บทที่ 12 จงไห่
โจวหมิงเจ๋อหอบหายใจชีพจรรัวแรง ผละร่างออกห่างหลุบตามองด้ามกระบี่ “เจ้าเลือดออกแล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์ตาเบิกโพลง ท่านเจ้าสำนักยกสันด้ามขึ้นหาปากขยับปลายลิ้นชิมรสชาติโลหิตนาง
“ทะ ท่าน ... ท่านมันปีศาจร้าย” นางส่งเสียงกระท่อนกระแท่นหวาดกลัว เหลือบไปทางจงไห่กำลังฟื้นขึ้นมาแล้ว “จงไห่ จงไห่”
“คนรักเจ้าฟื้นแล้ว ดียิ่ง” โจวหมิงเจ๋อขยับร่างออกเก็บกระบี่เข้าฝัก พาร่างสูงใหญ่กลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม เฝ้ามองคนรักสองคนที่ส่งสายตาห่วงหาอาลัยให้แก่กัน
หนึ่งหนุ่มดวงตาเบิกกว้างตระหนกตกใจระคนตื่นกลัว ตวัดตากลับมายังโจวหมิงเจ๋อ ส่วนหนึ่งสาวแม้ดูท่าทีต้องการช่วยเหลือคนรัก แต่มองไปแล้วไม่ใคร่มีความรักให้มากพอเท่าคนหนุ่ม
“พวกเจ้าตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นคนบอกที่ซ่อน ทางขึ้นซ่องโจรภูเขา” โจวหมิงเจ๋อเป่าชารอจังหวะ
“จงไห่ ที่เจ้าชาติชั่วผู้นี้พูดมาคือเรื่องอะไร เจ้าเป็นโจรป่าเช่นนั้นหรือ”
“หลินเอ๋อร์ ข้า เหตุใดเจ้าถึงโดนจับมาได้”
“ข้าลอบเข้ามากับขบวนยิ่งตี้ เพื่อมาตามหาท่าน ข้าไม่รู้ว่าท่านโดนจับมาด้วยเรื่องอะไร”
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้หลินเอ๋อร์!!” น้ำเสียงจงไห่ร้อนรนแหบพร่าคล้ายหมดสิ้นความหวัง บุรุษองอาจตรงหน้านางกำลังร่ำไห้
“เจ้า จงไห่ เจ้าร้องไห้”
จงไห่มิได้เอ่ยตอบไป๋หลินเอ๋อร์ แต่เอี้ยวหน้ากลับไปทางเจ้าสำนักคุ้มภัย
“ข้ายอมแล้วไอ้คนชั่ว ข้าจะบอกทางขึ้นซ่องโจร แต่เจ้าต้องรับปากข้า” จงไห่พูดอ่อนแรงดวงตาแสบร้าวไม่กล้าสบตาไป๋หลินเอ๋อร์ เพราะตัวเขาเองที่ทำให้นางต้องมาติดกับดักคนถ่อยใจมาร
“เป็นนักโทษ มีสิทธิ์อะไรมาต่อรอง” โจวหมิงเจ๋อวางจอกชา
“หลินเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องที่ข้าเป็นโจร นางเพียงหลงคิดว่าข้าถูกจับมาเพราะเหตุอื่น หากท่านยังหลงเหลือจิตวิญญาณของความมนุษย์ ขอท่านจงเมตตานางด้วย”
“จงไห่...เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น” ไป๋หลินเอ๋อร์ยังมองจงไห่จดจ้องจับผิด นางเป็นคนรักของจงไห่มาหลายปี เฝ้ารอวันที่เขาส่งแม่สื่อมาสู่ขอนาง แต่กลับไร้วี่แวว
“จงไห่ แม้ว่าเจ้ามีหญิงงามมากมาย ทว่ากลับมีใจให้แม่นางน้อยผู้นี้ ข้าฟังแล้วซาบซึ้งเข้าไปจนลึกสุดหัวใจ” โจวหมิงเจ๋อขยับตัวลุกขึ้นหยิบแส้ขึ้นมาถือไว้ในมือ สาวเท้าเข้าใกล้สองหนุ่มสาว
“เจ้า พูดเรื่องบ้าอะไรไอ้คนชั่ว” ไป๋หลินเอ๋อร์ตวัดเสียงใส่
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าจงไห่นอกจากเป็นโจรกบฏ สุมขุมกำลังเทียวปล้นฆ่าชาวบ้าน ขุนนางราชสำนักแล้ว ชายผู้นี้ยังเป็นนักรักตัวยง” โจวหมิงเจ๋อกระชากผมจงไห่ขึ้น หันใบหน้าไปทางหญิงคนรัก “ดูเสียให้เต็มตา บุรุษที่เจ้าหลงชื่นชอบแท้จริงมากรัก มีภรรยาอยู่ในเมืองและอีกหมู่บ้านถัดไป อ๋อ คนที่อยู่หมู่บ้านถัดไปท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์ตาโตจ้องจงไห่ด้วยแววตาตั้งคำถาม แต่เมื่อเห็นชายคนรักนิ่งเงียบ แววตาจงไห่ปรากฏความสำนึกผิด นางจึงรับรู้ว่าแท้จริงนางกลายเป็นชู้ของผู้อื่น
“เจ้าทำกับข้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไรจงไห่ ข้ารักเจ้า รอเจ้ามาตลอดหลายปี คอยดูแลท่านลุงและท่านป้ายามที่เจ้าไม่อยู่ เจ้าบอกข้าว่าต้องไปหาของป่าแล้วนำไปขายในเมือง แท้จริง..เจ้าไปปล้นสะดมใช่หรือไม่”
จงไห่ไม่อาจตอบอันใดได้ หลุบดวงตาลงเค้นเสียงลอดไรฟัน “ไปทางสันเขาทิศตะวันตก จะพบต้นอู๋ถ่งอายุราวห้าสิบปี เดินต่อไปลึกเข้าไปอีกไม่นานจะพบแท่นหินรูปร่างคล้ายใบพัด ให้มุดรอดเจ้าจะพบน้ำตก ด้านหลังน้ำตกคือแหล่งกบดาน”
โจวหมิงเจ๋อสะบัดมือทิ้ง จุ่มมือในถังน้ำเกลือล้างเลือด
“เอามันไปโยนลงทะเลสาบ” โจวหมิงเจ๋อเปล่งน้ำเสียงเรียบเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ทะเลสาบนั้นมีจระเข้ เจ้าจงใจฆ่าเขา โจวหมิงเจ๋อ คนชั่ว!”
ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนสุดเสียง ส่งสายตาอาฆาตแล้วต้องเบ้หน้าเมื่อปีศาจร้ายบีบปากนางไม่ออมแรง
“แล้วอย่างไร ฮึ เจ้าไม่โกรธแค้นหรือที่มันทำกับเจ้าเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเจ้ายังไม่ทันได้เสียความสาวให้แก่จงไห่ แต่นั่นคงเป็นเพราะเจ้าเองที่มิยินยอมต้องรอให้เข้าห้องหอ”
เคร้ง...... โจวหมิงเจ๋อสะบั้นโซ่รัดข้อมือนางด้วยกระบี่คมกริบ ร่างเล็กร่วงหล่นราวดอกกุ้ยฮวาถูกปลิดจากกิ่งก้าน โจวหมิงเจ๋อช้อนโอบแผ่นหลังรั้งไว้แล้วอุ้มขึ้นพาออกเดิน
ชั้นเก้าของเสวี่ยจงโหลว หอเก้าชั้นสูงตระหง่านดั่งภูผาแห่งแคว้นฉิน สายลมเย็นพัดละอองฝนช่วงยามเย็นสาดกระทบผิวหน้าเปื้อนเลือดของไป๋หลินเอ๋อร์
นางถูกพาขึ้นมายังชั้นบนสุด โจวหมิงเจ๋อพานางมายังระเบียงยืนซ้อนด้านหลังโอบแขนรัดนางไว้ มืออีกข้างจับดวงหน้ากดลึก บังคับให้มองไปด้านหลังท้ายจวน ที่ซึ่งทะเลสาบกำลังแปรปรวนจากเม็ดฝน
“เจ้าจงมองดู ชายคนรักที่ทรยศเจ้า”
“ไม่ ไอ้คนระยำเช่นเจ้า ไม่ตายดีแน่”
“เจ้าควรชื่นชมข้าจึงจะถูกหลินเอ๋อร์ที่จัดการบุรุษผู้นั้นแทนเจ้า” มือหยาบกร้านบีบปลายคาง โน้มใบหน้ามาใกล้ข้างหู “มองดู เฉียนฟานลากมันไปยังทะเลสาบแล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์ไม่อาจหลบหนีภาพตรงหน้าได้ ดวงตาดอกท้อเพ่งมองทอดสายตาออกไปไกลยังท้ายจวน ร่างคนรักถูกมัดด้วยโซ่ตรวจโดนลากอย่างไม่ปราณีไปยังท่าน้ำ
“อย่า เจ้าอย่าทำอะไรเขา ข้ายอมสิ้นขอเพียงปล่อยเขาไป”
ไป๋หลินเอ๋อร์เปล่งเสียงกระซิบ มือยังถูกพันธการด้วยโซ่ตรวนเช่นเดียวกัน
“ปล่อยเขา? ฮ่ะ ฮ่า หลินเอ๋อร์ เจ้าน่าจะยอมรับความจริงได้แล้วว่าแท้จริงเจ้ามิได้รักบุรุษผู้นั้นเลย หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเฝ้ารอแต่เขากลับเงียบหาย นาน ๆ จึงมาหาเจ้าสักครั้ง เขาให้ความหวังเจ้าด้วยการหยอดคำมั่นสัญญา” โจวหมิงเจ๋อกระชับอ้อมแขนรัดนางแน่นขึ้น
“ในใจแท้จริงเจ้ายิ่งกว่ายินดี...ใช่หรือไม่ที่จงไห่ต้องตาย”
“ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น”
“เจ้าโกหก ข้าเกลียดคนโกหกเจ้าก็รู้” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เจ้าโกรธแทบตายเมื่อครู่ยามที่ได้รู้ความจริงว่าจงไห่เป็นโจรกบฏซ้ำยังมากภรรยา คนอย่างเจ้ายินยอมพลีชีพฝ่าอันตรายเพื่อมาช่วยคนรัก นั่นแสดงว่าเจ้าเป็นผู้เชื่อมั่นในคุณธรรม กล้าได้กล้าเสีย ดังนั้น...ใจเจ้าจึงโกรธจงไห่มาก”
ดวงตาดอกท้อไหวระริก มองร่างจงไห่ถูกผลักเดินบนไม้กระดานเข้าไปใกล้สายน้ำทุกขณะ สั่นศีรษะปฏิเสธแต่ไร้ซึ่งคำพูด แท้จริงนางโกรธจงไห่ รู้สึกถึงความอยุติธรรมที่เขากระทำต่อนางขึ้นมาชั่วครู่ ต้องการให้เขาสิ้นชีพตายลงเดี๋ยวนั้น แต่มิใช่การฆ่าอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้
“ข้า ... เขาไม่ควรต้องมาพบจุดจบเช่นนี้”
“ไม่ว่าจะพบจุดจบเช่นไร นั่นคือความหมายเดียวกันทั้งสิ้นหลินเอ๋อร์ คือความตาย”
นางขนลุกเกรียว บุรุษปีศาจตนนี้มิได้มีจิตใจเช่นมนุษย์ทั่วไป เขากระหายเลือด ความตายและความทรมาน มือแกร่งอุ่นจัดยังบีบคางนางบังคับให้มองไปยังร่างของจงไห่ซึ่งบัดนี้ถูกถีบตกลงในทะเลสาบ
แสงยามเย็นโพล้เพลมองเห็นเลือนรางเพียงเงามืด จงไห่ถูกมัดด้วยโซ่ตรวนใหญ่มิอาจดิ้นรนหนีได้ เพียงตกลงไปกลับจมดิ่งเงียบหาย กระทั่งฝูงจระเข้หลายตัวงัดร่างเขาขึ้นมาบนผิวน้ำ ยื้อแย่งกระชากท่อนขา แขน ลำตัวออกจากกันฉีกเป็นหลายท่อนด้วยความกระหายหิว
ไป๋หลินเอ๋อร์จ้องมองตาไม่กะพริบ อดีตคนรักของนางไม่ทันได้เปล่งเสียงด้วยซ้ำยามฝูงจระเข้เข้าฉีกร่าง
“เจ้าเป็นคนเหี้ยมโหดมากโจวหมิงเจ๋อ”
“คิดเช่นนั้นหรือหลินเอ๋อร์ แต่ในยามนี้ข้ามีอารมณ์อื่นแทรกเข้ามา”
นางตัวแข็งทื่อมือแกร่งด้านหน้ารัดนางแน่นก่อนตวัดพาร่างของนางเข้าไปในห้องนอน
เคร้ง.... เสียงโซ่ตรวจยังถูกรัดบนข้อมือ นางมองเตียงใหญ่ตรงกลางห้องด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าจะทำอะไร!!”
บทที่ 13 ncโจวหมิงเจ๋อสะบัดร่างเล็กลงกลางเตียงแล้วตามติด กดทับนางไว้ด้วยท่อนขา อีกมือรวบข้อมือเล็กไว้ทั้งสองข้างยกสูงเหนือศีรษะ แววตากระหายหิวชัดแจ้งแควก....เขาวางมือลงบนแยกสาบเสื้อใช้แรงชายฉีกดึงกระชากจนขาด แล้วเปิดออก ส่งมือกอบทรวงอกขึ้นดวงตาดอกท้อไหวระริกมองสีหน้าท่านเจ้าสำนักในยามนี้น่ากลัวยิ่งกว่ายามอยู่ในคุกใต้ดิน โจวหมิงเจ๋อกำลังกระหายบางสิ่งกับร่างของนางอย่างที่เขาไม่ควบคุมตนเองได้“ยะ อย่า อย่าทำข้า” นางเปล่งเสียงสะอื้นออกมาลอดลำคอโจวหมิงเจ๋อความปรารถนาพุ่งทะยานสูง ดวงตาแดงฉานมืดมัว เขาทึ้งอาภรณ์นางออกฉีกกระชากโยนลงพื้น มองร่างสวยงามงดงามบนเตียง ไม่สนใจแววตาตื่นตระหนกยามนี้ความกระหายหิวด้านมืดทำลมปรารณแตกซ่าน ยิ่งมองเห็นร่างเล็กใต้ตัวดิ้นรนถูกรัดรึงด้วยโซ่ตรวนยิ่งชวนให้มึนเมาเขาโน้มศีรษะลงต่ำเคลื่อนเข้าหาต้องการปิดปากแต่นางบิดหน้าหนีจึงทำได้เพียงพรมจูบลงพวงแก้ม เลื่อนริมฝีปากลงซอกคอ นางมีกลิ่นหอมดั่งสาวรุ่น กลิ่นอับของคุกใต้ดินที่เขาคุ้นเคย และกลิ่นของเลือด“อย่าทำข้า โจวหมิงเจ๋อ ข้าขอร้อง” เสียงเบาเปล่งกระซิบ ทว่าโจวหมิงเจ๋อยังคงพรมจุมพิตต่อไป แม้ว่าตัวเขากระหายครอบคร
บทที่ 14 ncมือแกร่งจับข้อเท้าทั้งสองข้างถ่างออกโน้มหน้าลงหาเปิดปากด้วยลิ้นชำนาญสอดใส่พร้อมเขยื้อนลำร้อนยาวใหญ่ครูดผนังอ่อนนุ่มโพรงสวาท“อื้ออออ อือออ”ไป๋หลินเอ๋อร์ดิ้นหนีร่างใหญ่โตเสียดแทรกชำแรกนาง เจ็บร้าว อึดอัดและเปียกชื้น นางสะบัดหน้าให้ริมฝีปากร้อนเลื่อนผ่านลงสู่ลำคอ เขาขย่มลงแรงด้วยการโหย่งตัวไม่ปราณี ส่งเสียงครางในลำคอแล้วยึดกายขึ้นคุกเข่าเลื่อนมือจับเอวเล็กไว้แน่นดึงร่างบอบบางกระแทกเข้าหาท่อนเนื้อที่เขาเสือกกายเข้าใส่ ยกร่างบางขึ้นสูงสู้แรงชาย ทำจนร่างของนางกระดอนกระเพื่อมไหวเคร้ง เคร้ง ตับ ตับ มือรั้งโซ่ตรวจส่งเสียงกระทบพื้นพร้อมเสียงเนื้อกระทบกันบนพื้นห้องนอน ตะวันลับขอบฟ้านานแล้ว แว่วเสียงคนในสำนักกำลังเดินจุดโคมไฟโถงบันได แต่ภายในห้องยังมืดมิดมีเพียงแสงจันทร์คืนวันเพ็ญสาดส่องโจวหมิงเจ๋อกระทุ้งหยกเข้าโพรงนุ่มยาวนานต่อเนื่อง เขาตรึงนางไว้ให้จ้องมองเพียงเขา อสูรร้ายในร่างชายรูปงามราวเทพเซียน ขยับสะโพกตอกใส่นางด้วยรอยยิ้มมุมปากเขาคว้าโซ่ตรวนเหล็กกระชากดึงขึ้นจนลำแขนนางยกสูง มือยังจับต้นขาดันเปิดอ้า โจนจ้วงแรงชายท่อนหยกเข้าหาโพรงสวาทไม่ออมแรง“โซ่นี้จะเป็นดั่งตัวข้า หลิน
บทที่ 15 nc เป็นตายพรากจาก ผูกสัญญาสองเราชั่วนิจนิรันดร์“คนในสำนักต้องถูกประทับทั้งสิ้น บ่งบอกว่าเป็นคนของเสวี่ยจงโหลว ทว่าตราประทับจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่ง”โจวหมิงเจ๋อคุกเข่าบนเตียงด้านหลังนาง กระชากเสื้อคลุมออกกดร่างนางลง ให้ดวงหน้าแนบฟูก ใช้ลำตัวแสนหนักอึ้งพาดตัวไว้กันนางดิ้นหนี“หากเจ้าดิ้น ยามแผลแห้งมันจะไม่สวยเท่าไร” คำขู่นี้ไม่เป็นผลเพราะยิ่งทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายใจกดแผ่นเหล็กนี้จนลึก“เจ้าคนชั่วช้า ข้าเกลียดท่าน!!” เสียงหวานเอ่ยลอดไรฟัน แนบใบหน้านอนนิ่ง หลับตาขณะที่กระไอร้อนของตราประทับใกล้เข้ามา“ตรานี้ เป็นรูปเสือ ซึ่งจะมีเจ้าเพียงคนเดียวที่มีสัญลักษณ์นี้” พูดจบมือแกร่งกดแท่นตราลงผิวเนื้อช่า....“อ๊า.....อ่า........ ข้าเกลียดท่านนนนน” ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนสุดเสียงแข่งกันเสียงเผาไหม้เนื้อนุ่มยามแท่นร้อนกดลงนางเจ็บแสบจนน้ำตาไหลริน ได้กลิ่นเนื้อ กลิ่นควันโชยบนแผ่นหลัง ได้ยินเสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงของชายด้านบน“ส่วนข้าเป็นตรามังกร ซึ่งมีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสัญลักษณ์นี้” เขายกแท่งเหล็กออกแล้วโยนทิ้ง เคร้ง!!โน้มหน้าลงใกล้ ถลกชายผ้าคลุมนางขึ้นจนกองบั้นเอว ดึงสะโพกนางจ
บทที่ 16 โจวจางหมิ่นยามเหม่าของทุกเช้าคือเวลาตื่นนอนเป็นประจำตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ว่าบุรุษผู้นี้เข้านอนตอนกี่ยามก็ตามโจวหมิงเจ๋อขยับเปลือกตาลืมขึ้นพลันนึกได้ว่ามีสตรีนอนอยู่ด้วยข้างกายผิดไปจากทุกวัน พลิกตัวตะแคงข้างวาดโอบเอวเล็กดึงเข้าหา เอนกายขึ้นเท้าฝ่ามือบนศีรษะมองดวงหน้าหวานใบหน้าไป๋หลินเอ๋อร์ไม่ได้สวยดั่งสาวห้องหอ ติดกระด้างไปด้วยซ้ำ ทว่าบางอย่างในตัวนางที่กะเทาะเข้ามา เขาลูบข้อมือเล็กบอบช้ำเป็นรอยเขียวดำแดงชอกช้ำจากโซ่ตรวนเหล็ก โน้มหน้าลงจุมพิตบาดแผลไฟไหม้บนไหล่ขาวมน“ถึงเวลาต้องตื่นแล้วหลินเอ๋อร์”โจวหมิงเจ๋อค่อยเอ่ยกระซิบปลุกนางแผ่วเบา แต่แม่นางน้อยยังนิ่งเงียบจนเขาขมวดคิ้ว เอามืออังหน้าผากแล้วพบว่าไข้ขึ้นสูงจึงหน้าเสีย ตะโกนเสียงดังทันที“ซิงเยียน ชางซิงเยียน!!” ตะโกนเรียกเป็นพักจึงนึกได้ยังไม่ถึงเวลาขึ้นมาชั้นเก้า รีบวาดขาลงจากเตียงสวมชุดไม่ทันได้เกล้าผม เร่งฝีเท้าลงไปยังชั้นห้าก๊อก ก๊อก!! แอ๊ด...ชางซิงเยียนถึงกลับตกใจตาค้าง มองใบหน้าแกร่งของนายท่านในยามนี้เป็นเงาทะมึน ร้อนรนจนเหงื่อซึม“นะ นายท่าน วิ่งมาหรือเจ้าคะ”“เปล่า ตามหมอมาที ฮูหยินเป็นไข้”ได้กล่าวสั่งไปแล้วจึงเ
บทที่ 17 จะเคี่ยวกรำเองกับมือ“เจ้าฟื้นแล้ว” เสียงหวานนุ่มแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินคือเสียงของชางซิงเยียน นางกะพริบเปลือกตาก่อนจะยกมือขึ้นบังแสงพระอาทิตย์ในยามโฉ่ว[1]“เจ้าหลับไปนานมากจนข้านึกกลัว หิวหรือไม่ ข้าเตรียมโจ๊กปลาไว้ให้เจ้าแล้ว”ไป๋หลินเอ๋อร์พยุงร่างขึ้นนั่งโดยมีชางซิงเยียนประคอง“เจ้าไข้ขึ้นสูงมาก จนนายท่านหน้าเสียเลยเชียวหล่ะ”ไป๋หลินเอ๋อร์มองถ้วยโจ๊กในมือชางซิงเยียน “ข้าอยากกลับห้องตัวเอง”“ข้าเกรงว่าจะไม่ได้เสียแล้วหลินเอ๋อร์” ชางชิงเยียนตักโจ๊กยื่นมาตรงหน้า “ไม่...ไม่ถูกต้อง ข้าต้องเรียกเจ้าว่าฮูหยิน อ้าปากก่อน”“ข้าไม่ได้อยากเป็นฮูหยิน ข้าไม่แต่ง ถึงเขาจับแต่งข้าก็จะหย่า”“ข้าบอกให้อ้าปากก่อน ท่านหมอกำชับหนักหนาให้เจ้าทานของบำรุง เร็วอ้าปาก”“เจ้าไม่ฟังข้าเลย” ไป๋หลินเอ๋อร์แม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจแต่ยังยินยอมอ้าปากรับโจ๊กด้วยความหิว“ข้าฟังเจ้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะตัดสินได้ เอาเป็นว่าเจ้ารอพูดคุยกับนายท่านแล้วกัน”“แล้วตอนนี้แม่นางอวี้เจียวอยู่ไหน”“นายท่านยกนางให้กับเฉียนฟานแล้ว แต่ดูเหมือนเฉียนฟานเองก็ไม่ใคร่ไยดีอวี้เจียวเท่าไรนัก”“ข้า ... ข้า...” ไป๋หลินเอ๋อร์ต้อ
บทที่ 18 ฮูหยิน“พี่หลินเอ๋อร์”ไป๋หลินเอ๋อร์เอนตัวขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียงหวานนุ่มคุ้นเคย“จางอวี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ท่านมาถามอะไรข้า ดูตัวท่านเสีย สะบัดสะบอมขนาดนี้” จางอวี้โผตัวขึ้นมานั่งขอบเตียงทันที แล้วจับเนื้อตัวสำรวจ “ท่านยังมีไข้ นายน้อยหญิงแจ้งข้าให้ทราบแล้วว่าท่านพี่ป่วยหนัก หิวหรือไม่ ดื่มชาหรือขนมของว่าง”“ไม่ ข้าไม่หิว จริงสิ ทางเรือนหลักเรียกยิ่งตี้ขึ้นห้องนายน้อยอีกหรือยัง”“จากวันนั้นยังเจ้าค่ะ โชคดีของข้า เมื่อเช้านี้ข่าวลือหนาหูว่านายน้อยโยนกระถางไฟทิ้งมุมห้อง ไม่รู้ว่าโมโหเรื่องอะไร” จางอวี้พยุงไป๋หลินเอ๋อร์จนลุกนั่ง“ดีแล้วที่ข้านึกขึ้นได้ ช่วยเจ้าขึ้นมาอยู่ข้างบนเสียก่อน”“แล้วที่เขาลือกันว่าพี่ได้เป็นฮูหยินคนใหม่ของนายท่าน ก็เรื่องจริงน่ะสิ”“อืม”“แล้วเหตุใดเนื้อตัวท่านถึงมีแต่แผลเช่นนี้ ฝ่ามือยังพันผ้าไว้ แล้วแผลที่หัวไหล่ท่าน น่ากลัว”“ข้ามิรู้จะเล่ายังไง เอาเป็นว่ามันเป็นตราประทับรูปอะไรสักอย่าง คงต้องรอให้แผลหายเสียก่อนจึงจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แล้วนี่ฮุ่ยหรูโดนทำอย่างข้าหรือเปล่า”“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เจ้าค่ะ”“แปลกมากหรือว่าเจ้าปีศาจนั้นกุเรื่
บทที่ 19 นายน้อยยามสายของสำนักคุ้มภัยในวันที่ไร้ผู้คนอย่างน่าประหลาด ไป๋หลินเอ๋อร์พบว่าคนของสำนักคุ้มภัยไปปฏิบัติภารกิจกันเกือบหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงคนเดินยามและคนดูแลทั่วไปไม่กี่คน นอกนั้นคือแม่ครัว คนทำความสะอาด“สะดวกยิ่ง” นางพึมพำคนเดียว“พี่หลินเอ๋อนร์ขมุบขมิบปาก” จางอวี้มองอย่างสงสัย ไป๋หลินเอ๋อร์จึงแก้เก้อด้วยการโยกหัวจางอวี้แล้วรีบเดินนำหน้า“เจ้านั่นล่ะมัวแต่คุยฟุ้งผู้เดียว นี่เราเดินมาจนถึงเรือนหลักแล้ว”“ไปทางนี้เจ้าค่ะ”จางอวี้เดินนำอย่างรู้ทาง ยิ่งสะดวกไร้คนเดินยามสองสาวจึงยิ้มหัวสบายใจ กระทั่งมาถึงกลางทางเดินทำจากไม้เนื้อดีงดงามตียกพื้นขึ้นจากพื้นดิน“นายน้อย” จางอวี้กระซิบรำพึงก้มหน้าใช้มือสะกิดเตือน ไป๋หลินเอ๋อร์จึงสังเกตเห็นบุรุษหนึ่ง รูปร่างไม่ได้แกร่งตัวหนาเท่านายท่าน ทว่าสูงโปร่งเกร็งกล้ามเนื้อเดินตรงมาสวนทางกันไป๋หลินเอ๋อร์ แม้ยังไม่ทันได้ยกน้ำชาแต่ทุกคนในสำนักต่างรับทราบว่านางเป็นฮูหยินคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นนางจึงยืนนิ่งไม่ได้ก้มหน้าลงต่ำเช่นจางอวี้“ที่แท้ก็ฮูหยินของท่านพ่อนี่เอง” หางเสียงติดก้าวร้าวจนนางแปลกใจ แต่ใบหน้ายังยิ้มเยือนทักทาย“นายน้อย”“ข้าเ
บทที่ 20 หนียามอิ๋นในเวลานี้มืดมิดและวังเวง ยังไม่มีผู้ใดในสำนักตื่นยกเว้นเพียงคนเดินเวรยามเท่านั้น“จางอวี้”ไป๋หลินเอ๋อร์ลงจากเตียงเขย่าร่างของจางอวี้ที่นอนอยู่เตียงถัดไปไม่ไกลกัน“อืออ พี่หลินเอ๋อร์”“ตื่น ๆ เราต้องไปแล้ว”“ไปไหนกัน นี่ยังมืดอยู่เลย” จางอวี้งัวเงียขยี้ตา มองไป๋หลินเอ๋อร์ชะโงกหน้าด้านบน“หนี ไปเถิดรีบหน่อย”“หนี!!” คราวนี้จางอวี้ลืมตาเต็มทั้งสองข้างผวาลุกขึ้นนั่ง มองฮูหยินคนใหม่หยิบมีดเล็กสำหรับปอกผลไม้ และมีอาหารที่เหลือจากยามค่ำใส่ในห่อผ้า“ใช่หนี ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ ขืนอยู่ สักวันข้าและเจ้าคงไม่พ้นต้องตาย”“แต่ว่า พี่หลินเอ๋อร์ เราหนีไม่พ้นหรอก”“จางอวี้” ไป๋หลินเอ๋อร์หยุดมือเดินกลับมาทางเตียงยกมือวางบนไหล่ทั้งสองข้างของจางอวี้ “ช่วงเวลานี้คือเวลาที่ดีที่สุด สำนักคุ้มภัยเหลือคนอยู่น้อยมาก จะไม่มีใครรู้ว่าเราหายไปจนกว่าจะยามเฉิน เราจะไปทางป่าไผ่”“แต่เมื่อวานนี้ฮุ่ยหรูเพิ่งเล่าให้ฟังว่าคนในสำนักเข้าไปล้วนไม่ได้กลับออกมา”“เจ้าอย่าไปฟังความมาก ที่คนพวกนั้นไม่กลับมาคงไม่อยากกลับมาเองต่างหาก ข้าคิดว่าในป่าไผ่ต้องมีทางออก ไม่เช่นนั้นจะห้ามคนเข้าไปทำไมกัน”“พี่หลินเอ๋
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด