บทที่ 27 โจวจางหมิ่น
“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น
“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”
“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”
“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”
มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ
“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”
โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”
แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง
“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเสพอภิรมย์สตรีคนเดียวกับท่านพ่อ จะให้ความรู้สึกเช่นไรกัน”
สีหน้ายามนี้ของโจวจางหมิ่นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น มืดหม่นและตัณหาระคนปะปน ยิ่งทำให้ไป๋หลินเอ๋อร์สะท้านตัวสั่นเทิ้ม มือเล็กยกขึ้นทับมือเขาไว้ หาทางประวิงเวลา สวดอ้อนวอนในใจให้โจวหมิงเจ๋อตามมาโดยเร็ว
“มะ ไม่ลองดูหรือ”
เพียะ!!
สิ้นคำโจวจางหมิ่นใช้สันมือฟาดลงใบหน้าหวานจนนางล้มคว่ำลงอีกครั้ง ก่อนกระชากผมนาง ดึงจนร่างของนางห้อยโหนเท้าแทบไม่ติดพื้น
“นังหญิงคณิกา!! หญิงเช่นนี้ได้เป็นฮูหยิน ถุยยย!”
นางหลับตาปี๋เมื่อโจวจางหมิ่นขากน้ำลายพ่นใส่หน้า เขาดึงผมนางลากร่างอ่อนบางไปยังปากเหว
“ยะ อย่า ปล่อยข้าเถิดดด ข้าจะหนี ไม่อยู่ที่นี่”
น้ำเสียงอ้อนวอนครั้งสุดท้ายเล็ดลอดอย่างยากลำบาก โจวจางหมิ่นคว้าลำคอนางไว้บีบแน่น
“หญิงแพศยาเช่นเจ้า อยู่ไปย่อมทำให้แผ่นดินตระกูลโจวตกต่ำ ลงไปอยู่ในนรกเสียเถิด!!”
นางเพ่งมองด้านล่างปากเหวขาสั่นเทิ้ม มือจับข้อมือแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาผลักร่างนางลงไป
แต่แรงบุรุษย่อมมีมากกว่าสตรี เขาจับมือนางออกยกสูงแสยะยิ้มนัยน์ตาดำมืด
“หยุดนะ จางหมิ่นน!!”
ไป๋หลินเอ๋อร์ดวงตาวาวแสงส่องประกายความหวังเมื่อได้ยินเสียงโจวหมิงเจ๋อ
“ช่วยข้าด้วย ช่วยด้วยย”
“ปล่อยนาง มีอะไรค่อยพูดจา” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยเสียงเบาปลอบประโลมผิดไปจากสีร้อนรน
“ค่อยพูดจา!! ท่านทำร้ายแม่ข้า ขังนาง แล้วให้นังแพศยาคนนี้ได้อยู่เคียงท่าน หมดเวลาพูดจากันแล้วท่านพ่อออ!”
โจวจางหมิ่นคว้าร่างเล็กเข้าในอกแล้วซ้อนหลัง หยิบมีดพกเล็กขึ้นมาจ่อคอหอยไป๋หลินเอ๋อร์ นางรีบยกมือกำข้อมือโจวจางหมิ่นไว้ขืนแรงไม่ให้มีดกดลึกบาดเนื้อ
“ท่านแม่เจ้าทำผิดร้ายแรง”
“ทำผิดร้ายแรง! ท่านเห็นนางเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูกหรือไม่ท่านพ่อ หรือท่านใช้นางจนพอใจเสร็จสมแล้วเขี่ยทิ้ง”
“แม่เจ้าทำผิดกฎ ร้ายแรงจนไม่อาจให้อภัย”
“ท่านมันเป็นอสูรใจคอเยี่ยงสัตว์ ท่านลงมือทำกับนางได้ลงคอ ท่านควักลูกตานาง ตัดลิ้น”
“ทุกสิ่งล้วนมิใช่ข้ากระทำ”
“ไม่ใช่ท่าน!! ท่านคือกฎของที่นี่ ในตระกูลโจวท่านคือผู้ที่อยู่จุดสูงสุด แม้ว่าท่านไม่ได้ลงมือเอง เพียงออกคำสั่งก็เหมือนว่าได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง”
“เจ้าควรใจเย็นลงก่อน”
โจวหมิงเจ๋อขยับกายอีกก้าว แต่โจวจางหมิ่นถอยหลังอีกก้าวเช่นกัน ทำให้เขาต้องหยุดเท้าลง มองสตรีในอ้อมกอดบุตรชายที่บัดนี้ใบหน้างดงามเปื้อนคาบน้ำตา และแววตาตื่นกลัว
ในมือบุตรชายคือมีดพกประจำตระกูลที่เขาได้มอบให้เมื่ออายุสิบขวบปี เขาไม่คาดมาก่อนว่าบุตรชายซุกซ่อนความลับ ความเคียดแค้นไว้ในใจมาตลอดหลายปี
เขาคิดเอาเองว่าการที่เขาไว้ชีวิตภรรยา แล้วให้บุตรชายมาเยี่ยมเยียนบ้างในบางคราว จะทำให้บุตรชายเข้าใจถึงความผิดที่นางกระทำลงไป
แต่มาบัดนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าที่เขาเลี้ยงดูดั่งบุตรชายกำลังทำเรื่องอกตัญญูต่อเขาที่ได้ชุบเลี้ยงมา ให้บุรุษผู้นี้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’
“หากเจ้ากระทำสิ่งนั้น ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า”
โจวหมิงเจ๋อสูดลมหายใจพยายามลดความตึงเครียดที่เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าไร้สีเลือดของไป๋หลินเอ๋อร์ หัวใจบีบรัดอย่างไม่น่าเชื่อ ชายที่ผ่านการเข่นฆ่า ล้างมือด้วยเลือดมากกว่าน้ำเปล่า กำลังหน่วงในทรวงอก ชีพจรเต้นถี่รัวด้วยความกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขายกคันธนูขึ้นเหยียดตึงด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงตาสีนิลมั่นคงแน่วแน่ จ้องมองเพียงดวงหน้าของโจวจางหมิ่น
“ฮะ ฮ่า ท่านพ่อ เพียงแค่หญิงแพศยา ท่านถึงกลับยอมฆ่าบุตรชาย ท่านลุ่มหลงในสตรีนางนี้จนหลงลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมกระทั่งลูก เมีย”
โจวหมิ่งเจ๋อเหลือบมองสีหน้าไป๋หลินเอ๋อร์ที่บัดนี้ซีดเผือดลงอีก ที่กำลังส่ายหน้าเบา ๆ ไม่ให้เขากระทำการบุ่มบ่าม สตรีร่างเล็กใบหน้าธรรมดา ทว่าเขากลับมีจิตผูกพันกับนางอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเห็นแวบแรกเขาพลันรู้ได้ทันใดว่านางคือสตรีที่เขารอมานาน
“อย่าให้พ่อต้องลงมือ โจวจางหมิ่น”
โจวหมิงเจ๋อกดเสียงต่ำข่มขู่ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นอีกหลายส่วนยามเห็นเลือดบนลำคอระหง
“จุ๊ ๆ ท่านเจ้าสำนักยังเรียกตนเองว่า ‘พ่อ’ ช่างน่าขัน” โจวจางหมิ่นถอยหลังอีกก้าวอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านรู้หรือไม่ว่า ตั้งแต่เด็กผมปวดร้าวเพียงใดยามมองมารดาไร้ดวงตา ซ้ำพูดไม่ได้ ท่านฆ่าท่านแม่ทิ้งเสียแต่แรกยังดีกว่า”
“ข้าเพียงคิดว่ามันอาจดีกว่า”
“ดีกว่า!! ดีกว่าอะไรกัน ท่านเลี้ยงดูนางอย่างน่าเวทนา ในกระท่อมรกร้างห่างไกล”
“จางหมิ่น...”
“หยุด! หากท่านก้าวเข้ามาอีกก้าว ข้าจะกับฮูหยินของท่านจะร่วงลงไปพร้อมกัน”
น้ำเสียงแข็งกระด้างพ่นออกมาเสียงดังก้องป่า ไป๋หลินเอ๋อร์จ้องไปยังโจวหมิงเจ๋อนิ่ง สบตาสีนิลแล้วเบิกกว้างขึ้น นางรู้ว่าเขากำลังทำอะไร นางอยู่กับบุรุษผู้นี้ไม่นานนักแต่กลับรู้ว่านิสัยเย็นชาไร้หัวใจนั้น ไม่ใช่เรื่องจริง
ยามร่วมเตียงเขาผ่อนแรงให้นางหลายส่วน ดูแลนางและคนในสำนักคุ้มภัยอย่างดี เว้นเสียแต่ว่าผู้ใดทำผิดกฎเขาจึงไม่อาจยอมได้ บุรุษผู้นี้เป็นผู้คุ้มกฎ คุมบังเหียนใหญ่ของสำนัก ฉะนั้นหากไร้ซึ่งกฎระเบียบสำนักคุ้มภัยอาจล่มสลายลง
สีหน้าโจวหมิงเจ๋อยามนี้หวั่นวิตกระคนหวั่นกลัว มือจับคันธนูนิ่งทว่าเหงื่อผุดซึมไรผม ดวงตาสีนิลคมกล้าตวัดมองนางเพียงครู่
ฟวับ ฟุบ ปึก
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทนำอว๊ากกกกส์ ..... ควับ .... ควับ .....ชายร่างสูงใหญ่ส่วนชุดเซินอีสีดำคาดผ้ารัดเอวห้อยหยกแดง เนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรสลับเสือน่าเกรงขามยืนนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงแม้ว่ามือกำลังขีดเขียนตัวอักษรฝึกสมาธิด้วยพู่กันขนม้าด้ามไม้กฤษณาอวลกลิ่นหอมเส้นผมสีดอกเลาแซมปะปนสีดำขลับมัดรวบขึ้นกลางศีรษะประดับด้วยสายรัดพลอยแดงเม็ดใหญ่ ดวงหน้างดงามราวเทพเซียนทว่ารอบกายกลับแผ่รังสีเย็นชาโหดเหี้ยมแปะ ... โจวหมิงเจ๋อคิ้วเรียวดุจกระบี่กำลังขมวด เพ่งมองหยดเลือดกระเซ็นออกมาจากตัวนักโทษหล่นลงบนกระดาษสาม้วนยาวเบื้องล่าง เขาเงยศีรษะขึ้นจ้องไปยังหนุ่มร่างสันทัดกรอบหน้าเหลี่ยมตาตี๋ผิวดำคล้ำซึ่งบัดนี้แดงฉานชุ่มด้วยเลือดโชกจนน่าสะอิดสะเอียน มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยโซ่ตรวนใหญ่แขวนบนขื่อคานจนตัวลอยเท้าแทบไม่ติดพื้น“ระวังด้วย เลือดหยดลงมาบนกระดาษ” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชา อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวรวมไปถึงดวงตาสีนิลลึกล้ำจนยากหยั่งถึง ดำมืดดั่งรัตติกาล“ขอรับ” เฉียนฟานองครักษ์คนสนิทก้มศีรษะรับคำเย็นชาพอกันกับเจ้านาย แล้วรัดแส้สำหรับฟาดม้าพันรอบฝ่ามือหลายทบขึ้นอีกเพื่อลงแรงได้ถนัด สะบัดไปทิศทางตรงข้า
บทที่ 1 ยิ่งตี้ในยุคสมัยชินชิวจ้านกว๋อ การแต่งงานสมรสหมู่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายคล้ายค่านิยมของบ่าวสาว กล่าวคือ หากเจ้าสาวบ้านใดมีฐานะร่ำรวยมั่งมี การแต่งงานแบบยกทีมฝ่ายหญิงขบวนจะยิ่งมากมายยาวเหยียดเมื่อชายใดพึงพอใจหญิงบ้านใด พาแม่สื่อสู่ขอตามประเพณีพิธีการมาเป็นภรรยา พ่อแม่ฝ่ายหญิงนอกจากจะยกลูกสาวตนให้ด้วยความเต็มใจแล้ว ยังใจดีแถมเมียบำเรอกามให้อีกโขยงใหญ่คล้ายสินสอดที่เจ้าสาวนำมาฝากเป็นของกำนัลฝ่ายเจ้าบ่าวยิ่งรวย ขบวนยิ่งยาว ไม่ว่าจะเป็นหลานสาว ลูกพี่ชาย น้องชาย พี่สาวน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าสาว หรือสาวใช้ส่วนตัวก็ตาม ยิ่งเอิกเกริก ยิ่งมีหน้ามีตา แต่หาใช่จะมีแต่หญิงสาวเท่านั้น ฝ่ายเจ้าสาวจะนำเพศชายบุรุษรูปงามรวมไปในขบวนด้วย มาเพื่อทำหน้าที่เต้นระบำ ฟันดาบ หรือแม้กระทั่งเสพสังวาส เพื่อป้องกันมิให้บุตรเขยตนเที่ยวซ่องโสเภณีชายหากเจ้าบ่าวมิชื่นชอบ ชายเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นคนรับใช้ภายในจวน หรือขายออกไปก็ย่อมได้ซึ่งของกำนัลเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ยิ่งตี้’ไป๋หลินเอ๋อร์ นางเป็นเพียงหญิงรับใช้ซื้อมาเพื่อเสริมให้ขบวนยิ่งตี้ยิ่งใหญ่สมฐานะตระกูลฮุ่ย พ่อค้าขายผ้าแพร นางเด
บทที่ 2 ตระกูลโจวงานแต่งตระกูลโจวผู้มากด้วยเงินทอง ชื่อเสียง ด้วยฐานะสำนักคุ้มภัยอันเลื่องชื่อ แม้กระทั่งผู้ครองนครแห่งรัฐฉินยังเกรงใจถึงแปดส่วน ย่อมเอิกเกริกและใหญ่โตมากด้วยผู้คน โต๊ะกินเลี้ยง และงานรื่นเริงสามวันสามคืนมิได้หยุดหย่อนแต่ทว่าเรือนนอนที่จัดไว้ในเหล่ายิ่งตี้เล็กนัก ไป๋หลินเอ๋อร์พลิกตะแคงตัวนอนเบียดเสียดแถวเรียงหนึ่งบนพื้นกระดานในห้องโถงกลาง มีเพียงฟูกนอนไร้ผ้าห่ม ซ้ำอากาศยามนี้ล่วงเข้าปลายหน้าฝนนำพาลมเย็นยะเยือกนางไม่อาจหลับได้ลงจริง ๆ จะพลิกนอนหงายยังไม่ได้ จึงพยุงกายขึ้นนั่ง “เฮ้อ...”“พี่หลินเอ๋อร์” เสียงเล็กกระซิบเรียกแล้วเอนกายขึ้นจากพื้นเรือนเช่นเดียวกัน“ยังไม่หลับอีกหรือจางอวี้”“เจ้าค่ะ ร้อนเกินไป”จริงดั่งที่จางอวี้ว่า แม้ว่าภายนอกฝนลงเม็ดพรำและเย็นยะเยือกแต่ภายในเรือนเล็กกลับอับชื้นจนเหนียวตัว“ถ้าเช่นนั้น ออกไปเดินเล่นดีหรือไม่ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไป๋หลินเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที “ออกไปเดินเล่นฟังมโหรสพหรือดูโคมไฟยังดีกว่านอนแออัดราวหมูในคอก”“คิก คิก พี่หลินเอ๋อร์เข้าใจพูดเปรียบเทียบ เจ้าค่ะ ไปก็ไป”ร่างเล็กกว่าของจางอวี้วิ่งตามร่างสูงระหงอวบอิ่มของไป๋หลินเ
บทที่ 3 วันเข้าหอ“รูปงามจังเลยพี่หลินเอ๋อร์” จางอวี้รำพึงรำพันแผ่วเบาในลำคอ ยามมองโจวจางหมิ่นด้วยดวงตาเพ้อฝันไป๋หลินเอ๋อร์ยกยิ้มอ่อนใจ “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ ภายนอกรูปหยก ภายในปุยนุ่น โจวจางหมิ่นอาจมีดีแค่รูปโฉม”“พี่หลินเอ๋อร์ไม่ชอบก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อท่านอายุมากแล้ว”นางเบิกตากว้างเอี้ยวหน้าไปมองจางอวี้ที่บัดนี้ พวงแก้มสองข้างประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวดำ หลงรูปเจ้าบ่าวเข้าเต็มเปา“จุ๊ ๆ ๆ เจ้านี่ เห็นบุรุษเป็นไม่ได้ วาจาพลันเปลี่ยน จิตใจแตกซ่าน”“ชู่ว ... พี่หลินเอ๋อร์ อย่าเพิ่งพูดนั่นมีอีกขบวนเดินมาแล้ว”กลุ่มคนประมาณสิบห้าคนล้วนอาภรณ์สีดำเนื้อดี เดินนำหน้าด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายคมสันสะดุดตายิ่ง มองจากระยะไกลยังมองเห็นความสง่าน่าเกรงขามยิ่งกว่าโจวจางหมิ่น ผมสีดอกเลาแซมอย่างชายวัยสี่สิบรวบมัดตึงผูกด้วยสายรัดประดับพลอยแดงเนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรร้อยกระหวัดตัวเสืออ้าปากใส่กัน ไป๋หลินเอ๋อร์ดูแล้วคาดเดาว่าคงเป็นบุคคลสำคัญไม่ใช่น้อย คนข้างกายล้วนนอบน้อมเห็นได้ชัด“ใครกันจางอวี้”“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ให้เดาคงเป็นโจวหมิงเจ๋อ ประมุขตระกูลโจว”ไป๋หลินเอ๋อร์เผลอยกมือลูบแขนไม่รู้ตัว อ
บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อโจวหมิงเจ๋อลงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นเดิมอย่างที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต กลิ่นคาวเลือดของสาวแรกรุ่นยังกรุ่นขึ้นกระทบนาสิกเนือง ๆ ยิ่งเกิดอาการซ่านในทรวงอกไม่ว่าตำราเก่าแก่โบราณสั่งสอนให้สะกดจิตใต้สำนึกไว้เพียงไร ทว่าโจวหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจ เขาถือว่าการเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด หากร่างกายต้องการย่อมต้องปลดปล่อย“นายท่าน”เสียงเฉียนฟานหยุดเขาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินขึ้นถึงชั้นสาม ชีพจรรัวกระหน่ำสะกดด้วยยุทธิ์ลมปรารณ หลับตานิ่งกำหนดจุดหันกายไปยังคนสนิท“ทางคุณหนูฮุ่ยหรูได้นำขบวนสินสอดยิ่งตี้มาด้วยขอรับ”“อืม”“เพียงแต่ว่า ...” เฉียนฟานอึ้งไปครู่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี“อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง เจ้ารู้นิสัยข้าดี”“ขอรับ ขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกยิ่งทั้งชายหญิงล้วนนับรวมได้เกือบร้อยคน”“ร้อยคนเชียวหรือ”“ทางตระกูลฮุ่ยไม่ได้แจ้งข่าวล่วงหน้า ทำให้เรือนนอนไม่พอ คืนนี้จึงจัดให้นอนเรือนเล็กด้านหลังกันไปก่อน”โจวหมิงเจ๋อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้นสาม เสียงฝนพรำตั้งแต่ยามซวี[1] อากาศหนาวลมเหนือระลอกแรกพัดเหนือยอดหลังคาปูนปั้นเสือในทุกเช้า“แล้วฟูกนอน ผ้าห่ม”“ไม่เพียงพอขอรับ”“พรุ่งนี้จัดการแบ่งยิ
บทที่ 5 ท่านเจ้าสำนักเสวี่ยจงขบวนยิ่งตี้มากมายเกือบร้อยชีวิตเดินหน้ากระดานแถวเรียงห้ายาวเหยียดจนน่าขันโจวหมิงเจ๋อมองลงมาจากชั้นเก้าเห็นเพียงกลุ่มคนตัวเล็กดั่งมดตัวน้อยค่อยเดินแถวเป็นระเบียบเข้ามายังเสวี่ยจงโหลว หอเก้าชั้น“เฉียนฟาน เจ้าให้ซิงเยียนจัดการยิ่งตี้ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้แยกไปที่โถงกลาง ตั้งแถวเรียงตามอายุ”“ขอรับ”เขาวางฝ่ามือลงราวกันตก ต้นยามเฉิน[1]แสงอาทิตย์พ้นขอบฟ้ามาได้สักพักแล้วตระกูลฮุ่ยนับว่าเป็นตระกูลดีร่ำรวยมากด้วยร้านค้าแพรพรรณ ทั้งยังที่นา ไม่นับโรงจำนำตั้งอยู่ยังแคว้นฉีเสียดายเพียงตระกูลนี้เป็นตระกูลพ่อค้า คิดสิ่งใดก็คิดดั่งพ่อค้า การจัดขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกก็เพื่อแสดงว่าตนร่ำรวยมหาศาลราวต้องการข่มตระกูลโจวแต่แล้วหางคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อได้เห็นขบวนแปลกประหลาดด้านล่างล้มลงบัดนี้ ขบวนสาวงามยิ่งตี้แยกจากขบวนบุรุษ ทอดยาวหน้ากระดานเรียงห้าตามคำสั่ง ทุกสาวงามล้วนงดงามและดวงหน้าตื่นตระหนก ยิ่งเดินเข้าใกล้หอเสวี่ยจงสูงถึงเก้าชั้น ยิ่งพากันส่งเสียงเซ็งแซ่“เงียบ!!”ป้าลี่ผู้นำขบวนตะวาดเสียงก้อง ยิ่งตี้ทั้งหลายเงียบเสียงเชื่อฟัง ไป๋หลินเอ๋อร์มองเบื้องบนยอดสูงสุดของอ
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด