“สุ่ยหลี ตามมีมี่ให้ข้า”
“เอ่อๆๆ ไท่จือนางกำนัลมีมี่นางขอย้ายไปยังตำหนักเหมยฮวาของซุนหนี่กุ้ยเฟยเสียแล้ว”
เจี้ยนเหวินขมวดคิ้ว
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกข้าเรื่องนี้ใครอนุญาตให้นางไปได้ในเมื่อนางเป็นนางกำนัลคนสนิทของข้า”
“เอ่อ กุ้ยเฟยซุนหนี่ ให้ตู้กงกงมาแจ้งว่า กุ้ยเฟย… ชอบใจนางกำนัลมีมี่ยิ่งนักจึงรับ นางไว้ข้างกายที่ตำหนักบูรพามีนางกำนัลมากมาย กุ้ยเฟยหวังว่าไท่จือจะใจกว้าง”
“พูดเช่นนี้หาว่าข้าใจแคบหรือไร”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้าไม่รู้หรือไรว่ากุ้ยเฟยเลี้ยงดู อาสี่มาตั้งแต่แบเบาะสมัยนั้นใครบ้างไม่รู้ว่าเสด็จพ่อโปรดปรานกุ้ยเฟย พอเสด็จย่าที่คลอดอาสี่ออกมาเสียชีวิตลงไปท่านอาก็ถูกเลี้ยงมาโดยกุ้ยเฟย”
“สุ่ยหลีรู้เรื่องนี้ดี”ก้มหน้ารับผิด
“นั่นอย่างไรเล่า ข้าจึงไม่อาจวางใจให้ มีมี่อยู่ที่ตำหนักเหมยฮวา กุ้ยเฟยตั้งใจทำเรื่องใดกันแน่ ตั้งใจชุบตัวมีมี่เพื่อใส่พานให้กับท่านอาสี่ หรือนี่เป็นแผนการของพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้งข้า”เสียงเข้มด้วยโทสะและความหวาดระแวง
“ไท่จือทรงกังวลมากไปแล้วความจริง แล้วมีมี่นางก็แค่ตั้งใจลดแรงปะทะกับไท่จือเฟย”เจี้ยนเหวิน กุมขมับ
“สุ่ยหลีไปที่ตำหนักเหมยฮวา”
ตำหนักเหมยฮวา
“งดงาม งดงามยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อจับนางกำนัลมีมี่มาแต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่แล้วนางจึงงดงามเพียงนี้”
“เพคะกุ้ยเฟยมีความสามารถด้านเปลี่ยนกาให้เป็นหงส์ นางงดงามเช่นนี้เกรงว่าจะต้องมีใครสักคนอยู่ไม่สุข”
กุ้ยเฟยยิ้มมุมปาก
“จัดโต๊ะดื่มชา มีใครบางคนกำลังมาที่นี่ ไท่จือ คนนั้นจะต้องเสียดายสิ่งที่คายทิ้งไว้”พริมมี่ถอนหายใจ
กุ้ยเฟยกุมมือมีมี่ไว้ด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่สุด
“เจียงมีมี่ ข้าอดสงสารเจ้าไม่ได้ข้าจะทวงทุกอย่างคืนให้เจ้าไม่ยอมให้เจ้าต้องซอกซ้ำใจเหมือนที่ข้าเคยถูก พระสนมเอกถังหรูหรานคนนั้นแย่งความรักของฝ่าบาทไปในครั้งก่อน”
เจี้ยนเหวินก้าวขายาวๆ ยังตำหนักเหมยฮวา นางกำนัลพยุงพริมมี่ให้เดินผ่าน หน้าของเจี้ยนเหวิน ที่ยืนตกตะลึงกับภาพงดงามตรงหน้า อาภรณ์สีหวานพลิ้วไหวตามลม กับใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเพียงพอดี งดงามจนเขาต้องเหลียวมอง
“มีมี่”คว้าข้อมือบางไว้ในทันที
“หืมมมม ไท่จือเสด็จมาตำหนักเหมยฮวา เพื่อชิงตัวนางกำนัลกลับคืนหรือไร”
"หามิได้ กุ้ยเฟย เจี้ยนเหวินแค่นำของสิ่งนี้มามอบให้กับนาง”
ชูมือที่กำของบางสิ่งตรงหน้า ก่อนจะปล่อยสร้อยทองคำที่มีนาฬิกาพกให้ห้อยลงมาตรงหน้าพริมมี่
“คือสิ่งใดกัน”กุ้ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจด้วยนาฬิกาพกเป็นของใหม่ในตอนนั้น
“มันคือนาฬิกาของสิ่งนี้มีชื่อว่านาฬิกา”
พริมมี่คว้านาฬิกาพกไว้ในมือ แต่กลับเป็นเจี้ยนเหวินที่คว้ามือมากุมไว้แน่นสบตากลมโต
“ข้าเพิ่งจะได้ของสิ่งนี้มาจากพ่อค้าต่างแคว้นยอมแลกมันด้วยทองจำนวนไม่น้อยเพื่อมอบมันให้เจ้า หากอยากครอบครองมันกลับไปตำหนักบูรพากับข้าดีไหม”
พริมมี่หันหน้าหันหลังโอกาสที่จะได้กลับบ้านมาถึงแล้ว
“ข้าเพิ่งจะรับนางมา ไท่จือกลับจะมาแย่งชิงนางไปอีกแล้วหรือ”
“เช่นนั้น”
ดึงเอาสร้อยทองที่มีนาฬิกาพกอีกอันห้อยที่ลำคอออกมาให้พริมมี่ดู
“ข้าหวังว่า มันจะผูกใจเราสองคนไว้ด้วยกันไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ ตำหนักเหมยฮวาแต่ข้าอยู่ที่ตำหนักบูรพาก็ตาม”
“ไท่จือมีมี่ อยากจะลองสัมผัส นาฬิกาของไท่จือ”
พริมมี่ เก็บงำความจริงไว้หาได้อยากสัมผัสมันหากแต่อยากจะกด ที่ปุ่มไขลานนั่นต่างหากเผื่อว่ามันจะพาพริมมี่กลับไปยัง ปี2024ได้
เจี้ยนเหวินยิ้ม
“ไม่ใช่ตอนนี้มีมี่ ข้าจะรอจนกว่าเจ้ากล้ากว่านี้มาถอดมันด้วยตัวเอง”พริมมี่หน้าแดง
“แหมๆๆๆ ไท่จือท่านพูดแบบนี้ มีความนัยอย่างแน่นอน นางกำนัลมีมี่ต่อไปข้ารับนางในฐานะบุตรีบุญธรรมจะไปจะมาคงลำบากไม่น้อย นางจะต้องได้รับอนุญาตจากข้าเสียก่อน”แค่กุ้ยเฟยยอมรับพริมมี่ในตำแหน่งบุตรีบุญธรรม คนตระกูลถังก็คงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพริมมี่แล้ว
เจี้ยนเหวินยิ้มเย็น
“เจี้ยนเหวินเข้าใจดี นางอยู่ที่นี่ กุ้ยเฟยจึงปกป้องนางได้ แต่กลัวว่าไม่เพียงปกป้องนางจากคนในวังหลวงแต่ พระนางจะส่งนางให้คนที่เป่ยจิงเสียมากกว่าหากเป็นเช่นนั้นเจี้ยนเหวินคงจะต้องขอคนของเจี้ยนเหวินคืน”
“หืมมม พูดได้เต็มปากว่าคนของไท่จือตอนนี้นางเป็นบุตรีบุญธรรมของข้า หากใครจะอ้างสิทธิคงจะต้องถามข้าดูก่อนดีไหม”
“หากเจี้ยนเหวินจะแย่งชิงก็ง่ายดายเพียงนิดเดียว… แต่ในเมื่อมีมี่เจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ข้าก็คงไม่อาจขัด บางทีข้าก็แค่ …เหงาไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ก็แค่ใจหาย หรือก็แค่ จะต้องคิดถึงเจ้าและแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”
น้ำเสียงเศร้าสร้อยจนกุ้ยเฟยอดสงสารเสียไม่ได้
กุ้ยเฟยซุนหนี่ถอนหายใจ
“ไท่จือ ท่านก็คงไร้ทางเลือกเช่นกัน บางที ชาที่ตำหนักเหมยฮวา คงถูกปากไท่จือไม่น้อยเช่นนั้น ในยามบ่ายข้าจะส่งชาไปที่ตำหนักบูรพาโดยให้บุตรีบุญธรรมของข้ามีมี่เป็นคนนำมันไปด้วยตัวเอง”
เจี้ยนเหวินยิ้มกว้าง
“ข้าเจี้ยนเหวินหาใช่คนที่เลือกไท่จือเฟยด้วยตัวเอง หวังว่ากุ้ยเฟยจะเข้าใจในข้อนี้ดี”
กุ้ยเฟยถอนหายใจยาว
“ข้าเองก็หาใช่คนที่ใจร้ายใจดำไม่ และข้าเองก็หาใช่คนที่จะกีดกันคนสองคนที่มีใจให้กันได้ลงคอ”
เจี้ยนเหวินประสานมือตรงหน้า
“ขอบพระทัย พระนางยิ่งแล้ว ต่อไปข้าจะจำใส่ใจว่านาฬิกาพกเรือนนี้ควรติดตัวไว้ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมัน”พริมมี่เผลอยิ้มกับคำพูดของเจี้ยนเหวิน
ยิ่งนับวันเจี้ยนเหวินยิ่งแปรเปลี่ยนไป ในด้านที่ทำให้หัวใจของพริมมี่สั่นไหว หากจะเป็นใครสักคนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็คงกำลังสมน้ำหน้ามีมี่ที่ไม่อาจเคียงข้างครอบครอง โอกาสมีเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำไป หากจากไปจะไม่ห่วงหาอาทรจริงหรือ
“เจ้าอาจไม่รู้สึกอะไรข้าเข้าใจดี แต่ข้าเจี้ยนเหวินไม่อาจสูญเสียเจ้าไป” เจี้ยนเหวินรำพึงรำพัน เบาๆภายใต้แสงจันทร์“ท่านพี่” หรานหราน ทรุดกายลงนั่งข้างๆ“อากาศเย็น เพียงนี้เจ้าออกมาทำไมกัน”หรานหรานวางเสื้อคลุมห่มร่างสูงของเจี้ยนเหวิน“เจ้า ไม่จำเป็นต้องดูแลข้า เพียงนี้ก็ได้ก่อนหน้านั้นข้าก็ไม่เคยมีใครคอยดูแลอยู่แล้ว”“แต่ตอนนี้ท่านพี่มีข้าข้าเป็นไท่จือเฟย หลายเรื่องที่ไม่อาจแบกรับแทนท่านแต่ข้าก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา ข้าก่อนหน้านั้นได้ยินเรื่องของท่านมามากมายเพิ่งจะเห็นกับตาก็วันนี้ ท่านพี่ไร้ญาติขาดมิตรเพียงนี้ หรานหรานจะไม่มีทางปล่อยให้ท่านโดดเดี่ยว”ยิ้มอ่อนโยน เจี้ยนเหวินถอนหายใจมองสบตาหรานหราน นางดีกับเขาเพียงใด แต่ภายในใจเขารู้ดีว่าไม่อาจมีใครมาแทนพริมมี่ได้ พริมมี่แตกต่างจึงดึงดูด“ท่านอาทั้งหลายต่างคาดหวังตำแหน่งไท่จือ ที่หอมหวานไม่หวังมากก็หวังน้อย แต่ทว่าเสด็จปู่กับเลือกข้า พวกเขาจึงตั้งใจโดดเดี่ยวข้าแม้จะร้องขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ ก็คงไม่มีใครอยากจะยื่นมือ พวกเขาคิดว่าข้าโง่งมไม่อาจดูแลหนานจิง และราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ได้”“ท่านพ่อยินดีสนับสนุนท่านพี่ ฝ่าบาทเองตั้งใจให้เรา
ตำหนักบูรพา“ท่านพี่ไม่ได้กลับมาที่ตำหนักบูรพาเมื่อคืน เจ้า คิดว่าฝ่าบาทคงอาการทรุดหนัก”“ไม่เพคะ คนของเรา บอกเล่าเรื่องราวที่ตำหนักฝ่าบาทว่า ไท่จือกับนางกำนัลมีมี่สวมกอดกันราวกับถวิลหากันยิ่งนัก ไม่อายฟ้าดินและไม่สนใจว่าฝ่าบาทกำลังประชวร”“เหลวไหลเจ้าเอาเรื่องโป้ปดใดกันมาพูดให้ข้าฟัง”“ไท่จือเฟยเพคะ มิใช่แค่เห็นเพียงตาเดียวแต่เห็นกันหลายคนไม่อายนรกสวรรค์เป็นนางที่โอบกอดไท่จือต่อหน้าองครักษ์มากมายที่ไปถวายการอารักขาฝ่าบาท”“ไปตำหนักเหมยฮวา”หรานหราน ส่งเสียงลอดไรฟันพริมมี่ เดินใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งเลาะเล็ม กิ่งบอนไซต้นสนหิมะด้วยความเพลิดเพลิน“ไท่จือเฟยเสด็จจจจจจ”เสียงขันทีขานดังๆ พริมมี่ถอนหายใจกุ้ยเฟยเสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาท ป่านนี้ยังไม่กลับรีบวิ่งไปรับหน้าหรานหราน“เจียงมีมี่ถวายพระพรไท่จือเฟย”หรานหรานหลุบตามองร่างบางที่ย่อกายลงก่อนจะมองไปที่สร้อยทองที่แขวนนาฬิกาพกดวงตาวาวโรจน์“เมื่อคืนไท่จือมาที่นี่หรือไม่”“ไท่จือเมื่อคืนอยู่ที่ตำหนักใหญ่ของฝ่าบาททั้งคืนรวมทั้ง กุ้ยเฟยและพระสนมเอก”“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าไปพักเสียเถิดข้าแค่แวะมาที่นี่คิดว่าไท่จืออยู่ที่นี่”น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้มีท่าท
พระบรมศพถูกตั้งอยู่ที่สุสานหลวงหมิงเซียวเชิงเขาจื่อจินซาน ชานเมืองหนานจิง“ น้องสี่ เจี้ยนเหวินฮ่องเต้ทำอย่างนี้เท่ากับกีดกันพวกเราไม่ให้เราเฝ้าถวายความสักการะพระบรมศพของหวงไท่ซ่าง จะถูกจะผิดเราทั้งหมดก็เป็นองค์ชาย ทำเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นพวกเราสำคัญ”องค์ชายรองฟ่านลู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน“พี่รองความจริงพวกเราก็ผิดที่คิดโดดเดี่ยวเจี้ยนเหวินตั้งแต่ต้น เขาเองส่งม้าเร็วเรื่องอาการป่วยของหวงไท่ซ่างที่ย่ำแย่ แต่พวกเรากลับเมินเฉยเสีย”“แต่ถึงกลับไม่ให้เข้าถวายความเคารพพระบรมศพ ไม่เกินไปหน่อยหรือในเมื่อนี่ก็คือครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบเสด็จพ่อ”“เช่นนั้นก็แค่ ฝืนบัญชาของเจี้ยนเหวินฮ่องเต้เสีย ไปพร้อมกันที่วังหลวงถึงเวลานั้น เจี้ยนเหวินอาจไม่กล้า ทำการรุนแรงใดๆ”องค์ชายห้าจ้านกวงผู้มุทะลุ ออกความเห็น“มีบัญชาออกมาเพียงนั้นตอนนี้องครักษ์เกราะทองเชื่อฟังบัญชาของเจี้ยนเหวิน อีกทั้งยังมีแปดกองธง และเหล่าขุนนางในราชสำนัก870คน ที่ล้วนแต่เชื่อฟังและส่งเสริมเจี้ยนเหวินด้วยกันทั้งนั้น เจ้าสี่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับเจี้ยนเหวินฮ่องเต้จึงพอจะพูดคุยกันได้ เราทั้งหมดไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู พ่อตายไม่
พริมมี่หูอื้อตาลายทั้งตกตะลึง คาดไม่ถึงตำแหน่งสูงส่ง เป็นเขาที่ยอมยกให้กับพริมมี่เชียวหรือ เจี้ยนเหวิน กุมมือก้มลงกดจมูกโด่งลงบนแก้มนุ่ม“แต่งงานกับข้าได้ไหม”ร่างบางถูกกระชากด้วยแรงทั้งหมดของหรานหราน พริมมี่ล้มลงไปกองกับพื้น เจี้ยนเหวินเข้ามาขวางไว้“ถังหรานหราน เจ้าจะเกินไปแล้วนะ”“ฝ่าบาท กล้าแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา ข้าก็จะให้ท่านพ่อโน้มน้าวขุนนางทั้ง870ถวายฎีกาเรื่องนี้”“เจ้ากล้ากดดันข้าหรือ”พริมมี่หลับตาลงช้าๆ“ฝ่าบาท ข้า ข้าตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาท มาหลายวันแล้วข้าตกลงใจ ที่จะไปอยู่ที่เปยจิงกับ เอี้ยนอ๋องจูตี้”เจี้ยนเหวินหันมามอง พริมมี่ด้วยสายตาไม่เชื่อถือ“ข้าไม่เชื่อเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าจะไปอยู่กับเอี้ยนอ๋องตั้งแต่แรกทำไมเจ้าจึงยอมปฏิเสธท่านอาสี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”“นั่นเพราะข้ายังไม่รู้ใจตัวเองมาบัดนี้ข้ารู้แล้วว่า ฝ่าบาทไม่อาจปกป้องข้าได้ข้าเป็นชายาอ๋องเอี้ยนอ๋องจูตี้อย่างไรก็มีแค่สอง แต่ที่นี่ฝ่าบาทสนมนางในนับไม่ถ้วนข้าเบื่อที่จะเป็นรองและเบื่อที่จะต้องรบรากับบรรดาคนของฝ่าบาท”“ข้ายินดีปกป้องเจ้า มีมี่ได้โปรด”“ฝ่าบาท นาง ไม่ได้ภักดีต่อฝ่าบาทอย่างแท้จริงเห็นได้ชัดว่านางมีทา
พริมมี่ยิ้มบางๆเอี้ยนอ๋องโดดเด่นในทุกทางมีคนนับหน้าถือตาอีกทั้งยังองอาจเข้มแข็งนั่นจึงทำให้ หลายคนคิดว่าเขายืนหยัดเพียงลำพังได้ และบางคนยังคิดว่าเขาคือที่พึ่ง ผิดกับเจี้ยนเหวินที่หลายคนมองเขาเป็นเพียงลูกไล่ คนที่อยู่สูงกว่าเขาอย่างไท่ซ่างหวงจึงอดที่จะสงสารเขาไม่ได้ แต่พริมมี่กลับรู้สึกว่า เจี้ยนเหวินยังโดดเดี่ยวเหน็บหนาว แม้จะมีคนแวดล้อมมากมายในตอนนี้“ท่านอ๋องท่านโกรธฝ่าบาทหรือไม่ ที่มีบัญชาเช่นนั้น”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจยาว พริมมี่ตั้งตารอคอยคำตอบ อย่างที่สุด ความสัมพันธ์ที่ดีของเจี้ยนเหวินและเอี้ยนอ๋องที่พริมมี่ไม่อยากให้ขาดสะบั้นบางที่ช่วงเวลาสามปีที่กำลังจะมาถึงอาจทำให้เอี้ยนอ๋องเปลี่ยนใจ ไม่ ทำร้ายทำลายเจี้ยนเหวิน พริมมี่จำถ้อยความในวิกิพิเดียได้ติดตา วันที่สวรรคตของเจี้ยนเหวินคือ13กรกฎาคมค.ศ1402อายุได้24ปีบางข้อมูลก็ระบุว่าเจี้ยนเหวินหายตัวไปไม่มีใครพบศพ และ39ปีหลังจากนั้นในรัชศกจ้งถ่งมีคนพบพระภิกษุชราที่คาดว่าเป็น เจี้ยนเหวินนั่นเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครต้องตายจากไป แม้แต่หรานหรานพริมมี่ก็ตั้งใจจะช่วยนาง ในเมื่อพริมมี่มีเรื่องราวทุกอย่างอยู่ในกำมือ หากใครสักคนจะเปลี่ยนใจเอี้
พริมมี่ยิ้มกว้าง กระโดดกอดรอบลำคอของเอี้ยนอ๋อง“ขอบคุณท่านอ๋องที่สุด”ปักกิ่งในตอนนี้“คุณชายซุนขอรับ ป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน มานั่งเฝ้าคุณหนูพริมมี่ต้้งแต่เช้าสุขภาพจะแย่เอาได้นะครับ”คุณปู่ซุน ที่เดินเข้ามาในห้องสีขาวสะอาดตาที่มีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขนข้างซ้ายของพริมมี่“หนึ่งวันผ่านไปแล้วป่านนี้นางคงกำลัง สนุก แอบกังวลไม่น้อยว่านางจะไขว้เขว หลงรักอาสี่ที่องอาจของข้าเสีย”พูดไปยิ้มไป“คุณชายขอรับ คุณพริมมี่เธอเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นหากว่าคุณชายในตอนนั้นไม่ทำให้เธอต้องถอดใจ กระผมเชื่อว่าเธอจะต้องมีใจเดียวแน่นอนขอรับ”ซุนจูยิ้ม“ข้าเชื่อใจนางเชื่อว่านางมีข้าเพียงคนเดียว”ปู่ซุนยิ้มกว้าง“เรื่องที่ให้ไปทำสำเร็จหรือยัง”“ขอรับ กระผมโอนสินทรัพย์บางส่วนของคุณชายให้กับคุณพริมมี่เรียบร้อยแล้ว และอีกอย่างวันนี้กระผมนำดอกไม้ไปวางที่สุสานของจักรพรรดิหมิงไท่จูเรียบร้อยตามบัญชาแล้วขอรับ”“ดีมาก หลายร้อยปีที่ข้าตั้งตารอนางกลับมา ตั้งแต่ครั้งที่นางจากไปจนมาถึงวันนี้ยังไม่ได้พูดคุยให้หายคิดถึง”“อีกสองวันขอรับ รอมาตั้งหกร้อยกว่าปียังรอได้ นี่อีกแค่สองวันขอรับ”ซุนจูถอนหายใจยาว“กลัวว่าหากกลับมาแล้วพบว่า
ก้าวเดินกลับไปยังตำหนักเหมยฮวา“สำเร็จหรือไม่”ซุนหนี่เอ่ยปาก“มีมี่คิดว่าคงไม่เกินกำลังของหนานจิง เรามีเครื่องเคลือบและแพรพรรรงดงาม ต่างชาติยินดีแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว”“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเหตุใดต้องให้ใช้ปืนไฟ”พริมมี่ ยิ้มบางๆก็ในประวัติศาสตร์ ทัพของเอี้ยนอ๋องพ่ายแพ้ให้กับทัพของเจี้ยนเหวินที่มีปืนไฟในกองทัพ“คนของหนานจิงมีน้อยกว่า คนของเหล่าท่านอ๋องและองค์ชาย มัวแต่ใช้กระบี่หรือดาบเกรงว่าจะพ่ายแพ้ให้กับเหล่าทหารที่ผ่านการรบสมัครสมานมากับเอี้ยนอ๋องที่นำทัพเคียงบ่าเคียงไหล่จนเหล่าทหารต่างเชื่อมั่นในตัวของเอี้ยนอ๋อง”“อืมม กลยุทธ์เช่นนี้ไม่น่าเป็นสตรีที่คิดได้ เจ้าเป็นใครกันมีมี่จึงมีทั้งวิชาการแพทย์และกลยุทธ์ในการรบ”“มีมี่ก็แค่คนที่หลงมาแล้วก็ชอบกินขนมเฉียวกั่วก็เท่านั้น”หยิบขนมเฉียวกั่วใส่ปากเคี้ยว“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเจ้ากินขนมเฉียวกั่วจึงฉลาดเฉลียวเกินหญิงอื่นเพียงนี้”พริมมี่ยิ้ม“มีมี่ก็แค่คาดการณ์”จะบอกว่ามาจากอนาคต พระนางซุนหนี่ก็ไม่เชื่อและอาจหาว่า พริมมี่บ้าไปแล้วแน่ๆ“เอี้ยนอ๋องแอบมาถวายบังคมพระบรมศพของไท่ซ่างหวง ข้าขอร้องเขาเรื่องที่จะยกทัพมาที่นี่ตอนนี้ฮ่องเต้แม้จะรู้ว่าเกิดอ
ก่อนหน้านั้น“อาสี่ นางอยู่ตรงนั้น”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้าง พยักเพยิดให้เอี้ยนอ๋องจูตี้ที่มีท่าทีเฉยชามองไปที่มีมี่นางในหอซักล้างที่เอาเวลาว่างนำพาตัวของนางให้มาอยู่ในสายตาของทั้งสองคน จิ้งเหอส่ายหน้าสุ่ยหลีถอนหายใจยาว รู้ดีว่านั้นคือแผนการของเจียงมีมี่นางมักใหญ่ใฝ่สูงตั้งแต่แรกที่เข้ามาในวังหลวง“เจ้าเอาแต่มองนางนางจะต้อง รู้ว่าเจ้าเห็นนาง”“อาสี่แล้วจะทำอย่างไรดีเจี้ยนเหวินโง่งมอีกแล้ว”“นิ่งไว้เสีย เจ้าร้อนรนเพียงนี้ทำให่ข้าอดคิดไม่ได้ว่าหลานชายข้าแอบมีใจให้นางในคนนั้นเสียแล้ว”เจี้ยนหวินยิ้มอายๆใบหน้าสดใสน่าเอ็นดูไม่น้อยไร้ซึ่งรอยทุกข์ตรมเหมือนในปัจจุบัน“ท่านอาสี่อย่าล้อข้าเล่น ข้าก็เห็นว่าอาสี่เองก็มองนาง บางทีตำแหน่งชายารองของท่านอาจเป็นนาง เจี้ยนเหวินแค่เห็นว่านางน่าเอ็นดูอีกทั้งยังตามพวกเราเหมือนว่านางว่างเสียเต็มที”“บุตรีใต้เท้าเจียง ขุนนางกรมวัง นางทำหรือไม่บิดานาง นางก็คงพอแก้ต่าง เพราะบิดานางดูแลเหล่านางในอยู่แล้ว”“อาสี่ท่านอย่าพูดเรื่องอื่น เอาเรื่องนี้ก่อน ท่านชอบนางไหม”ร่างอ้อนแอ้นของเจียงมีมี่เดินก้มหน้ามาสวนทางกับคนทั้งสองแล้วทำทีสะดุดล้มลงก่อนที่ ทั้งสองอาหลานต่างคว
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ