บทที่ 2.1
ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น
ฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเอง
แม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำ
แต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว
นอกชายป่ามีน้องชายทั้งสองคนของฮุ่ยหวงยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่ใหญ่ นางคือ...?” ฮุ่ยเหอ บุตรชายคนรองของสกุลฮุ่ยเอ่ยถามพี่ชายคนโตพลางเหล่ตามองฟางเซียนด้วยสายตาติดใจสงสัย
“แย่แล้วล่ะพี่รอง พี่ใหญ่แอบไปลักพาตัวแม่นางน้อยของบ้านอื่นมาล่ะ” ฮุ่ยหลิง บุตรชายคนเล็กของสกุลฮุ่ยหันไปกระซิบกับฮุ่ยเหอด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์” ฮุ่ยเหอยอมเล่นไปกับน้องชายคนเล็ก
“ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์ด้วย!พี่ใหญ่ต้องถูกดุอย่างหนักแน่” ฮุ่ยหลิงหัวเราะคิกคัก
“เฮ้อ ข้าไม่ได้ลักพาตัวนางเสียหน่อย” ฮุ่ยหวงถอนหายใจพลางส่ายหัวเหนื่อยใจกับน้องชายทั้งสองที่เล่นอะไรไร้สาระ “ข้าพบนางในป่าและเกือบทำให้นางถูกอสูรหมูป่าทำร้าย ข้าคาดว่านางน่าจะหลงป่าเพราะเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล”
น้ำเสียงเป็นกังวลของพี่ชายทำให้พวกเขาสำรวจร่างกายของฟางเซียนอย่างละเอียด พวกเขาจึงพบว่าแม่นางน้อยที่พี่ชายพามาด้วยมีบาดแผลเต็มตัว
“ไยเจ้าถึงได้ไปอยู่ในป่าได้เล่า?” ฮุ่ยหลิงถามฟางเซียนด้วยความสงสัย
ฟางเซียนเหลือบสายตามองคนถามอย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองทางอื่นพร้อมถอนหายใจสิ้นหวัง นางรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะอ้าปากตอบคำถาม สามพี่น้องฮุ่ยเห็นสายตาเช่นนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจเพราะพวกเขารู้จักสายตาเช่นนี้ดี...
“แววตาเช่นนั้น...เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือ!?” คำถามเถรตรงของฮุ่ยหลิงทำเอาพี่ชายทั้งสองหันหน้าขวับไปมองอย่างห้ามปรามทันที แต่มีหรือที่น้องเล็กจะสนใจ เขาทำหน้าหงิกงอและจ้องมองฟางเซียนอย่างมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบ
ฟางเซียนแปลกใจเล็กน้อยที่ถูกถามอย่างเถรตรงเช่นนี้ นางจึงตอบไปอย่างเถรตรงเช่นกันว่า “ใช่”
สามพี่น้องทำหน้าสลดใจอย่างพร้อมเพรียง
“ครอบครัวเจ้าอยู่ที่ใด?ไยเจ้าจึงได้คิดฆ่าตัวตาย” ฮุ่ยหวงกล่าวถามอย่างเป็นกังวลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
คิ้วของฟางเซียนขมวดเมื่อนึกถึงพ่อแม่ที่ทิ้งนางและน้องสาวไป นางยิ้มเย้ยหยันกับตัวเอง “คนพวกนั้นไม่นับว่าเป็นครอบครัวหรอก คนที่ทิ้งฉันและน้องสาวไป”
[กรุณาใช้คำอย่างเหมาะสมกับยุคสมัยด้วยครับ อย่างเช่นแทนตัวเองว่า ข้า และแทนตัวคนอื่นว่า เจ้า] ระบบห้ามฆ่าตัวตายเอ่ยเตือน ฟางเซียนกลอกตามองบน
“เจ้าถูกทอดทิ้งรึ?แล้วน้องสาวของเจ้าเล่า?” ฮุ่ยหวงถามต่อด้วยสีหน้าสลดมากกว่าเดิม
“...ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” ฟางเซียนตอบเสียงเบา นางแสดงสีหน้าเสียใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
พวกเขารู้สึกสะเทือนใจมากกว่าเดิมเมื่อจินตนาการภาพของหญิงสาวสองคนที่ไม่สามารถปกป้องดูแลตัวเองได้ถูกพ่อแม่ขับไล่ออกจากบ้านจนต้องออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกอันโหดร้าย และความเศร้าของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อนึกถึงความรู้สึกของฟางเซียนที่ต้องสูญเสียน้องสาวคนสำคัญไป มันคงเป็นความรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยนางถึงได้สิ้นหวังและไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
พวกเขาคล้ายจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของฟางเซียนได้อย่างดีเพราะพวกเขาเหลือกันอยู่แค่พี่น้อง เมื่อนานมาแล้วพวกเขาได้สูญเสียบิดาไปอย่างกะทันหัน มารดาอ่อนแอและไม่มีกำลังพอที่จะดูแลพวกเขาเหล่าพี่น้องจึงได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง เพราะเช่นนี้เองพวกเขาถึงเข้าใจสายตาของฟางเซียน
“ข้าจะช่วยเหลือเจ้า” ฮุ่ยเหอตัดสินใจพูดออกมาก่อนฮุ่ยหวงและฮุ่ยหลิง
“พี่รองแย่งข้าพูดก่อนได้อย่างไรขอรับ!” ฮุ่ยหลิงงอแงก่อนจะหันมามองฟางเซียนด้วยสายตามุ่งมั่นและจริงจัง “หากตายแล้วเจ้าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกนะ เพราะงั้นเปลี่ยนใจเถอะ! พวกข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง!”
ฟางเซียนเบะปากรังเกียจข้อเสนอของพวกเขา นางอยากตาย!ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือสักหน่อย!
“ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน เรามาช่วยเหลือแม่นางผู้นี้กันเถอะ” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนโยน
สีหน้าของฟางเซียนดำมืด พวกเขาไม่มองสีหน้ารังเกียจของนางแม้แต่น้อย
“ข้ามีนามว่า หวง แซ่ ฮุ่ย และนี่คือน้องชายคนรองของข้า ฮุ่ยเหอ และน้องชายคนเล็ก ฮุ่ยหลิง แล้วแม่นางเล่าชื่อแซ่ว่าอันใด?” ฮุ่ยหวงเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างสุภาพและเป็นมิตร แต่ฟางเซียนไม่ยอมเป็นมิตรด้วย
“ปล่อยข้าลง!” ฟางเซียนเริ่มดิ้นและโวยวายหวังให้ฮุ่ยหวงปล่อยนางลง แต่เขาก็ยังคงอุ้มนางอีกทั้งยังกระชับอ้อมแขนแน่นมากขึ้น
“เท้าของเจ้ามีแผล คงไม่เป็นการดีหากให้เจ้าเดินด้วยตัวเอง” ฮุ่ยหวงยังคงยิ้มอ่อนโยนดั่งเช่นสุภาพบุรุษหน้าหยกพึงมี ฟางเซียนไม่มีแรงดิ้นรนต่อ ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มของฮุ่ยหวงหรอกนะแต่เป็นเพราะว่านางเหนื่อยและรู้สึกปวดหัวมากต่างหาก!
จะว่าไปตั้งแต่นางเริ่มคิดฆ่าตัวตายนางก็แตะอาหารน้อยลงจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่แตะต้องเลย ส่วนเรื่องนอนหากไม่นับตอนสลบไปนางก็แทบไม่ได้นอนเลย ร่างกายมนุษย์ธรรมดาของนางจึงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
“ก่อนอื่นเราควรพานางไปรักษาและหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับนาง” ฮุ่ยเหอกล่าว ซึ่งพี่น้องของเขาก็เห็นด้วยเพราะถึงแม้บาดแผลของฟางเซียนจะดูเล็กน้อยแต่หากติดเชื้อมนุษย์ธรรมดาคงไม่สามารถรอดชีวิตได้และที่สำคัญคือชุดที่ฟางเซียนสวมใส่มันเป็นเสื้อผ้ารูปทรงแปลกประหลาดและเผยผิวของหญิงสาวมากเกินไป
พวกเขาเป็นกังวลว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ฟางเซียนอาจจะถูกฉุดโดยชายชั่วสักคนเป็นแน่ แม้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรมความงามของฟางเซียนก็ยังปรากฏให้เห็น
สามพี่น้องฮุ่ยได้พาฟางเซียนไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองใกล้เคียง พวกเขาได้สั่งให้เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมอาบน้ำแต่งตัวให้ฟางเซียนและดูแลนางอย่างดีเพราะพวกเขากลัวว่าฟางเซียนจะฆ่าตัวตายในห้องอาบน้ำที่พวกเขาเข้าไปดูแลไม่ถึง แต่ดูเหมือนว่าฟางเซียนจะไม่ยินยอมทำตามที่พวกเขาบอกสักเท่าไหร่นัก นางขัดขืนและมีท่าทีรำคาญตลอดเวลา
สุดท้ายแล้วกว่าจะบังคับให้ฟางเซียนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สำเร็จเสี่ยวเอ้อก็ถึงกับหมดแรงไปตามๆ กัน
ฟางเซียนพ่นหายใจอย่างหงุดหงิดไม่มีความรู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นเหนื่อย ก็นางไม่ได้ขอให้ทำเสียหน่อย แต่ที่น่าหงุดหงิดกว่าก็คือสามพี่น้องฮุ่ยที่ยังไม่ยอมเลิกยุ่งกับนางสักที ตอนนี้พวกเขาก็กำลังหว่านล้อมให้นางกินข้าวอย่างสุดความสามารถทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิดว่านางจะกินหรือไม่
ฟางเซียนดื้อรั้นไม่ยอมกินอาหารเพราะนางหวังให้ตัวเองอดตายไปเลย พวกเขาสามพี่น้องจึงมีสีหน้ากังวลอย่างมาก เห็นหน้าตาบูดบึ้งของฟางเซียนแล้วทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังบังคับเด็กเล็กให้กินอาหารไม่มีผิด
ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงออกโรงเอง
[หากคุณทานคำหนึ่งผมจะให้แต้มลบ 10 แต้ม!] ระบบห้ามฆ่าตัวตายกล่าว
“แต้มเฮงซวยอะไรของแก” ฟางเซียนสบถ
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ฮุ่ยหลิงถามอย่างไม่แน่ใจ เขาจึงได้รับสายตาไม่ชอบใจของฟางเซียนตอบกลับมา ฮุ่ยหลิส่งสายตาลูกหมาให้ฟางเซียนอย่างเสียใจ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับความสนใจหรือความเห็นใจจากฟางเซียนอยู่ดี
[ไม่ใช่แต้มเฮงซวยครับ เป็นแต้มลบต่างหาก แต้มเหล่านี้สามารถนำไปลบกับแต้มโชคของคุณได้ ทั้งโชครอดตายจากอุบัติเหตุและโชครอดตายจากการถูกฆ่า ไม่น่าสนใจเหรอครับถ้าหากแต้มโชคหมดไปในสักวันและคุณก็อาจจะได้ตายสมใจอยากก็ได้] ระบบหว่านล้อมอย่างใจเย็น
“...” ฟางเซียนเงียบและครุ่นคิด แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากที่จะลบโชคหลายล้านแต้ม แต่หากมีสักวันที่แต้มโชคพวกนั้นลดน้อยลงหรือหมดไปนางก็อาจจะมีโอกาสตายจากอุบัติเหตุและตายจากการถูกฆ่าเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อยถ้าได้แต้มลบมาเปอร์เซ็นต์ในการถูกฆ่าตายก็จะเพื่อขึ้นมากกว่าเดิมล่ะนะ เมื่อคิดได้ดังนั้นฟางเซียนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย
[คำละ 10 แต้ม อยากได้ไหมครับ?] ระบบย้ำอีกครั้ง ฟางเซียนจึงยอมพยักหน้าตกลงและคีบอาหารเข้าปาก ซึ่งนั่นก็ได้ทำให้สามพี่น้องฮุ่ยปลื้มใจอย่างมาก
“น่ายินดีที่เจ้ายอมทานแล้ว!” ฮุ่ยหลิงแทบจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น
“ดีแล้ว...เจ้าต้องดูแลตัวเอง อย่ายอมแพ้ที่จะมีชีวิต” ฮุ่ยเหอพยักหน้าพอใจเงียบๆ
“ไม่ต้องห่วงนะแม่นางน้อย ข้าจะช่วยเหลือเจ้าจนกว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้” ฮุ่ยหวงยิ้มเยียวยาจิตใจ
ฟางเซียนแสร้งพยักหน้าส่งๆ ยังไงซะสามพี่น้องกลุ่มนี้ก็คงไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แสร้งทำตัวว่าง่ายจนกว่าพวกเขาจะพอใจและยอมปล่อยนางไปเองแล้วกัน คิดพลางจ้องมองหน้าต่างระบบที่แสดงแต้มโชคที่ลดลงไปทีละสิบแต้มทุกครั้งที่นางกินอาหารเข้าไปคำหนึ่ง แม้จะเล็กน้อยแต่ก็อดอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดว่าจะหาทางตายได้ง่ายขึ้น
ฟางเซียนได้เข้าใจแล้วว่าการจะสลัดสามพี่น้องฮุ่ยไปให้พ้นจากชีวิตมันไม่ง่ายดายนัก
ตั้งแต่นางมาถึงโลกแห่งนี้วันแรกนางก็ถูกพวกเขาบังคับหลายอย่าง เช่น อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานอาหาร และการนอน เนื่องจากว่านางดื้อดึงไม่ยอมนอน พวกเขาจึงใช้คาถาสะกดให้นางนอนหลับ คืนแรกของการนอนหลับในโลกนี้จึงเลวร้ายมากสำหรับฟางเซียน และแน่นอนว่าเรื่องราวน่าขัดใจไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เช้าวันต่อมาพวกเขายังคงไม่ปล่อยนางไป พวกเขาคะยั้นคะยอให้นางทานอาหารเช้าและพาเดินชมเมืองเพื่อหาซื้อบ้านและตั้งใจจะหางานให้นางทำอีกด้วย ใช่แล้ว...พวกเขาตั้งใจจะตั้งรกรากให้นางอาศัยอยู่ในเมืองนี้!
พวกเขาเข้าใจว่าฟางเซียนเป็นคุณหนูในห้องหอที่ทำอะไรไม่เป็นและไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกเลยเพราะได้เห็นสีหน้าสงสัยและงุนงงของฟางเซียนเมื่อตอนเดินในตลาด พวกเขาจึงพยายามเอาใจใส่ดูแลฟางเซียนมากขึ้นเพราะคิดว่าเหตุผลที่ฟางเซียนต้องการฆ่าตัวตายไม่น่าใช่แค่เรื่องสูญเสียน้องสาวไป แต่น่าจะเป็นเพราะดำเนินชีวิตในโลกนี้ไม่เป็นอีกด้วย
ซึ่งความจริงแล้วฟางเซียนก็แค่เป็นคนจากอีกโลกอันห่างไกลที่รู้จักเพียงแค่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากกว่านี้ นางเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจของโบราณเสียเท่าไหร่นัก สิ่งของหลายอย่างนางจึงไม่รู้จักแม้แต่น้อยและไม่รู้ว่ามันจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
ในภายหลังฟางเซียนได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์และวิถีชีวิตของคนในยุคโบราณแห่งนี้จากสามพี่น้องฮุ่ย
ฟางเซียนได้รู้มาว่าถึงแม้โลกนี้จะเป็นโลกของการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนหรือไม่ก็มาร แต่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเลย ส่วนมากพวกเขาจะติดต่อกับเหล่าเซียนก็ต่อเมื่อโดนมารหรือปีศาจโจมตีเท่านั้น
การแบ่งแยกที่ชัดเจนทำให้ฟางเซียนคิดว่านางอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากการบำเพ็ญเพียรได้ นางไม่อยากเป็นอมตะจึงตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมบำเพ็ญเพียรเป็นมารหรืออะไรทั้งสิ้น ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับมนุษย์ธรรมดาจนกว่าจะหาทางตายได้มันดีกว่าตั้งเยอะ
แต่ก่อนจะหาทางตายได้สำเร็จก็คงต้องอดทนกับสามพี่น้องฮุ่ยต่อไป...
“แม่นาง การปักผ้าเช่นนั้นผิดแล้วนะขอรับ มันต้องปักเช่นนี้สิ!” ฮุ่ยหลิงชี้แจงวิธีปักผ้าให้ฟางเซียนดูอยู่หลายครั้ง เนื่องจากว่าสามพี่น้องฮุ่ยต้องการให้ฟางเซียนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะสอนทุกอย่างให้ฟางเซียนโดยไม่คิดจะถามความคิดเห็นของนางเลยสักนิด
ซึ่งสิ่งแรกที่พวกเขาเลือกสอนก็คือการเย็บปักเสื้อผ้าเพราะเห็นว่ามันง่ายและสตรีห้องหออย่างฟางเซียนก็น่าจะทำได้ แต่ที่ไหนได้สองวันเต็มแล้วฟางเซียนก็ยังคงปักผ้าออกมาไม่ได้ความเหมือนเดิม
“พยายามต่อไปสักวันเจ้าต้องทำได้แน่ ข้าผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!ถ้าเช่นนั้นเรามาลองปักผ้าใหม่อีกสักสิบรอบแล้วกัน” ฮุ่ยหลิงตั้งใจสอนฟางเซียนอย่างไม่ย่อท้อ
ฟางเซียนผู้เย็บปักไม่เป็นและถูกเข็มทิ่มมือหลายสิบครั้ง “...”
มารดามันเถอะ!ไม่คิดจะถามความเห็นกันบ้างเลยรึไง?หรืออยากจะฆ่านางด้วยเข็มกัน!?ถึงนางจะอยากตายมากขนาดไหนแต่ขอไม่ตายด้วยเข็มปักผ้าได้ไหม!?
พวกเขาหวังดีก็จริงแต่นางไม่ต้องการ!ฟางเซียนเคยขับไล่พวกเขาออกไปจากชีวิตแล้วแต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ที่จะติดตามนางต่อไป ฟางเซียนจึงพยายามหนีไปจากพวกเขาแทน แต่พวกเขาคือผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังปราณมากกว่าระดับห้าขึ้นไป มันจึงไม่ง่ายเลยที่คนธรรมดาอย่างนางจะหนีรอดไปได้ หากต้องการหนีให้พ้นก็คงต้องทำให้ตัวเองกลายเป็นมาร ซึ่งแน่นอนว่าฟางเซียนจะไม่เลือกทางนั้นเด็ดขาด
ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการแสดงให้พวกเขาเห็นว่านางสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวและไม่มีทางคิดฆ่าตัวตายอีก เป็นวิธีที่เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยแต่ได้ผลดี
เมื่อสรุปออกมาได้ดังนั้นฟางเซียนจึงพยายามปักผ้าต่อไปและหวังลึกๆ ว่าตัวเองจะตายเพราะเข็มทิ่มนิ้ว ถึงจะฟังดูเป็นไปไม่ได้แต่อย่างน้อยพอคิดแบบนี้มันทำให้นางมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยล่ะ
ฟางเซียนพยายามเรียนรู้การปักเย็บเสื้อผ้าอยู่นานหลายชั่วยามจนกระทั่งคนสอนนั่งสัปหงกไปแล้วเรียบร้อย ฟางเซียนเห็นท่าทางไร้การป้องกันนั้นจึงมีความคิดชั่วร้ายขึ้นมา
หากนางฆ่าฮุ่ยหลิง พี่ชายทั้งสองของเขาจะทำยังไงกันนะ?คงรู้สึกโกรธแค้นที่นางทำร้ายน้องชายคนสำคัญของพวกเขา เมื่อโกรธแค้นพวกเขาก็จะต้องฆ่านางเพื่อล้างแค้น เมื่อพวกเขาได้ล้างแค้น นางก็จะได้ตายอย่างที่หวัง
ในครัวน่าจะมีมีดคมๆ ที่พอจะเชือดคอฮุ่ยหลิงได้อยู่บ้าง...
ความคิดอันตรายของฟางเซียนถึงกับทำให้ฮุ่ยหลิงเสียวสันหลังวาบ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการสัปหงกด้วยความตกใจ
“เย็นแล้วรึ?ถึงว่าล่ะข้าถึงรู้สึกหนาว” ฮุ่ยหลิงพึมพำขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้ม เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าคนข้างกายของเขากำลังมีสีหน้าผิดหวังที่สูญเสียโอกาสในการลอบฆ่าเขาไป
หลังจากนั้นไม่นานฮุ่ยหวงและฮุ่ยเหอก็เพิ่งกลับมาจากการซื้อของใช้ในบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่พวกนางอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นบ้านที่เพิ่งซื้อมา ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากนักจึงจำเป็นต้องออกไปซื้อมาเพิ่มเติม
“ไปเสียนานเลยนะขอรับ พี่ใหญ่ พี่รอง” ฮุ่ยหลิงกล่าวทักทายเหล่าพี่ชายของเขา
“เราต้องการเลือกสิ่งที่แม่นางน่าจะชอบ” ฮุ่ยเหอตอบเสียงเรียบ “พวกข้าเลือกซื้อมาหลายอย่าง เจ้าเลือกดูเองแล้วกัน”
ฮุ่ยเหอหยิบยันต์บางอย่างออกมาพลางกล่าวปลดผนึกก่อนจะโยนมันไปยังพื้นที่ว่าง ทันใดนั้นเองตู้เสื้อผ้าหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่แผ่นยันต์
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางเซียนได้เห็นแต่ก็อดชะงักไม่ได้เพราะความรู้สึกไม่คุ้นชินที่มีสิ่งของปรากฏขึ้นมาต่อหน้าอย่างกะทันหัน นางพอรู้มาแล้วว่ายันต์พวกนั้นคือยันต์สำหรับเก็บของที่มีไว้สำหรับใช้แล้วทิ้งเพราะมันสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ เพียงการเขียนตัวอักษร แต่อย่างน้อยผู้ใช้ก็จะต้องมีพลังปราณขั้นสามขึ้นไปถึงจะใช้งานมันได้
“แม่นางคิดว่าตู้เสื้อผ้าหลังนี้เป็นเช่นไรบ้างขอรับ?สวยงามหรือไม่?” ฮุ่ยหวงถามความเห็นของฟางเซียนด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดี” ฟางเซียนตอบเพียงเท่านั้น
พวกเขาจึงนำสิ่งของเครื่องใช้อันอื่นออกมาให้ดูเพิ่มเติม ซึ่งฟางเซียนก็ตอบแค่ว่า ดี เช่นเดิม พวกเขาหวังอยากจะให้ฟางเซียนบอกว่าชอบมันอย่างจริงใจจึงนำเสนอต่อไป แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจสิ่งของพวกนั้นจึงไม่ยอมพูดว่าชอบเสียที
แต่เพื่อไม่ให้ของล้นบ้านไปมากกว่านี้ฟางเซียนจึงพูดคำอื่นบ้างเช่นคำว่า “สะดวกดีนะ”
นางกำลังหมายถึงยันต์น่ะ มันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีจริงๆ
“เจ้าสนใจหรือ?งั้นกลับสำนักเซียนกับพวกข้าและไปบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนดีหรือไม่?” ฮุ่ยหลิงเสนอด้วยสายตาระยิบระยับและหวังว่าฟางเซียนจะสนใจ
“ไม่ล่ะ” ทว่าฟางเซียนตอบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ซึ่งความสนใจ
ฮุ่ยหลิงทำตาละห้อยด้วยความรู้สึกเสียดาย ทว่าเขาก็ไม่ได้ตามตื๊อและยอมถอยแต่โดยดี เพราะเขารู้ดีว่าการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเซียนมันต้องเดินไปบนเส้นทางที่ยากลำบาก ผู้บำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องมีความมุมานะสูงกว่าคนทั่วไปมาก แม้เขาจะอยากให้ฟางเซียนกลับไปยังสำนักเฉินพร้อมกับตนแต่หากฟางเซียนไม่ต้องการเขาก็จะไม่ดื้อรั้นฝืนใจฟางเซียนเด็ดขาด
และหลังจากที่ฟางเซียนคัดเลือกเครื่องเรือนที่ต้องการใช้งานแล้วสามพี่น้องฮุ่ยก็ได้จัดวางเครื่องเรือนให้เข้าที่เรียบร้อย แต่กว่าจะจัดแต่งบ้านเสร็จมันก็กินเวลาไปมากโข รู้สึกตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
“งั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะขอรับ ช่วงนี้ข้าอาจจะพักผ่อนน้อยถึงได้รู้สึกเมื่อยตัวและอ่อนเพลียเช่นนี้” เมื่อเสร็จงานแล้วฮุ่ยหลิงก็บ่นพลางเดินกลับห้องนอนเป็นคนแรก
“ราตรีสวัสดิ์อาหลิง” ฮุ่ยหวงกล่าวไล่หลังน้องชายไป “แม่นางเองก็นอนหลับให้สบายนะขอรับ” เขาหันไปกล่าวกับฟางเซียนต่อเมื่อเห็นว่านางกำลังเดินกลับห้องนอน ฟางเซียนได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดชะงักชั่วคราว นางเริ่มรู้สึกรำคาญคำว่าแม่นางที่พวกเขาใช้เรียกนางเสียแล้วสิ
“ฟางเซียน...ข้าชื่อฟางเซียน” เพราะรำคาญฟางเซียนจึงยอมบอกชื่อของตัวเองออกไปด้วยสีหน้าเย็นชาแต่นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรอยยิ้มกว้างตอบกลับมา ฮุ่ยหวงยิ้มไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ฮุ่ยเหอที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนักแต่กลับยิ้มออกมาไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชายคนโต
ฟางเซียนสะบัดหน้าและเดินหนีก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรอีก
[รู้สึกชอบพวกเขาแล้วเหรอครับเนี่ย] ระบบแอบแหย่
“แค่รำคาญ” ฟางเซียนแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “แต่แกน่ารำคาญกว่า เพราะงั้นเงียบปากไปซะ”
[ไม่ได้หรอกครับเพราะผมมีเรื่องจะมารายงาน มันเป็นเรื่องสำคัญมาก!] ระบบกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง [คุณมีปราณมารระดับหนึ่งขั้นสูงแล้ว!]
ฟางเซียนรู้สึกว่าฟังอะไรผิดไปและต้องการฟังอีกครั้ง “นายพูดว่าไงนะ?”
[คุณคงกำลังสงสัยว่าทำไมคุณถึงมีพลังปราณได้สินะครับ งั้นผมจะอธิบายเอง!] ระบบพูดเสียงร่าเริงแตกต่างจากใบหน้าที่ดำทะมึนของฟางเซียน [ร่างกายของคุณก็เหมือนจะอยู่ในความดูแลของผมแล้วเพราะงั้นผมจึงสามารถควบคุมร่างกายของคุณให้ดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่ต้องให้คุณซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายทำอะไรเลย! สะดวกดีใช่ไหมล่ะครับ?คุณไม่ต้องเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย...]
“ระบบเฮงซวย!” ฟางเซียนหลุดปากสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไม่คิดเลยว่าระบบมันจะมีไม้นี้!
[แต่หากคุณอยากทำเองผมก็สามารถแนะนำได้ เนื่องจากคุณเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารทางลัดในการดูดซับพลังปราณจึงมีมากมายและไม่ต้องเสียเวลา ตัวอย่างเช่นการดูดพลังปราณจากแกนพลังปราณในตัวคนอื่นมาเป็นของตัวเอง วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายหากคนอื่นขัดขืนแต่ผมมีกลโกงให้คุณจึงไม่มีปัญหา เพียงแค่คุณไปอยู่ใกล้ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรสายใดก็ตามคุณก็จะสามารถดูดซับพลังปราณของพวกเขามาเป็นของตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาและไม่มีใครรู้ตัว! ตัวอย่างเช่นสามพี่น้องฮุ่ย พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าคุณขโมยพลังปราณของพวกเขาไปจนร่างกายเหนื่อยล้า]
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฮุ่ยหลิงถึงบ่นว่าเมื่อยตัวและอ่อนเพลีย
[พลังปราณของคุณเลื่อนระดับได้ไม่เลวเลย อีกไม่กี่ปีคงถึงระดับเจ็ด ระดับที่สามารถทำให้ร่างกายเป็นอมตะไม่แก่ตาย!]
“ฉันไม่อยากเป็นอมตะ!”
[ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเติมทรูให้คุณเอง ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีคุณก็ถึงระดับสิบแล้วและได้เลื่อนจากปราณมารเป็นปราณปีศาจ ส่วนความรู้เกี่ยวกับการใช้พลังปราณและความรู้ด้านคาถาอาคม ระบบสามารถเปลี่ยนพวกมันเป็นข้อมูลและส่งเข้าไปในสมองของคุณได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนเช่นกัน]
ระบบพูดมากน่ารำคาญ ฟางเซียนพยายามปิดหูไม่ฟังสิ่งที่มันพูด แต่นางก็ยังได้ยินเพราะระบบมันพูดอยู่ในหัวของนาง ฟางเซียนแทบสติแตก
“ฉันจะฆ่าแก ระบบ” ฟางเซียนกัดฟันกรอด
[สบายใจได้ ระบบไม่มีทางตาย] ระบบกล่าวเสียงใส ฟางเซียนกระอักเลือดเพราะไม่สามารถกำจัดความเคียดแค้นนี้ไปได้
บทที่ 2.2 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่นพิภพมนุษย์ พิภพเทพ และพิภพปีศาจ สามพิภพแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทว่าเผ่าปีศาจและเผ่าเทพก็ยังคงไม่ลงรอยกัน อาจจะเพราะความแตกต่างของเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็พลังปราณที่มีสีขั้วตรงข้ามกัน อย่างไรก็ตามสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มักจะเข้าปะทะกันบ่อยครั้งในพิภพมนุษย์เนื่องจากว่าพิภพมนุษย์มีทั้งประตูเชื่อมต่อไปยังพิภพเทพและพิภพปีศาจ บางครั้งเทพและปีศาจจึงเดินทางมายังพิภพมนุษย์บ้างเป็นบางครั้ง พิภพมนุษย์จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของทั้งสามพิภพนั่นเอง เพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้บนพิภพมนุษย์มักเต็มไปด้วยหายนะ มนุษย์จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอดมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์อสูรต่างก็มีแกนพลังปราณเป็นของตัวเอง แต่จะไร้พลังปราณแตกต่างจากเผ่าเทพและปีศาจซึ่งมีพลังปราณตั้งแต่กำเนิด แต่หากได้รับการฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์อสูรก็จะสามารถดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ หากยิ่งเลื่อนระดับพลังปราณให้สูงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแต่ทว่าเผ่ามนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพได้เมื่อเปรียบเทียบปราณเซียนหรือปราณมารของผู้บำเพ็ญเพี
บทที่ 3.1 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารสตรีผู้นั้นประมูลเขามาจากโรงประมูลทาส นางได้พูดว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ ลู่เหลียนไม่คิดว่านางจะพูดความจริง ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาเช่นนางจะอยากรับลูกครึ่งปีศาจเช่นเขาเป็นลูกศิษย์ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อนางสามารถปลดกำไลทาสบนข้อเท้าของเขาออกได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาคมของมันน่าจะแน่นหนาและยากที่จะปลดออก บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นหมายความว่านางหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ นางคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สามารถปกปิดพลังปราณของตัวเองได้อย่างมิดชิดและหลังจากที่กำไลทาสถูกปลดออกนางก็ได้ประทับตราบนหน้าผากของเขาโดยไม่ถามเขาก่อนว่าเขายินยอมหรือไม่ลู่เหลียนลูบหน้าผากที่เรียบเนียนของตนเอง แม้ตราสัญลักษณ์จะซ่อนอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เขาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง หลุดพ้นจากกำไลทาสมาได้แต่กลับได้รับสัญลักษณ์การเป็นลูกศิษย์มาแทนเสียได้ ถึงมันจะไม่ได้กักขังหรือทรมานเขาอย่างเช่นที่กำไลทาสทำ แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากนางได้เพราะนางจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้ทุกเมื่อจากตราสัญลักษณ์นี้“วันนี้เจ้าไปพักในห้องนั้น วันพรุ่งนี้ข
บทที่ 3.2 อาจารย์มารอยากตายกับลูกศิษย์ผู้น่าสงสารฟางเซียนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง เมื่อนางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารระดับเจ็ดนั่นก็หมายความว่านางจะเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย! หากรวมเข้ากับแต้มโชครอดตายมันก็หมายความว่านางจะไร้หนทางตาย!ฟางเซียนรู้สึกสิ้นหวัง เข่าของนางอ่อนแรงจนนางไม่สามารถยืนได้อีก นางนั่งซึมเศร้าอยู่ข้างร่างแห้งเหี่ยวของหนูยักษ์และนึกเสียใจที่หลงกลตื้นเขินของระบบ นางมันโง่มาก!อยากตายมากขึ้นเพราะความโง่นี่ล่ะ! ฟางเซียนไม่อยากเดินไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้วแต่ทว่าระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ยังคงผลักให้นางเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจให้ได้!เมื่อคิดดังนั้นฟางเซียนก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ทำไมนางถึงโชคร้ายแบบนี้!เมื่อดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่นางได้พบความสิ้นหวังมายาวนานทั้งชีวิต เมื่อต้องการที่จะตายนางก็ยังคงสิ้นหวังเพราะไม่สามารถตายได้ มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นที่บรรยายออกมาไม่ได้ อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจนเสียสติไปเลยในขณะที่ฟางเซียนกำลังเสียสติไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในหัว นางคิดว่ามีบาดแผลตามร่างกาย แต่ว่ามันไม่ใช่ของนา
บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไปสภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจเพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชาทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่ค
บทที่ 1.1 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักที ฟางเซียน มีความหมายว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม มันคือชื่อเล่นภาษาจีนที่แม่ของนางตั้งให้เพราะแม่ของนางเป็นชาวจีน แต่เนื่องจากว่าพ่อของนางเป็นชาวไทยดังนั้นฟางเซียนจึงอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เกิดกับพ่อแม่และน้องสาว พวกเราดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นทั่วไปจนกระทั่งแม่ของนางจับได้ว่าพ่อแอบมีผู้หญิงคนอื่น แม่ของนางพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมเพราะเห็นแก่นางที่เพิ่งมีอายุเจ็บขวบและน้องสาวของนางที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่แล้วพ่อของนางก็ทิ้งครอบครัวไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก แม่ของนางจึงตัดสินใจพาพวกนางสองพี่น้องกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศจีน แต่เพราะแม่ของนางถูกตัดขาดออกจากตระกูลแล้วพวกเราสามแม่ลูกจึงต้องไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แม่ของนางต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงนางและน้องสาวจนกระทั่งแม่ของนางพบรักครั้งใหม่กับผู้ชายคนหนึ่ง มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นที่แม่หลงรักไม่ต้องการลูกติด ดังนั้นแม่ของนางซึ่งเหนื่อยกับการเลี้ยงดูนางและน้องจึงตัดสินใจทิ้งพวกนางที่เป็นเหมือนภาระและไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก
บทที่ 1.2 ความตายหายาก ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีราชันมังกรทองสยบนภา คือนิยายแนวผจญภัยในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนและมารเรื่องหนึ่งที่ยาวมากอธิบาย ‘มาร’ และ ‘เซียน’ ก็คือมนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรตบะเพื่อให้ได้รับพลังมา ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันแค่ มารจะฝึกวิชาสายชั่วร้ายและดูดซับปราณสีดำ ฝ่ายเซียนก็จะฝึกในเส้นทางตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าเส้นทางคนดี๊ดี ดูดซับแค่ปราณขาวสะอาด ส่วน ‘ปีศาจ’ และ ‘เทพ’ ก็คือเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายแน่นอนว่าสูตรโกงของพระเอกของนิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ ก็คือการที่ได้เกิดเป็นมังกรทองเผ่าเทพ จ้าวหลงเทียน คือชื่อของเขา ตำแหน่งของเขาในพิภพเทพค่อนข้างสูงส่งเพราะมังกรทองมีไม่มากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งจ้าวหลงเทียนเหมือนจะเบื่อการเป็นเทพหรืออะไรก็ไม่รู้เขาได้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์บนพิภพมนุษย์เรื่องราวนิยายเริ่มต้นตรงนั้นเนื่องมาจากว่านิยายเรื่อง ‘ราชันมังกรทองสยบนภา’ เป็นนิยายแนวฝึกฝนพลังและออกไปวิ่งไล่ตบตัวร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้อ่านจึงจะได้พบแค่เพียงการต่อสู้ของพระเอกและตัวร้ายจนดูน่าเบื่อหน่าย แต่จุดขายอย่า