แชร์

บทที่ 26 โจวจางหมิ่น

ผู้แต่ง: พริมริน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-21 11:39:31

บทที่ 26 โจวจางหมิ่น

ยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้น

นางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลัง

ทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อย

นางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ

“ท่านแม่”

นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว่าใบหน้ากร้าวกระด้างมิได้แสดงออกดั่งเช่นการกระทำ

“โจวจางหมิ่น”

“ท่านแม่เรียกข้าเสียห่างเหิน ลูกคนนี้กระทำสิ่งใดขัดใจท่านแม่หรือ”

โจวจางหมิ่นเคลื่อนกายเข้ามาใกล้แผ่วเบาราวเสือล่าเหยื่อจนนางมิรู้ตัว ตะล่อมพาออกเดินไปยังโถงทางเดินสวนหลังเรือนหลัก

“ข้ามาวันนี้มีเรื่องต้องการเจรจา”

“ข้าหวังว่าเรื่องที่ท่านแม่จะพูดออกมา จะเป็นเรื่องที่ทำให้ข้าพึงพอใจ”

ไป๋หลินเอ๋อร์เกร็งร่างไปทั้งตัว น้ำเสียงกดต่ำข่มขู่คุกคามชัดเจน แต่ใบหน้ายังโค้งด้วยรอยยิ้มขณะพานางเดินออกจากสวนไปยังป่าทึบหลังเรือนหลักที่นางไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีอยู่

ยามนี้แม้ว่ายังมีพระอาทิตย์ส่องแสงแต่พอเดินเข้ามายังป่าทึบด้านหลังพลันมืดครึ้มไร้แดดส่องถึงพื้น นางเผลอตัวแหงนดวงหน้ามองสูงยังยอดต้นสน ทางเดินเป็นหินตะปุ่มตะป่ำ กลบด้วยใบไม้ร่วงเปลี่ยนสีงดงามและน่ากลัวในคราวเดียวกัน

“ป่าสนแทบนี้ขึ้นหนาทึบจนแสงไม่เคยส่องถึงพื้นตลอดทั้งปี ทำให้เกิดตะไคร้บนทางเดิน ขอท่านแม่จงระมัดระวัง”

“ท่านกำลังพาข้าไปไหน”

ไป๋หลินเอ๋อร์หยุดเดินทันที นางเลื่อนสายตากลับไปยังโจวจางหมิ่นยังส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะดันแผ่นหลังนางให้เดินต่อ

“ข้าจะพาท่านไปพบกับคน ๆ หนึ่ง”

“ใครกัน”

“ไปถึงแล้วท่านจะรู้เอง”

โจวจางหมิ่นไม่ยอมให้นางถอยหลังกลับ ดันแผ่นหลังให้นางเดินต่อไปเรื่อย ๆ ราวหนึ่งเค่อนางจึงได้เห็นกระท่อมเล็กคล้ายคลึงกับบ้านหลังนั้น

“กระท่อม”

“มีคนรออยู่ข้างใน”

“ไม่ ๆ”

ไป๋หลินเอ๋อร์ขืนตัวทันทีแต่โจวจางหมิ่นรวบต้นแขนนางไว้บีบแน่น ชะโงกหน้าลงมารอยยิ้มกว้างแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม

“จะรีบไปไหนท่านแม่ เชิญเข้าบ้านเสียก่อน”

นางถูกลากด้วยแรงชายขืนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์จึงปล่อยให้เขาพาตรงไปยังกระท่อมหลังเล็ก เขาก้มลงหยิบกุญแจไขโซ่ตรวนออกแล้วผลักประตูออกกว้าง

เป็นจริงที่นางคาดการไว้เมื่อได้เห็นกระท่อม หญิงบ้าโจวหนิงเหมยยืนนิ่งเคว้งคว้างทึมทื่อ แต่เพียงได้ยินเสียงประตูกับผวาโผมาทางนาง โจวจางหมิ่นผลักนางเข้าหาหญิงบ้าทันที

“ไม่ ๆ ท่าน” ไป๋หลินเอ๋อร์ร้องเสียงหลงหลบหลีกโจวหนิงเหมยที่เอื้อมมือออกมาคว้าตัวนางไว้

“อือออ อา อือออ” เสียงคนใบ้ลอดออกมา ดวงหน้าคล้ายดีใจที่มีคนเข้ามาภายในบ้านหลังเล็ก

“ท่านแม่”

เสียงทุ้มต่ำให้ความเคารพขึ้นอีกหลายส่วนจนนางแปลกใจ ตวัดสายตาไปมองแล้วพลันพบว่า โจวจางหมิ่นมิได้พูดกับนาง

“ท่านแม่?” นางทวนคำพึมพำสงสัย

ตวัดตากลับมายังหญิงบ้าที่ดึงข้อแขนนางอย่างแรง ดวงหน้าขรุขระปุปะด้วยแผลเป็น และเบ้าตาลึกเนื้อโปดจากแผลของการควักลูกตาน่าสะอิดสะเอียน

“ใช่แล้วท่านแม่” โจวจางหมิ่นเอ่ยย้ำพลางยิ้มอ่อนเมื่อมองมารดาตัวจริง

“ตะ แต่ว่า ฮูหยินตายไปแล้ว”

“ตายไปแล้ว!!! ฮึ ท่านเจ้าสำนักแค่ปล่อยข่าวลือเพื่อไม่ให้ใครรู้ถึงสิ่งที่ตนทำอย่างน่ารังเกียจ ชั่วช้ายิ่งกว่าปีศาจ ใจคอโหดเหี้ยมผิดมนุษย์”

“อืออ อา อือออ”

โจวหนิงเหมยปล่อยมือจากแขนไป๋หลินเอ๋อร์แล้วโผเข้าหาลูกชายแทน นางลูบเนื้อตัว ใบหน้าด้วยความรักใคร่พร้อมสะอื้นไร้น้ำตา

“ท่านแม่ข้า แม้แต่น้ำตายังไม่อาจหลั่งริน ทำได้เพียงกรีดร้องอยู่ภายใน มีชีวิตอยู่ก็ดั่งตายทั้งเป็น”

โจวจางหมิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เขาพยุงมารดาลงนั่ง

“แต่มันต้องมีสาเหตุ ถึงแม้โจวหมิงเจ๋อเป็นบุรุษโหดเหี้ยม แต่มิได้ลงมือกระทำชั่ววูบ ทุกสิ่งล้วนมีที่มา”

“ที่มา! สาเหตุ!! นี่คือท่านแม่ของข้า ฮูหยินของเขา เจ้าหน้ามืดตามัวหลงรูปโฉมราวเทพจนมองไม่ออกว่าแท้จริงชายผู้นั้นจิตใจโหดร้ายผิดมนุษย์”

ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งถอยหลัง โจวจางหมิ่นทะลึ่งตัวคราวเดียวคว้าต้นแขนนางไว้เขย่าจนลำตัวอ่อนบางไหวคลอน

ดวงตาดอกท้อตื่นกลัว ยามนี้บุรุษผู้นี้แผดเสียงตะคอกใส่นาง ซ้ำขย้ำต้นแขนด้วยแรงชายจนเจ็บ สีหน้าโกรธขึ้งเคียดแค้น

“ท่านแม่ข้า ถูกควักตา ตัดลิ้น ทิ้งให้อยู่อย่างคนโดดเดี่ยวในบ้านร้างไร้คน มีเพียงส่งข้าวส่งน้ำเครื่องนุ่มห่ม หากเจ็บป่วยตามหมอมารักษา ต่อชีวิตให้นางได้ทุกข์ทรมานต่อไป” โจวจางหมิ่นผลักนางออกจนกระเด็นชนผนัง แล้วชี้ไปทางมารดา “มิสู้ให้ตายตกไปจะดีกว่า”

“ขะ ข้า เป็นเพียงคนนอก ว้ายย”

ไป๋หลินเอ๋อร์อยากตบปากตนเองที่โพล่งออกมาไม่ดูอารมณ์ของโจวจางหมิ่นให้ดี เขาตะครุบต้นแขนนางอีกครั้งแล้วลากมาตรงหน้าหญิงใบ้

“คนนอก!!” โจวจางหมิ่นกระชากฉีกเสื้อนางออกจนเห็นหัวไหล่ วางฝ่ามือลงบีบอย่างแรง “ตราประทับนี่ รูปเสือ แม้แต่ท่านแม่ข้ายังไม่เคยได้”

นางจนด้วยคำพูด ยามนี้โจวจางหมิ่นราวคนเสียสติ ใบหน้าดำเขียวคล้ำชะโงกง้ำมาใกล้นาง พ่นลมหายใจแรง มือจิกลงรอยแผลนูนด้านหลัง

“ท่านเจ้าสำนักคงมีใจให้เจ้ามากพอดู จึงยอมประทับตรานี่ร่วมกรีดเลือด”

“ขะ ข้าไม่รู้มาก่อน ข้า”

“มารดาข้ามีอะไรด้อยกว่าเจ้า นางเป็นถึงลูกเคหบดีเมืองฉิน แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับนาง มีชีวิตอยู่ก็ไร้ค่าดั่งใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นดินรอเพียงวันเน่าตาย ท่านเข้าใจหรือไม่!!”

“ข้า ข้า”

“วันนี้ ข้าจะทำให้เขาได้ตายทั้งเป็น อยู่ก็ไร้วิญญาณ ไร้หัวใจเช่นเดียวกับมารดา ให้เขาลิ้มรสความปวดร้าวที่เฝ้ามองดูคนรักตายจาก มานี่!!”

โจวจางหมิ่นลากนางออกมาจากกระท่อมจนนางล้มลงกับพื้น แต่ไม่วายดึงสาบเสื้อลากนางมาทั้งแบบนั้น

ไป๋หลินเอ๋อร์ไม่กล้าแม้แต่กรีดเสียงร้องด้วยความกลัวจับจิต นางจับข้อมือเขาไว้กวาดตามองหาหนทางหนี แต่ในป่าทึบมืดมิดเช่นนี้นางจะหาใครมาช่วยนางได้

โจวจางหมิ่นลากร่างบอบบางถูไปตามพื้นหินตะปุ่มตะป่ำ นางได้ยินเสียงหอบหายใจแรงและอาการบ่นพึมพำทั้งก่นด่าขรมถึงพ่อบังเกิดเกล้า แล้วโยนนางไปทางซอกหิน

ปัก!!

“พื้นใต้เหวนี้จะเป็นที่ฝังศพเจ้า นังแพศยา!!”

ไป๋หลินเอ๋อร์มองไปด้านหลังด้วยตาเบิกกว้าง เท้าของนางห่างเพียงคืบเดียวคือชะง้อนผาลึกมีเพียงต้นไม้หนาทึบ

“ไม่! ไม่! ข้า ท่านเข้าใจข้าผิด ข้า”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 27 โจวจางหมิ่น

    บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 28 ความลับ

    บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 29 บทพิเศษ จบบริบูรณ์

    บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทนำ

    บทนำอว๊ากกกกส์ ..... ควับ .... ควับ .....ชายร่างสูงใหญ่ส่วนชุดเซินอีสีดำคาดผ้ารัดเอวห้อยหยกแดง เนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรสลับเสือน่าเกรงขามยืนนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงแม้ว่ามือกำลังขีดเขียนตัวอักษรฝึกสมาธิด้วยพู่กันขนม้าด้ามไม้กฤษณาอวลกลิ่นหอมเส้นผมสีดอกเลาแซมปะปนสีดำขลับมัดรวบขึ้นกลางศีรษะประดับด้วยสายรัดพลอยแดงเม็ดใหญ่ ดวงหน้างดงามราวเทพเซียนทว่ารอบกายกลับแผ่รังสีเย็นชาโหดเหี้ยมแปะ ... โจวหมิงเจ๋อคิ้วเรียวดุจกระบี่กำลังขมวด เพ่งมองหยดเลือดกระเซ็นออกมาจากตัวนักโทษหล่นลงบนกระดาษสาม้วนยาวเบื้องล่าง เขาเงยศีรษะขึ้นจ้องไปยังหนุ่มร่างสันทัดกรอบหน้าเหลี่ยมตาตี๋ผิวดำคล้ำซึ่งบัดนี้แดงฉานชุ่มด้วยเลือดโชกจนน่าสะอิดสะเอียน มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยโซ่ตรวนใหญ่แขวนบนขื่อคานจนตัวลอยเท้าแทบไม่ติดพื้น“ระวังด้วย เลือดหยดลงมาบนกระดาษ” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชา อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวรวมไปถึงดวงตาสีนิลลึกล้ำจนยากหยั่งถึง ดำมืดดั่งรัตติกาล“ขอรับ” เฉียนฟานองครักษ์คนสนิทก้มศีรษะรับคำเย็นชาพอกันกับเจ้านาย แล้วรัดแส้สำหรับฟาดม้าพันรอบฝ่ามือหลายทบขึ้นอีกเพื่อลงแรงได้ถนัด สะบัดไปทิศทางตรงข้า

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 1  ยิ่งตี้

    บทที่ 1 ยิ่งตี้ในยุคสมัยชินชิวจ้านกว๋อ การแต่งงานสมรสหมู่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายคล้ายค่านิยมของบ่าวสาว กล่าวคือ หากเจ้าสาวบ้านใดมีฐานะร่ำรวยมั่งมี การแต่งงานแบบยกทีมฝ่ายหญิงขบวนจะยิ่งมากมายยาวเหยียดเมื่อชายใดพึงพอใจหญิงบ้านใด พาแม่สื่อสู่ขอตามประเพณีพิธีการมาเป็นภรรยา พ่อแม่ฝ่ายหญิงนอกจากจะยกลูกสาวตนให้ด้วยความเต็มใจแล้ว ยังใจดีแถมเมียบำเรอกามให้อีกโขยงใหญ่คล้ายสินสอดที่เจ้าสาวนำมาฝากเป็นของกำนัลฝ่ายเจ้าบ่าวยิ่งรวย ขบวนยิ่งยาว ไม่ว่าจะเป็นหลานสาว ลูกพี่ชาย น้องชาย พี่สาวน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าสาว หรือสาวใช้ส่วนตัวก็ตาม ยิ่งเอิกเกริก ยิ่งมีหน้ามีตา แต่หาใช่จะมีแต่หญิงสาวเท่านั้น ฝ่ายเจ้าสาวจะนำเพศชายบุรุษรูปงามรวมไปในขบวนด้วย มาเพื่อทำหน้าที่เต้นระบำ ฟันดาบ หรือแม้กระทั่งเสพสังวาส เพื่อป้องกันมิให้บุตรเขยตนเที่ยวซ่องโสเภณีชายหากเจ้าบ่าวมิชื่นชอบ ชายเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นคนรับใช้ภายในจวน หรือขายออกไปก็ย่อมได้ซึ่งของกำนัลเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ยิ่งตี้’ไป๋หลินเอ๋อร์ นางเป็นเพียงหญิงรับใช้ซื้อมาเพื่อเสริมให้ขบวนยิ่งตี้ยิ่งใหญ่สมฐานะตระกูลฮุ่ย พ่อค้าขายผ้าแพร นางเด

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 2  ตระกูลโจว

    บทที่ 2 ตระกูลโจวงานแต่งตระกูลโจวผู้มากด้วยเงินทอง ชื่อเสียง ด้วยฐานะสำนักคุ้มภัยอันเลื่องชื่อ แม้กระทั่งผู้ครองนครแห่งรัฐฉินยังเกรงใจถึงแปดส่วน ย่อมเอิกเกริกและใหญ่โตมากด้วยผู้คน โต๊ะกินเลี้ยง และงานรื่นเริงสามวันสามคืนมิได้หยุดหย่อนแต่ทว่าเรือนนอนที่จัดไว้ในเหล่ายิ่งตี้เล็กนัก ไป๋หลินเอ๋อร์พลิกตะแคงตัวนอนเบียดเสียดแถวเรียงหนึ่งบนพื้นกระดานในห้องโถงกลาง มีเพียงฟูกนอนไร้ผ้าห่ม ซ้ำอากาศยามนี้ล่วงเข้าปลายหน้าฝนนำพาลมเย็นยะเยือกนางไม่อาจหลับได้ลงจริง ๆ จะพลิกนอนหงายยังไม่ได้ จึงพยุงกายขึ้นนั่ง “เฮ้อ...”“พี่หลินเอ๋อร์” เสียงเล็กกระซิบเรียกแล้วเอนกายขึ้นจากพื้นเรือนเช่นเดียวกัน“ยังไม่หลับอีกหรือจางอวี้”“เจ้าค่ะ ร้อนเกินไป”จริงดั่งที่จางอวี้ว่า แม้ว่าภายนอกฝนลงเม็ดพรำและเย็นยะเยือกแต่ภายในเรือนเล็กกลับอับชื้นจนเหนียวตัว“ถ้าเช่นนั้น ออกไปเดินเล่นดีหรือไม่ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไป๋หลินเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที “ออกไปเดินเล่นฟังมโหรสพหรือดูโคมไฟยังดีกว่านอนแออัดราวหมูในคอก”“คิก คิก พี่หลินเอ๋อร์เข้าใจพูดเปรียบเทียบ เจ้าค่ะ ไปก็ไป”ร่างเล็กกว่าของจางอวี้วิ่งตามร่างสูงระหงอวบอิ่มของไป๋หลินเ

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 3 วันเข้าหอ

    บทที่ 3 วันเข้าหอ“รูปงามจังเลยพี่หลินเอ๋อร์” จางอวี้รำพึงรำพันแผ่วเบาในลำคอ ยามมองโจวจางหมิ่นด้วยดวงตาเพ้อฝันไป๋หลินเอ๋อร์ยกยิ้มอ่อนใจ “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ ภายนอกรูปหยก ภายในปุยนุ่น โจวจางหมิ่นอาจมีดีแค่รูปโฉม”“พี่หลินเอ๋อร์ไม่ชอบก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อท่านอายุมากแล้ว”นางเบิกตากว้างเอี้ยวหน้าไปมองจางอวี้ที่บัดนี้ พวงแก้มสองข้างประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวดำ หลงรูปเจ้าบ่าวเข้าเต็มเปา“จุ๊ ๆ ๆ เจ้านี่ เห็นบุรุษเป็นไม่ได้ วาจาพลันเปลี่ยน จิตใจแตกซ่าน”“ชู่ว ... พี่หลินเอ๋อร์ อย่าเพิ่งพูดนั่นมีอีกขบวนเดินมาแล้ว”กลุ่มคนประมาณสิบห้าคนล้วนอาภรณ์สีดำเนื้อดี เดินนำหน้าด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายคมสันสะดุดตายิ่ง มองจากระยะไกลยังมองเห็นความสง่าน่าเกรงขามยิ่งกว่าโจวจางหมิ่น ผมสีดอกเลาแซมอย่างชายวัยสี่สิบรวบมัดตึงผูกด้วยสายรัดประดับพลอยแดงเนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรร้อยกระหวัดตัวเสืออ้าปากใส่กัน ไป๋หลินเอ๋อร์ดูแล้วคาดเดาว่าคงเป็นบุคคลสำคัญไม่ใช่น้อย คนข้างกายล้วนนอบน้อมเห็นได้ชัด“ใครกันจางอวี้”“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ให้เดาคงเป็นโจวหมิงเจ๋อ ประมุขตระกูลโจว”ไป๋หลินเอ๋อร์เผลอยกมือลูบแขนไม่รู้ตัว อ

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อ

    บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อโจวหมิงเจ๋อลงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นเดิมอย่างที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต กลิ่นคาวเลือดของสาวแรกรุ่นยังกรุ่นขึ้นกระทบนาสิกเนือง ๆ ยิ่งเกิดอาการซ่านในทรวงอกไม่ว่าตำราเก่าแก่โบราณสั่งสอนให้สะกดจิตใต้สำนึกไว้เพียงไร ทว่าโจวหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจ เขาถือว่าการเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด หากร่างกายต้องการย่อมต้องปลดปล่อย“นายท่าน”เสียงเฉียนฟานหยุดเขาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินขึ้นถึงชั้นสาม ชีพจรรัวกระหน่ำสะกดด้วยยุทธิ์ลมปรารณ หลับตานิ่งกำหนดจุดหันกายไปยังคนสนิท“ทางคุณหนูฮุ่ยหรูได้นำขบวนสินสอดยิ่งตี้มาด้วยขอรับ”“อืม”“เพียงแต่ว่า ...” เฉียนฟานอึ้งไปครู่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี“อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง เจ้ารู้นิสัยข้าดี”“ขอรับ ขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกยิ่งทั้งชายหญิงล้วนนับรวมได้เกือบร้อยคน”“ร้อยคนเชียวหรือ”“ทางตระกูลฮุ่ยไม่ได้แจ้งข่าวล่วงหน้า ทำให้เรือนนอนไม่พอ คืนนี้จึงจัดให้นอนเรือนเล็กด้านหลังกันไปก่อน”โจวหมิงเจ๋อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้นสาม เสียงฝนพรำตั้งแต่ยามซวี[1] อากาศหนาวลมเหนือระลอกแรกพัดเหนือยอดหลังคาปูนปั้นเสือในทุกเช้า“แล้วฟูกนอน ผ้าห่ม”“ไม่เพียงพอขอรับ”“พรุ่งนี้จัดการแบ่งยิ

บทล่าสุด

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 29 บทพิเศษ จบบริบูรณ์

    บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 28 ความลับ

    บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 27 โจวจางหมิ่น

    บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 26 โจวจางหมิ่น

    บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 25 ฮุ่ยหรู

    บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 24 nc

    บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 23 อาบน้ำ

    บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้ว

    บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง

  • ยิ้งตี้ตระกูลโจว   บทที่ 21 โจวหนิงเหมย

    บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด

DMCA.com Protection Status