พริมมี่ปิดปากหาวพรุ่งนี้งานใหญ่ต้องเปิดหน้าดิน ต้องประสานงานและออกคำสั่งกับบรรดาทีมขุดที่วันนี้ให้ลุงพ่อบ้านอำนวยความสะดวกให้ โดยการโทรไปเช่ารถแมคโครคันเล็กมาเรียบร้อยแล้ว พริมมี่เดินผ่าน สมศักดิ์และคนอื่นๆ
“พี่ไปนอนก่อนนะพวกนายก็อย่านอนดึกพรุ่งนี้ ต้องทำงานใหญ่”
ไม่มีใครสนใจตกปากรับคำสักคน สนใจแต่หน้าจอ พริมมี่ส่ายหน้า เดินเข้าห้องด้านในที่เป็นห้องนอนที่มิดชิดรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที
“ประเทศจีนนี่หนาวแฮะ”
พึมพำเบาๆ กระโดดขึ้นแท่นนอน แบบจีนโบราณแต่มีเบาะรองนอนที่หนา ให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดีห่มผ้าหลับตา
“เหนื่อยมาทั้งวันหลับเสียทีเหอะ”รู้สึกสบายตัวที่สุด
เพียงพริบตาพริมมี่ก็หลับสนิท
กลางดึกสงัดนั่นเอง ร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ที่แท่นนอนหนา ที่พริมมี่นอนหลับตานิ่งสนิทในนั้น ดวงตาคมจ้องมองยังร่างบาง ริมฝีปากมีรอยยิ้มแห่งความปีติ
“เพียงหล่อหลอมร่วมกันใต้แสงจันทร์”
จ้องมองนาฬิกาพกตาไม่กะพริบ ก่อนทื่ร่างสูงจะค่อยๆ ออกจากห้องไป
“ฮ้าววววว”พริมมี่บิดขี้เกียจบนแท่นนอนแบบจีนโบราณ
“นอนสบายดีจัง เฮ้อนี่สิถึงเรียกว่าชีวิตกินอิ่มนอนหลับ นึกว่าจะแปลกที่นอนไม่หลับนี้เอาจนสาย”
ดึงเอา นาฬิกาที่ห้อยคอมาดู มันบอกเวลา07.49น.
ตายห่า นัดรถแมคโครไว้8.00น. วิ่งทะเลอทะล่าออกมา ไม่พบใครแล้ว ป้าแม่บ้านนำเอาขนมเฉียวกั่วมาวางให้ พร้อมกับโจ๊กใส่ไข่กับเนื้อไก่ฉีกยุ้ยในถ้วย
“กินก่อนค่ะคุณหนู”
พริมมี่กลืนน้ำลายลงคอน้ำลายสอ ป้าแม่บ้านเหมือนจะรู้ว่าพริมมี่ ชอบกินโจ๊กไก่ฉีก
“หนูจัดการตัวเองแป๊บค่ะเดี่ยวมากินว่าแต่ป้า พวกผู้ชายไปไหนกันหมด”
พูดภาษาจีนได้คล่องขึ้นเยอะคิดทึ่งในพัฒนาการของตัวเองจากที่แค่งูๆ ปลาๆ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง วันนี้คล่องป้อเลย
“อ๋อ มิสเตอร์สมศักดิ์บอกว่าเขาไปเปิดหน้าดินรอคุณแล้วให้คุณหนูไปสำรวจอีกที”พริมมี่พยักหน้าหงึกหงัก
หันหลังเดินเข้าห้องน้ำที่แยกกลับเข้าไปในห้องคว้าเอากระเป๋าสัมภาระมาจัดการค้นหาข้าวของส่วนตัว แล้วเดินไปด้านข้างที่เป็นห้องน้ำที่ทำแบบร่วมสมัยสะดวกสบายไม่น้อย จัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อยใบหน้าสะอาดสะอ้าน แค่แป้งฝุ่นกับ ลิปติกสีอ่อน วันนี้ไม่มีแดด นั่งลงบนโต๊ะกินโจ๊กที่ ป้าแม่บ้านนำมาวางไว้ให้พร้อมฝาปิด จนหมดชาม
“คุณหนูคะกินขนมด้วยค่ะ” เลื่อนจานขนมตรงหน้า
“อ่า วันนี้พริมไม่รับของหวานค่ะ”ป้าแม่บ้านยิ้มบางๆ
“สักชิ้นก็ยังดีค่ะแล้วคุณหนูจะรู้สึกสบายขึ้น ของหวานทำให้อารมณ์ดีรับรองอารมณ์ดีทั้งวัน”
หยิบมากำไว้ชิ้นหนึ่งแล้วสะพายกระเป๋า
“หนูต้องรีบไปแล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ทันเขาเปิดหน้าดิน ลึกไปตื้นไปจะไม่เจออะไร”แม่บ้านยิ้มส่ง
“เดินทางปลอดภัยค่ะคุณ”
คำกล่าวลา เหมือนกับที่ปู่ซุนพูดเมื่อวานพริมมี่ยิ้มโบกมือให้
พริมมี่ ขึ้นนั่งบนจักรยานยนต์สามล้อ คันเดิมเมื่อวานแสดงว่าสมศักดิ์ทิ้งไว้ให้พริมมี่ไม่นานก็มาถึงเนินที่มีต้นไป๋กว่อยืนต้นรับลม ด้านล่างที่บัดนี้กลับถูกแมคโครตักดินเปิดหน้าดินออกเสียเกือบเสร็จเห็นกองดินสีน้ำตาลตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวชัดเจน
สมศักดิ์รีบเดินตรงมาหาพริมมี่
“พี่พริม เปิดหน้าดินใกล้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นจะต้องใช้แรงคนค่อยๆ ขุดลงไปดินข้างล่างไม่ค่อยแข็งแล้ว”
พริมมี่พยักหน้าแทนคำตอบก้าวเดินฉับๆ ยังโค่นต้นแปะก๊วย
หยิบดินขึ้นมากำดู
“หืมมมดิน แบบนี้ค่อยขุดง่ายขึ้นหน่อย เอาเป็นว่าในรัศมี สองเมตรแล้วก็สามเมตรสี่เมตรห้าเมตรจนถึงหกเมตรจึงหยุดค้นหา” สมศักดิ์พยักหน้า
“พอดีกับที่แมคโคร เปิดหน้าดินเสร็จเรียบร้อยพอดี”
“เท่าไหร่ค่ะลุง”พริมมี่ถามลุงคนดูแล บ้านชมดาว
“2500หยวน”พริมมี่ขมวดคิ้วทำงานไม่ถึงชั่วโมงฟันเงินหมื่นกว่าบาท
เดินไปยัง คนขับแมคโคร ทีมงานเริ่มลงมือขุด
“2000พันหยวนได้ไหม”
คนขับแมคโคร เลิกคิ้วสูง“ผมรับ เท่านี้ประจำ”ยืนยันหนักแน่น“แต่นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป เอาน่า เรายังไม่แน่ใจว่าจะต้องขุดอีกมากเท่าไหร่ ถ้ายอมลดให้ ต่อไปเราสัญญาว่าจะใช้บริการของคุณทุกครั้งแต่ถ้าไม่ยอมลดให้ คราวหลังเราคงต้องใช้บริการของ บริษัทอื่น”ลุงคนดูแลบ้านยิ้มขำกับการต่อรองแบบนี้ลูกล่อลูกชนของพริมมี่“ก็ได้ แต่คราวหน้าคุณต้องเรียกใช้พวกเรานะ”พริมมี่ยิ้ม หักเงินออกจากจำนวนเต็มยื่นส่งให้ คนขับแมคโคร“แน่นอน เราไม่มีทางมองบริการของคนอื่นในเมื่อคุณดีกับเราขนาดนี้”โรยยาหอม คนขับแมคโครยิ้ม สมศักดิ์ส่ายหน้าไปมา เมื่อคนขับแมคโครจากไป“พี่พริม นี่เขี้ยวจริงๆ ”“นี่ พูดดีดีหน่อยฉันช่วยประหยัดเงินให้คุณซุนก็ดีแค่ไหนแล้ว ทำงานแบบนี้บางที่ต้องมีโอนอ่อนกันบ้าง ดินก็ไม่ได้แข็งอะไร แล้วอีกอย่างทำไม่ถึงชั่วโมงเพราะใต้ต้นแปะก๊วยดินดีไม่น้อยขุดง่ายนิดเดียว”“ขอบคุณคุณหนูมากๆ ครับ ถ้าไม่ได้คุณหนู เราอาจต้องจ่ายแพงๆ ”ลุงคนดูแลบ้านเอ่ยปากขอบคุณพริมมี่ยิ้ม“มันคือผลประโยชน์ของเราจะปล่อยให้เขาเอาเปรียบไม่ดีนัก เซฟเงินไว้มาเลี้ยงขนมพวกเรากันเองดีกว่า”ลุงดูแลบ้านเคราขาวยิ้มบางๆ"คุณพริมมี่ครับ เ
“กลับกันเถอะ ผมจะแจ้งคุณซุนอย่างเป็นทางการอีกทีว่าพบกล่องทองเหลืองที่ข้างในมีนาฬิกาพกถึงลุงพ่อบ้านจะบอกว่าแจ้งแล้วก็เถอะ พรุ่งนี้เราตั้งใจขยายวงกว้างออกไปกว่านี้ ทีมงานบอกว่า ดินชั้นล่าง ลงไปความหนาแน่นของชั้นดินลดลง พูดกันตามจริงคงต้องมีใครเคยขุดและฝังอะไรไว้ที่นี่จริงๆ ทีมขุดบอกว่า มันกว้าง กว้างมากจนน่าจะเป็นสุสานหรือหลุมฝังศพเลยก็ได้” พริมมี่พยักหน้า“กลับกันก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาสำรวจใหม่บางทีอาจพบขุมสมบัติเข้าจริงๆ ก็ได้"พริมมี่พูดไปยิ้มไป สมศักดิ์ยกมือท่วมหัว“สาธุขอให้ได้ขอให้โดน”ทานข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว พริมมี่หยิบเอากล่องทองเหลืองที่ทำความสะอาดจนสวยพร้อมกับนาฬิกาพกมาวางไว้ บนโต๊ะหินอ่อน สมศักดิ์กับทีมขุดคงเหนื่อยวันนี้ต่างแยกย้ายกันนอนทั้งๆ ที่เพิ่งจะสองทุ่ม ดวงจันทร์ดวงกลมโตเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าสีแดงสด จนน่าประหลาดใจฟูลมูนหรือไรคืนนี้ถอดสายสร้อยที่ห้อยคอมาวางเทียบกันพริมมี่ไม่เห็นความแตกต่างแม้แต่น้อยพยายาม มองและจ้องไปที่ลวดลายที่สวยงาม หน้าฝาปิดนาฬิกาพกทั้งสอง ตรงกลางห่วงสร้อยที่บอกเวลาเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน เหมือนจะเป็นอักขระที่เหมือนตัวอักษร แต่ว่าเป็นอักษรของ ประเทศไหนหร
เจี้ยนเหวินพยุงร่าง ที่นอนฟุบหน้าอยู่กับพื้น“องครัชทายาททำไมเป็นท่าน” จิ้งเหอชักลูกดอกที่ปักคาที่แผ่นหลังออกในทันที“อั๊กกก เจ้าสี่เจ้าสี่เจ้า ยิงข้าทำไมกัน”พูดได้เพียงเท่านั้นองค์รัชทายาทจูเปียวก็สิ้นสติไปในทันที เจี้ยนเหวินคุกเข่าลงจับชีพจรของ บิดา“ท่านอาแย่แล้ว ท่านพ่อ…”“พี่ใหญ่อดทนไว้ ข้าจะพาท่านกลับไปที่ประทับ เจี้ยนเหวินล่วงหน้าไปก่อนตามหมอหลวงให้มารับองค์รัชทายาททันทีที่ไปถึง จิ้งเหอช่วยข้าพยุงองค์รัชทายาท” เสียงฝีเท้าม้าของเจี้ยนเหวินควบตะบึงออกจากตรงนั้น พริมมี่อ้าปากค้างไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว ก็น่าอยู่หรอกองครัชทายาทถูกลูกดอกนี่ อ้าปากค้างเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ องค์รัชทายาท อ๋อง ขันที และม้า หันมองรอบตัว นี่ไม่ธรรมดาแล้วพริมมี่มาที่นี่ได้อย่างไร ฝันจะต้องเป็นฝันหรือว่าตายไปแล้ว ก้มลงกัดแขนตัวเองอย่างแรง“โอ๊ย เจ็บจัง”ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ฝันแล้วนี่คือเรื่องจริงความจริงนี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้น ละละแล้วพริมมี่อยู่ที่ไหนกันไหนบอกว่านิยายดีดีจะต้องมีไม่ใครข้ามมิติมาอย่างไรเล่า เอี้ยนอ๋องจูตี้พยุงร่างสูงขององค์รัชทายาทจูเปียวให้ขึ้นไปบนม้าอย่างทุลักทุเลด้วยการช่วยเหลือ
เอี้ยนอ๋องจูตี้ นั่งคุ่กเข่าก้มหน้า องค์ชายเจี้ยนเหวินยืนอยู่ข้างๆ“เอี้ยนอ๋องจูตี้ เสียแรงที่ข้าเมตตารักใคร่ ด้วยเป็นองค์ชายอันดับสี่ใครๆก็ต่างคิดว่าเป็นลำดับอัปมงคล แต่ข้าไม่เคยโดดเดี่ยว รักใคร่เลี้ยงดูมากับองค์รัชทายาทแต่งตั้งในตำแหน่งอ๋องสูงส่งกว่าองค์ชายทั้งปวง แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำ”น้ำเสียงเข้มดุ และเต็มไปด้วยโทสะ“เสด็จปู่ โปรดถนอมพรวรกาย โมโหมากไปจะทำให้อาการป่วยไข้ทรุดโทรม การมาครั้งนี้ เพื่อหย่อนใจท่านอาเอี้ยนอ๋องไม่ได้ตั้งใจแค่เพียงพลาดไปก็เท่านั้นลุกดอกหาถูกจุดสำคัญไม่อีกอย่างการรักษาก็ทันท่วงที”“เจี้ยน…เหวิน….บิดาเจ้าเป็นตายเท่ากันเจ้ายังเอาแต่ออกโรงปกป้องเอี้ยนอ๋องโง่งมสิ้นดี”เจี้ยนเหวินก้มหน้า ทรุดกายลงคุกเข่าเคียงข้างเอี้ยนอ๋อง“เสด็จปู่เป็นเพราะเจี้ยนเหวินที่มองเห็นกวางจึงบอกท่านอายิงมัน ทว่ากลับกลายเป็นท่านพ่อไปได้ นั่นย่อมนับว่าเป็นเจี้ยนเหวินที่มีความผิดไม่ต่างจากท่านอา”“เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมรับผิด ข้าเป็นคนพลั้งมือเหนี่ยวคันธนูเจ้าอย่าทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากไปกว่านี้”เอี้ยนอ๋องกระซิบเบาๆ เจี้ยนเหวินถอนหายใจ“แต่ท่านอา ข้าจะไม่ยอมให้ท่านอารับโทษเพียงลำพัง”เอี้ยนอ๋อ
“เจ้า”เดินเข็นรถเข็นไม้ที่ใส่ผ้าคิดอะไรเพลินๆ ร่างสูงของเอี้ยนอ๋องจูตี้ กล่าวทักในทันที พริมมมี่ปล่อยมือจากรถเข็นเงอะงะย่อตัวลงตามที่พวกนางในคนเก่าสั่งสอนร่างเล็กง้อนแง้นจะล้มไม่ล้มแหล่ เอี้ยนอ๋องคว้าข้อมือไว้“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าทำงานในหอซักล้างหรือไร”เอื้อมมือมาคว้ามือบางไปดูมือแดงด้วยต้องไอเย็นของน้ำ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความหนาวจากการที่เพิ่งจะแช่น้ำเย็นมา“มีมี่ คารวะท่านอ๋องไม่ไม่ ไม่ คารวะเอี้ยนอ๋องจูตี้”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“บังอาจเอ่ยนาม ท่านอ๋องเจ้าไร้การอบรมเพียงนี้เชียวหรือ”จิ้งเหอโบกมือห้ามองครักษ์ประจำตัวของเอี้ยนอ๋อง“จิ้งเหอเจ้าจัดการให้นางเลื่อนขั้นมาเป็นนางในห้องเครื่องได้ไหม”เอี้ยนอ๋องเอ่ยปากกับจิ้งเหอที่มองมายังพริมมี่ด้วยสายตาเย็นชา“พะย่ะค่ะ หากเป็นพระประสงค์ของท่านอ๋อง” พริมมี่ยิ้มกว้างคนอะไรใจดีที่สุด ทีมเอี้ยนอ๋องมาแล้ว แม้จะรู้ว่า อนาคตจะเป็นแบบไหน ก็อดที่จะปลื้มเอี้ยนอ๋องที่หล่อเหลาไม่ได้ เอี้ยนอ๋องเองก็ยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของพริมมี่“ท่านอ๋องขุนนางรอที่ท้องพระโรงเสียเวลากับนางมากไปแล้ว”จิ้งเหอเอ่ยปากเตือนและตำหนิกลายๆ เอี้ยนอ๋องเอื้อมมือคว้าม
“ ข้าอยากให้นางเป็นนางกำนัลข้างกาย ข้าจะไปพบท่านอาสี่เดี๋ยวนี้ ขอนางด้วยตัวเอง”“องค์ชาย เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ องค์ชายยังทรงชันษาน้อย เอี้ยนอ๋องตอนนี้มีอำนาจสูงส่ง แค่นางในหอซักล้างเพียงคนเดียวไยจึงต้องแย่งชิง”สุ่ยหลีเอ่ยปากเตือน“อย่างไรข้าก็จะไปพบท่านอาสี่”สุ่ยหลีส่ายหน้าไปมา“ตอนนี้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์อีกทั้งฝ่าบาททรงพระประชวร องค์ชาย ยิ่งจะทำให้ฝ่าบาททรง ไม่สบายพระทัย”เจี้ยนเหวินก้มหน้านิ่ง พริมมี่ทำตัวเล็กลีบ ก้าวขากำลังจะพ้นประตูห้อง“เจี้ยนเหวิน มีเรื่องจะพูดกับข้าหรือไร”ดวงตาคมกริบของเอี้ยนอ๋องจูตี้จ้องมองมาที่พริมมี่ที่ชะงักกึกตัวแข็งทื่อเจี้ยนเหวินประสานมือ“ท่านอาสี่”เจี้ยนเหวินยิ้ม“หลังจากพิธีศพข้าหาเวลาส่วนตัวได้ยาก แต่เดิมแวะเวียนถามไถ่เจ้าไม่เคยห่างวันนี้จึงได้มาพบมีเรื่องใด ให้ช่วย…พูดมาเถอะ”น้ำเสียงอ่อนโยนจน พริมมี่รู้สึกได้“ท่านอา ท่านพ่อ โชคร้าย จากไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ข้ารู้ว่ามันคืออุบัติเหตุไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดของท่านอาสี่ หากมีเรื่องเล่าว่าข้าแค้นเคืองหรือเจ็บแค้นท่านอา นั่นไม่ใช่ข้า นั่นเป็นเพียงคนที่ยุยงปลุกปั่นให้เราสองคนอาหลานให้บา
“น้อมบัญชา เสด็จปู่”สุ่ยหลีก้าวขาตามเจี้ยนเหวินแทบจะไม่ทันเมื่ออีกคน รีบเร่งร้อนรน“องค์ชายรอข้าน้อยด้วย จะรีบไปไหน”เจี้ยนเหวินไม่แม้แต่จะหันมามอง สาวเท้ายาวๆพริมมี่ ที่กำลังลูบคลำกระบี่ด้ามสีทองงดงามในห้องของเจี้ยนเหวินหลังจากที่เช็ดทำความสะอาดรอบๆ ห้อง“ทรงคุณค่า ทรงคุณค่าถ้าเป็นปี2024นะอือหือคงขายได้หลายตังค์”ดึงกระบี่ออกจากฝักลองทำท่าร่ายรำไปมา“ เช้งๆๆๆๆๆ ฮ่าาาา เก่งแฮะ พลิ้วเชียว ”ชมตัวเองก็เมื่อก่อนพริมมี่เรียนศิลปากรเคยไปยืนส่งเพื่อนสนิทซ้อมรำออกบ่อยไปแล้วยังไปแอบรำอยู่ข้างๆร่ายรำท่าพิสดารราวกับเป็นจอมยุทธ์มือหนึ่ง เสียบคมกระบี่เข้าใส่ขอบหน้าต่างที่ทำจากไม้เนื้อแข็งชั้นดี“เคร้งงงงงง แป๊ก”กระบี่คมกริบหักลงอย่างช่วยไม่ได้ พริมมี่หัวใจแทบหยุดเต้น“ซวยแล้ว”วางกระบี่ไว้ หาทางเอาตัวรอด ไม่น่าเลยไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนี้สำคัญเพียงใดคงสำคัญแหละไม่งั้นคงไม่อยู่ในห้องบรรทมแล้วยังนำมาเก็บไว้ข้างกายกำลังจะหาที่ซ่อนกระบี่หักแต่ถ้าซ่อนองค์ชายคนนั้นเขาก็ต้องคิดว่ามันหายนั่นยิ่งเป็นเรื่องใหญ่“เจ้า”พริมมี่ รีบซ่อนกระบี่หักไว้ด้านหลังเสีย“ซ่อนอะไรไว้เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”ใบหน้าหล่
จวน เอี้ยนอ๋อง“ฮ่าาาาา ดื่มๆๆๆๆ องค์ชายทั้งสี่ร่วมวงสนทนา สุราอาหารพร้อมสรรพ เจี้ยนเหวินก้าวขาเข้าไปในจวนเอี้ยนอ๋อง“ท่านอา ประสานมือตรงหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมกับท่านอาทั้งสี่ที่ต่างหันมามองบางคนถึงกับวางจอกสุราลงในทันที แสดงสีหน้าหมดสนุก พริมมี่สังเกตคนนั้นคนนี้ ที่แต่ละคนล้วนมีใบหน้าละม้ายเอี้ยนอ๋องจูตี้เสียทั้งหมดผิดก็แต่เอี้ยนอ๋องจูตี้นั้นองอาจกว่ามีภาษีเหนือกว่า“เจี้ยนเหวินมาพอดี พวกเรา แวะเวียนมาเสวยเย็นเสียพร้อมกัน ห้องเครื่องจึงยกเครื่องเสวยไม่ลำบากตำหนักนั้นทีนี้ที เจ้าก็มาเสวยเสียด้วยกัน”เอี้ยนอ๋องจูจี้เอ่ยปากทักทาย คล้ายๆ ออกตัวเมื่อเห็นว่ายังไม่หมดช่วงไว้ทุกข์ของเจี้ยนเหวินแต่พวกเขากลับร่ำสุราสนุกสนาน จะน่าเกลียดไปหน่อย“เชิญท่านอาทั้งสี่ เจี้ยนเหวินแค่มาหารือคิดว่าท่านอาสี่ว่างจึงแวะมา ไม่ได้ตั้งใจมารบกวนพวกท่าน วันนี้ไม่ว่างวันหน้าเจี้ยนเหวินมาใหม่”“หืมมม สำหรับเจี้ยนเหวินอาสี่ มีรึจะไม่ว่าง”ลุกขึ้นผายมือไปยังห้องหนังสือ องค์ชายที่เหลืออีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลัก“พวกท่านดื่มกินกันไปก่อนข้ามีเรื่องหารือกับเจี้ยนเหวิน คงไม่นาน อย่าให้หมดสนุก เราพี่น้องสามัคคีจึงดียิ่งนัก
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ