บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อ
โจวหมิงเจ๋อลงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นเดิมอย่างที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต กลิ่นคาวเลือดของสาวแรกรุ่นยังกรุ่นขึ้นกระทบนาสิกเนือง ๆ ยิ่งเกิดอาการซ่านในทรวงอก
ไม่ว่าตำราเก่าแก่โบราณสั่งสอนให้สะกดจิตใต้สำนึกไว้เพียงไร ทว่าโจวหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจ เขาถือว่าการเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด หากร่างกายต้องการย่อมต้องปลดปล่อย
“นายท่าน”
เสียงเฉียนฟานหยุดเขาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินขึ้นถึงชั้นสาม ชีพจรรัวกระหน่ำสะกดด้วยยุทธิ์ลมปรารณ หลับตานิ่งกำหนดจุดหันกายไปยังคนสนิท
“ทางคุณหนูฮุ่ยหรูได้นำขบวนสินสอดยิ่งตี้มาด้วยขอรับ”
“อืม”
“เพียงแต่ว่า ...” เฉียนฟานอึ้งไปครู่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี
“อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง เจ้ารู้นิสัยข้าดี”
“ขอรับ ขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกยิ่งทั้งชายหญิงล้วนนับรวมได้เกือบร้อยคน”
“ร้อยคนเชียวหรือ”
“ทางตระกูลฮุ่ยไม่ได้แจ้งข่าวล่วงหน้า ทำให้เรือนนอนไม่พอ คืนนี้จึงจัดให้นอนเรือนเล็กด้านหลังกันไปก่อน”
โจวหมิงเจ๋อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้นสาม เสียงฝนพรำตั้งแต่ยามซวี[1] อากาศหนาวลมเหนือระลอกแรกพัดเหนือยอดหลังคาปูนปั้นเสือในทุกเช้า
“แล้วฟูกนอน ผ้าห่ม”
“ไม่เพียงพอขอรับ”
“พรุ่งนี้จัดการแบ่งยิ่งตี้ชาย คัดเพียงชายฉกรรจ์แข็งแรงใช้งานได้ไว้ทำงานหนักยี่สิบคน ส่งขึ้นเขาเฝ้ากองโจร ส่วนพวกบอบบางคัดหน้าตาไว้เพียงห้าคน ให้ย้ายไปยังจวนรองสำหรับรับรองแขก”
“แล้วยิ่งตี้หญิง”
“คัดหน้าตาดีไม่เกินสิบหกปีสิบห้าคน ย้ายไปยังจวนเดียวกับยิ่งตี้ชาย ที่เหลือขายทิ้งโรงคณิกาให้หมด”
“ขอรับ”
“อีกเรื่องเฉียนฟาน วังหลวงส่งคนมาแจ้งนัดวันรับตัวองค์หญิงแคว้นฉี อีกสามวันเจ้าจงเตรียมคนให้พร้อม งานนี้ข้าจะลงมือด้วยตนเอง”
“ขอรับ”
โจวหมิงเจ๋อสะบัดมือไล่ คราแรกตั้งใจไปเยี่ยมเยียนอวี้เจียวอีกสักคราตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่ถูกปลุกขึ้นจากการร่วมหอ ทำหน้าที่ตามประเพณีของตระกูลโจว
ฮุ่ยหรู ลูกสะใภ้ร่างเล็กบอบบางวัยเพียงสิบห้า มิใช่สตรีที่น่าอภิรมย์สำหรับโจวหมิงเจ๋อ
เจ้าสำนักตระกูลโจวพาร่างสูงใหญ่เคลื่อนตัวออกนอกระเบียงเพื่อระบายความอึดอัดภายใน กลิ่นเลือดบนฝ่ามือแม้เจือจางแต่ยังได้กระทบนาสิกเนือง ๆ ทอดสายตาลงเบื้องล่างป่าไผ่ด้านหลังหอสูง
สำนักคุ้มภัยแห่งนี้ถือกำเนิดมาหลายชั่วอายุคน คุ้มกันภัยสิ่งของ คน รวมถึงร้านค้าในเมือง ทุกหัวระแหงต่างไหว้วานใช้บริการตระกูลโจวช่วยคุ้มครอง ยามนี้บ้านเมืองยังมีภัยกบฏภูเขา ทั้งศึกหูเป่ย และยังแคว้นฉีแม้ว่ามีท่าทีอ่อนลง ยอมส่งองค์หญิงมาเชื่อมสัมพันธไมตรี
ใกล้หน้าหนาวเต็มทนคงอีกไม่นาน พื้นด้านล่างจะเต็มไปด้วยหิมะจนขาวโพลน รวมไปถึงหอสูง
โจวหมิงเจ๋อยืนนิ่งทอดสายตาไม่นานพลันสะดุดตาเข้ากับร่างเล็กคล้ายสัตว์เมื่อมองจากมุมสูงบนระเบียง เสียแต่ว่าสัตว์สองตัวนั้นวิ่งเร็วทั้งสวมใส่ชุดเซินอี[2]สีน้ำตาลตุ่น อีกคนคล้ายแต่งกายดีกว่าตัวเนื้อผ้าสีอ่อนมีลวดลาย
ทั้งสองนางพากันลัดเลาะวิ่งเข้าไปในป่าไผ่ก่อนทะลุออกตรงไปทางเรือนหลังเล็กท้ายจวน - - นางเป็นพวกยิ่งตี้
สำนักคุ้มภัยแห่งนี้ยามปกติมีคนเดินยามป้องกันภัยแน่นหนา หากแต่ค่ำนี้ถูกปล่อยปละละเลยเนื่องจากแขกเหรื่อจำนวนมากเป็นชนชั้นสูง เขาหันหลังกลับเข้าไปยังภายในโถงหอ
“เฉียนฟาน”
โจวหมิงเจ๋อเอ่ยเรียกเสียงเบา ด้วยตระหนักดีว่าองครักษ์คนสนิทไม่เคยห่างกาย
“วันพรุ่ง ข้าจะคัดเลือกยิ่งตี้ด้วยตนเอง”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก”
เฉียนฟานใคร่แปลกใจแต่ยังทำสีหน้าเรียบเฉยขณะเดินตามท่านเจ้าสำนักขึ้นไปยังชั้นเก้า ชั้นสูงสุดของเสวี่ยจงโหลว โดยไม่แวะห้องของอวี้เจียวในชั้นที่ห้าอย่างที่ตัวเขาคาดการไว้ก่อนหน้า
โครมคราม เกร้ง!!
“ตื่น ตื่น”
ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งพรวดตื่นลืมตาเบิกกว้าง เมื่อมีเสียงเคาะเหล็กดังอยู่ด้านนอกเรือนเล็ก รวมไปถึงบรรดายิ่งตี้ที่เหลือต่างพากันแตกตื่นตกใจ คิดว่าเกิดเรื่อง รีบจัดแจงลุกยืนอลหม่านวิ่งวนชนกัน บ้างล้ม บ้างหวีดร้อง
“พี่หลินเอ๋อร์”
“เจ้าไม่ต้องตกใจ” นางจับมือเด็กสาวไว้แน่นพากันลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอก จึงเห็นคนของสำนักคุ้มกันภัยราวยี่สิบกว่าคน เรียงแถวเป็นระเบียบ เพียงแต่ผู้ที่ยืนตรงกลางเป็นสตรีหญิงอาวุโสอายุราวปลายสามสิบเห็นจะได้
“พวกเจ้าเมื่อลุกแล้วให้ล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นตั้งแถวเรียงห้าคน”
ไป๋หลินเอ๋อร์มองหน้ากันกับหญิงอื่น ในบรรดายิ่งตี้ที่นำมามีทั้งญาติสนิทและสาวรับใช้ปะปนกันไป ดังนั้นสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งก้าวออกมายืนตรงหน้าพูดด้วยเสียงอันดัง
“ข้าฮุ่ยฟาง เป็นญาติสนิทสายรองของฮุ่ยหรู เจ้าสาวของท่าน โจวจางหมิ่น เดิมแต่แรกมิสมควรให้ข้าพักที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยเมื่อวานข้าเห็นว่าที่ตระกูลโจววุ่นวายนักจึงไม่ได้ซักไซ้ถาม ทำตามที่พวกเจ้าประสงค์ แต่เช้านี้ ปลุกข้าขึ้นมาตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง สั่งด้วยน้ำเสียงกรรโชกโฮกฮาก ไร้มารยาท ข้าขอถามกลับสักคำ เจ้าเป็นใครกัน”
ไป๋หลินเอ๋อร์ลอบถอนหายใจ พูดมาเสียยืดยาวอุตส่าห์ตั้งใจฟัง ที่แท้คำถามคือคำสุดท้าย
“ข้าชื่อจื่อลี่ คนที่สำนักเรียกข้าว่าป้าลี่ เป็นผู้ดูแลพวกเจ้า และคนรับใช้ส่วนล่าง ที่สำนักคุ้มภัยจัดการด้วยระบบระเบียบเข้มงวด แบ่งระดับออกเป็นทั้งสิ้นสามระดับ คนรับใช้ล่างสุด ทำงานระดับล่าง ถางป่า ทำสวน ขุดส้วม ซักผ้า งานครัว สวมเสื้อสีน้ำตาลเข้ม”
ป้าลี่หยุดพูดแล้วเดินวนรอบฮุ่ยฟางมองนางหัวจดเท้าแล้วหัวร่อ
“อย่างเจ้าไม่ว่าเป็นคุณหนูร่ำรวยอย่างไร มาในฐานะยิ่งตี้ สินสอดเจ้าบ่าวก็เทียบเท่าคนรับใช้” นางหยุดเดินแล้วหันกลับมาตรง ๆ
“ส่วนคนรับใช้ระดับกลางทำงานอยู่ในเสวี่ยจงโหลวหรือหอเก้าชั้น ไม่ว่าปัดกวาดเช็ดถู ดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อาหาร น้ำร้อน สวมเสื้อสีน้ำตาลอ่อน ผู้ดูแลคือแม่นางชางซิงเยียน คนสนิทนายท่าน พวกเจ้าต้องเรียกนางว่านายน้อยหญิง ส่วนนายน้อยโจวจางหมิ่นให้เรียกนายน้อย”
“แล้วอีกระดับคือใครกัน” ไป๋หลินเอ๋อร์ถามขัดขึ้นทันทีเมื่อป้าลี่เงียบเสียงไปนาน
“ระดับบนเป็นคนของสำนักคุ้มกันภัย ซึ่งการแบ่งระดับนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ รู้เพียงว่าท่านเฉียนฟานเป็นผู้ดูแล สำนักเราเข้มงวดนัก นายใหญ่ชื่นชอบความเงียบ หากไม่มีเรื่องห้ามส่งเสียง ยกเว้นในส่วนของลานฝึกด้านขวาสุด ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม คนที่มีสิทธิ์เข้าคือคนของสำนักคุ้มกันภัยเท่านั้น”
ป้าลี่ทำท่าปากมากแต่มีบุรุษหนึ่งเดินมาทีหลัง เพียงป้าลี่เห็นพลันหน้าซีดลงรีบเอ่ยปากไล่
“ในเมื่อรู้เรื่องชัดแจ้งรีบกลับไปล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมายืนหน้ากระดาน”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีหลังสิ้นเสียงป้าลี่ บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่วิ่งวุ่น น้ำมีให้ล้างหน้าไม่พอเพียง จึงแย่งกันกระชากถังน้ำมาเป็นของตน บ้างวิ่งชนสิ่งของจนน่าขัน
“ฮะ ฮ่า นี่มันช่างน่าดูยิ่งนัก จริงไหมจางอวี้ เรารอให้พวกนางเรียบร้อยก่อนค่อยจัดการตัวเองดีกว่า”
“เจ้าค่ะพี่หลินเอ๋อร์”
สองนางพาร่างทอดน่องอ้อยอิ่งเข้าห้องแล้วนั่งลงกับพื้น ไม่ทำอันใดนอกจากมองความโกลาหลด้วยความสนุกยิ่ง
“พี่หลินเอ๋อร์ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเหตุใดจึงเรียกพวกเราลุกแต่เช้ามืด”
“อืม ถ้าให้เดาไม่ผิดคงพาไปทำทะเบียนคัดเลือกล่ะมั้ง”
จางอวี้หันควับมามอง “ท่านพี่ฉลาดนัก”
“พี่เพียงคาดเดา เจ้าดู คนมากขนาดนี้ทั้งหญิงชาย หากไม่คัดแยกว่าใครเป็นใคร หรือทำป้ายชื่อ ลงทะเบียน คงสับสนเป็นแน่”
“อืม ๆ ๆ”
ไป๋หลินเอ๋อร์ยกยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อสาวน้อยหน้าหวานร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
[1] 19.00 - 20.59 น.
[2] เป็นที่นิยมสวมใส่ในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ แบบสวมลงทั้งตัว
บทที่ 5 ท่านเจ้าสำนักเสวี่ยจงขบวนยิ่งตี้มากมายเกือบร้อยชีวิตเดินหน้ากระดานแถวเรียงห้ายาวเหยียดจนน่าขันโจวหมิงเจ๋อมองลงมาจากชั้นเก้าเห็นเพียงกลุ่มคนตัวเล็กดั่งมดตัวน้อยค่อยเดินแถวเป็นระเบียบเข้ามายังเสวี่ยจงโหลว หอเก้าชั้น“เฉียนฟาน เจ้าให้ซิงเยียนจัดการยิ่งตี้ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้แยกไปที่โถงกลาง ตั้งแถวเรียงตามอายุ”“ขอรับ”เขาวางฝ่ามือลงราวกันตก ต้นยามเฉิน[1]แสงอาทิตย์พ้นขอบฟ้ามาได้สักพักแล้วตระกูลฮุ่ยนับว่าเป็นตระกูลดีร่ำรวยมากด้วยร้านค้าแพรพรรณ ทั้งยังที่นา ไม่นับโรงจำนำตั้งอยู่ยังแคว้นฉีเสียดายเพียงตระกูลนี้เป็นตระกูลพ่อค้า คิดสิ่งใดก็คิดดั่งพ่อค้า การจัดขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกก็เพื่อแสดงว่าตนร่ำรวยมหาศาลราวต้องการข่มตระกูลโจวแต่แล้วหางคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อได้เห็นขบวนแปลกประหลาดด้านล่างล้มลงบัดนี้ ขบวนสาวงามยิ่งตี้แยกจากขบวนบุรุษ ทอดยาวหน้ากระดานเรียงห้าตามคำสั่ง ทุกสาวงามล้วนงดงามและดวงหน้าตื่นตระหนก ยิ่งเดินเข้าใกล้หอเสวี่ยจงสูงถึงเก้าชั้น ยิ่งพากันส่งเสียงเซ็งแซ่“เงียบ!!”ป้าลี่ผู้นำขบวนตะวาดเสียงก้อง ยิ่งตี้ทั้งหลายเงียบเสียงเชื่อฟัง ไป๋หลินเอ๋อร์มองเบื้องบนยอดสูงสุดของอ
บทที่ 6 เจ็บแค่นี้คุ้มค่าเพียงสิ้นคำแม่นางน้อยใหญ่อายุเกินสิบห้าปีดวงหน้าซีดเผือดหวีดร้อง บ้างเป็นลม บ้างวิ่งหนีจนคนสำนักคุ้มภัยต้องวิ่งไล่จับเหลือแต่ไป๋หลินเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า ไม่แตกตื่นเช่นคนอื่น มองตรงไปทางนายท่านซึ่งลุกยืนหันหลังเดินจากไปทันทีทำอย่างไรดีไป๋หลินเอ๋อร์ลอบสบตาตื่นตระหนกของจางอวี้ได้ไม่นานพลันถูกคนต้อนให้ออกนอกโถง แยกกันไปคนละทางพวกนางถูกกลุ่มคนต้อนออกมายืนกลางลานหน้าหอสูง ไม่ต้องรอให้พวกนางกลับไปเก็บของ เพราะห่อผ้าทั้งหมดถูกโยนมากลางลาน“ของใครให้หาเอาเอง จากนั้นเข้าแถวเรียงสองคน เดินไปทางประตูใหญ่”แต่ละนางก้มเก็บข้าวของของตนเองใบหน้านองน้ำตา ร้องไห้กระซิกสะอื้น ถูกนำมาเป็นยิ่งตี้สินสอดเจ้าบ่าวย่อมต้องเป็นคนของจวนนี้ เขาจะทำเช่นไรกับพวกนางย่อมได้ไป๋หลินเอ๋อร์หยิบห่อผ้าเล็กของตนเองขึ้นมา มีเสื้อผ้าไม่มากนัก นางเป็นเพียงลูกชาวนาแต่งกายธรรมดา หน้าตาแม้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ให้เทียบกับแม่นางน้อยห้องหออยู่เพียงในจวนคงไม่ได้ ซ้ำมือแตกหยาบกร้านนางถูกเลี้ยงมาให้ต่อสู้อดทน ทำงานหนักได้ทุกอย่างดั่งบุรุษ นางไม่มีทางยอมแพ้ จงไห่ยังถูกจองจำอยู่ที่นี่ เป็นตายมิอาจรู้ หากนา
บทที่ 7 ชางซิงเยียนปลายหน้าฝนใกล้หน้าหนาวเช่นนี้ ยิ่งทำให้อากาศยามเช้าเย็นยะเยือก ไป๋หลินเอ๋อร์ขยับเปลือกตาทีละน้อยกระทั่งตื่นเต็มตาในวันรุ่งขึ้น นางยกมือจับศีรษะและจับแผ่นหลังเอี้ยวตัวตะแคงลุกแต่ไร้แรง มองห้องเล็กด้วยความสงสัย“โอ๊ย! เจ็บจัง”“เจ้าอย่าเพิ่งลุกขึ้น”เสียงหวานนุ่มทว่าหางเสียงแข็งเอ่ยสั่งอยู่มุมห้อง ไป๋หลินเอ๋อร์เหลียวมองจึงได้เห็นหญิงนางหนึ่งกำลังนั่งริมหน้าต่างรินชา“ข้า เจ็บ”“สมควรอยู่ที่เจ้าจะเจ็บ นึกอย่างไรกระโดดขวางรถม้าหากไม่ตายคงพิการ”“พิการ!”“โชคยังดีเจ้าไม่เป็นอะไรมาก แต่ไม่รู้ว่าโชคจะเข้าข้างเจ้าได้ถึงเมื่อไร รอนายท่านกลับมาสะสางเจ้าแล้วจะรู้ว่าตายเสียยังดีกว่า”“ท่านพูด ... ขู่ข้า”“ฮึ แล้วแต่เจ้าจะคิด อ๋อ ข้าชื่อชางซิงเยียน เรียกข้าว่านายน้อยหญิง เจ้าล่ะ”“ข้า ไป๋หลินเอ๋อร์”“ไป๋หลินเอ๋อร์ ข้าจะบอกกฎสำนักเสวี่ยจงให้เจ้าฟัง ฟังแล้วจำให้ขึ้นใจ หากเจ้าทำผิดกฎไม่มีใครช่วยเจ้าได้”ไป๋หลินเอ๋อร์มองร่างแม่นางตรงหน้าอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้างดงามราวนางฟ้าแต่ทว่ากร้าวแกร่ง คำพูดคำจายังคล้ายเด็กแต่เมื่อจ้องเข้าไปในนัยน์ตาพบว่าประสบการณ์โชกโชน นางสวมชุดเช่นเดี
บทที่ 8 จางอวี้“จางอวี้”“พี่หลินเอ๋อร์”ไป๋หลินเอ๋อร์ยิ้มอ่อนหวานเมื่อจางอวี้วิ่งตรงมาทางนางทันทีพลางสวมกอด“ข้า ข้านึกว่าพี่โดนขายไปซ่องเสียแล้ว” จางอวี้เป็นคนบ่อน้ำตาตื้น แค่เห็นไป๋หลินเอ๋อร์ก็รื้นชื้นน้ำเต็มสองตาใกล้ไหลเต็มทน“ไม่ต้องร้องไห้ มานั่งก่อน ไม่เจอกันเดือนกว่าเป็นเช่นไรบ้าง”ไป๋หลินเอ๋อร์ดึงตัวจางอวี้ออกห่างแล้วจูงไปนั่งยังสวนกลางเรือนเล็กของยิ่งตี้ ติดกับเรือนหลัก“ข้าสบายดียิ่ง แต่ทำไมพี่ถึงรอดมาได้ พวกเขาลือกันหนาหูว่าคนที่โดนขายไปซ่องครานั้นตายเสียเกือบครึ่งจนข้านั่งภาวนาให้ท่านอยู่หลายวัน”“ตาย!!”“ใช่พี่หลินเอ๋อร์ ซ่องที่ยิ่งตี้ถูกนำไปขายโหดร้ายทารุณ มีแต่พวกทหารรับจ้างและโจรป่า ร่างของพวกนางบอบบางนักมิอาจทานทนต่อแรงชาย ป่วยบาดเจ็บ บ้างปลิดชีพหนีความทรมาน”ไป๋หลินเอ๋อร์นิ่งอึ้งพูดไม่ออก ยิ่งนางอยู่ที่นี่ยิ่งเห็นความโหดร้าย ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเลวร้ายป่าเถื่อนอีกมากขนาดไหน“น่ากลัว”“แต่ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าดีใจยิ่ง”“แล้วเจ้าล่ะจางอวี้ นายน้อยหญิงบอกว่าพวกเจ้ายังไม่ต้องทำอะไร ต้องรอให้ฮูหยินนายน้อยตั้งครรภ์เสียก่อนถึงได้ขึ้นรับใช้”“คงใกล้แล้ว ข้าเห็นท่านหมอ
บทที่ 9 นายท่านครืด...แกร้ง...โจวหมิงเจ๋อลากเก้าอี้ไปใกล้กรงขัง นั่งคร่อมแล้วจ้องมองร่างนักโทษโจรภูเขาดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับสามเดือนก่อน ยิ้มมุมปากคล้ายพอใจ“ดูท่าคุกนี่เหมาะกับเจ้า จงไห่”“ขาก...ถุย!!”ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมถ่มน้ำลายสาดออกเป็นก้อนใหญ่ พ่นหล่นแทบเท้านายท่านสำนักเสวี่ยจง“เจ้า!!” เฉียนฟานตกใจรีบยกมือขึ้นหมายจะฟาดแต่โจวหมิงเจ๋อยกมือห้ามเสียก่อน เฉียนฟานจึงขยับถอยหลังไปเช่นเดิม“คราแรกว่าจะไม่เล่าให้ฟัง แต่ปากข้ามันอดไม่ได้ ฮึ! ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนั้นปากมากยิ่งนัก” เขาหยุดพูดอึดใจ “เจ้ามีคนรัก”โจวหมิงเจ๋อเอนกายพิงพนักพอใจยามเห็นสีหน้านักโทษเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคาดว่ามาถูกทางแล้ว“ชื่อจงไห่ในแผ่นดินแคว้นฉินมีน้อยนัก หมู่บ้านที่เจ้าอยู่ติดเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลเลย ครอบครัวเจ้าตายหมดเหลือเพียงลุงและป้า ซึ่งไม่ได้ไยดีเจ้าสักเท่าไร ฉะนั้นสำหรับข้าแล้ว เจ้าถือว่าไม่มีค่า”โจวหมิงเจ๋อเพิ่มความกวนอารมณ์นักโทษด้วยการยกขาพาดหัวเข่าซ้ายไว้เอนกาย มือถือแส้ม้าลูบเล่นขณะเอ่ยเสียงกระเซ้า“เฉียนฟาน ข้าพูดมากเกินไป ขอน้ำชา”เจ้าสำนักนอกจากเป็นคนเย็นชา เฉียบคม โหดร้าย ในบางคราวมักมีอา
บทที่ 10 ปลางับเหยื่อไป๋หลินเอ๋อร์มิรู้แน่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในห้องเจ้าสำนักเสวี่ยจง ร่างของนางสะดุ้งขึ้นทุกครายามได้ยินเสียงกระทบสิ่งของบางอย่างและเสียงหวีดร้องของอวี้เจียว ประหนึ่งแม่นางร่างอ้อนแอ้นกำลังถูกนายท่านลงโทษ เพียงแต่เสียงหวีดร้องครวญครางดั่งเสียงหญิงสาวถูกเล้าโลมด้วยชายคนรักนางคิดว่าพวงแก้มตนเองคงแดงก่ำเพราะความรู้สึกร้อนผ่าวลวกลามถึงใบหูยามนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มลับขอบฟ้า ไม่ทันมืดลงแต่การลงโทษของสองหนุ่มสาวบนชั้นเก้ายังดำเนินต่อราวไม่วันสิ้นสุดนางมองลอดประตูชั้นห้าว่างเปล่าไร้ผู้คน นั่นคงเพราะชางซิงเยียนเองมิอาจทนเสียงนั่นได้เช่นกันนางเดินกลับไปหยิบหญ้าท้องเสีย สมุนไพรที่น้อยคนนักจะรู้จัก หากแต่นางเป็นชาวบ้าน การหาของป่าขายเลี้ยงหยั่งชีพทำให้นางรู้จักสมุนไพรหลายชนิดไป๋หลินเอ๋อร์แอบลอบเด็ดมาเมื่อตอนนอนเล่นหมากกระดานกับจางอวี้ หย่อนใส่กาน้ำชาแล้วจึงตั้งไฟน้อยในห้องอุ่นกา เม็ดเหงื่อหยดลงโต๊ะไม้ ดวงตาไหวระริกตื่นเต้นทั้งหวาดกลัวโดนจับได้อันที่จริงสมุนไพรชนิดนี้จำต้องใช้ไฟแรงเคี่ยวนานเสียหน่อยจึงจักได้ผลดี นางไม่เคยทำด้วยวิธีนี้มาก่อน ไฟอ่อนและใช้เวลาไม่นาน หากไม่ส
บทที่ 11 สามสิ่งที่เกลียด“นางลงมาด้านล่างกำลังหาวิธีดึงโซ่ตรวนออก เจ้าพวกด้านนอกพยายามรั้งนางไว้แต่พลาดจนนางล้มลงหัวฟาดพื้นสลบไปเองขอรับ” เฉียนฟานรายงานอย่างรู้ใจก่อนขยับหลบไปด้านหลังสองก้าว“เอาน้ำสาด”ตัวเขาเฉียนฟานพอรับรู้มาบ้างว่าแม่นางน้อยเป็นคนดี จึงชะงักงันไปจะขยับตัวหยิบถังน้ำกลับไม่ทำ จะหันไปหาท่านเจ้าสำนักก็กลัว“เฉียนฟาน” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น เพียงเท่านั้นเฉียนฟานถึงกับสะดุ้งก้มลงหยิบถังน้ำเย็นสาดเข้าที่ดวงหน้างดงามของยิ่งตี้สาวรอยยิ้มหยันมุมปากผุดขึ้นขณะค่อยนั่งลงยังเก้าอี้กลางห้อง ปลดกระบี่วางโต๊ะเล็กแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ เพ่งพิศดวงหน้าหวานงดงามอย่างสาวชาวบ้านสะดุ้งเฮือกเบิกตากว้างโจวหมิงเจ๋อกำจอกชาแน่นจนขึ้นเอ็นปูด ขณะจ้องเข้าไปยังดวงตาดอกท้อ แม้ไม่งามซึ้งรื้นน้ำตาดั่งหญิงสูงศักดิ์ แต่เขากลับพบว่าดวงตาคู่นี้กำลังทำเขาปั่นป่วนทั้ง ๆ ที่ตัวเขายังไม่ทันได้ลงมือทรมาน จิตวิญญาณที่เคยกล้าแกร่งถูกกระชากจนต้องยืดแผ่นหลังเหยียดตรง“แค่ก ๆ อืออ อะไรกัน”ไป๋หลินเอ๋อร์ขยับเปลือกตางุนงง สลัดหยดน้ำออกจากใบหน้า เจ็บร้าวข้อมือเพราะโซ่ตรวนเหล็กโยงนางมัดกับขื่อคานด้านบน เท้าลอยไม่ติ
บทที่ 12 จงไห่โจวหมิงเจ๋อหอบหายใจชีพจรรัวแรง ผละร่างออกห่างหลุบตามองด้ามกระบี่ “เจ้าเลือดออกแล้ว”ไป๋หลินเอ๋อร์ตาเบิกโพลง ท่านเจ้าสำนักยกสันด้ามขึ้นหาปากขยับปลายลิ้นชิมรสชาติโลหิตนาง“ทะ ท่าน ... ท่านมันปีศาจร้าย” นางส่งเสียงกระท่อนกระแท่นหวาดกลัว เหลือบไปทางจงไห่กำลังฟื้นขึ้นมาแล้ว “จงไห่ จงไห่”“คนรักเจ้าฟื้นแล้ว ดียิ่ง” โจวหมิงเจ๋อขยับร่างออกเก็บกระบี่เข้าฝัก พาร่างสูงใหญ่กลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม เฝ้ามองคนรักสองคนที่ส่งสายตาห่วงหาอาลัยให้แก่กันหนึ่งหนุ่มดวงตาเบิกกว้างตระหนกตกใจระคนตื่นกลัว ตวัดตากลับมายังโจวหมิงเจ๋อ ส่วนหนึ่งสาวแม้ดูท่าทีต้องการช่วยเหลือคนรัก แต่มองไปแล้วไม่ใคร่มีความรักให้มากพอเท่าคนหนุ่ม“พวกเจ้าตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นคนบอกที่ซ่อน ทางขึ้นซ่องโจรภูเขา” โจวหมิงเจ๋อเป่าชารอจังหวะ“จงไห่ ที่เจ้าชาติชั่วผู้นี้พูดมาคือเรื่องอะไร เจ้าเป็นโจรป่าเช่นนั้นหรือ”“หลินเอ๋อร์ ข้า เหตุใดเจ้าถึงโดนจับมาได้”“ข้าลอบเข้ามากับขบวนยิ่งตี้ เพื่อมาตามหาท่าน ข้าไม่รู้ว่าท่านโดนจับมาด้วยเรื่องอะไร”“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้หลินเอ๋อร์!!” น้ำเสียงจงไห่ร้อนรนแหบพร่าคล้ายหมดสิ
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด