บทที่ 10 ปลางับเหยื่อ
ไป๋หลินเอ๋อร์มิรู้แน่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในห้องเจ้าสำนักเสวี่ยจง ร่างของนางสะดุ้งขึ้นทุกครายามได้ยินเสียงกระทบสิ่งของบางอย่างและเสียงหวีดร้องของอวี้เจียว ประหนึ่งแม่นางร่างอ้อนแอ้นกำลังถูกนายท่านลงโทษ เพียงแต่เสียงหวีดร้องครวญครางดั่งเสียงหญิงสาวถูกเล้าโลมด้วยชายคนรัก
นางคิดว่าพวงแก้มตนเองคงแดงก่ำเพราะความรู้สึกร้อนผ่าวลวกลามถึงใบหู
ยามนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มลับขอบฟ้า ไม่ทันมืดลงแต่การลงโทษของสองหนุ่มสาวบนชั้นเก้ายังดำเนินต่อราวไม่วันสิ้นสุด
นางมองลอดประตูชั้นห้าว่างเปล่าไร้ผู้คน นั่นคงเพราะชางซิงเยียนเองมิอาจทนเสียงนั่นได้เช่นกัน
นางเดินกลับไปหยิบหญ้าท้องเสีย สมุนไพรที่น้อยคนนักจะรู้จัก หากแต่นางเป็นชาวบ้าน การหาของป่าขายเลี้ยงหยั่งชีพทำให้นางรู้จักสมุนไพรหลายชนิด
ไป๋หลินเอ๋อร์แอบลอบเด็ดมาเมื่อตอนนอนเล่นหมากกระดานกับจางอวี้ หย่อนใส่กาน้ำชาแล้วจึงตั้งไฟน้อยในห้องอุ่นกา เม็ดเหงื่อหยดลงโต๊ะไม้ ดวงตาไหวระริกตื่นเต้นทั้งหวาดกลัวโดนจับได้
อันที่จริงสมุนไพรชนิดนี้จำต้องใช้ไฟแรงเคี่ยวนานเสียหน่อยจึงจักได้ผลดี นางไม่เคยทำด้วยวิธีนี้มาก่อน ไฟอ่อนและใช้เวลาไม่นาน หากไม่สำเร็จนางอาจช่วยจงไห่ไม่ทันการ
เหลือบสายตามองความมืดกำลังโรยตัวลงมากระทั่งมืดสนิท เสียงคนเดินยามผลัดเปลี่ยนเวรและเสียงจุดโคมไฟตามหัวมุมเสา เสียงชั้นเก้าเงียบงันลงแล้ว นางจึงดับไฟในกาแล้วนำไปราดบนขนมทำจากข้าวเหนียวยัดไส้แล้วนำไปปิ้ง ซึ่งนางเป็นผู้ลงมือทำเองกับมือเมื่อวานนี้แล้วแอบเก็บไว้เล็กน้อย รอให้น้ำชาซึมเข้าไม่มากแล้วยกขึ้นดม
“ไม่ค่อยมีกลิ่นเท่าไร น่าจะใช้ได้”
ไป๋หลินเอ๋อร์ถือจานออกมาด้านนอก มองซ้ายขวาจนทั่วแล้วลงบันได อมยิ้มที่วันนี้ทางสะดวก ต้องยกความดีความชอบให้นายท่าน ลงแรงร่วมเตียงเสียนานจนเด็กในหอเสวี่ยจงแตกกระเจิง
นางพาร่างระหงในรูปแบบเดียวกับยิ่งตี้ ยอมรับว่าที่สำนักคุ้มภัยค่อนข้างเจ้าระเบียบ โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายเพียงมองรับรู้แบ่งแยกชัดเจนว่าใครอยู่ส่วนใด
คนเฝ้ายามก็เช่นกัน แม้ว่าสวมชุดสำนักคุ้มภัยแต่กลับมีป้ายห้อยเอวทำจากไม้กระดานอันเล็กห้อยด้านขวา
นางเดินลัดให้ท่อนเสาไม้ต้นใหญ่บังกายมาเรื่อยกระทั่งมองเห็นคนเฝ้ายามหน้าทางลงสองคน ส่งยิ้มออกไปก่อน
“ท่านพี่ทั้งสอง”
ไป๋หลินเอ๋อร์เอ่ยเสียงอ่อนหวานยื่นจานไปตรงหน้า
“เมื่อช่วงบ่ายทางครัวจัดขนมมาให้ข้ามากจนเหลือ เห็นพวกท่านยืนเฝ้าตั้งแต่เช้าเลยคิดว่าคงหิวไม่ใช่น้อย”
“ขอบใจแม่นางไป๋ แต่กฎห้ามมิให้รับของกินจากผู้อื่น”
กฎอีกแล้ว - - นางแค่นเสียงในใจแต่ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“สุดแต่พวกท่านแล้วกัน ข้าเพียงเห็นใจ ข้าก็เป็นเพียงยิ่งตี้ อยู่ในหอนี้เพียงลำพังไร้เพื่อนคุยเล่น วันทั้งวันไม่เคยได้ไปไหนนอกจาก เรือนเล็กยิ่งตี้ ห้องครัว และหอเก้าชั้นแห่งนี้”
ไป๋หลินเอ๋อร์ออกเสียงน้อยเนื้อต่ำใจกดหน้าลงแล้ววางจานลงบนโต๊ะเล็กข้างผนัง
“ข้าวางไว้นี่ หากท่านไม่กินก็ปล่อยให้มันเน่าไปแล้วกัน”
นางวางจานแล้วหันหลังกลับทันทีไม่อยู่รอ กระทั่งลับสายตา พลันเร้นกายเข้าเสาต้นใหญ่แอบมองห่าง ๆ ลุ้นด้วยใจระทึกก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าบุรุษพวกนั้นเสียรู้นางเข้าให้แล้ว - - ช่างหละหลวมเสียจริง
ไป๋หลินเอ๋อร์ยืนนิ่งข้างเสาใบหน้ากระหยิ่มยิ้มมุมปาก โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังตกลงเข้าสู่กับดักหลุมใหญ่ของท่านเจ้าสำนักตระกูลโจวเสียแล้ว
“นายท่าน ปลางับเหยื่อแล้ว”
โจวหมิงเจ๋อพยุงกายขึ้นจากเตียงวาดเท้าลงพื้น สะบัดผ้าขึ้นสวมแล้วลุกขึ้น
พรึบ... อวี้เจียงจัดแจงคุกเข่าเบื้องหน้าคาดสายรัดให้นายท่านช่วยแต่งตัวจนเรียบร้อย
“กระบี่”
แม่นางอวี้เจียงไหล่สะท้านเบา ๆ มองไปทางกระบี่พิฆาตดาบยาวปลอกสีดำ ด้วยแม่นางไป๋หลินเอ๋อร์อยู่ร่วมกับนางมาเกือบสามเดือน อัธยาศัยดี ร่าเริง และมีน้ำใจ นางไม่ต้องการให้แม่นางน้อยคนนี้ต้องมีอันเป็นไปเสียก่อนวัยอันควร
“นายท่าน แม่นางไป๋....”
“เจ้าลืมสิ้นแล้วหรือว่าตนเองเป็นใคร” น้ำเสียงเยือกเย็นดุจน้ำแข็งเปล่งแผ่วเบา ยืนนิ่งรออวี้เจียวหยิบกระบี่ส่งให้
“ไม่ลืมเจ้าค่ะ บุญคุณนายท่านมากล้นจนอวี้เจียวคนนี้ ทั้งชาติก็มิมีวันชดใช้ได้หมด เพียงแค่ว่าแม่นางไป๋หลินเอ๋อร์ นางเป็นเพียงแม่นางน้อยวัยสิบเก้าปี ไร้พิษสง”
“ข้าจากไปสามเดือน ดูท่าว่าเสวี่ยจงโหลวเปลี่ยนแปลงไปมาก”
“นายท่าน!!”
“กระบี่” โจวหมิงเจ๋อยังออกคำสั่ง ก้มดวงหน้ากร้าวกระด้างดุดันมองหญิงใต้อาณัติสายตาเย็นเยียบขึ้นอีกสามส่วน จนแม้กระทั่งนางเองอยู่ร่วมมาหลายปี ท่านเจ้าสำนักมิเคยใช้สายตาเช่นนี้กับนางมาก่อน
ร่างอรชรงดงามคลานเข่าหยิบกระบี่ยกเหนือศีรษะส่งให้นายท่านด้วยมือสั่นเทา
“นับแต่นี้ ข้ายกเจ้าให้เฉียนฟานดูแล สุดแล้วแต่เฉียนฟานจะจัดการ”
“ท่านเจ้าสำนัก แล้วยามที่ท่าน... โอ๊ย!”
โจวหมิงเจ๋อฉกมือลงด้านล่างโดยมิได้โน้มร่างลงมา มือแข็งดั่งหินผากำรอบลำคอเล็กยกร่างนางขึ้นด้วยแรงมากล้น
“อาจเพราะเจ้าอยู่กับข้านานเกินไปอวี้เจียว จึงได้คิดเอาเองว่ามีสิทธิ์พูด หรือสิทธิ์เหนือกายข้า” เขาสะบัดมือทิ้งจนร่างบอบบางล้มลง “จัดการเก็บของลงจากหอเสวี่ยจง ย้ายไปเรือนหลังกับเฉียนฟาน”
“เจ้าค่ะ” อวี้เจียวร่างกายสั่นเทาหวาดกลัว ก้มหน้านิ่งมือวางบนพื้นยอมสิ้นศิโรราบต่อนายใหญ่แห่งนี้ โจวหมิงเจ๋อวาดเท้าออกจากห้องทันที ไม่ทันที่มือนางจะถูกพื้นด้วยซ้ำ
อวี้เจียวแม้ภายในเจ็บปวดเพราะเผลอใจมอบให้นายใหญ่จนหมดสิ้น ทั้งรับใช้โจวหมิงเจ๋อมาหลายปี แต่นางเจียมตนรู้ดีว่าสักวันนางคงต้องออกจากหอ ทว่าไม่คาดมาก่อนว่าจะรวดเร็วเยี่ยงนี้
โจวหมิงเจ๋อกระชับกระบี่ห้อยข้างกาย สลัดอวี้เจียวทิ้งออกจากจิตใจอันดำมืด ตัวเขาผ่านร้อนหนาวเข้าสี่สิบปี รับผิดชอบตระกูลโจว สำนักเสวี่ยจงตั้งแต่อายุน้อย
ตัวเขาเติบโตมาเพียงลำพัง ไร้บิดา มารดา พี่น้อง มีเพียงสำนักคุ้มภัยนี้เท่านั้นเป็นดั่งครอบครัว
ร่างสูงใหญ่หยุดฝีเท้ารอหน้าประตูทางลงคุกใต้ดิน ยามกลไกเปิดออก กลิ่นเหม็นอับชื้นกระแทกเข้าจมูกดั่งเช่นทุกครั้ง กลิ่นอันแสนคุ้นเคย
ดวงตาคมดุจเหยี่ยวหรี่ลงปรับสภาพรับแสงสว่างที่เหลือเพียงคบไฟข้างเสา กระทั่งมองเห็นร่างระหงของหญิงนางหนึ่งถูกมัดตรึงเคียงข้างจงไห่
“นายท่าน” เฉียนฟานรีบเข้ามาใกล้เมื่อเห็นเจ้าสำนัก
โจวหมิงเจ๋อยืนนิ่งมองร่างงดงามกว่าเมื่อสามเดือนก่อน ไฟใต้ดินไม่สว่างมากนักแต่ยังพอมองเห็นผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น ดวงหน้ารูปร่างมีน้ำมีนวลกว่าเดิม แล้วหันไปมองจงไห่ที่ยังสลบไม่ฟื้น
บทที่ 11 สามสิ่งที่เกลียด“นางลงมาด้านล่างกำลังหาวิธีดึงโซ่ตรวนออก เจ้าพวกด้านนอกพยายามรั้งนางไว้แต่พลาดจนนางล้มลงหัวฟาดพื้นสลบไปเองขอรับ” เฉียนฟานรายงานอย่างรู้ใจก่อนขยับหลบไปด้านหลังสองก้าว“เอาน้ำสาด”ตัวเขาเฉียนฟานพอรับรู้มาบ้างว่าแม่นางน้อยเป็นคนดี จึงชะงักงันไปจะขยับตัวหยิบถังน้ำกลับไม่ทำ จะหันไปหาท่านเจ้าสำนักก็กลัว“เฉียนฟาน” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น เพียงเท่านั้นเฉียนฟานถึงกับสะดุ้งก้มลงหยิบถังน้ำเย็นสาดเข้าที่ดวงหน้างดงามของยิ่งตี้สาวรอยยิ้มหยันมุมปากผุดขึ้นขณะค่อยนั่งลงยังเก้าอี้กลางห้อง ปลดกระบี่วางโต๊ะเล็กแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ เพ่งพิศดวงหน้าหวานงดงามอย่างสาวชาวบ้านสะดุ้งเฮือกเบิกตากว้างโจวหมิงเจ๋อกำจอกชาแน่นจนขึ้นเอ็นปูด ขณะจ้องเข้าไปยังดวงตาดอกท้อ แม้ไม่งามซึ้งรื้นน้ำตาดั่งหญิงสูงศักดิ์ แต่เขากลับพบว่าดวงตาคู่นี้กำลังทำเขาปั่นป่วนทั้ง ๆ ที่ตัวเขายังไม่ทันได้ลงมือทรมาน จิตวิญญาณที่เคยกล้าแกร่งถูกกระชากจนต้องยืดแผ่นหลังเหยียดตรง“แค่ก ๆ อืออ อะไรกัน”ไป๋หลินเอ๋อร์ขยับเปลือกตางุนงง สลัดหยดน้ำออกจากใบหน้า เจ็บร้าวข้อมือเพราะโซ่ตรวนเหล็กโยงนางมัดกับขื่อคานด้านบน เท้าลอยไม่ติ
บทที่ 12 จงไห่โจวหมิงเจ๋อหอบหายใจชีพจรรัวแรง ผละร่างออกห่างหลุบตามองด้ามกระบี่ “เจ้าเลือดออกแล้ว”ไป๋หลินเอ๋อร์ตาเบิกโพลง ท่านเจ้าสำนักยกสันด้ามขึ้นหาปากขยับปลายลิ้นชิมรสชาติโลหิตนาง“ทะ ท่าน ... ท่านมันปีศาจร้าย” นางส่งเสียงกระท่อนกระแท่นหวาดกลัว เหลือบไปทางจงไห่กำลังฟื้นขึ้นมาแล้ว “จงไห่ จงไห่”“คนรักเจ้าฟื้นแล้ว ดียิ่ง” โจวหมิงเจ๋อขยับร่างออกเก็บกระบี่เข้าฝัก พาร่างสูงใหญ่กลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม เฝ้ามองคนรักสองคนที่ส่งสายตาห่วงหาอาลัยให้แก่กันหนึ่งหนุ่มดวงตาเบิกกว้างตระหนกตกใจระคนตื่นกลัว ตวัดตากลับมายังโจวหมิงเจ๋อ ส่วนหนึ่งสาวแม้ดูท่าทีต้องการช่วยเหลือคนรัก แต่มองไปแล้วไม่ใคร่มีความรักให้มากพอเท่าคนหนุ่ม“พวกเจ้าตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นคนบอกที่ซ่อน ทางขึ้นซ่องโจรภูเขา” โจวหมิงเจ๋อเป่าชารอจังหวะ“จงไห่ ที่เจ้าชาติชั่วผู้นี้พูดมาคือเรื่องอะไร เจ้าเป็นโจรป่าเช่นนั้นหรือ”“หลินเอ๋อร์ ข้า เหตุใดเจ้าถึงโดนจับมาได้”“ข้าลอบเข้ามากับขบวนยิ่งตี้ เพื่อมาตามหาท่าน ข้าไม่รู้ว่าท่านโดนจับมาด้วยเรื่องอะไร”“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้หลินเอ๋อร์!!” น้ำเสียงจงไห่ร้อนรนแหบพร่าคล้ายหมดสิ
บทที่ 13 ncโจวหมิงเจ๋อสะบัดร่างเล็กลงกลางเตียงแล้วตามติด กดทับนางไว้ด้วยท่อนขา อีกมือรวบข้อมือเล็กไว้ทั้งสองข้างยกสูงเหนือศีรษะ แววตากระหายหิวชัดแจ้งแควก....เขาวางมือลงบนแยกสาบเสื้อใช้แรงชายฉีกดึงกระชากจนขาด แล้วเปิดออก ส่งมือกอบทรวงอกขึ้นดวงตาดอกท้อไหวระริกมองสีหน้าท่านเจ้าสำนักในยามนี้น่ากลัวยิ่งกว่ายามอยู่ในคุกใต้ดิน โจวหมิงเจ๋อกำลังกระหายบางสิ่งกับร่างของนางอย่างที่เขาไม่ควบคุมตนเองได้“ยะ อย่า อย่าทำข้า” นางเปล่งเสียงสะอื้นออกมาลอดลำคอโจวหมิงเจ๋อความปรารถนาพุ่งทะยานสูง ดวงตาแดงฉานมืดมัว เขาทึ้งอาภรณ์นางออกฉีกกระชากโยนลงพื้น มองร่างสวยงามงดงามบนเตียง ไม่สนใจแววตาตื่นตระหนกยามนี้ความกระหายหิวด้านมืดทำลมปรารณแตกซ่าน ยิ่งมองเห็นร่างเล็กใต้ตัวดิ้นรนถูกรัดรึงด้วยโซ่ตรวนยิ่งชวนให้มึนเมาเขาโน้มศีรษะลงต่ำเคลื่อนเข้าหาต้องการปิดปากแต่นางบิดหน้าหนีจึงทำได้เพียงพรมจูบลงพวงแก้ม เลื่อนริมฝีปากลงซอกคอ นางมีกลิ่นหอมดั่งสาวรุ่น กลิ่นอับของคุกใต้ดินที่เขาคุ้นเคย และกลิ่นของเลือด“อย่าทำข้า โจวหมิงเจ๋อ ข้าขอร้อง” เสียงเบาเปล่งกระซิบ ทว่าโจวหมิงเจ๋อยังคงพรมจุมพิตต่อไป แม้ว่าตัวเขากระหายครอบคร
บทที่ 14 ncมือแกร่งจับข้อเท้าทั้งสองข้างถ่างออกโน้มหน้าลงหาเปิดปากด้วยลิ้นชำนาญสอดใส่พร้อมเขยื้อนลำร้อนยาวใหญ่ครูดผนังอ่อนนุ่มโพรงสวาท“อื้ออออ อือออ”ไป๋หลินเอ๋อร์ดิ้นหนีร่างใหญ่โตเสียดแทรกชำแรกนาง เจ็บร้าว อึดอัดและเปียกชื้น นางสะบัดหน้าให้ริมฝีปากร้อนเลื่อนผ่านลงสู่ลำคอ เขาขย่มลงแรงด้วยการโหย่งตัวไม่ปราณี ส่งเสียงครางในลำคอแล้วยึดกายขึ้นคุกเข่าเลื่อนมือจับเอวเล็กไว้แน่นดึงร่างบอบบางกระแทกเข้าหาท่อนเนื้อที่เขาเสือกกายเข้าใส่ ยกร่างบางขึ้นสูงสู้แรงชาย ทำจนร่างของนางกระดอนกระเพื่อมไหวเคร้ง เคร้ง ตับ ตับ มือรั้งโซ่ตรวจส่งเสียงกระทบพื้นพร้อมเสียงเนื้อกระทบกันบนพื้นห้องนอน ตะวันลับขอบฟ้านานแล้ว แว่วเสียงคนในสำนักกำลังเดินจุดโคมไฟโถงบันได แต่ภายในห้องยังมืดมิดมีเพียงแสงจันทร์คืนวันเพ็ญสาดส่องโจวหมิงเจ๋อกระทุ้งหยกเข้าโพรงนุ่มยาวนานต่อเนื่อง เขาตรึงนางไว้ให้จ้องมองเพียงเขา อสูรร้ายในร่างชายรูปงามราวเทพเซียน ขยับสะโพกตอกใส่นางด้วยรอยยิ้มมุมปากเขาคว้าโซ่ตรวนเหล็กกระชากดึงขึ้นจนลำแขนนางยกสูง มือยังจับต้นขาดันเปิดอ้า โจนจ้วงแรงชายท่อนหยกเข้าหาโพรงสวาทไม่ออมแรง“โซ่นี้จะเป็นดั่งตัวข้า หลิน
บทที่ 15 nc เป็นตายพรากจาก ผูกสัญญาสองเราชั่วนิจนิรันดร์“คนในสำนักต้องถูกประทับทั้งสิ้น บ่งบอกว่าเป็นคนของเสวี่ยจงโหลว ทว่าตราประทับจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่ง”โจวหมิงเจ๋อคุกเข่าบนเตียงด้านหลังนาง กระชากเสื้อคลุมออกกดร่างนางลง ให้ดวงหน้าแนบฟูก ใช้ลำตัวแสนหนักอึ้งพาดตัวไว้กันนางดิ้นหนี“หากเจ้าดิ้น ยามแผลแห้งมันจะไม่สวยเท่าไร” คำขู่นี้ไม่เป็นผลเพราะยิ่งทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายใจกดแผ่นเหล็กนี้จนลึก“เจ้าคนชั่วช้า ข้าเกลียดท่าน!!” เสียงหวานเอ่ยลอดไรฟัน แนบใบหน้านอนนิ่ง หลับตาขณะที่กระไอร้อนของตราประทับใกล้เข้ามา“ตรานี้ เป็นรูปเสือ ซึ่งจะมีเจ้าเพียงคนเดียวที่มีสัญลักษณ์นี้” พูดจบมือแกร่งกดแท่นตราลงผิวเนื้อช่า....“อ๊า.....อ่า........ ข้าเกลียดท่านนนนน” ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนสุดเสียงแข่งกันเสียงเผาไหม้เนื้อนุ่มยามแท่นร้อนกดลงนางเจ็บแสบจนน้ำตาไหลริน ได้กลิ่นเนื้อ กลิ่นควันโชยบนแผ่นหลัง ได้ยินเสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงของชายด้านบน“ส่วนข้าเป็นตรามังกร ซึ่งมีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสัญลักษณ์นี้” เขายกแท่งเหล็กออกแล้วโยนทิ้ง เคร้ง!!โน้มหน้าลงใกล้ ถลกชายผ้าคลุมนางขึ้นจนกองบั้นเอว ดึงสะโพกนางจ
บทที่ 16 โจวจางหมิ่นยามเหม่าของทุกเช้าคือเวลาตื่นนอนเป็นประจำตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ว่าบุรุษผู้นี้เข้านอนตอนกี่ยามก็ตามโจวหมิงเจ๋อขยับเปลือกตาลืมขึ้นพลันนึกได้ว่ามีสตรีนอนอยู่ด้วยข้างกายผิดไปจากทุกวัน พลิกตัวตะแคงข้างวาดโอบเอวเล็กดึงเข้าหา เอนกายขึ้นเท้าฝ่ามือบนศีรษะมองดวงหน้าหวานใบหน้าไป๋หลินเอ๋อร์ไม่ได้สวยดั่งสาวห้องหอ ติดกระด้างไปด้วยซ้ำ ทว่าบางอย่างในตัวนางที่กะเทาะเข้ามา เขาลูบข้อมือเล็กบอบช้ำเป็นรอยเขียวดำแดงชอกช้ำจากโซ่ตรวนเหล็ก โน้มหน้าลงจุมพิตบาดแผลไฟไหม้บนไหล่ขาวมน“ถึงเวลาต้องตื่นแล้วหลินเอ๋อร์”โจวหมิงเจ๋อค่อยเอ่ยกระซิบปลุกนางแผ่วเบา แต่แม่นางน้อยยังนิ่งเงียบจนเขาขมวดคิ้ว เอามืออังหน้าผากแล้วพบว่าไข้ขึ้นสูงจึงหน้าเสีย ตะโกนเสียงดังทันที“ซิงเยียน ชางซิงเยียน!!” ตะโกนเรียกเป็นพักจึงนึกได้ยังไม่ถึงเวลาขึ้นมาชั้นเก้า รีบวาดขาลงจากเตียงสวมชุดไม่ทันได้เกล้าผม เร่งฝีเท้าลงไปยังชั้นห้าก๊อก ก๊อก!! แอ๊ด...ชางซิงเยียนถึงกลับตกใจตาค้าง มองใบหน้าแกร่งของนายท่านในยามนี้เป็นเงาทะมึน ร้อนรนจนเหงื่อซึม“นะ นายท่าน วิ่งมาหรือเจ้าคะ”“เปล่า ตามหมอมาที ฮูหยินเป็นไข้”ได้กล่าวสั่งไปแล้วจึงเ
บทที่ 17 จะเคี่ยวกรำเองกับมือ“เจ้าฟื้นแล้ว” เสียงหวานนุ่มแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินคือเสียงของชางซิงเยียน นางกะพริบเปลือกตาก่อนจะยกมือขึ้นบังแสงพระอาทิตย์ในยามโฉ่ว[1]“เจ้าหลับไปนานมากจนข้านึกกลัว หิวหรือไม่ ข้าเตรียมโจ๊กปลาไว้ให้เจ้าแล้ว”ไป๋หลินเอ๋อร์พยุงร่างขึ้นนั่งโดยมีชางซิงเยียนประคอง“เจ้าไข้ขึ้นสูงมาก จนนายท่านหน้าเสียเลยเชียวหล่ะ”ไป๋หลินเอ๋อร์มองถ้วยโจ๊กในมือชางซิงเยียน “ข้าอยากกลับห้องตัวเอง”“ข้าเกรงว่าจะไม่ได้เสียแล้วหลินเอ๋อร์” ชางชิงเยียนตักโจ๊กยื่นมาตรงหน้า “ไม่...ไม่ถูกต้อง ข้าต้องเรียกเจ้าว่าฮูหยิน อ้าปากก่อน”“ข้าไม่ได้อยากเป็นฮูหยิน ข้าไม่แต่ง ถึงเขาจับแต่งข้าก็จะหย่า”“ข้าบอกให้อ้าปากก่อน ท่านหมอกำชับหนักหนาให้เจ้าทานของบำรุง เร็วอ้าปาก”“เจ้าไม่ฟังข้าเลย” ไป๋หลินเอ๋อร์แม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจแต่ยังยินยอมอ้าปากรับโจ๊กด้วยความหิว“ข้าฟังเจ้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะตัดสินได้ เอาเป็นว่าเจ้ารอพูดคุยกับนายท่านแล้วกัน”“แล้วตอนนี้แม่นางอวี้เจียวอยู่ไหน”“นายท่านยกนางให้กับเฉียนฟานแล้ว แต่ดูเหมือนเฉียนฟานเองก็ไม่ใคร่ไยดีอวี้เจียวเท่าไรนัก”“ข้า ... ข้า...” ไป๋หลินเอ๋อร์ต้อ
บทที่ 18 ฮูหยิน“พี่หลินเอ๋อร์”ไป๋หลินเอ๋อร์เอนตัวขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียงหวานนุ่มคุ้นเคย“จางอวี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ท่านมาถามอะไรข้า ดูตัวท่านเสีย สะบัดสะบอมขนาดนี้” จางอวี้โผตัวขึ้นมานั่งขอบเตียงทันที แล้วจับเนื้อตัวสำรวจ “ท่านยังมีไข้ นายน้อยหญิงแจ้งข้าให้ทราบแล้วว่าท่านพี่ป่วยหนัก หิวหรือไม่ ดื่มชาหรือขนมของว่าง”“ไม่ ข้าไม่หิว จริงสิ ทางเรือนหลักเรียกยิ่งตี้ขึ้นห้องนายน้อยอีกหรือยัง”“จากวันนั้นยังเจ้าค่ะ โชคดีของข้า เมื่อเช้านี้ข่าวลือหนาหูว่านายน้อยโยนกระถางไฟทิ้งมุมห้อง ไม่รู้ว่าโมโหเรื่องอะไร” จางอวี้พยุงไป๋หลินเอ๋อร์จนลุกนั่ง“ดีแล้วที่ข้านึกขึ้นได้ ช่วยเจ้าขึ้นมาอยู่ข้างบนเสียก่อน”“แล้วที่เขาลือกันว่าพี่ได้เป็นฮูหยินคนใหม่ของนายท่าน ก็เรื่องจริงน่ะสิ”“อืม”“แล้วเหตุใดเนื้อตัวท่านถึงมีแต่แผลเช่นนี้ ฝ่ามือยังพันผ้าไว้ แล้วแผลที่หัวไหล่ท่าน น่ากลัว”“ข้ามิรู้จะเล่ายังไง เอาเป็นว่ามันเป็นตราประทับรูปอะไรสักอย่าง คงต้องรอให้แผลหายเสียก่อนจึงจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แล้วนี่ฮุ่ยหรูโดนทำอย่างข้าหรือเปล่า”“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เจ้าค่ะ”“แปลกมากหรือว่าเจ้าปีศาจนั้นกุเรื่
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด