“เอาแบบนี้ มีมี่นำกระบี่หักไปให้ช่างหลอมมันให้ดีกว่า องค์ชายจะได้หมดห่วงจะได้ไม่ต้องมาทวงสัญญาที่มีมี่จำได้ว่าแค่เดือนเดียวทำไมมันขึ้นไปสามเดือนอีกแล้วอะ”
คว้ากระบี่วิ่งแน่บออกไป เจี้ยนเหวินคว้าเอวบางไว้ทันทีไม่ทันที่จะได้ ออกพ้นประตูห้อง
“เมื่อบ่ายใครกัน ปากกล้ามาถึงตอนนี้กลับขลาดเขลา กระบี่นั่นช่างมันก่อน เจ้ามานี่”
“ม่ายยย …กรี๊ด…ปล่อยนะ จะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะข้าไม่ได้อยากอุ่นเตียงอย่างที่บอกเสียหน่อยปล่อยน้าาาาา”ออกฤทธิ์ออกเดชเต็มที่
“ฮ่าาาา ใครบอกเจ้าว่าข้าจะให้เจ้าอุ่นเตียงเพียงแค่ อีกสองวันท่านอาสี่ชวนข้าเดินหมากหารือข้อราชการ ข้าจึงอยากให้เจ้าเดินหมากเป็นเพื่อนข้าฝึกปรือฝีมือเอาชนะท่านอาสี่ให้ได้ก็เท่านั้น”
พริมมี่ทำหน้าเหลอหลา
“เดินหมากหรือ เดินหมากเนี๊ยนะ”
สีหน้าผิดหวังฮ่าาาาไม่สิเกินคาดหมายต่างหาก
“ก็เดินหมากนะสิ อะไรกันเจ้าผิดหวังหรือไรว่าแค่การเดินหมากแต่มันสำคัญกับข้ามากเลยนะข้าเป็นคนที่คิดอะไรซับซ้อนไม่เก่ง ไม่เคยเอาชนะใครได้แม้แต่ สุ่ยหลีขันทีจอมบงการคนนั้นก็ตาม”คนอะไรเปิดเผยเสียจริง
พริมมี่ยิ้ม คว้ามือเจี้ยนเหวินลากไปที่โต๊ะตัวเตี้ยที่วางกระดานหมากล้อมไว้ เจี้ยนเหวินก้มมองมือนางที่เกาะกุมมือเขาอยู่รู้สึกว่ายามนี้ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
“ มานี่วางใจเถอะ ต่อไปท่านจะต้องชนะทุกคนและทุกครั้งที่เล่น มาถูกทางแล้ว พริมมี่เก่งที่สุดในสามโลก”
เจี้ยนเหวินอมยิ้มเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่ายามเข้าใกล้พริมมี่และยามที่พริมมี่ใส่ใจเขาช่างทำให้รู้สึกเป็นสุขเสียจริง มองจ้องใบหน้างามไม่ได้สนใจหมากบนกระดาน
“นี่ตั้งใจหน่อย เอาตามจริงนะการเดินหมากก็เหมือน การจีบหญิงจะต้องอ่านใจคู่ต่อสู้ จะต้องคิดวิเคราะห์ และต้องรู้จักวางกับดักล่อให้คู่ต่อสู้เดินหมากผิดและเราจะต้องเดินหมากให้ผิดพลาดน้อยที่สุด”
พริมมี่พูดเจื้อยแจ้ว เจี้ยนเหวินเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
“องค์ชายพระอัยกาเรียกหา องค์ชาย”
สุยหลี เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ท่าทีนอบน้อม
“เรียกหาข้ายามซวี (19.00-20.59น) นี่หรือ”
“เตรียมเสื้อคลุม”พริมมี่ขมวดคิ้ว
“องค์ชายมีมี่อยากจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นบุญตาสักครั้ง”
“เวลานี้หาเหมาะไม่”
สุ่ยหลี่เอ่ยปากทักท้วงขยิบตาให้พริมมี่
“เสด็จปู่คงจะบรรทมไม่ได้เช่นทุกวันที่ผ่านมา ข้าแวะไปคุยด้วยไม่นานก็คงจะหลับสุ่ยหลีให้นางตามไปเถิด ส่วนเจ้าจัดเตรียมเสื้อคลุมให้ข้าแล้วรีบตามมาข้าเร่งไปก่อน”
สาวเท้าออกจากห้องไปไม่ฟังคำทัดทานของสุ่ยหลี พริมมี่รีบเดินตามไปติดๆ เจี้ยนเหวินคว้าข้อมือบางมากำไว้แน่นพาเดินเคียงข้างเขาไป
“แค่กๆๆๆๆๆ แอ่กกกกก”
เสียงไอเล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมที่ปิดทึบ ขันทียังคงเดินเข้าออกวุ่นวายกลิ่นยาที่เคี่ยวเพื่อบรรเทาอาการไอคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
พริมมี่ขมวดคิ้ว
“องค์ชาย ฝ่าบาททรงพระกรรสะ(ไอ)เป็นเวลานาน หมอหลวงมาดูอาการและส่งเทียบยานำไปเคี่ยวให้จิบก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังบ่นว่ามีเสลดมากมายในลำคอ ข้าน้อยห่มผ้าก็บ่นว่าร้อนและอึดอัดให้ขันทีตามองค์ชาย เพื่อพูดคุยให้ลืมเลือนอาการไอ”
“เจี้ยนเหวินมาแล้วหรือ”
เสียงทักเบาๆจากผ่านม่านสีทึบ
เจี้ยนเหวินตรงเข้าพยุงหมิงไท่จูให้ลุกขึ้นนั่งเอนหลัง
พริมมี่ขยับเข้าใกล้ ใบหน้าชรานั้น ยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ใบหน้าแม้จะโรยแรงด้วยอาการป่วยแต่ทว่าพริมมี่กับรู้สึกว่าหงอู่ฮ่องเต้ช่างน่าเกรงขามคงเพราะบารมีของพระองค์ที่เหนือผู้อื่นนั่นเอง
“นางเป็นใคร”
“เอ่อ นางคือนางกำนัลข้างกายหลาน เจียงมีมี่”
“เจียงมีมี่ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
“เจ้าออกไปรอข้าด้านนอกเถิด”
เจี้ยนเหวินออกคำสั่ง
“องค์ชาย มีมี่อยากจะลอง ช่วยบรรเทาอาการกรรสะของฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทรู้สึกสบายขึ้น”
“หืมมม เจ้าบังอาจนักเจ้าแค่นางกำนัลหาใช่หมอหลวง กล้าอวดอ้างสรรพคุณหรือไร”พริมมี่ถอนหายใจยาวกับน้ำเสียงดุดุของขันทีข้างกายฮ่องเต้
“ ฝ่าบาททรงมีพระเสลด หากว่าทำการเคาะปอดจะช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสลด ที่บ้านเมืองที่ข้าจากมาใครๆ เขาก็ทำกันช่วยบรรเทาอาการไอ หลับสบาย”
“ใครจะเชื่อเจ้า”ขันทีชรายังตวาดลั่น
“มีมี่เจ้าออกไปก่อน”พริมมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ข้าเอาหัวเป็นประกันหากฝ่าบาทไม่ดีขึ้นข้ายินดีให้ตัดหัว”
“มีมี่อย่าล้อเล่น เรื่องนี้ ไม่ใช่จะพูดเล่นกันได้ เสด็จปู่นางยังเด็กพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง”
“ออกไปได้แล้ว”ขันทีชราออกปากไล่
“กงกงให้นางได้ลองเถิด”
หมิงไท่จู พูดขึ้นดังๆ
“แต่ฝ่าบาท”
“นางหวังดี”
พริมมี่ขยับตัวขึ้นนั่งบนแท่นบรรทมยกมือไหว้ประหลกๆน้ำตาปริ่มขอบตามือสั่นเทาด้วยบารมีของหมิงไท่จูฮ่องเต้ใครกันจะคิดว่าหญิงธรรมดาเช่นพริมมี่จะได้พบปะใกล้ชิดกับฮ่องเต้ผู้หญิงใหญ่ในประวัติศาสตร์
“องค์ชาย ช่วยกันประคองฝ่าบาทนั่งในท่าสบายเอนไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย”
เจี้ยนเหวินพรุงหงอู่หรือหมิงไท่จูฮ่องเต้ในท่านั่งเอนตัวไปประมาณ30องศาตามที่พริมมี่ ช่วยกะเกณฑ์
“1 2 3”
พริมมี่ยกมือขึ้นทั้งสองข้างโดยทำมือให้เป็นลักษณะคุ้ม นิ้วแต่ละนิ้วชิดกันใช้ผ้ารอง
เคาะบริเวณหัวไหล่ ระหว่างกระดูกต้นคอ และกระดูกสะบักใช้เวลาเคาะประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะ ให้ฮ่องเต้เอนตัวไปข้างหน้า ใช้หมอนสอดไว้ใต้ท้องเคาะและสั่นสะเทือนบริเวณบ่าด้านหลัง
แล้วยังได้ให้นอนหงายในท่าสบาย และท่าตะแคงซ้ายขวาเคาะไปปอดส่วนต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว เจี้ยนเหวิน จ้องพริมมี่ที่ตั้งหน้าตั้งตาเคาะปอดให้กับอัยกาด้วยความรู้สึกพิเศษ ชื่นชมท่าทีตั้งใจจริงของพริมมี่ ไม่นานหมิงไท่จูส่งเสียงไอออกมาดังๆ
“แค่กๆๆๆๆ โขลก”
ขันทีชราที่เฝ้าจับผิดรีบพูดขึ้นทันที
“เจ้า ๆๆ องครักษ์จับตัวนางกำนัลคนนี้ นางทำร้ายฝ่าบาท”
หมิงไท่จู พ่นเอาเสลดออกมาจากปอดและลำคอ พริมมี่รีบเอากระโถนมารองรับ โดยไม่มีทีท่ารังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่น้อย
“กงกงออกไป เสียงดังน่ารำคาญ ข้าดีขึ้นมากทีเดียวทำร้ายอะไรกัน นางช่วยให้ข้ารู้สึกสบายขึ้น”
เจี้ยนเหวินมองสบตากับพริมมี่ยิ้มๆ
“เจ้าเอาวิชาการแพทย์ชนิดนี้มาจากไหนกัน”เจี้ยนเหวินเอ่ยปาก
พริมมี่ยิ้ม
“บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามาจากอนาคต”
“ได้ยินว่านางจับเสด็จพ่อพลิกซ้ายพลิกขวา ใช้มือเล็กๆ ของนางเคาะเบาๆ ไม่กี่ทีเสด็จพ่อถึงกับขับเสลดออกมาไม่มีอาการไอจนถึงเช้า ป่านนี้ก็ยังไม่ไอแล้วยังลุกขึ้นมาเดินเหินชมนกชมไม้ ราวกับไม่ป่วยไข้ อาจเพราะได้นอนหลับพักผ่อน”เอี้ยนอ๋องพยักหน้าขึ้นลงเมื่อองค์ชายห้าจ้านกวง นำข่าวเรื่องที่พริมมี่ใช้วิชาการแพทย์รักษาอาการประชวรของหมิงไท่จู“นางไม่เหมือนหญิงอื่นข้ารู้ดี นางแตกต่างไม่น้อย”ดวงตาแสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างในใจ“พี่สี่ ท่าน คิดว่าซื้อตัวนางไว้ข้างกาย ให้นางช่วยสอดแนมเจี้ยนเหวินทำประโยชน์ให้เราแล้วยังได้วิชาการแพทย์จากนางอีกด้วย”“ข้าไม่คิดว่านางมีวิชาการแพทย์ที่แตกฉานอะไร บางทีนางอาจเคยเห็นท่านหมอบางคนทำเหมือนที่นางทำแล้วทำให้คนที่ป่วยอาการดีขึ้นนางเป็นคนฉลาดจึงสามารถจำมาใช้ได้ไม่ขัดเขิน จึงส่งผลดีทำให้นางเป็นที่กล่าวขานในหมู่คนที่ไม่เคย พบเห็นสิ่งที่แปลกใหม่”นับว่า เอี้ยนอ๋องมีความคิดสมัยใหม่ไม่น้อย เขาคือหย่งเล่อ หากเป็นเพียงอ๋องโง่ๆ เหมือนในนิยายคงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอันดับสามของ..ราชวงค์หมิง“พี่สี่ท่านไม่เสียดายนางหรือ คนโง่งมเช่นเจี้ยนเหวินไม่ควรมีคนฉลาดเฉลียวไว้ข้างกาย เสด็จ
“กงกง ฝ่าบาททรงมีบัญเรื่องใดเร่งด่วนหรือไม่จึงให้กงกงมาถึงนี่” ตู้กงกงยิ้มอ่อนโยน“หลายวันก่อน ท่านอ๋องทรงเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าน้อยได้ยินที่ฝ่าบาทและท่านอ๋องพูดกัน เรื่องที่พระชายาไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงมีความห่วงใยไม่น้อย”ไป๋อิงเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจไม่น้อยกับเรื่องที่ทั้งฮ่องเต้และเอี้ยนอ๋องพูดคุยกันแล้วยังเป็นตู้กงกงที่มาที่นี่เพราะเรื่องนี้“เรื่องตั้งครรภ์ของข้าคงหมดหวัง หลายปีแต่งเข้าจวนอ๋อง แม้ท่านพี่จะใส่ใจแต่ก็ไม่เคยมีอ๋องน้อยอาจเป็นด้วยสุขภาพของข้าหรือเรื่องอื่นใดไม่อาจทราบได้”น้ำเสียงเรียบเฉยเพราะรู้ดีว่าทำมาทุกทางแล้วกงกงยิ้ม พูดมาแบบนี้ก็เปิดช่องให้กงกงได้พูดต่อ“วานก่อน นางกำนัลขององค์ชายเจี้ยนเหวิน ทรงรักษาอาการประชวรของฝ่าบาทให้ดีขึ้น ข้าน้อยจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับนาง เมื่อฝ่าบาทประทานของกำนัลให้นางแทนคำขอบคุณข้าน้อยนำไปมอบให้กับนางจึงได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องทั่วไป คุยไปคุยมาได้ความว่านางเองตอนนี้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ชายเจี้ยนเหวิน องค์ชายแม้กำลังจะแต่งชายาเอกแต่คงต้องยกนางไว้ในฐานะชายารองนับว่านางประสบความสำเร็จจากเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น และนางยังบอกว่าน
“อีกไม่กี่วัน องค์ชายจะต้องแต่งกับถังหรานหราน”“มีมี่เจ้าจะอยู่ในฐานะใดกัน ข้า ..ข้า…ในเมื่อเจ้าเองไม่พูดก็เหมือนพูด ว่ามีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับข้า.. เจ้าเองที่เสียหาย ข้า…ข้าจะละเลยเจ้าได้อย่างไร”“ฮ่าาาา อย่าซีเรียส ข้ายังไม่ซีเรียสเลย ข้าเป็นชายารอง ชายาสามชายาสี่หรืออะไรก็ได้”ขอแค่ให้มีที่ซุกหัวและคนคุ้มกะลาหัวที่ดีดีแบบนี้ก็พอ กินอิ่มนอนหลับไม่กวนใจและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเจี้ยนเหวินก้มหน้าดวงตาเศร้าสร้อย“เจ้าคงหมายความว่าจะยอมเป็นชายารองของข้าใช่ไหม หลายวันมานี้ ข้าช่วยงานอาสี่ เดินหมากหารือเรื่องในราชสำนักจนบัดนี้สามารถช่วยงานท่านอาได้ตามสมควรมีมี่นั่นเพราะเจ้า นั่นเพราะมีเจ้าที่คอยยืนเคียงข้างข้า ข้ารู้สึกผิดมากเพียงใดที่ต้องให้เจ้าอยู่ในฐานะชายารอง”สีหน้าเศร้าสร้อบยจริงจังคนอะไร จะเปราะบางขนาดนั้น“ฮ่าาาาา ไม่หรอก ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร ท่านก็แค่แต่งงานแล้วก็มีเวลาอยู่กับข้าน้อยลง ท่านก็แค่ มีใครอีกคนคอยพูดด้วยในขณะที่ข้าไม่มีใครพูดด้วย ท่านก็แค่มีคนนั่งกินข้าวด้วยแต่ข้ากินคนเดียว รวมๆ แล้วข้าก็ยังสบายดี”ทำไมน้ำเสียงสั่นเครือเพราะหมอนี้มาบิ้วอารมร์แน่ๆ“จริงจริ้งงงงไม่ได้รู้
เจี้ยนเหวินยืนนิ่ง ตู้กงกงสะกิดให้คุกเข่ารับตราหยกประจำตำแหน่งองค์รัชทายาทจากมือของหมิงไท่จู ที่ยิ้มและมองหลานชายด้วยสายตาอ่อนโยน“ตำแหน่งไท่จือเหมาะที่จะเป็นของเจ้าเจี้ยนเหวิน”เสียงประกาศก้องเสียงแซ่ซ้องและเสียงอื้ออึงด้วยความประหลาดใจ คราวนี้เป็นพริมมี่ที่หันมองเอี้ยนอ๋องว่าเขาไหวไหม เอี้ยนอ๋องก้าวขาออกจากตรงนั้นไปคล้ายจะหลบหนีความอัปยศ กับตำแหน่งรัชทายาทคนใหม่ของราชวงศ์หมิงที่หมายมั่นไว้แต่ตำแหน่งนี้กับตกอยู่ที่องค์ชายเจี้ยนเหวิน ที่เอี้ยนอ๋องไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้พริมมี่ ก้าวขาตามเอี้ยนอ่องไปทันที บางอย่างบอกพริมมี่ว่าไม่อาจปล่อยผ่าน เขาจะผิดหวังแค่ไหน เขาจะแค้นเคืองเพียงใด เป็นพริมมี่ที่จะแก้ไขประวิติศาสตร์ไม่ให้เอี้ยนอ๋องจูตี้ก่อกบฏ“ท่านอ๋องรอมีมี่ด้วย”เอี้ยนอ๋องจูตี้หันมา สวมกอดพริมมี่ไว้แน่นเพียงครู่เดียวที่ พริมมี่รู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังอ่อนแอผลักพริมมี่ออกห่าง“เจ้าไปเสีย”“ข้ามาเพื่อจะบอกท่านว่า คนเราไม่ได้สมหวังไปเสียทุกอย่างหรอกนะจะต้องมีผิดหวังกันบ้าง”เอี้ยนอ๋องยิ้มขมขื่น“เจ้ากำลังสงสารข้าหรือ”“ข้าก็สงสารไปเสียทุกคน ทุกคนที่นี่น่าสงสารไปหมดไม่ว่าจะท่านอ๋อง ฝ่าบาท
เสียงสุ่ยหลีดังมาจากที่ไกลแสนไกล"เข้าใจแล้วสมศักดิ์นายไปนอนเถอะ"พึมพำเบาๆเกลือกกลิ้งใบหน้าบนโต๊ะ แต่เมื่อลืมตาตื่นกลับเป็นอกกว้างของใครบางคนที่อุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกรักใคร่"นอนเสีย รับรองว่าจะส่งเจ้าถึงแท่นนอน"เจี้ยนเหวินที่บัดนี้มีสีหน้าเรียบเฉยอุ้มเอาร่างบางที่ไร้สติเดินเข้าไปยังห้องพักด้านข้างสำหรับนางกำนัลของตำหนักเจี้ยนเหวิน“อะอะองค์ชาย..ไม่ใช่องค์รัชทายาทคืนนี้เป็นคืนเข้าหอกับไท่จือเฟย ไท่จือจะพานางกำนัลเข้าหอไม่ได้นะ” เจี้ยนเหวินเดินตรงเข้าห้องปิดประตูเกือบจะกระแทกโดนใบหน้า ของสุ่ยหลี“ไท่จือจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”สุ่ยหลียังตะโกนอยู่ตรงนั้นวางพริมมี่ลงบนแท่นนอน ห่มผ้าให้แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ เลื่อนริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากบางจุมพิตอ่อนหวานอ่อนโยน“เหม็นกลิ่นสุราสิ้นดี”ยิ้มบางๆเดินไปหยิบชามน้ำและผ้ามาเช็ดใบหน้าแดงระเรื่อด้วยฤิทธิ์สุรา“ข้าไม่อาจขาดเจ้าไป มีมี่ไม่ว่าข้าจะทำใจว่ามีหรานหรานเคียงข้าง แต่ในใจข้ากลับมีเจ้าตลอดเวลา ขอแค่ได้มองเจ้าแบบนี้ขอแค่ได้เห็นเจ้าแบบนี้ แม้จะไม่ได้เชยชม ก็ไม่เคยจะเรียกร้องขอแค่เจ้ายังอยู่ที่นี่กับข้า”.....ไม่ได้รู้สึกอะไ
เจียงมีมี่นางกำนัลผู้มักใหญ่ใฝ่สูง(ในประวัติศาสตร์ตัวละครสมมุติ)เป็นนางกำนัลที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน และเอี้ยนอ๋องจูตี้หรือจักรพรรดิหย่งเล่อสร้างความบาดหมางและร้าวฉานนางมีความมักใหญ่ใฝ่สูงยั่วยวนทั้งสองคนให้ลุ่มหลงพริมมี่นักขุดค้นโบราณวัตถุ ที่ทำเพื่อเงินแต่แอบอ้างอุดมการณ์จอมปลอมจนกระทั่งย้อนเวลากลับไปสมัยราชวงศ์หมิง จึงแปรเปลี่ยนเพราะความรักเป็นตัวละครที่กำลังจะดำเนินตามรอยเดิมในแบบของมีมี่แต่ด้วยรักแท้จึงละทิ้งความโลภจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแต่เดิมก่อนที่พริมมี่จะย้อนเวลากลับไปเป็นคนที่ยอมคนและโง่งม ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงมองโลกในแง่ดีมาตลอด จนกระทั่งกลัวว่าต้องสูญเสียพริมมี่จึงเปลี่ยนไปกลายเป็นคนเย็นชา และร้ายกาจจนเป็นต้นเหตุของเรื่องการชิงบัลลังค์และหายสาบสูญไปเมื่อายุเพียง24ปีเอี้ยนอ๋องจูตี้หรือจักรพรรดิหย่งเล่อเก็บงำความรู้สึกได้ดี ฉลาดหลักแหลมอดทนเป็นเลิศ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความน่ารักของพริมมี่ จนต้องแย่งชิงทั้งหญิงงามและบัลลังค์เพราะทางเดียวที่จะได้ครอบครองคือต้องมีอำนาจและยิ่งใฆญ่เกินใครเท่านั้นบัลลังก์มังกรคือคำตอบเดียวสุ่ยหลีขันทีที่มี
ลอบมองเสี้ยวหน้าของเอี้ยนอ๋องที่ก้าวเดินสวนทางกำลังจะผ่านไป แววตาเศร้าสร้อยยังไม่จางหายไปแต่เป็นเอี้ยนอ๋องที่หยุดเดินหันหลังพุ่งตรงมายังขบวนของเจี้ยนเหวินไท่จือ"เอี้ยนอ๋องจูตี้ถวายพระพรไท่จือและไท่จือเฟยทรงพระเจริญ"เจี้ยนเหวินยิ้มน้อยๆไม่ได้มีท่าทีเงอะงะอีกต่อไป"ท่านอาสี่เดินทางกลับเป่ยจิงในวันนี้เลยหรือ ไหนเปิ่นหวางได้ยินว่าหมายกำหนดการจนกว่าพระอัยกาจะหายประชวร"เปลี่ยนสรรพนามที่แทนตัวเองอย่างสนิทสนม..ข้า..เป็นคำว่า…เปิ่นหวาง.."เสด็จพ่ออาการดีขึ้นไม่น้อย อีกอย่างเสด็จพ่อแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนก็คงไร้ความหมาย.."เอี้ยนอ๋องนึกเจ็บใจที่ก่อนหน้านั้นสอนงานในราชสำนักเจี้ยนเหวินจนถ่องแท้ไม่เข้าใจก็เอาจนเข้าใจ ทำแทนเขาได้แทบทุกเรื่อง"เดินทางปลอดภัย หวังว่าเป่ยจิงจะรุ่งเรืองร่มเย็น"เอี้ยนอ๋องประสานมือ ก่อนจะหันมาทางพริมมี่"ข้าเอี้ยนอ๋องเดิมคิดว่าจะไม่ได้กล่าวลาเจ้าแล้ว ขอบใจเจ้าสำหรับคำปลอบใจ ครั้งนี้ไม่อยากกล่าวลาพร้อมๆกับที่ไม่อยากจากลา กำไลหยกชิ้นนี้ถือว่าแทนไมตรี หากวันใดที่เจ้าไร้ทางไป เป่ยจิง…เหมือนที่ข้าบอกว่าไม่ไกลเกินไปข้ายินดีมารับเจ้า"เจี้ยนเหวินย
"ข้าจำเป็นต้องเลือกด้วยหรือ ข้าขอไม่เลือกทั้งสองคน""เช่นนั้นเจ้าย้ายตำหนักดีไหม"สุ่ยหลีที่มองการณ์ไกลและหวังดีเกินกว่าจะเข้าใจ หาทางออกที่ดีให้"จะอย่างไรดี""กุ้ยเฟยมีอาการปวดพระนาภี มีมี่เจ้ามีวิชาการแพทย์ลองใช้มันเพื่อทูลขอให้กุ้ยเฟยรับเจ้าเข้าเป็นนางกำนัลตำหนักเหมยฮวา วังหลวงแห่งนี้มีเพียงกุ้ยเฟยเท่านั้นที่จะคานอำนาจของพระสนมเอกตระกูลถังได้""ขอบคุณท่าน สุ่ยหลี"ยิ้มเศร้าๆ ก็ดีเหมือนกันไปจากตรงนี้เสียจึงไม่ต้องมูฟองมูฟออนอะไร ไม่เห็นก็ไม่ต้องรู้สึก ไม่เจอก็เท่ากับตัดใจ"ตู้กงกง จะพาเจ้าเข้าพบกุ้ยเฟยได้โดยสะดวกแต่มีมี่ข้าขออะไรเจ้าอย่างหนึ่งไม่ว่าไท่จือจะคัดค้านเรื่องที่เจ้าย้ายตำหนักเพียงใดอย่าได้ยอมใจอ่อนเพราะเจ้ามีโอกาสครั้งเดียว"พริมมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆตำหนักเหมยฮวา"นี่หรือนางกำนัลผู้มีวิชาแพทย์ของตำหนักบูรพา"เสียงอ่อนโยนของกุ้ยเฟยซุนหนี่"เจียงมีมี่ถวายพระพรซุนหนี่กุ้ยเฟย""หืมมมหน้าตาผิวพรรณผุดผ่องงดงามอีกทั้งยังมีวิชาแพทย์”“นางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท และไท่จือ หลายวันก่อนฝ่าบาททรงให้คนมาฝึกการรักษาอาการไอของฝ่าบาทเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอได้ดี วันนี้ข้าน้อยเห็นว่ากุ้ยเ
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ