสพวกนั้นคงตั้งใจจะทำให้ลูกค้าสับสนว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแน่นอน เพราะทั้งลักษณะและลวดลายเสื้อผ้ามันดูคล้ายชุดของเด็กผู้หญิงมาก จะสับสนเรื่องเพศของเด็กคนนี้ก็คงไม่แปลกล่ะนะ
“เจ้าชื่อลู่เหลียนสินะ” ฟางเซียนเอ่ยถาม
ลู่เหลียนชะงัก ทั้งที่เขาไม่เคยบอกชื่อออกไปแต่ฟางเซียนกลับรู้ เขาจึงรู้สึกไม่ไว้วางใจและมองฟางเซียนด้วยความรู้สึกหวาดระแวงที่เพิ่มมากขึ้น ดวงตาสีแดงราวกับสัตว์ป่าของเขาจ้องมองนางอย่างดุร้าย
แต่ถึงแม้ว่าลู่เหลียนจะพยายามใช้สายตาดุร้ายเพื่อข่มขู่ฟางเซียนมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้วสายตาคู่นั้นก็ไม่ดูน่ากลัวเลย ตรงกันข้ามมันดูน่าสนใจ แต่ก็น่าหงุดหงิดเช่นกันทั้งที่ในใจก็หวาดกลัวแต่ก็ยังแสดงออกอย่างกล้าหาญเพื่อต่อสู้กับโชคร้ายในชีวิต เมื่อได้เห็นดังนั้นฟางเซียนรู้สึกว่าหัวใจมันด้านชา นางน่ะเป็นผู้ที่ยอมแพ้ทุกสิ่งและต้องการความตาย นางและเด็กคนนี้ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็ใช่ว่านางจะเกลียดเพราะอย่างไรก็ตามนางก็เคยพยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตเหมือนกับเขาเช่นกัน แต่เขาจะแตกต่างจากนางก็ตรงที่เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อใครหรือมีเป้าหมายชีวิตอะไรทั้งสิ้น เขาพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ไร้จุดหมายสิ้นดี...แต่ก็คงดีไม่น้อยถ้าเขาไม่ยอมแพ้เหมือนกับนาง
“เคารพข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าเสียสิ ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเอง”
บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข
บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปพื้นที่รอบเมืองเหยียนเป็นหุบเขามีภูเขาและเทือกเขาสูงใหญ่มากมาย การจะสร้างบ้านบนภูเขาสักลูกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เพราะฟางเซียนอยากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบนางจึงยอมจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่อั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เงินของนางอยู่แล้ว ทางด้านผู้รับเหมาก่อสร้างยินดีให้บริการอย่างยิ่งเมื่อได้รับเงินมากมาย พวกเขาสัญญาว่าจะเร่งมือแต่คาดว่าการก่อสร้างคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ในขณะที่รอให้บ้านสร้างเสร็จฟางเซียนและลู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวและในระหว่างนั้นลู่เหลียนก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและเขียนยันต์ สำหรับมารหรือเซียนมือใหม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนยันต์เพราะการจะใช้คาถาจำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลู่เหลียนจำเป็นต้องอ่านและเขียนตัวอักษรให้ได้ทุกตัว แน่นอนว่าคนที่จะสอนลู่เหลียนอ่านเขียนจะต้องเป็นฟางเซียน แม้ว่าลายมือของฟางเซียนจะแย่สักหน่อยเพราะนางไม่คุ้นเคยกับการใช้พู่กัน แต่อย่างน้อยลู่เหลียนก็สามารถเขียนออกมาได้สวยงามตามตำราเพราะหากเขา
บทที่ 5 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตายฟางเซียนต้องการค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายและปีศาจกินคน แต่ระบบก็แย้งว่าถึงนางจะค้นพบลัทธิฆ่าตัวตายนางก็คงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อยู่ดีและถึงจะเจอปีศาจกินคนนางก็ไม่มีทางถูกกินเช่นกันเพราะโชคอันเหลือล้นของนางเอง แต่ฟางเซียนก็อยากลองออกไปค้นหาดูเผื่อจะโชคดีเจอคนพวกนั้นเข้า แต่สุดท้ายนางก็ไม่พบและต้องกลับบ้านบนภูเขาเฮยอั้นพร้อมกับความผิดหวัง “ทำไมความตายถึงได้หายากอย่างนี้!” ฟางเซียนบ่น ลู่เหลียนวางหนังสือที่กำลังอ่านลงและแอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อฟางเซียนบ่นถึงความตายมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในใจจนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือเลย “ลู่เหลียน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งแล้วมาสังหารข้า? ข้าเลี้ยงดูเจ้าเพราะอยากให้เจ้าแข็งแกร่งเหนือทุกคนและมาสังหารข้า หากเจ้าไม่สามารถทำได้ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ฟางเซียนกล่าวออกมาเสียงเรียบและเย็นชา [คุณทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะครับ] ระบบหัวเราะ ฟางเซียนทำหน้าบึ้งตึง นางรู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไม่ได้ นางพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากกดดันลู่เหลียนเท่านั้นเอง หากเด็กคนนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากน
บทที่ 6 สุสานอาวุธสุสานอาวุธมีชื่อเสียงในด้านความอันตรายมาก เนื่องจากว่าที่นั่นมีอาวุธอันตรายรวมกันอยู่มากมาย เมื่อความชั่วร้ายของพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจึงสามารถสร้างหมอกพิษมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบได้ อีกทั้งมันยังสามารถดึงดูดสัตว์อสูรอันตรายได้อีกด้วย สุสานอาวุธจึงกลายเป็นเหมือนสถานที่รวมตัวของสัตว์อสูรอีกด้วย แต่เพราะมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสมบัติและอาวุธวิเศษ เหล่านักล่าสมบัติผู้โลภมากทั้งหลายจึงเดินทางเข้าไปในสุสานแห่งนั้นไม่หยุดหย่อน แต่ผู้คนส่วนมากที่เข้าไปในนั้นมักจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์อสูรหรือไม่ก็พิษที่อยู่โดยรอบสุสานอาวุธ หรือบางครั้งพวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าโดยอาวุธชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ที่นั่น แต่ถึงจะมีผู้คนมากมายตายที่นั่น นักล่าสมบัติก็ยังคงเข้าไปในสุสานอาวุธอย่างไม่กลัวตายอยู่ทุกวัน เมืองซู ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับสุสานอาวุธมากที่สุดจึงมักจะถูกใช้เป็นสถานที่แวะพักของเหล่านักล่าสมบัติ มันจึงไม่แปลกที่เมืองซูจะพลุกพล่านและคึกคักไปด้วยผู้คนอยู่ทุกวันและฟางเซียนและลู่เหลียนก็ได้เดินทางมาถึงเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ฟางเซียนเดินทางมาที่นี่ก็เพราะภารกิจจากระบ
บทที่ 7.1 เทพมังกรทอง[ยินดีด้วย ภารกิจตามหาอาวุธของลู่เหลียนและของคุณเองสำเร็จแล้ว รวมรางวัลแต้มลบได้ 1,600 แต้ม แต่เนื่องจากคุณไม่มีความรอบคอบจึงทำให้ลู่เหลียนบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงขอมอบบทลงโทษให้กับคุณนั่นก็คือโชคป้องกันการบาดเจ็บ เมื่อโชคป้องกันการบาดเจ็บเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แบบไหนคุณก็จะถูกโชคช่วยเหลือไว้ไม่ให้ได้บาดเจ็บเสมอ] เมื่อฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมาระบบฆ่าตัวตายก็รีบประกาศทันทีราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก ฟางเซียนแทบสบถคำหยาบออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด ฟางเซียนไม่อยากตื่นเพราะเสียงน่ารำคาญและน่าโมโหของระบบห้ามฆ่าตัวตายนี่แหละ พอได้ยินแล้วมันทำให้นางอยากจะหลับไม่ตื่นไปเลย แต่เพราะนางรู้สึกไม่สบายตัวจากบาดแผลเมื่อวานจึงข่มตาหลับต่อไปไม่ลง แม้ว่าขณะนี้บาดแผลบนไหล่ซ้ายของนางจะถูกรักษาด้วยคาถาเวทรักษาของจ้าวหลงเทียนแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียจากการได้รับพิษจากหมอกพิษนั่น ความจริงแล้วนางไม่ได้รับยาถอนพิษแต่อย่างใด แต่ที่รอดมาได้ก็เป็นเพราะว่าระบบยัดเยียดวิธีขับพิษออกจากร่างกายด้วยการโคจรพลังปราณนั่นเอง กฎห้ามฆ่าตัวตายก็ดีเยี่ยมเสีย
บทที่ 7.2 เทพมังกรทอง“เพิ่มไฟแรงกว่านี้ได้ไหมนะ จะได้สุกเร็วขึ้น” [ไม่ได้แน่นอนครับ! คุณคิดจะต้มตัวเองให้สุกรึไง] แม้แต่ตอนแช่น้ำร้อนฟางเซียนก็ไม่วายคิดหาทางฆ่าตัวตาย ระบบห้ามฆ่าตัวตายล่ะเหนื่อยใจจริงๆ เนื่องจากว่าหลังจากกลับมาถึงบ้านบนภูเขาเฮยอั้นฟางเซียนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในบ้านของนางมีบ่ออาบน้ำอยู่ด้วย นางก็เลยมาแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย แต่พอแช่ไปได้สักพักนางก็มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยการต้มตัวเองในน้ำร้อนเพราะว่านางควบคุมความร้อนของน้ำในบ่ออาบน้ำได้ด้วยการใช้พลังปราณสร้างเปลวไฟไว้ใต้น้ำได้ตามใจชอบ นางจึงมีความคิดว่าถ้าเพิ่มความร้อนอีกหน่อยตัวเองอาจจะสุกก็ได้ ใช้เวลาอยู่นานในการนั่งใคร่ครวญ ขณะเดียวกันนางก็มองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้น้ำในบ่ออาบน้ำ เปลวไฟนั่นไม่มีทางดับมอดหากว่านางไม่ต้องการ และหากว่านางต้องการให้มันลุกไหม้มากกว่านี้ก็ทำได้ แต่กฎห้ามฆ่าตัวตายคงไม่ต้องการให้นางทำอย่างนั้น มันน่าเสียดายจริงๆ [หยุดหาวิธีฆ่าตัวตายได้แล้วครับ คุณควรเอาเวลามาทำหน้าที่อาจารย์ที่ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ให้แต้มลบกับคุณ] ระบบเอ่ยเสียงดุ [คุณรู้รึเปล่าว่าลูกศิษย์ของคุณน่ะมีคว
บทที่ 19.2 ระบบนำทางสู่ความตายย้อนกลับไปเมื่อสามร้อยปีก่อน ถ้านอนหลับแล้วฝันร้าย แค่ตื่นขึ้นมาฝันร้ายก็จะหายไป แต่สำหรับฮุ่ยหวงไม่ว่าจะหลับหรือตื่นเขาก็ยังฝันร้ายและมันยังเป็นฝันร้ายที่สุดแสนจะยาวนาน... “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าขอโทษเพราะข้าชักช้าเราจึงมาช่วยแม่นางฟางเซียนไว้ไม่ทันการ” ฮุ่ยหลิงร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นเวลานานและเขาก็ยังโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าป้ายหลุมศพที่มีชื่อสลักไว้ว่า ‘ฟางเซียน’ “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ น้องเล็ก” ฮุ่ยเหอเอ่ยปลอบใจน้องชาย แต่ฮุ่ยหลิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ดูเหมือนว่าการจากไปของ ‘แม่นางฟางเซียน’ จะสร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับน้องชายของเขามากเกินไป ฮุ่ยเหอที่ไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรต่อจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต “ชาตินี้เป็นเคราะห์ร้ายของนาง...ข้าจึงเชื่อว่าชาติหน้านางจะต้องได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขยาวนาน” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนพลางลูบหัวปลอบฮุ่ยหลิงอย่างอ่อนโยน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮุ่ยหลิงเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เจ้าของหลุมศพนามว่าฟางเซียนเป็นหญิงสาวที่น่าเห็นใจ นางสูญเสียทุกอย่างรวมถึงเหตุผลที่จะมีชีวิต นางจึงอยากฆ่าตัวตา
บทที่ 19.1 ระบบนำทางสู่ความตายเมื่อตื่นขึ้นมาฟางเซียนก็รู้สึกถึงอาการเมื่อยล้าตามร่างกายซึ่งเป็นผลมาจากการนอนหลับกึ่งตายมาหลายวัน ฟางเซียนก็เลยนอนต่ออีกสักพักเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงที่หายไปกลับมา แต่เพราะนอนหงายมานานก็เลยเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว นางจึงเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคงข้างและเมื่อพลิกตัวนางก็ได้พบกับใบหน้ายามหลับใหลของปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจรูปงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์อีกด้วยรูปหน้าสมบูรณ์แบบ ริมฝีปากเรียวสวยและหยักเป็นธรรมชาติ สีสันก็สดใสไม่หมองคล้ำ จมูกก็โด่งเป็นสัน คิ้วก็คมเข้ม ขนตาก็ยาวราวกับขนตาม้า รวมแล้วมันช่างเป็นใบหน้าที่งดงามและหล่อเหล่าไปในเวลาเดียวกันจนหลายคนลุ่มหลงฟางเซียนนอนมองลู่เหลียนจนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่ามันถึงเวลาที่ควรจะลุกออกจากเตียงได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลูกขึ้นนั่ง คนที่น่าจะกำลังหลับก็ดึงแขนของนางจนนางล้มลงไปนอนอีกครั้ง“ไม่คิดว่ามันเช้าเกินไปที่จะตื่นหรือขอรับ?” ลู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยยามกะพริบตา “หรือคิดจะไปไหนแต่เช้า?คิดจะทิ้งข้าไว้บนเตียงแล้วหนีไปที่อื่นหรือขอรับ?” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีแดงที่เปิด
บทที่ 18.2 ข้ารักท่าน…ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปลู่เหลียนกุมมือฟางเซียนแน่น เขาหวังว่าความร้อนจากมือของเขาจะทำให้มืออันเย็นเฉียบของฟางเซียนอบอุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะกุมมือของฟางเซียนนานเพียงไร มันก็ยังคงเย็นเฉียบราวกับว่ามันแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดเวลา ลู่เหลียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคลาดสายตาเพียงครู่เดียว ฟางเซียนก็สลบไสลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของซงเลี่ยงจินเสียแล้ว ทั้งที่สงครามระหว่างมารและเซียนจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน แต่ฟางเซียนก็ยังคงหลับไม่ยอมตื่นราวกับว่าไม่ต้องการที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง “ลู่เหลียน...เจ้าอยู่เช่นนี้มาหลายวันแล้วนะ” ซงเลี่ยงจินเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะลู่เหลียนมัวแต่นั่งเฝ้าฟางเซียนไม่ยอมขยับไปไหนเลยมาหลายวันแล้ว หากปล่อยไว้เช่นนี้ร่างกายของลู่เหลียนคงทรุดโทรมอีกแน่ แต่ไม่ว่าซงเลี่ยงจินจะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงมากเท่าไหร่ ลู่เหลียนก็ไม่ยอมตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ซงเลี่ยงจินถอนหายใจก่อนจะหยิบคัมภีร์ออกมา “ข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเช่นนี้ของท่านปรมาจารย์ฟางเซียนมาหมดแล้ว ข้าคาดว่าท่านปรมาจารย์ฟางเซียนน่าจะโดนโจมตีทางวิญญาณเ
บทที่ 18.1 ข้ารักท่าน...ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเบื้องบนคือท้องฟ้ายามค่ำคืนทว่าไร้ซึ่งแสงดาว เบื้องล่างคือทะเลสีดำทมิฬอันกว้างใหญ่ทว่าไร้ซึ่งคลื่นลม และสิ่งที่คอยเป็นแสงสว่างให้กับสถานที่แห่งนี้ก็คือดอกบัวเรืองแสงสีส้มซึ่งลอยอยู่เต็มทะเลสีดำ“ถูกส่งมาอีกพิภพอีกแล้วงั้นเหรอ?” ฟางเซียนมาปรากฏตัวในสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้หลังจากถูกระบบนำทางสู่ความตายแตะหน้าผาก ฟางเซียนจึงคิดว่านางถูกส่งมาในอีกพิภพอีกแล้ว และดูเหมือนว่าคราวนี้นางจะมาคนเดียวเพราะนางไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของระบบห้ามฆ่าตัวตายตั้งแต่มาถึงที่นี่ถ้าไม่มีระบบก็จะไม่มีคนคอยนำทาง ถ้าเช่นนั้นนางจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร?เพราะไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนฟางเซียนก็เลยเดินไปข้างหน้าบนดอกบัวอย่างไร้จุดหมาย แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งง่วงนอนมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่านางจะพยายามไม่หลับตา แต่สุดท้ายเปลือกตาของนางก็ปิดสนิทอย่างไม่อาจฝืนและหลังจากหลับตาลงฟางเซียนก็รู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังกอดนางจากด้านหลัง มันเป็นอ้อมกอดที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและอึดอัดไปในเวลาเดียวกัน“ผมเกลียดคุณ...” ....[คุณฟางเซียน!] ฟางเซียนกำลังจะเคลิ้มหลับ ทันใดนั้นนางก็ได้ย
บทที่ 17.2 คุกนิรันดร์คุกนิรันดร์ก็คืออีกหนึ่งพิภพขนาดเล็กที่แยกตัวออกมาจากสามพิภพใหญ่ เผ่าเทพค้นพบพิภพแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาจึงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นคุกกักขังสัตว์อสูร ปีศาจ มาร และเทพที่ทำผิดกฎเพราะพวกเขาเห็นว่าพิภพแห่งนี้มีสภาพอากาศที่เลวร้ายมาก เลวร้ายจนเกือบจะเทียบเท่ากับปรโลกเลยทีเดียว ซึ่งวงแหวนอัญเชิญของซือชูลี่ก็ได้ส่งฟางเซียนและลู่เหลียนเข้ามายังพิภพที่เหล่าเทพเรียกว่าคุกนิรันดร์แห่งนี้ แต่ฟางเซียนก็ไม่ได้สนใจนักว่าตัวเองจะมาปรากฏตัวในสถานที่อันตราย นางสนใจเพียงลู่เหลียนเท่านั้นเพราะดูเหมือนว่าสายฟ้าจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจนสลบและไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาในเร็วๆ นี้ เมื่อลองตรวจอาการของลู่เหลียน ฟางเซียนก็พบว่าแกนพลังปราณหรือก็คือแหล่งเก็บพลังปราณของลู่เหลียนมันได้รับบาดเจ็บเช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาอาการอาจแย่ลง แต่ก่อนเริ่มการรักษานางควรหาสถานที่พักที่ดีเสียก่อนเพราะตอนนี้รอบตัวของนางก็คือทะเลทรายและถึงแม้ว่าบนท้องฟ้าจะไร้วี่แววของดวงอาทิตย์แต่ที่นี่ก็ร้อนมาก นางควรหาสถานที่หลบความร้อนก่อนถูกความร้อนเผา ซึ่งก็เป็นโชคดีที่กลางทะเลทรายแห่งนี้มีถ้ำหินขนาดเล็กพอที่จะให้เข้
บทที่ 17.1 คุกนิรันดร์กระบี่ชื่อเซียวของลู่เหลียนปลิดชีวิตคนแล้วคนเล่าจนกระทั่งร่างไร้ชีวิตของมนุษย์นอนเกลื่อนเต็มพื้นและพื้นดินก็ถูกย้อมเป็นสีแดงของเลือด แต่ลู่เหลียนก็ยังคงเพิ่มจำนวนซากศพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาก็จะไม่หยุดจนกว่าจะไม่มีคนให้สังหารอีก ในขณะที่ลู่เหลียนกำลังสังหารหมู่ฟางเซียนก็ยืนรออยู่ห่างๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบเพราะนางเป็นคนสั่งให้ลู่เหลียนสังหารหมู่คนพวกนั้นด้วยตัวเอง เพื่อช่วยสนับสนุนเว่ยหลงเทียน นางจำเป็นต้องกำจัดปรปักษ์ของเขาโดยการฆ่าให้สิ้นซาก แต่เพราะนางไม่สามารถฆ่าคนอื่นได้หน้าตาเฉยนางจึงให้ลู่เหลียนรับหน้าที่สังหารพวกนั้นแทน จนตอนนี้กบฏแห่งแคว้นมี่โจได้ตายไปหมดแล้ว มันกลายเป็นว่าตัวร้ายหันมาให้ความช่วยเหลือพระเอกกันหมด... “ที่นี่สกปรกยิ่งนัก เรารีบกลับกันเถอะขอรับ” ลู่เหลียนสะบัดเลือดออกจากกระบี่ด้วยท่วงท่าสวยงามและน่าดึงดูดตามฉบับนกยูง แต่เพราะเลือดสีแดงสดที่เด่นชัดอยู่บนเสื้อผ้าสีขาวของเขา มันทำให้เขาดูเหมือนฆาตกรโรคจิตมากกว่า ฟางเซียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถอยห่างจากลู่เหลียนเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นเลือดจากตัวของเขา ลู่เหลียนเห็นดังนั้นจึงไม่เดินเข้าไปใกล้ฟางเ
บทที่ 16.2 ความรู้สึกที่ไม่ยอมรับ วันเวลาอันแสนสงบสุขมักหมดเร็วเสมอ [ถึงเวลาทำภารกิจช่วยเหลือเว่ยหลงเทียนต่อแล้วครับ] นอนเล่นได้แค่ไม่กี่เดือนภารกิจน่ารำคาญก็มาอีกแล้ว ฟางเซียนเหม่อมองก้นบ่ออาบน้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย นางพยายามตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ [คุณฟางเซียน ผมมีเรื่องสำคัญมากจะบอกกับคุณ] ระบบเกริ่นนำมาอย่างนั้น ฟางเซียนรู้สึกลางสังหรณ์ใจไม่ดี [ผมจะต้องหายตัวไปสักพักเพราะตลอดหลายร้อยปีมานี้ผมได้พลาดข้อมูลสำคัญไปหลายอย่าง ผมควรได้รับการอัปเดตข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน เพราะงั้นภารกิจในครั้งนี้คุณจะไม่มีผมคอยช่วยเหลือ] ฟางเซียนยินดีมากเมื่อได้ยินว่าระบบน่ารำคาญจะหายไปสักพัก หลังจากที่มันไปแล้วนางก็จะไม่มีระบบคอยบังคับให้ทำภารกิจอีกต่อไปและนางก็จะสามารถนอนเล่นต่อไปได้ตามใจชอบ! แต่ทว่าระบบกลับรู้ทันความคิดของฟางเซียน... [ผมขอย้ำ คุณต้องทำภารกิจนี้นะครับ ถ้าผมกลับมาแล้วและพบว่าคุณไม่ทำภารกิจผมจะมอบบทลงโทษให้กับคุณ] “ระบบ แก...!” [ผมทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับเว่ยหลงเทียนและภารกิจไว้ให้แล้ว] รูปจดหมายเล็กๆ เด้งขึ้นมาทางด้านซ้ายมือของฟางเซียน [ขอให้โชคดีและไว้เจอกันใหม่
บทที่ 16.1 ความรู้สึกที่ไม่ยอมรับ “อะไรกัน? พวกเจ้ามาต้อนรับข้ารึ?” หวังหลิงฟู่กล่าวทักทายผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนที่กำลังชี้อาวุธมาทางเขา ดูอย่างไรมันก็ไม่ใช่การต้อนรับที่ดี “เกิดอะไรขึ้น!?” เว่ยหลงเทียนอุทานอย่างตกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าทันทีที่ก้าวออกมาจากสุสานผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจำนวนมากจะวิ่งเข้ามาล้อมพวกเขาพร้อมอาวุธครบมือเช่นนี้ “ปีศาจออกมาแล้ว! ล้อมมันไว้อย่าให้มันหนีได้ไปแม้แต่คนเดียว!” ชายคนหนึ่งตะโกน “มะ มีอะไรเข้าใจผิด...” เว่ยหลงเทียนกำลังจะแก้ตัว แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนข้างตัวของเขาก็เป็นปีศาจจริงๆ เว่ยหลงเทียนสอดสายตามองไปรอบตัวอย่างกังวลจนกระทั่งสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงอาจารย์ของเขา “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้...” เว่ยหลงเทียนหวังว่าฮุ่ยหวงจะสังเกตเห็นเขาและช่วยหยุดไม่ให้เหล่าเซียนแสดงท่าทีคุกคามเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นสตรีชุดแดงและสิงโตยักษ์ของนางจะเปิดศึกทันที แต่เขากลับไม่ได้รับความสนใจจากฮุ่ยหวง ฮุ่ยหวงเพียงชายตามองเว่ยหลงเทียนด้วยสายตาราบเรียบก่อนที่จะออกคำสั่งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับเว่ยหลงเทียน “จัดการพวกมันให้สิ้นซาก” เว่ยหลงเทียนนิ่งค้
บทที่ 15.2 งานของอาจารย์ตัวร้ายคือช่วยเหลือพระเอกในหลุมมีประตูทางเข้าดินแดนลับหลายประตูและบริเวณโดยรอบก็มีพืชลวงตาเติบโตเป็นจำนวนมาก หากผู้ใดได้กลิ่นของมันก็จะเห็นภาพลวงตา เมื่อมาถึงพื้นข้างล่างฟางเซียนและฮุ่ยหวงจึงไม่พบใครอยู่แถวนั้นเลยสักคน เหล่าลูกศิษย์สำนักเฉินคงจะโดนกับดักและหลงไปคนละทิศละทางกันหมด สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนลับ แค่ทางเข้าก็ชวนสับสนแล้ว อีกทั้งเมื่อเข้ามาถึงดินแดนลับแห่งนี้พลังปราณในตัวก็ถูกปั่นป่วนจากพลังภายนอกจนชวนให้รู้สึกมึนหัวไม่น้อย “ภารกิจเฮงซวย” ฟางเซียนพึมพำ นางอยากกลับไปหาลู่เหลียนเสียแล้ว แต่ก็คงกลับตอนนี้ไม่ได้ ฟางเซียนมองไปรอบตัวที่มีแต่ความมืด “บางทีลูกศิษย์ของข้าอาจจะไปทางนั้น” ฮุ่ยหวงยังคงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและก้าวเดินนำทางไป ฟางเซียนสังเกตท่าทางของฮุ่ยหวงเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาเดินตามเขาไป นางไม่รู้หรอกว่าฮุ่ยหวงแปลกไปอย่างไรกันแน่ แต่นางรู้สึกว่าจิตใจของเขาดูสับสนไม่น้อย เดินตามทางไปได้สักพักฟางเซียนและฮุ่ยหวงก็เห็นแสงสว่างที่ปลายทางข้างหน้าซึ่งน่าจะเป็นปากถ้ำ แต่แสงสว่างข้างหน้านั่นไม่น่าใช่แสงของดวงอาทิตย์เพราะพวกนางตกลงมาในหลุมลึก