เอี้ยนอ๋องจูตี้ นั่งคุ่กเข่าก้มหน้า องค์ชายเจี้ยนเหวินยืนอยู่ข้างๆ
“เอี้ยนอ๋องจูตี้ เสียแรงที่ข้าเมตตารักใคร่ ด้วยเป็นองค์ชายอันดับสี่ใครๆก็ต่างคิดว่าเป็นลำดับอัปมงคล แต่ข้าไม่เคยโดดเดี่ยว รักใคร่เลี้ยงดูมากับองค์รัชทายาทแต่งตั้งในตำแหน่งอ๋องสูงส่งกว่าองค์ชายทั้งปวง แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำ”
น้ำเสียงเข้มดุ และเต็มไปด้วยโทสะ
“เสด็จปู่ โปรดถนอมพรวรกาย โมโหมากไปจะทำให้อาการป่วยไข้ทรุดโทรม การมาครั้งนี้ เพื่อหย่อนใจท่านอาเอี้ยนอ๋องไม่ได้ตั้งใจแค่เพียงพลาดไปก็เท่านั้นลุกดอกหาถูกจุดสำคัญไม่อีกอย่างการรักษาก็ทันท่วงที”
“เจี้ยน…เหวิน….บิดาเจ้าเป็นตายเท่ากันเจ้ายังเอาแต่ออกโรงปกป้องเอี้ยนอ๋องโง่งมสิ้นดี”
เจี้ยนเหวินก้มหน้า ทรุดกายลงคุกเข่าเคียงข้างเอี้ยนอ๋อง
“เสด็จปู่เป็นเพราะเจี้ยนเหวินที่มองเห็นกวางจึงบอกท่านอายิงมัน ทว่ากลับกลายเป็นท่านพ่อไปได้ นั่นย่อมนับว่าเป็นเจี้ยนเหวินที่มีความผิดไม่ต่างจากท่านอา”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมรับผิด ข้าเป็นคนพลั้งมือเหนี่ยวคันธนูเจ้าอย่าทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากไปกว่านี้”
เอี้ยนอ๋องกระซิบเบาๆ เจี้ยนเหวินถอนหายใจ
“แต่ท่านอา ข้าจะไม่ยอมให้ท่านอารับโทษเพียงลำพัง”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ
“เสด็จพ่อย่างไรก็ไม่ฆ่าลูก ข้าทำผิดควรได้รับโทษทัณฑ์ ”
“ฝะฝะฝ่าบาท องค์รัชทายาทจูเปียว ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ตอนนี้สิ้นพระชนม์แล้วพะย่ะค่ะ”
หมิงไท่จูฮ่องเต้ ผงะหงายขันทีข้างกายมารับร่างที่เป็นลมหมดสติไปด้วยความเสียใจอย่างที่สุด เจี้ยนเหวินเองน้ำตาไหลรินในทันที เอี้ยนอ๋องที่ก้มหน้ามองพื้นด้วยความรู้สึกผิดมหาศาลถาโถมเข้ามา ราวกับกระบี่นับพันพุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
“ตามหมอลวงตามหมอหลวงบัดเดี๋ยวนี้”
ขันทีข้างกาย หมิงไท่จูตวา่ดดังลั่น หมอหลวงวิ่งเข้ามายังหมิงไท่จูที่พระหทัยแหลกสลาย
พริมมี่ยืนนิ่งตกตะลึง พริมมี่มาอยู่ในเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราวในตอนนี้นี่เองที่ส่งผลไปถึงเรื่องราวต่างๆตามประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้
“วู๊ดดดดดดดดดด”
เสียงเป่าเครื่องดนตรีจากเขาสัตว์ดังสะท้านเข้าไปในหัวใจ ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ องคร์รัชทายาทจูเปียวสิ้นพระชนม์ลงแล้ว
พริมมี่ยืนนิ่ง จ้องไปที่ใบหน้าอาบคราบน้ำตาของเจี้ยนเหวินด้วยความสงสารจับใจ
ทำไมถึงรู้สึกสงสารเพียงนั้น บรรยากาศหดหู่มืดดำเอี้ยนอ๋องที่ก้มหน้า คล้ายกับเงาดำมืดปกคลุมทุกอย่าง
“เจี้ยนเหวิน..ข้าขอโทษ…..”
เอี้ยนอ๋องกระซิบเสียงแหบแห้งปล่อยให้น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ
ขบวนเสด็จประพาสกลับสู่เมืองหลวง ด้วยบรรยากาศที่เศร้าสร้อย พริมมี่กอดอกไว้ ด้วยกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะกลับไปยังที่เดิมที่จากมาได้บรรยากาศเศร้าสร้อยไม่เหมาะแก่การร่วมวง รู้สึกหดหู่อย่างประหลาด
วังหลวงหนานจิง
“หลังจากที่องค์รัชทายาทจูเปียวทรงประชวรระหว่างประพาสป่าล่าสัตว์และต้องไอเย็นจนสิ้นพระชนม์ลงที่เขตเตมูร์ บัดนี้ส่งผลให้ ฝ่าบาททรงตรอมพระทัยจนประชวร ไม่สามารถออกว่าราชการในท้องพระโรง เอี้ยนอ๋องจูตี้จึงต้องรับหน้าที่ ประชุมเหล่าขุนนางแทนฝ่าบาทด้วยความภักดี”
ขันทีชราส่งราชโองการในมือให้กับเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่รับเอาด้วยมืออันสั่นเทา
จะบอกอย่างไรก็ได้ในเมื่อหมิงไท่จูคือฮ่องเต้แค่เพียงสั่งให้ผู้ที่คนที่ตามเสด็จปิดปากเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทจูเปียวเสียบิดเบือนความจริง เพียงเท่ากับช่วยปกป้องเอี้ยนอ๋องจูตี้
พริมมี่ ยืนอยู่ที่ธารน้ำใสย้ำไปบนผ้าเปียกชื้น
นางในหอซักล้าง จะไปไหนได้แค่เพียงยอมจำนน
“มีมี่นี่ขนมของเจ้า”
พริมมี่รับเอาขนมที่เพื่อนนางในแอบยัดใส่มือขนมเฉียวกั่ว ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลคิดถึงโลกปัจจุบันป่านนี้สมศักดิ์กับคนพวกนั้นคงตามหาตัวพริมมี่กันให้วุ่น
“กินเสียขนมนี่จะช่วยให้เจ้า ฟัง พูด เหมือนที่เราพูดแล้วคุยกันได้”
พริมมี่อ้าปากค้างนี่คือสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นไปได้อย่างไรแค่กินขนม ก็พูดภาษาจีนและฟังได้ แต่ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจ ก็ในเมื่อเรื่องที่พริมมี่มาที่นี่เหลือเชื่อกว่าอีกยังเป็นไปได้เลย ไปเล่าให้ใครฟังใครจะเชื่อ พริมมี่ยัดขนมใส่ปากเพราะความหิวมากกว่าความเชื่อนี่จะบ่ายแล้วข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้อง
“มีมี่ นำอาภรณ์ที่ซักตากจนแห้งแล้วเหล่านี้ยังตำหนักขององค์ชายเจี้ยนเหวิน”เสียงยายป้าร่างท้วมผู้เป็นกูกู๋ ดูแลหอซักล้าง เอ่ยปากด้วยเสียงอันดัง เพื่อนนางในหอซักล้างรีบหลบออกไป
“ทะทะทำไมต้องเป็นข้า”
“เอะหญิงนางนี้ ชอบต่อปากต่อคำยิ่งนักที่ผ่านมาชอบหายหัวไป กลับมาจากประพาสครั้งนี้ไม่ถูกลงทัณฑ์ขยันขันแข็งขึ้นข้านึกว่าจะสำนึกผิดมาคราวนี้ยังกล้า สงสัยคำสั่งข้า”พริมมี่ถอนหายใจ
“ก็ได้”
ตลอดสี่ห้าวันที่กลับมาจากข้างนอกนั่น พริมมี่ไม่มีวันไหนไม่คิดจะกลับไปยังโลกปัจจุบันเฝ้าถามคนนู้นคนนี้ถึงตำหนักชมดาว แต่ทว่าไม่มีใครรู้จักบ้างก็ว่าพริมมี่บ้าบอไปแล้ว หอบเอาผ้าที่หอมฟุ้งจากการดูแลซักและอบน้ำปรุงอย่างดี ตรงไปยังตำหนักองค์ชายเจี้ยนเหวินภาพในวันนั้นยังจำติดตา ท่าทีเศร้าเสียใจเมื่อองค์รัชทายาท ตายไปป่านนี้คนผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
พริมมี่ปรับตัวได้ดีในเวลาไม่นานไม่เจ็บเท้ายามใส่รองเท้าส้นสูงในแบบจีน มองเห็นคนอื่นรัดเท้า นางในหล่านั้นหัวเราะเยาะเท้าพริมมี่ที่ไม่ได้มีรูปร่างบิดเบี้ยวน่าเกลียดเหมือนของพวกนาง แต่ก็ยัดเข้าไปในรองเท้าได้ด้วยว่าพริมมี่ตัวเล็กนิดเดียวมือเท้าจึงเล็กไปด้วย
“เจ้า”เดินเข็นรถเข็นไม้ที่ใส่ผ้าคิดอะไรเพลินๆ ร่างสูงของเอี้ยนอ๋องจูตี้ กล่าวทักในทันที พริมมมี่ปล่อยมือจากรถเข็นเงอะงะย่อตัวลงตามที่พวกนางในคนเก่าสั่งสอนร่างเล็กง้อนแง้นจะล้มไม่ล้มแหล่ เอี้ยนอ๋องคว้าข้อมือไว้“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าทำงานในหอซักล้างหรือไร”เอื้อมมือมาคว้ามือบางไปดูมือแดงด้วยต้องไอเย็นของน้ำ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความหนาวจากการที่เพิ่งจะแช่น้ำเย็นมา“มีมี่ คารวะท่านอ๋องไม่ไม่ ไม่ คารวะเอี้ยนอ๋องจูตี้”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“บังอาจเอ่ยนาม ท่านอ๋องเจ้าไร้การอบรมเพียงนี้เชียวหรือ”จิ้งเหอโบกมือห้ามองครักษ์ประจำตัวของเอี้ยนอ๋อง“จิ้งเหอเจ้าจัดการให้นางเลื่อนขั้นมาเป็นนางในห้องเครื่องได้ไหม”เอี้ยนอ๋องเอ่ยปากกับจิ้งเหอที่มองมายังพริมมี่ด้วยสายตาเย็นชา“พะย่ะค่ะ หากเป็นพระประสงค์ของท่านอ๋อง” พริมมี่ยิ้มกว้างคนอะไรใจดีที่สุด ทีมเอี้ยนอ๋องมาแล้ว แม้จะรู้ว่า อนาคตจะเป็นแบบไหน ก็อดที่จะปลื้มเอี้ยนอ๋องที่หล่อเหลาไม่ได้ เอี้ยนอ๋องเองก็ยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของพริมมี่“ท่านอ๋องขุนนางรอที่ท้องพระโรงเสียเวลากับนางมากไปแล้ว”จิ้งเหอเอ่ยปากเตือนและตำหนิกลายๆ เอี้ยนอ๋องเอื้อมมือคว้าม
“ ข้าอยากให้นางเป็นนางกำนัลข้างกาย ข้าจะไปพบท่านอาสี่เดี๋ยวนี้ ขอนางด้วยตัวเอง”“องค์ชาย เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ องค์ชายยังทรงชันษาน้อย เอี้ยนอ๋องตอนนี้มีอำนาจสูงส่ง แค่นางในหอซักล้างเพียงคนเดียวไยจึงต้องแย่งชิง”สุ่ยหลีเอ่ยปากเตือน“อย่างไรข้าก็จะไปพบท่านอาสี่”สุ่ยหลีส่ายหน้าไปมา“ตอนนี้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์อีกทั้งฝ่าบาททรงพระประชวร องค์ชาย ยิ่งจะทำให้ฝ่าบาททรง ไม่สบายพระทัย”เจี้ยนเหวินก้มหน้านิ่ง พริมมี่ทำตัวเล็กลีบ ก้าวขากำลังจะพ้นประตูห้อง“เจี้ยนเหวิน มีเรื่องจะพูดกับข้าหรือไร”ดวงตาคมกริบของเอี้ยนอ๋องจูตี้จ้องมองมาที่พริมมี่ที่ชะงักกึกตัวแข็งทื่อเจี้ยนเหวินประสานมือ“ท่านอาสี่”เจี้ยนเหวินยิ้ม“หลังจากพิธีศพข้าหาเวลาส่วนตัวได้ยาก แต่เดิมแวะเวียนถามไถ่เจ้าไม่เคยห่างวันนี้จึงได้มาพบมีเรื่องใด ให้ช่วย…พูดมาเถอะ”น้ำเสียงอ่อนโยนจน พริมมี่รู้สึกได้“ท่านอา ท่านพ่อ โชคร้าย จากไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ข้ารู้ว่ามันคืออุบัติเหตุไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดของท่านอาสี่ หากมีเรื่องเล่าว่าข้าแค้นเคืองหรือเจ็บแค้นท่านอา นั่นไม่ใช่ข้า นั่นเป็นเพียงคนที่ยุยงปลุกปั่นให้เราสองคนอาหลานให้บา
“น้อมบัญชา เสด็จปู่”สุ่ยหลีก้าวขาตามเจี้ยนเหวินแทบจะไม่ทันเมื่ออีกคน รีบเร่งร้อนรน“องค์ชายรอข้าน้อยด้วย จะรีบไปไหน”เจี้ยนเหวินไม่แม้แต่จะหันมามอง สาวเท้ายาวๆพริมมี่ ที่กำลังลูบคลำกระบี่ด้ามสีทองงดงามในห้องของเจี้ยนเหวินหลังจากที่เช็ดทำความสะอาดรอบๆ ห้อง“ทรงคุณค่า ทรงคุณค่าถ้าเป็นปี2024นะอือหือคงขายได้หลายตังค์”ดึงกระบี่ออกจากฝักลองทำท่าร่ายรำไปมา“ เช้งๆๆๆๆๆ ฮ่าาาา เก่งแฮะ พลิ้วเชียว ”ชมตัวเองก็เมื่อก่อนพริมมี่เรียนศิลปากรเคยไปยืนส่งเพื่อนสนิทซ้อมรำออกบ่อยไปแล้วยังไปแอบรำอยู่ข้างๆร่ายรำท่าพิสดารราวกับเป็นจอมยุทธ์มือหนึ่ง เสียบคมกระบี่เข้าใส่ขอบหน้าต่างที่ทำจากไม้เนื้อแข็งชั้นดี“เคร้งงงงงง แป๊ก”กระบี่คมกริบหักลงอย่างช่วยไม่ได้ พริมมี่หัวใจแทบหยุดเต้น“ซวยแล้ว”วางกระบี่ไว้ หาทางเอาตัวรอด ไม่น่าเลยไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนี้สำคัญเพียงใดคงสำคัญแหละไม่งั้นคงไม่อยู่ในห้องบรรทมแล้วยังนำมาเก็บไว้ข้างกายกำลังจะหาที่ซ่อนกระบี่หักแต่ถ้าซ่อนองค์ชายคนนั้นเขาก็ต้องคิดว่ามันหายนั่นยิ่งเป็นเรื่องใหญ่“เจ้า”พริมมี่ รีบซ่อนกระบี่หักไว้ด้านหลังเสีย“ซ่อนอะไรไว้เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”ใบหน้าหล่
จวน เอี้ยนอ๋อง“ฮ่าาาาา ดื่มๆๆๆๆ องค์ชายทั้งสี่ร่วมวงสนทนา สุราอาหารพร้อมสรรพ เจี้ยนเหวินก้าวขาเข้าไปในจวนเอี้ยนอ๋อง“ท่านอา ประสานมือตรงหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมกับท่านอาทั้งสี่ที่ต่างหันมามองบางคนถึงกับวางจอกสุราลงในทันที แสดงสีหน้าหมดสนุก พริมมี่สังเกตคนนั้นคนนี้ ที่แต่ละคนล้วนมีใบหน้าละม้ายเอี้ยนอ๋องจูตี้เสียทั้งหมดผิดก็แต่เอี้ยนอ๋องจูตี้นั้นองอาจกว่ามีภาษีเหนือกว่า“เจี้ยนเหวินมาพอดี พวกเรา แวะเวียนมาเสวยเย็นเสียพร้อมกัน ห้องเครื่องจึงยกเครื่องเสวยไม่ลำบากตำหนักนั้นทีนี้ที เจ้าก็มาเสวยเสียด้วยกัน”เอี้ยนอ๋องจูจี้เอ่ยปากทักทาย คล้ายๆ ออกตัวเมื่อเห็นว่ายังไม่หมดช่วงไว้ทุกข์ของเจี้ยนเหวินแต่พวกเขากลับร่ำสุราสนุกสนาน จะน่าเกลียดไปหน่อย“เชิญท่านอาทั้งสี่ เจี้ยนเหวินแค่มาหารือคิดว่าท่านอาสี่ว่างจึงแวะมา ไม่ได้ตั้งใจมารบกวนพวกท่าน วันนี้ไม่ว่างวันหน้าเจี้ยนเหวินมาใหม่”“หืมมม สำหรับเจี้ยนเหวินอาสี่ มีรึจะไม่ว่าง”ลุกขึ้นผายมือไปยังห้องหนังสือ องค์ชายที่เหลืออีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลัก“พวกท่านดื่มกินกันไปก่อนข้ามีเรื่องหารือกับเจี้ยนเหวิน คงไม่นาน อย่าให้หมดสนุก เราพี่น้องสามัคคีจึงดียิ่งนัก
“นี่เจ้า”น้ำเสียงดุดันจริงจัง ชี้มือมาที่พริมมี่กัดฟันสกดความโกรธ“มีมี่จริงใจเพียงนี้ องค์ชายท่านกำลังจะเทข้าใช่ไหมใจร้ายที่สุดฮืออออออออๆ ข้ารุ้แล้วข้ามันก้แค่นางกำนัลฮือออแล้วยังมาจากตระกูลต่ำต้อยใครกันจะสนใจได้แล้วก็ทิ้ง อุ่นเตียงแล้วก็ยังกล้าบอกกับคนอื่นว่าไม่มีอะไรกันฮือออออข้าเสียใจจริงๆข้าไม่น่าใฝ่สูงเกินเอื้อม ” วิ่งออกจากตรงนั้นไปทันที ด้วยความอาย555555อายจริงจริ้งงงง“เจี้ยนเหวิน จำต้องพูดเรื่องนี้กับนางให้ชัดเจนเรื่องสู่ขอหรานหราน เสด็จปู่ทรงพระประชวรไม่สะดวก อาสี่คงต้องเป็นธุระแทน แต่กับนางก็สำคัญไม่น้อยหากเจ้าไม่มีใจให้นางเหตุใดต้องขอนางไว้ข้างกาย ไปปรับความเข้าใจกับนางเสีย ให้นางเป็นรองเจ้าก็ต้องมีของกำนัล หากเจ้าคิดกับนางแค่ของเล่นก็ควรจะให้นางยอมรับให้ได้มิใช่ให้นางคิดไปเองแล้วเก็บเอาเรื่องนี้ไปพูดให้เจ้าเสื่อมเสีย แต่จากที่ดูนางมีใจให้เจ้าจริงจัวเจี้ยนหวินเผลอพูดคำหวานกับนางบนแท่นนอน จำไว้ผู้หญิงนางมักจะจดจำคำหวานของเราเสมอ”เอี้ยนอ๋องพูดยิ้มๆฟ่านลู่ ยิ้มหยัน“ท่านอา หลานกับนางเรา เราไม่เคยมี อะไรกันจริงๆ นะ”สีหน้าสลดลงด้วยเห็นน้ำตาของพริมมี่ และรู้สึกผิด“อาสี่เข้า
“เจ้ายังจำเรื่องราวของเราได้หรือไม่ มีมี่” รำพึงรำพันเบาๆ“คุณซุนจูขอรับ ทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่า หัวหน้าทีมขุดคุณพริมมี่ป่านนี้ยังไม่ได้สติ”ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนไม่ได้มีท่าทีหนักใจ“ลุงเต๋อติดตามอาการด้วยครับ ผมไม่อาจให้เขาหยุดการขุดค้นได้ พรุ่งนี้ผมจึงจะได้โอกาสแวะเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล”สมศักดิ์ส่ายหน้าไปมาพริมมี่อยู่ๆ ก็หมดสติไป แม่บ้านเป็นคนไปพบเข้าและพ่อบ้านเต๋อพาส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็ต้องมาขุดค้นในเมื่อคุณเตโชสายด่วนมาให้เร่งมือเพราะ คุณปู่ซุนยินดีจ่ายเพิ่มเมื่อพวกเขาขุดเจอนาฬิกาพกเรือนนั้น แต่สิ่งที่สมศักดิ์ไม่เข้าใจ พริมมี่ถอดนาฬิกาพกของตัวเองออกมาทำไมกัน“เราจะขุดลงไปแค่ ความลึกสามเมตรไม่เกินกว่านั้น”สมศักดิ์พูดขึ้นกับซุนจู“แค่นั้นก็เกินพอแล้ว ขอบคุณที่ทำงานให้เราอย่างเต็มที่”หนานจิง ปี1397ตำหนักฮ่องเต้“เอี้ยนอ๋องจูตี้ ถวายพระพรเสด็จพ่อ”หมิงไท่จูโบกมือให้ลุกขึ้น“รับบัญชาข้าจัดงานแต่งงานให้กับ เจี้ยนเหวินโดยด่วน”“น้อมบัญชาฝ่าบาท”“เจี้ยนเหวินโง่งม หรานหรานนางฉลาดหลักแหลมจึงส่งเสริมฐานะของเจี้ยนหวินได้ ชายาเจ้าเล่าเจ้าสี่ ป่านนี้ตั้งครรภ์หรือยัง”เอี้ยนอ๋องจูตี้ส่ายหน้าไป
“เอาแบบนี้ มีมี่นำกระบี่หักไปให้ช่างหลอมมันให้ดีกว่า องค์ชายจะได้หมดห่วงจะได้ไม่ต้องมาทวงสัญญาที่มีมี่จำได้ว่าแค่เดือนเดียวทำไมมันขึ้นไปสามเดือนอีกแล้วอะ”คว้ากระบี่วิ่งแน่บออกไป เจี้ยนเหวินคว้าเอวบางไว้ทันทีไม่ทันที่จะได้ ออกพ้นประตูห้อง“เมื่อบ่ายใครกัน ปากกล้ามาถึงตอนนี้กลับขลาดเขลา กระบี่นั่นช่างมันก่อน เจ้ามานี่”“ม่ายยย …กรี๊ด…ปล่อยนะ จะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะข้าไม่ได้อยากอุ่นเตียงอย่างที่บอกเสียหน่อยปล่อยน้าาาาา”ออกฤทธิ์ออกเดชเต็มที่“ฮ่าาาา ใครบอกเจ้าว่าข้าจะให้เจ้าอุ่นเตียงเพียงแค่ อีกสองวันท่านอาสี่ชวนข้าเดินหมากหารือข้อราชการ ข้าจึงอยากให้เจ้าเดินหมากเป็นเพื่อนข้าฝึกปรือฝีมือเอาชนะท่านอาสี่ให้ได้ก็เท่านั้น”พริมมี่ทำหน้าเหลอหลา“เดินหมากหรือ เดินหมากเนี๊ยนะ”สีหน้าผิดหวังฮ่าาาาไม่สิเกินคาดหมายต่างหาก“ก็เดินหมากนะสิ อะไรกันเจ้าผิดหวังหรือไรว่าแค่การเดินหมากแต่มันสำคัญกับข้ามากเลยนะข้าเป็นคนที่คิดอะไรซับซ้อนไม่เก่ง ไม่เคยเอาชนะใครได้แม้แต่ สุ่ยหลีขันทีจอมบงการคนนั้นก็ตาม”คนอะไรเปิดเผยเสียจริงพริมมี่ยิ้ม คว้ามือเจี้ยนเหวินลากไปที่โต๊ะตัวเตี้ยที่วางกระดานหมากล้อมไว้ เจี้ยนเหวินก้มม
“ได้ยินว่านางจับเสด็จพ่อพลิกซ้ายพลิกขวา ใช้มือเล็กๆ ของนางเคาะเบาๆ ไม่กี่ทีเสด็จพ่อถึงกับขับเสลดออกมาไม่มีอาการไอจนถึงเช้า ป่านนี้ก็ยังไม่ไอแล้วยังลุกขึ้นมาเดินเหินชมนกชมไม้ ราวกับไม่ป่วยไข้ อาจเพราะได้นอนหลับพักผ่อน”เอี้ยนอ๋องพยักหน้าขึ้นลงเมื่อองค์ชายห้าจ้านกวง นำข่าวเรื่องที่พริมมี่ใช้วิชาการแพทย์รักษาอาการประชวรของหมิงไท่จู“นางไม่เหมือนหญิงอื่นข้ารู้ดี นางแตกต่างไม่น้อย”ดวงตาแสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างในใจ“พี่สี่ ท่าน คิดว่าซื้อตัวนางไว้ข้างกาย ให้นางช่วยสอดแนมเจี้ยนเหวินทำประโยชน์ให้เราแล้วยังได้วิชาการแพทย์จากนางอีกด้วย”“ข้าไม่คิดว่านางมีวิชาการแพทย์ที่แตกฉานอะไร บางทีนางอาจเคยเห็นท่านหมอบางคนทำเหมือนที่นางทำแล้วทำให้คนที่ป่วยอาการดีขึ้นนางเป็นคนฉลาดจึงสามารถจำมาใช้ได้ไม่ขัดเขิน จึงส่งผลดีทำให้นางเป็นที่กล่าวขานในหมู่คนที่ไม่เคย พบเห็นสิ่งที่แปลกใหม่”นับว่า เอี้ยนอ๋องมีความคิดสมัยใหม่ไม่น้อย เขาคือหย่งเล่อ หากเป็นเพียงอ๋องโง่ๆ เหมือนในนิยายคงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอันดับสามของ..ราชวงค์หมิง“พี่สี่ท่านไม่เสียดายนางหรือ คนโง่งมเช่นเจี้ยนเหวินไม่ควรมีคนฉลาดเฉลียวไว้ข้างกาย เสด็จ
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ