เจี้ยนเหวินยืนนิ่ง ตู้กงกงสะกิดให้คุกเข่ารับตราหยกประจำตำแหน่งองค์รัชทายาทจากมือของหมิงไท่จู ที่ยิ้มและมองหลานชายด้วยสายตาอ่อนโยน
“ตำแหน่งไท่จือเหมาะที่จะเป็นของเจ้าเจี้ยนเหวิน”
เสียงประกาศก้องเสียงแซ่ซ้องและเสียงอื้ออึงด้วยความประหลาดใจ คราวนี้เป็นพริมมี่ที่หันมองเอี้ยนอ๋องว่าเขาไหวไหม เอี้ยนอ๋องก้าวขาออกจากตรงนั้นไปคล้ายจะหลบหนีความอัปยศ กับตำแหน่งรัชทายาทคนใหม่ของราชวงศ์หมิงที่หมายมั่นไว้แต่ตำแหน่งนี้กับตกอยู่ที่องค์ชายเจี้ยนเหวิน ที่เอี้ยนอ๋องไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้
พริมมี่ ก้าวขาตามเอี้ยนอ่องไปทันที บางอย่างบอกพริมมี่ว่าไม่อาจปล่อยผ่าน เขาจะผิดหวังแค่ไหน เขาจะแค้นเคืองเพียงใด เป็นพริมมี่ที่จะแก้ไขประวิติศาสตร์ไม่ให้เอี้ยนอ๋องจูตี้ก่อกบฏ
“ท่านอ๋องรอมีมี่ด้วย”
เอี้ยนอ๋องจูตี้หันมา สวมกอดพริมมี่ไว้แน่นเพียงครู่เดียวที่ พริมมี่รู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังอ่อนแอ
ผลักพริมมี่ออกห่าง
“เจ้าไปเสีย”
“ข้ามาเพื่อจะบอกท่านว่า คนเราไม่ได้สมหวังไปเสียทุกอย่างหรอกนะจะต้องมีผิดหวังกันบ้าง”เอี้ยนอ๋องยิ้มขมขื่น
“เจ้ากำลังสงสารข้าหรือ”
“ข้าก็สงสารไปเสียทุกคน ทุกคนที่นี่น่าสงสารไปหมดไม่ว่าจะท่านอ๋อง ฝ่าบาท หรือถังหรานหราน พระชายาเอกท่านอ๋องไป๋อิง หรือแม้กระทั่ง องค์ชาย เอ่อ องค์รัชทายาทเจี้ยนเหวิน”
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าเสียหน่อยมีมี่ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า นั่นมันไม่อาจเปลี่ยนได้ เจ้ากำลังจะทำให้ทุกอย่างบิดเบี้ยว”
แม้จะสะดุดหูกับคำเอ่ยกำกวม บิดเบี้ยวนั้น
“บิดเบี้ยว แต่ เอี้ยนอ๋องจูตี้ท่านกำลังเสียใจ”
“พรุ่งนี้ ข้าจะเดินทางไปเป่ยจิงใช้ชีวิตที่นั่นตลอดไป หากเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่มีความสุขหรือเจี้ยนเหวิน ไม่ดีกับเจ้าเหมือนที่ผ่านมา เป่ยจิงไม่ไกลจากหนานจิงข้าพร้อมมารับเจ้าไปอยู่ที่เป่ยจิง”
น้ำเสียงจริงจังที่สุด พริมมี่ถอนหายใจ
“หวังว่าท่านอ๋องจะทำใจได้ ตำแหน่งเอี้ยนอ๋องจูตี้ก็สูงส่งไม่แพ้กัน”
แสงตะเกียงที่ญาติฝ่ายหญิงนำมาจากบ้านถังสว่างในห้องหอสีแดงองค์รัชทายาทเจี้ยนเหวินนั่งลงข้างๆร่างอ้อนแอ้นของถังหรานหราน
"เหนื่อยหนักมาทั้งวันให้ข้ากล่อมเจ้านอน"
โน้มกายลงช้าๆกดริมฝีปากที่ปากสีแดงระเรื่อ
ศาลาริมสระที่ห่างใกล้จากห้องหอ
"ฮ่าาาาาาาเอิ๊กกกกกับแกล้มหมด ไปหามาเลยสมศักดิ์ ตานายลุกบ้างแล้วฉันลุกไม่ไหวแล้วเอิ๊กกกก"
"เอาจริงนะมีมี่ เจ้านะงดงามสดใส ตั้งใจทำหน้าที่นางกำนัลพอยี่สิบห้าก็ลาออกไปแต่งงานกับคนที่หมายปองได้เงินทุนพอเปิดร้านค้าขาย ชีวิตแสนสบายต่อจากนั้น เจ้าทำแบบนี้ยอมเป็นชายารองขององค์รัชทายาทข้าจะบอกอะไรให้เขาหาได้อยากยกย่องเราไม่ ลูกขุนนางรึก็ไม่ใช่ ตำแหน่งชายารองสูงส่งเกินไป อีกหน่อยไท่จือยิ่งจะมีคนอยากที่จะถวายตัว เจ้ามิต้องโดดเดี่ยวจนตายหรือ"สมศักดฺ์พูดความจริงแบบคนที่ไม่ออมคำพูด
“ปากหมานจริงปกติไม่เมาก้ปากหมานอยุ่แล้วพอดื่มเข้าไปหน่อยนายกล้าสั่งสอนฉันเลยหรือถึงว่าองค์ชายไม่ไม่ไม่ต้องไท่จือสิเรียกนายว่าจอมบงการ”
“เชื่อข้าเถอะมีมี่จะมีอะไรดีไปกว่าการที่เรามีอิสระไม่อยู่ภายใต้ตำแหน่งใดๆวิ่งแล่นบนทุ่งหญ้าป่าเขาเหมือนที่เราเคยทำ ข้าเองก้คิอดถึงชีวิตแบบนั้นอืออออ”
เอ้าร้องไห้เฉยเลยเจ้าหมอนี่มีเรื่องคับแค้นใจเหมือนกันนี่
พริมมี่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะนอนมองเข้าไปในห้องบรรทมที่ดัดแปลงเป็นห้องหอมีไฟสีแดงแสงสว่างส่องลอดออกจากห้องไกลแสนไกล
"ข้ายอมเป็นชายารองแค่เพียงเอาตัวรอดก็เท่านั้น ข้ามาที่นี่ไร้ญาติขาดมิตรอีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะกลับไปได้ไหม จำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่ให้ได้จนกว่า..จนกว่าจะกลับไปได้เสียที"
สุ่ยหลีถอนหายใจ
"ข้าคิดว่าเจ้าควรทำใจเถิดบางทีสวรรค์อาจลิขิตให้เจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อยุ่งเกี่ยวผูกพัน…หาได้มาเพื่อเป็นที่กล่าวขวัญถึง"
พริมมี่ยิ้มเศร้าๆจริงอย่างที่สุ่ยหลีพูดมีประวิติศาสตร์หน้าใดกันกล่าวขวัญถึงนางกำนัลชื่อเจียงมีมี่ นางกำนัลต่ำต้อยมีหรือจะมีชื่อในประวัติศาสตร์
“ข้าแค่เพียงชายารองเพื่อเอาตัวรอดก็เท่านั้น ไม่ได้อยากเป็นคนของใครเสียหน่อยฮือออออ ข้าไม่เคยเสียใจไม่ เคยเสียใจจริงๆไม่ว่าตอนนี้เขาจะหวานชื่นกันแค่ไหนข้าก็ไม่สนใจฮืออออออไม่สนใจ”
ผล่อยหลับไปทั้งอย่างนั้นอย่างนั้น
"มีมี่ มีมี่ มีมี่เจ้าจะนอนที่นี่ไม่ได้นะอากาศเย็นลงมากแล้วข้ายกเจ้าก็ไม่ไหวเราสองคนตัวเกือบจะเท่ากัน"
เสียงสุ่ยหลีดังมาจากที่ไกลแสนไกล"เข้าใจแล้วสมศักดิ์นายไปนอนเถอะ"พึมพำเบาๆเกลือกกลิ้งใบหน้าบนโต๊ะ แต่เมื่อลืมตาตื่นกลับเป็นอกกว้างของใครบางคนที่อุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกรักใคร่"นอนเสีย รับรองว่าจะส่งเจ้าถึงแท่นนอน"เจี้ยนเหวินที่บัดนี้มีสีหน้าเรียบเฉยอุ้มเอาร่างบางที่ไร้สติเดินเข้าไปยังห้องพักด้านข้างสำหรับนางกำนัลของตำหนักเจี้ยนเหวิน“อะอะองค์ชาย..ไม่ใช่องค์รัชทายาทคืนนี้เป็นคืนเข้าหอกับไท่จือเฟย ไท่จือจะพานางกำนัลเข้าหอไม่ได้นะ” เจี้ยนเหวินเดินตรงเข้าห้องปิดประตูเกือบจะกระแทกโดนใบหน้า ของสุ่ยหลี“ไท่จือจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”สุ่ยหลียังตะโกนอยู่ตรงนั้นวางพริมมี่ลงบนแท่นนอน ห่มผ้าให้แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ เลื่อนริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากบางจุมพิตอ่อนหวานอ่อนโยน“เหม็นกลิ่นสุราสิ้นดี”ยิ้มบางๆเดินไปหยิบชามน้ำและผ้ามาเช็ดใบหน้าแดงระเรื่อด้วยฤิทธิ์สุรา“ข้าไม่อาจขาดเจ้าไป มีมี่ไม่ว่าข้าจะทำใจว่ามีหรานหรานเคียงข้าง แต่ในใจข้ากลับมีเจ้าตลอดเวลา ขอแค่ได้มองเจ้าแบบนี้ขอแค่ได้เห็นเจ้าแบบนี้ แม้จะไม่ได้เชยชม ก็ไม่เคยจะเรียกร้องขอแค่เจ้ายังอยู่ที่นี่กับข้า”.....ไม่ได้รู้สึกอะไ
เจียงมีมี่นางกำนัลผู้มักใหญ่ใฝ่สูง(ในประวัติศาสตร์ตัวละครสมมุติ)เป็นนางกำนัลที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน และเอี้ยนอ๋องจูตี้หรือจักรพรรดิหย่งเล่อสร้างความบาดหมางและร้าวฉานนางมีความมักใหญ่ใฝ่สูงยั่วยวนทั้งสองคนให้ลุ่มหลงพริมมี่นักขุดค้นโบราณวัตถุ ที่ทำเพื่อเงินแต่แอบอ้างอุดมการณ์จอมปลอมจนกระทั่งย้อนเวลากลับไปสมัยราชวงศ์หมิง จึงแปรเปลี่ยนเพราะความรักเป็นตัวละครที่กำลังจะดำเนินตามรอยเดิมในแบบของมีมี่แต่ด้วยรักแท้จึงละทิ้งความโลภจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแต่เดิมก่อนที่พริมมี่จะย้อนเวลากลับไปเป็นคนที่ยอมคนและโง่งม ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงมองโลกในแง่ดีมาตลอด จนกระทั่งกลัวว่าต้องสูญเสียพริมมี่จึงเปลี่ยนไปกลายเป็นคนเย็นชา และร้ายกาจจนเป็นต้นเหตุของเรื่องการชิงบัลลังค์และหายสาบสูญไปเมื่อายุเพียง24ปีเอี้ยนอ๋องจูตี้หรือจักรพรรดิหย่งเล่อเก็บงำความรู้สึกได้ดี ฉลาดหลักแหลมอดทนเป็นเลิศ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความน่ารักของพริมมี่ จนต้องแย่งชิงทั้งหญิงงามและบัลลังค์เพราะทางเดียวที่จะได้ครอบครองคือต้องมีอำนาจและยิ่งใฆญ่เกินใครเท่านั้นบัลลังก์มังกรคือคำตอบเดียวสุ่ยหลีขันทีที่มี
ลอบมองเสี้ยวหน้าของเอี้ยนอ๋องที่ก้าวเดินสวนทางกำลังจะผ่านไป แววตาเศร้าสร้อยยังไม่จางหายไปแต่เป็นเอี้ยนอ๋องที่หยุดเดินหันหลังพุ่งตรงมายังขบวนของเจี้ยนเหวินไท่จือ"เอี้ยนอ๋องจูตี้ถวายพระพรไท่จือและไท่จือเฟยทรงพระเจริญ"เจี้ยนเหวินยิ้มน้อยๆไม่ได้มีท่าทีเงอะงะอีกต่อไป"ท่านอาสี่เดินทางกลับเป่ยจิงในวันนี้เลยหรือ ไหนเปิ่นหวางได้ยินว่าหมายกำหนดการจนกว่าพระอัยกาจะหายประชวร"เปลี่ยนสรรพนามที่แทนตัวเองอย่างสนิทสนม..ข้า..เป็นคำว่า…เปิ่นหวาง.."เสด็จพ่ออาการดีขึ้นไม่น้อย อีกอย่างเสด็จพ่อแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนก็คงไร้ความหมาย.."เอี้ยนอ๋องนึกเจ็บใจที่ก่อนหน้านั้นสอนงานในราชสำนักเจี้ยนเหวินจนถ่องแท้ไม่เข้าใจก็เอาจนเข้าใจ ทำแทนเขาได้แทบทุกเรื่อง"เดินทางปลอดภัย หวังว่าเป่ยจิงจะรุ่งเรืองร่มเย็น"เอี้ยนอ๋องประสานมือ ก่อนจะหันมาทางพริมมี่"ข้าเอี้ยนอ๋องเดิมคิดว่าจะไม่ได้กล่าวลาเจ้าแล้ว ขอบใจเจ้าสำหรับคำปลอบใจ ครั้งนี้ไม่อยากกล่าวลาพร้อมๆกับที่ไม่อยากจากลา กำไลหยกชิ้นนี้ถือว่าแทนไมตรี หากวันใดที่เจ้าไร้ทางไป เป่ยจิง…เหมือนที่ข้าบอกว่าไม่ไกลเกินไปข้ายินดีมารับเจ้า"เจี้ยนเหวินย
"ข้าจำเป็นต้องเลือกด้วยหรือ ข้าขอไม่เลือกทั้งสองคน""เช่นนั้นเจ้าย้ายตำหนักดีไหม"สุ่ยหลีที่มองการณ์ไกลและหวังดีเกินกว่าจะเข้าใจ หาทางออกที่ดีให้"จะอย่างไรดี""กุ้ยเฟยมีอาการปวดพระนาภี มีมี่เจ้ามีวิชาการแพทย์ลองใช้มันเพื่อทูลขอให้กุ้ยเฟยรับเจ้าเข้าเป็นนางกำนัลตำหนักเหมยฮวา วังหลวงแห่งนี้มีเพียงกุ้ยเฟยเท่านั้นที่จะคานอำนาจของพระสนมเอกตระกูลถังได้""ขอบคุณท่าน สุ่ยหลี"ยิ้มเศร้าๆ ก็ดีเหมือนกันไปจากตรงนี้เสียจึงไม่ต้องมูฟองมูฟออนอะไร ไม่เห็นก็ไม่ต้องรู้สึก ไม่เจอก็เท่ากับตัดใจ"ตู้กงกง จะพาเจ้าเข้าพบกุ้ยเฟยได้โดยสะดวกแต่มีมี่ข้าขออะไรเจ้าอย่างหนึ่งไม่ว่าไท่จือจะคัดค้านเรื่องที่เจ้าย้ายตำหนักเพียงใดอย่าได้ยอมใจอ่อนเพราะเจ้ามีโอกาสครั้งเดียว"พริมมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆตำหนักเหมยฮวา"นี่หรือนางกำนัลผู้มีวิชาแพทย์ของตำหนักบูรพา"เสียงอ่อนโยนของกุ้ยเฟยซุนหนี่"เจียงมีมี่ถวายพระพรซุนหนี่กุ้ยเฟย""หืมมมหน้าตาผิวพรรณผุดผ่องงดงามอีกทั้งยังมีวิชาแพทย์”“นางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท และไท่จือ หลายวันก่อนฝ่าบาททรงให้คนมาฝึกการรักษาอาการไอของฝ่าบาทเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอได้ดี วันนี้ข้าน้อยเห็นว่ากุ้ยเ
“สุ่ยหลี ตามมีมี่ให้ข้า”“เอ่อๆๆ ไท่จือนางกำนัลมีมี่นางขอย้ายไปยังตำหนักเหมยฮวาของซุนหนี่กุ้ยเฟยเสียแล้ว”เจี้ยนเหวินขมวดคิ้ว“แล้วทำไมไม่มีใครบอกข้าเรื่องนี้ใครอนุญาตให้นางไปได้ในเมื่อนางเป็นนางกำนัลคนสนิทของข้า”“เอ่อ กุ้ยเฟยซุนหนี่ ให้ตู้กงกงมาแจ้งว่า กุ้ยเฟย… ชอบใจนางกำนัลมีมี่ยิ่งนักจึงรับ นางไว้ข้างกายที่ตำหนักบูรพามีนางกำนัลมากมาย กุ้ยเฟยหวังว่าไท่จือจะใจกว้าง”“พูดเช่นนี้หาว่าข้าใจแคบหรือไร”“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”“นี่เจ้าไม่รู้หรือไรว่ากุ้ยเฟยเลี้ยงดู อาสี่มาตั้งแต่แบเบาะสมัยนั้นใครบ้างไม่รู้ว่าเสด็จพ่อโปรดปรานกุ้ยเฟย พอเสด็จย่าที่คลอดอาสี่ออกมาเสียชีวิตลงไปท่านอาก็ถูกเลี้ยงมาโดยกุ้ยเฟย”“สุ่ยหลีรู้เรื่องนี้ดี”ก้มหน้ารับผิด“นั่นอย่างไรเล่า ข้าจึงไม่อาจวางใจให้ มีมี่อยู่ที่ตำหนักเหมยฮวา กุ้ยเฟยตั้งใจทำเรื่องใดกันแน่ ตั้งใจชุบตัวมีมี่เพื่อใส่พานให้กับท่านอาสี่ หรือนี่เป็นแผนการของพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้งข้า”เสียงเข้มด้วยโทสะและความหวาดระแวง“ไท่จือทรงกังวลมากไปแล้วความจริง แล้วมีมี่นางก็แค่ตั้งใจลดแรงปะทะกับไท่จือเฟย”เจี้ยนเหวิน กุมขมับ“สุ่ยหลีไปที่ตำหนักเหมยฮวา”ตำหนักเหมยฮวา“งดงาม
“เจ้าอาจไม่รู้สึกอะไรข้าเข้าใจดี แต่ข้าเจี้ยนเหวินไม่อาจสูญเสียเจ้าไป” เจี้ยนเหวินรำพึงรำพัน เบาๆภายใต้แสงจันทร์“ท่านพี่” หรานหราน ทรุดกายลงนั่งข้างๆ“อากาศเย็น เพียงนี้เจ้าออกมาทำไมกัน”หรานหรานวางเสื้อคลุมห่มร่างสูงของเจี้ยนเหวิน“เจ้า ไม่จำเป็นต้องดูแลข้า เพียงนี้ก็ได้ก่อนหน้านั้นข้าก็ไม่เคยมีใครคอยดูแลอยู่แล้ว”“แต่ตอนนี้ท่านพี่มีข้าข้าเป็นไท่จือเฟย หลายเรื่องที่ไม่อาจแบกรับแทนท่านแต่ข้าก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา ข้าก่อนหน้านั้นได้ยินเรื่องของท่านมามากมายเพิ่งจะเห็นกับตาก็วันนี้ ท่านพี่ไร้ญาติขาดมิตรเพียงนี้ หรานหรานจะไม่มีทางปล่อยให้ท่านโดดเดี่ยว”ยิ้มอ่อนโยน เจี้ยนเหวินถอนหายใจมองสบตาหรานหราน นางดีกับเขาเพียงใด แต่ภายในใจเขารู้ดีว่าไม่อาจมีใครมาแทนพริมมี่ได้ พริมมี่แตกต่างจึงดึงดูด“ท่านอาทั้งหลายต่างคาดหวังตำแหน่งไท่จือ ที่หอมหวานไม่หวังมากก็หวังน้อย แต่ทว่าเสด็จปู่กับเลือกข้า พวกเขาจึงตั้งใจโดดเดี่ยวข้าแม้จะร้องขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ ก็คงไม่มีใครอยากจะยื่นมือ พวกเขาคิดว่าข้าโง่งมไม่อาจดูแลหนานจิง และราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ได้”“ท่านพ่อยินดีสนับสนุนท่านพี่ ฝ่าบาทเองตั้งใจให้เรา
ตำหนักบูรพา“ท่านพี่ไม่ได้กลับมาที่ตำหนักบูรพาเมื่อคืน เจ้า คิดว่าฝ่าบาทคงอาการทรุดหนัก”“ไม่เพคะ คนของเรา บอกเล่าเรื่องราวที่ตำหนักฝ่าบาทว่า ไท่จือกับนางกำนัลมีมี่สวมกอดกันราวกับถวิลหากันยิ่งนัก ไม่อายฟ้าดินและไม่สนใจว่าฝ่าบาทกำลังประชวร”“เหลวไหลเจ้าเอาเรื่องโป้ปดใดกันมาพูดให้ข้าฟัง”“ไท่จือเฟยเพคะ มิใช่แค่เห็นเพียงตาเดียวแต่เห็นกันหลายคนไม่อายนรกสวรรค์เป็นนางที่โอบกอดไท่จือต่อหน้าองครักษ์มากมายที่ไปถวายการอารักขาฝ่าบาท”“ไปตำหนักเหมยฮวา”หรานหราน ส่งเสียงลอดไรฟันพริมมี่ เดินใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งเลาะเล็ม กิ่งบอนไซต้นสนหิมะด้วยความเพลิดเพลิน“ไท่จือเฟยเสด็จจจจจจ”เสียงขันทีขานดังๆ พริมมี่ถอนหายใจกุ้ยเฟยเสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาท ป่านนี้ยังไม่กลับรีบวิ่งไปรับหน้าหรานหราน“เจียงมีมี่ถวายพระพรไท่จือเฟย”หรานหรานหลุบตามองร่างบางที่ย่อกายลงก่อนจะมองไปที่สร้อยทองที่แขวนนาฬิกาพกดวงตาวาวโรจน์“เมื่อคืนไท่จือมาที่นี่หรือไม่”“ไท่จือเมื่อคืนอยู่ที่ตำหนักใหญ่ของฝ่าบาททั้งคืนรวมทั้ง กุ้ยเฟยและพระสนมเอก”“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าไปพักเสียเถิดข้าแค่แวะมาที่นี่คิดว่าไท่จืออยู่ที่นี่”น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้มีท่าท
พระบรมศพถูกตั้งอยู่ที่สุสานหลวงหมิงเซียวเชิงเขาจื่อจินซาน ชานเมืองหนานจิง“ น้องสี่ เจี้ยนเหวินฮ่องเต้ทำอย่างนี้เท่ากับกีดกันพวกเราไม่ให้เราเฝ้าถวายความสักการะพระบรมศพของหวงไท่ซ่าง จะถูกจะผิดเราทั้งหมดก็เป็นองค์ชาย ทำเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นพวกเราสำคัญ”องค์ชายรองฟ่านลู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน“พี่รองความจริงพวกเราก็ผิดที่คิดโดดเดี่ยวเจี้ยนเหวินตั้งแต่ต้น เขาเองส่งม้าเร็วเรื่องอาการป่วยของหวงไท่ซ่างที่ย่ำแย่ แต่พวกเรากลับเมินเฉยเสีย”“แต่ถึงกลับไม่ให้เข้าถวายความเคารพพระบรมศพ ไม่เกินไปหน่อยหรือในเมื่อนี่ก็คือครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบเสด็จพ่อ”“เช่นนั้นก็แค่ ฝืนบัญชาของเจี้ยนเหวินฮ่องเต้เสีย ไปพร้อมกันที่วังหลวงถึงเวลานั้น เจี้ยนเหวินอาจไม่กล้า ทำการรุนแรงใดๆ”องค์ชายห้าจ้านกวงผู้มุทะลุ ออกความเห็น“มีบัญชาออกมาเพียงนั้นตอนนี้องครักษ์เกราะทองเชื่อฟังบัญชาของเจี้ยนเหวิน อีกทั้งยังมีแปดกองธง และเหล่าขุนนางในราชสำนัก870คน ที่ล้วนแต่เชื่อฟังและส่งเสริมเจี้ยนเหวินด้วยกันทั้งนั้น เจ้าสี่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับเจี้ยนเหวินฮ่องเต้จึงพอจะพูดคุยกันได้ เราทั้งหมดไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู พ่อตายไม่
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ