ปี2004
“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”
พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก
“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”
“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”
สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย
“เปล่านี่”
“แล้วนี่คืออะไร”
คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา
“นาฬิกา”
“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”
คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง
“อาจเป็นใครสักคน”
คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ
“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”
"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”
คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย
“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”
อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า
“คุณค่ะ”
คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา
“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”
คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล
“ฉันรอเธออยู่พริมมี่”
ยืนมองร่างกระจ้อยผ่านตู้กระจก
“อะ นั่นบอสนี่”
พงษ์ปรีดาอุทานเบาๆ
“ไหนคะ”
อรอุมาหันไปมองจูซุนที่ช่องกระจกใส
“หล่อเชียวคุณอายุยังน้อยเป็นบอสแล้วหรือ”
“กรรมการผู้จัดการใหญ่เพิ่งบินมาจากเมืองจีน ใจดีมากวันก่อนแจกโบนัสครึ่งปีคนล่ะหลายตังค์ สาวๆ ในบริษัทงี้กรี๊ดกันหนักมาก”
“แล้วเขามาทำไมที่นี่”
“ผมออกไปทักทายดีกว่าแก่อาจจะกำลังหลงทางหรืออาจจะไปไหนแต่ดันมาผิดที่”อรอุมาพยักหน้าพงษ์ปรีดาสาวเท้าออกไปยังระเบียงด้านหน้าช่องกระจก แต่ไม่ทันแล้วจูซุนสาวเท้าจากไป พร้อมกับผู้จัดการใหญ่นายใหญ่ของบริษัทที่ พงษ์ปรีดาทำงานอยู่
“ว้า ช่างเถอะ กลับเข้าไป หาพริมมี่น้อยดีกว่า”
ด้าน จูซุน
“อย่าลืมนะ ทำทุกวิถีทาง ปกป้องคุ้มครองเด็กคนนั้นผมหมายถึงลูกของพนักงานคนนั้น ให้ดีที่สุดแต่ทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ”
“ขอรับคุณจูซุน”
ผู้จัดการสาขา ทำท่าทีนอบน้อมไม่มีคำสงสัยหรือคำถาม ต่อสิ่งที่จูซุนทำด้วยค่าตอบแทนมากมายจนเขาไม่กล้าสงสัย
“แล้วอย่าลืมรายงานความคืบหน้า และภาพถ่ายของเด็กคนนั้นให้ผมทุกๆ เดือน”
“ร้ายจริงๆ คุณนี่เองคือคนร้าย คุณนี่เองอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง”
พริมมี่กระทุ้งศอกของบนหน้าท้องของจูซุนที่กอดรัดอยู่ด้านหลัง
“โอ๊ยก็ข้ารักของข้า รอคอยเจ้าหกร้อยกว่าปีครองโสดมาหกร้อยปีเพื่อหญิงงามนางเดียวในหัวใจ หลายอย่างที่ทำเพื่อฆ่าเวลาแต่กลับทำให้ กลายเป็นที่รู้จักพริมมี่เจ้ารู้ไหม ข้าจะต้องโกหกคนกี่รุ่นต่อกี่รุ่น เพื่อให้เขาเชื่อว่าข้าเกิดโตแล้วก็ตาย เหมือนคนอื่นที่เห็นคือทายาทของข้า”
“ใช้ชีวิตลำบากเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วทำไมถึงต้องรอพริม”
“บอกแล้วข้ารักของข้า จะกี่ร้อยกี่พันปีก็ยังคงรอ”พริมมี่กอดเอวหนา
“เราย่นระยะเวลาแล้วนี่ ในที่สุดเราก็พบกัน”
จูซุนพลิกร่างบางมาสบตาก้มลงกดริมฝีปากปิดปากบางไว้จูบซอกซอนควานหาความหวาน
“รู้ไหมว่าคิดถึงรสจูบนี้เพียงใด สำหรับเจ้ามันแค่ไม่กี่วันแต่ข้าต้องทนถึงหกร้อยปีที่ไม่มีเจ้าข้างกาย”
“พริมมี่มาแล้ว ความจริง ก็แค่ขอแต่งงานไม่จำเป็นต้องให้ พริมมี่กลับไปที่นั่น”
“เจ้าไม่กลับไปแล้วใครจะรักข้า แล้วเจ้าจะจำข้าได้ไหม”
พริมมี่พยักหน้าขึ้นลง จริงด้วยหากไม่กลับไปจะรู้ได้อย่างไรว่าเจี้ยนเหวินรักพริมมี่เพียงใด
“แล้วร่างที่นอนอยู่ในหีบศพนั่นเล่า”
“นั่นก็คือเจียงมีมี่ ข้าเชื่อว่าวิญญาณนางออกจากร่างแล้วเจ้าเขาไปสวมรอยแทนนาง ฉะนั้นคนที่ตายคือนางส่วนเจ้าจะต้องกลับมาที่โลกปัจจุบันเพื่อพบข้าตามที่สวรรค์บัญชาไว้แล้ว”
“สมศักดิ์ นำร่างของเจียงมีมี่ฝังไว้ที่เดิม”
“ดีแล้ว แต่ของกำนัลพวกนั้นคือของเจ้าที่เก็บไว้ข้าหวังว่าเจ้าจะยินดีที่ได้ครอบครองมันมาถึงตอนนี้มีราคามากมายมหาศาล”
พริมมี่ยิ้มดวงตาเปล่งประกาย
“ 555 นางเอกทั่วไปไม่ชอบให้พระเอกรวย หากรู้ว่าพระเอกรวยทีหลังหาว่าเขาหลอกลวงแต่นั่นไม่ใช่พริมมี่ เพราะหากคุณยิ่งหล่อยิ่งรวยก็การันตีอนาคตลูกหลานจะโกรธไปทำไม ในที่สุดในที่สุดของมีค่าที่รวบรวมไว้ก็มีประโยชน์จนได้”
“นั่นสินะที่แรกข้าก็คิดว่าเจ้าจะต้องโกรธที่ข้ารวย”กระชับอ้อมแขนอมยิ้ม
“ไม่โกรธดีใจเสียอีก”
“ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้ ได้ตื่นมาในทุกเช้าพร้อมกับเจ้าตามที่สัญญากันไว้ และเวลาของข้าจะหมดไปพร้อมกับเจ้า หากข้าพบเจ้าช่วงอายุขัยของข้าจึงจะหมุนวนเช่นคนทั่วไป”พริมมี่ปาดน้ำตา
“ดีแล้ว ทีแรกพริมกลัวว่าจะตายจากคุณยามแก่ชราแล้วคุณจะต้องอยู่คนเดียวต่อไป”
“ห่วงข้าหรือ”
“ห่วงสิทำไมจะไม่ห่วง”
“ดีใจจังที่เจ้าห่วงข้าแล้วหมอหย่งนั่นเล่า”
“แน้ ยังจะมาหวงอีก หมอหย่งไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพริมแล้ว พริมก็แค่ดีใจที่เจอเขาเหมือนสุ่ยหลีหรือสมศักดิ์ จูซุนช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน
“หกร้อยปีไม่ได้อุ่นเตียง ไม่ยอมให้ใครอุ่นเตียง รอเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเวลาที่ต้องชดเชยให้ข้าแล้ว”
พริมมี่อมยิ้ม ซุกหน้าลงบนอกกว้างปล่อยให้ จูซุนพาเข้าไปในห้องนอนกว้างเตียงคิงไซร์ ที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงในคืนเข้าหอของคู่บ่าวสาว
จูซุนบรรจงจูบอ่อนโยนที่หนาผากแก้มแนียนและริมฝีปากบาง
“ข้ารักเจ้าพริมมี่”
พริมมี่หลับตาพลิ้ม หัวใจพองโต ทุกอย่างจบลงด้วยดีทุกคนสมหวัง
แต่ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็ไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงเลือกที่จะจดจำสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น
เผยอริมฝีปากรับรสจูบหวานที่จูซุนมอบให้ นับจากนี้และตลอดไปจะแก่ชราไปพร้อมกับคนคนนี้คนที่ มีรักเพียงพริมมี่คนเดียว
ขอได้รับคำขอบคุณ
จันทร์ส่องแสง
พริมมี่ หญิงสาวร่างเล็กอึกทึกทนใบหน้าคลำแดด แต่ก็ไม่วายสะดุดตายามมองดวงตาคมเข้ม ผิวสีน้ำผึ้ง กับลิปติกสีส้มประกายมุก เสื้อยืดสกรีนชื่อของหน่วยงานกระโปรงยาวกุมข้อเท้ากับนาฬิกาพกตกทอดมาจากแม่อร หรือคุณอรอุมา ที่ห้อยคอไว้ตลอดเวลาด้วยสร้อยเส้นเล็กไม่ได้พกไว้ในกระเป๋าหรือถือไว้ ตามแบบที่เขานิยมทำกันวันนี้เข้าออฟฟิศหลังจากที่ ไม่ได้เข้าเมืองมาแรมเดือน“พริมมี่ หัวหน้าให้คุณไปหา”หัวหน้าทีมงานขุดค้น แหล่งอารยธรรมที่ก่อตั้งขึ้นด้วยชื่อที่สวยหรู อุดมการณ์ที่บ่งบอกว่าที่ทำทั้งหมดเพื่อสืบค้นแหล่งอารยธรรมที่จมหายไปกับกาลเวลา พริมมี่ชอบทุกอย่างที่เป็นเรื่องราวเก่าก่อน สมัครเข้ามาทำงานที่นี่ในฐานะนักสำรวจ และขุดค้นภาคสนาม เงินก็เป็นส่วนหนึ่งไม่สิเงินดีไม่น้อย พอใช้ในแต่ละเดือนเหลือจุนเจือครอบครัว ใครไม่เอาเงินก็บ้าแล้วสมัยนี้สมัยที่ต้องปากกัดตีนถีบ“ ได้ยินแล้วค่ะพี่แก้ว หนูจะไปเดี๋ยวนี้”ลุกขึ้นปัดกระโปรงด้านหลัง แล้วเดินเข้าไปในห้องกระจก มองเห็นได้ชัดเจนจากด้านนอกร่างสูงชะลูดเกือบจะเหมือนนายแบบ ใบหน้าหล่อจนพริมมี่อดที่จะเขินไม่ได้“หืมมม พริมมี่นั่งลงก่อนสิ”ลุกขึ้นยืน อย่างคนที่สุภาพเขาทำกัน“ส
“อืมมม เขาส่งมาให้ดูแต่เพียงครึ่งเดียวของลายแทง อีกครึ่งเมื่อเรารับงานแล้วให้คนของเราร่วมทีมกับเราเขาจึงจะเปิดเผยมันออกมา แต่สำหรับพริมมี่ไม่มีปัญญาแล้วใช่ไหมเพราะคุณไม่ได้ อยากได้สมบัติเหมือนคนอื่นๆ ”พริมมี่ยิ้ม คำชมเป็นยาหอม“เข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อหรือยัง นึกภาพออกไหม เราแค่ไปขุดค้นเรื่องราวประวัติศาสตร์หรือจะอะไรก็แล้วแต่ จะเพราะอุดมการณ์เหมือนที่คุณพูดว่าอยากจะรู้เรื่องราวในอดีตให้มาก ไม่ใช่พูดกันแบบผิดๆ ถูกๆ หรือว่าเพราะความอยากรู้ หรือว่าเพราะความโลภอยากได้สมบัติ แต่ ในเมื่อทุกอย่างมาบรรจบกับแล้วเราก็ไม่ควรปล่อยให้โอกาสผ่านไปจริงไหม”ยิ้มเก๋ไก๋พริมมี่ ยิ้มพยักหน้าขึ้นลงจบแล้วเตโชไม่เอะใจสักนิด“หากทีมของคุณ พบสิ่งที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ผมสัญญาจะเสนอชื่อคุณในหน้าแถลงข่าว ถึงเวลานั้นองค์กรของเราคงได้รับชื่อเสียงอย่างมากมาย และคุณก็จะเป็นหนึ่งใน บุคคลในประวัติศาสตร์เหมือนกัน”“พิมไม่ได้อยากเด่นดัง แค่อยากทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข”มีหลักการไปอีก“ดีเลย คราวนี้สนุกแน่ งานนี้ต้องไปไกลถึงปักกิ่ง”พริมมี่เลิกคิ้วสูง“ เขาติดต่อมาทางอีเมลเมื่อสามวันก่อน ว่ามีที่ดินรกร้างแล้วมีสิ่ง
ยิ้มขำกันทั้งสองคน รถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้ชั้นเดียว ในแบบบ้านเก่าของจีนโบราณ ที่เคยเห็นในซีรีย์จีน พริมมี่กับสมศักดิ์เงยหน้ามอง ป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่มองเห็นไม่ชัดในตอนแรก”ตำหนักชมดาว”สมศักดิ์พึมพำเบาๆ พริมมี่ขนลุกซู่ ภาพวิ่งเข้ามาในหัวคือ การรัดนิ้วเสียงร้องโอดโอย ม้าแยกร่าง การประหารด้วยดาบคมกริบ หัวที่กระเด็นหลุดออกจากบ่า กลิ้งมาที่แทบเท้า พริมมี่ยกขาขึ้นด้วยความตกใจราวกับว่าภาพที่เห็นเกิดขึ้นจริงๆ“พี่พริมเป็นอะไร” ยิ้มเจื่อนๆ“แค่คิดอะไรเพลินๆ ” สมศักดิ์มองหน้าที่แสดงออกถึงความเสียวสยองของพริมมี่“เขาบอกว่าที่นี่เป็นห้องหอขององค์ชายสร้างขึ้นเพราะความรัก เหมือนทัชมาฮาลเป็นสัญลักษณ์ของความรักในพระมเหสี ไม่สิต้องใช้คำว่าชายา พี่พริมคิดไปถึงไหนกัน..ชื่อออกเพราะ…ตำหนักชมดาว…”“ฮ่าาาา พี่คิดมากไปเองเราพักที่นี่ใช่ไหม”สมศักดิ์พยักหน้า“ไปเถอะกินข้าวหิวแล้ว เดี๋ยวคุณซุนก็คงจะมา”ประตูไม้ เปิดอ้าออกช้าๆ พริมมี่รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนเข้าไปยังต้อนต้นของยุคราชวงค์หมิงซึ่งนั่นฮ่องเต้ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ จูหยวนจาง สถาปนาเป็น “หมิงไท่จู่ฮ่องเต้” ฟื้นฟูเศรษฐกิจ พัฒนาศิลปวัฒนธรรมจีนเป็นอย่
เงยหน้ามองพริมมี่ ใบหน้าแย้มยิ้ม“หนินห่าว หนินหาวมะ” (ทำไมใช้คำว่าหนินห่าวที่ใช้กับคนที่อาวุโสกว่า) พริมมี่ขมวดคิ้วไม่ใช่แต่พริมมี่ที่ขมวดคิ้ว สมศักดิ์เองก็ทำสีหน้าตกใจกับคำที่ได้ยิน หรือว่าคุณปู่ท่านนี้จะเลอะเลือนไปชั่วขณะ“หนินห่าว เหล่าซือห่าวค่ะ”ใบหน้าชรา เลิกคิ้วสูง ยิ้มพึงใจพริมมี่ออกเสียงภาษาจีนได้คล่องแคล่วจนพริมมี่เองก็แปลกใจ“ไม่ได้ขอรับ ดีใจเสียจริงที่ในที่สุดก็มาที่นี่”คำพูดมีเลศนัย แต่ก็คงเป็นไปตามวัยด้วยคุณปู่ชรามากแล้วนั่นเองพริมมี่ยิ้มเจื่อนๆ“เชิญ ด้านในดีกว่า กินข้าวเสียก่อนแล้วก็คุยกัน เด็กๆหยิบกล่องไม้ในรถมาด้วย” บอดี้การ์ดร่างสูงตามมาตรฐานสองคนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ท่านลุงหนวดขาวพยุงคุณซุนเข้าไปด้านในอีกทอดคุณซุนเยี่ยเต๋อ นั่งหัวโต๊ะ พริมมี่และสมศักดิ์ นั่งขวาซ้าย“กินไปคุยไปได้ หว่อ (หว่อ) ไม่ถือสา เข้าเรื่องเลยดีไหม หว่ออยากให้คุณช่วยดูของสิ่งนี้” อยู่ๆก็เปลี่ยนท่าทีจากนอบน้อมเป็นจริงจังแบมือรับเอากล้องไม้เก่า ทว่าสลักลวดลายงดงาม ประดับด้วยมุกและหยกด้านบนของฝากล่อง ที่บอดี้กร์าดวางลงบนมือเบาๆ ซุนเยี่ยเต๋อวางกล้องไม้ลงบนโต๊ะมือเหี่ยวหยิบม้วนกระดาษที่มัดไว
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วคุณปู่ซุน ก็เอ่ยคำลาอี๋ลู่ผิงอัน(เดินทางโดยสวัสดิภาพ) กับพริมมี่และสมศักดิ์พร้อมกับรอยยิ้ม“ทำไมต้องกล่าวลาแบบนั้นด้วย สมศักดิ์กระซิบเราไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย”พริมมี่ยิ้ม “คุณปู่ซุนแกอายุตั้ง90ปีแล้ว คง หลงๆ ลืมกันไปบ้าง”“พี่พริม เราลองเดินไปที่ต้นแปะก๊วยกันไหม”พริมมี่เอาศอกกระทุ้งสมศักดิ์“งัยตื่นเต้นละสิอยากจะเห็นสมบัติราชวงค์หมิงเข้าแล้วหรือไร ก็นะ เป็นถึงจักรพรรดิที่สาบสูญคงมีเงินมีทองมหาศาล หากไท่จูฮ่องเต้ไม่รักไม่ตามใจก็คงไม่แต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทยาทต่อจากพ่อที่ตายไป ทั้งๆที่มีลูกตั้งหลายคน”พริมมี่ตั้งข้อสังเกต“เลยทำให้คนเป็นอาไม่พอใจ ก่อกบฏ เฮ้อน่าสงสารเป็นฮ่องเต้ได้ไม่นานแล้วยังหายสาบสูญพี่พริมว่า เจี้ยนเหวินจักรพรรดิ โดนฆ่าไหม”สมศักดิ์คนที่ขี้สงสารเอ่ยปากน้ำเสียงเศร้าๆ“ไม่แน่ใจนะ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่ไม่มีใครเห็นศพนี่”พริมมี่ถอนหายใจ“แล้ว ที่บอกว่าเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ดีล่ะ ล้มล้างสิ่งที่พระอัยกาทำไว้เสียหมดจนเอี้ยนอ๋องจูตี้ไม่พอใจ ก่อกบฏเสียเลยพี่ว่าจริงไหม”“โอียนายจะมาถามฉันทำไม ไม่รู้สิ เขาเอาเป็นฮ่องเต้ที่เอาแต่ใจหรือเชื่อคำยุยงของขุนนางก
พริมมี่ปิดปากหาวพรุ่งนี้งานใหญ่ต้องเปิดหน้าดิน ต้องประสานงานและออกคำสั่งกับบรรดาทีมขุดที่วันนี้ให้ลุงพ่อบ้านอำนวยความสะดวกให้ โดยการโทรไปเช่ารถแมคโครคันเล็กมาเรียบร้อยแล้ว พริมมี่เดินผ่าน สมศักดิ์และคนอื่นๆ“พี่ไปนอนก่อนนะพวกนายก็อย่านอนดึกพรุ่งนี้ ต้องทำงานใหญ่”ไม่มีใครสนใจตกปากรับคำสักคน สนใจแต่หน้าจอ พริมมี่ส่ายหน้า เดินเข้าห้องด้านในที่เป็นห้องนอนที่มิดชิดรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที“ประเทศจีนนี่หนาวแฮะ”พึมพำเบาๆ กระโดดขึ้นแท่นนอน แบบจีนโบราณแต่มีเบาะรองนอนที่หนา ให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดีห่มผ้าหลับตา“เหนื่อยมาทั้งวันหลับเสียทีเหอะ”รู้สึกสบายตัวที่สุดเพียงพริบตาพริมมี่ก็หลับสนิทกลางดึกสงัดนั่นเอง ร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ที่แท่นนอนหนา ที่พริมมี่นอนหลับตานิ่งสนิทในนั้น ดวงตาคมจ้องมองยังร่างบาง ริมฝีปากมีรอยยิ้มแห่งความปีติ“เพียงหล่อหลอมร่วมกันใต้แสงจันทร์”จ้องมองนาฬิกาพกตาไม่กะพริบ ก่อนทื่ร่างสูงจะค่อยๆ ออกจากห้องไป“ฮ้าววววว”พริมมี่บิดขี้เกียจบนแท่นนอนแบบจีนโบราณ“นอนสบายดีจัง เฮ้อนี่สิถึงเรียกว่าชีวิตกินอิ่มนอนหลับ นึกว่าจะแปลกที่นอนไม่หลับนี้เอาจนสาย”ดึงเอา นาฬิกาที่ห้อยคอมาดู ม
คนขับแมคโคร เลิกคิ้วสูง“ผมรับ เท่านี้ประจำ”ยืนยันหนักแน่น“แต่นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป เอาน่า เรายังไม่แน่ใจว่าจะต้องขุดอีกมากเท่าไหร่ ถ้ายอมลดให้ ต่อไปเราสัญญาว่าจะใช้บริการของคุณทุกครั้งแต่ถ้าไม่ยอมลดให้ คราวหลังเราคงต้องใช้บริการของ บริษัทอื่น”ลุงคนดูแลบ้านยิ้มขำกับการต่อรองแบบนี้ลูกล่อลูกชนของพริมมี่“ก็ได้ แต่คราวหน้าคุณต้องเรียกใช้พวกเรานะ”พริมมี่ยิ้ม หักเงินออกจากจำนวนเต็มยื่นส่งให้ คนขับแมคโคร“แน่นอน เราไม่มีทางมองบริการของคนอื่นในเมื่อคุณดีกับเราขนาดนี้”โรยยาหอม คนขับแมคโครยิ้ม สมศักดิ์ส่ายหน้าไปมา เมื่อคนขับแมคโครจากไป“พี่พริม นี่เขี้ยวจริงๆ ”“นี่ พูดดีดีหน่อยฉันช่วยประหยัดเงินให้คุณซุนก็ดีแค่ไหนแล้ว ทำงานแบบนี้บางที่ต้องมีโอนอ่อนกันบ้าง ดินก็ไม่ได้แข็งอะไร แล้วอีกอย่างทำไม่ถึงชั่วโมงเพราะใต้ต้นแปะก๊วยดินดีไม่น้อยขุดง่ายนิดเดียว”“ขอบคุณคุณหนูมากๆ ครับ ถ้าไม่ได้คุณหนู เราอาจต้องจ่ายแพงๆ ”ลุงคนดูแลบ้านเอ่ยปากขอบคุณพริมมี่ยิ้ม“มันคือผลประโยชน์ของเราจะปล่อยให้เขาเอาเปรียบไม่ดีนัก เซฟเงินไว้มาเลี้ยงขนมพวกเรากันเองดีกว่า”ลุงดูแลบ้านเคราขาวยิ้มบางๆ"คุณพริมมี่ครับ เ
“กลับกันเถอะ ผมจะแจ้งคุณซุนอย่างเป็นทางการอีกทีว่าพบกล่องทองเหลืองที่ข้างในมีนาฬิกาพกถึงลุงพ่อบ้านจะบอกว่าแจ้งแล้วก็เถอะ พรุ่งนี้เราตั้งใจขยายวงกว้างออกไปกว่านี้ ทีมงานบอกว่า ดินชั้นล่าง ลงไปความหนาแน่นของชั้นดินลดลง พูดกันตามจริงคงต้องมีใครเคยขุดและฝังอะไรไว้ที่นี่จริงๆ ทีมขุดบอกว่า มันกว้าง กว้างมากจนน่าจะเป็นสุสานหรือหลุมฝังศพเลยก็ได้” พริมมี่พยักหน้า“กลับกันก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาสำรวจใหม่บางทีอาจพบขุมสมบัติเข้าจริงๆ ก็ได้"พริมมี่พูดไปยิ้มไป สมศักดิ์ยกมือท่วมหัว“สาธุขอให้ได้ขอให้โดน”ทานข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว พริมมี่หยิบเอากล่องทองเหลืองที่ทำความสะอาดจนสวยพร้อมกับนาฬิกาพกมาวางไว้ บนโต๊ะหินอ่อน สมศักดิ์กับทีมขุดคงเหนื่อยวันนี้ต่างแยกย้ายกันนอนทั้งๆ ที่เพิ่งจะสองทุ่ม ดวงจันทร์ดวงกลมโตเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าสีแดงสด จนน่าประหลาดใจฟูลมูนหรือไรคืนนี้ถอดสายสร้อยที่ห้อยคอมาวางเทียบกันพริมมี่ไม่เห็นความแตกต่างแม้แต่น้อยพยายาม มองและจ้องไปที่ลวดลายที่สวยงาม หน้าฝาปิดนาฬิกาพกทั้งสอง ตรงกลางห่วงสร้อยที่บอกเวลาเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน เหมือนจะเป็นอักขระที่เหมือนตัวอักษร แต่ว่าเป็นอักษรของ ประเทศไหนหร
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ