บทที่ 28 ความลับ
ไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจ
ไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไป
นางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น
“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าว
ในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง
“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”
บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา
ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว
“หมิงเจ๋อ”
เสียงหวานนุ่มด้านข้างพร้อมลำแขนอ่อนนุ่มโอบร่างเขาด้วยความอ่อนโยน โจวหมิงเจ๋อตะแคงศีรษะกลับไปมองสตรีที่เขาเลือก
“เขา..จางหมิ่นไม่ใช่ลูกข้า”
ไป๋หลินเอ๋อร์อึ้งงัน
“ประเพณีเบิกพรหมจรรย์เจ้าสาวของตระกูลโจว ต้องกระทำด้วยผู้นำของตระกูล ในยามข้าอายุยี่สิบถึงวัยสวมหมวกและเข้าพิธีแต่งงาน ผู้นำตระกูลคือโจวหลีเหว่ย” เสียงทุ้มสะดุดไป เหลือบมองท้องฟ้าเปลี่ยนสีส้ม ตะวันยามเย็นสาดแสงราวสีเลือด “บิดาข้า”
นางคลายมือออกจากร่างใหญ่ “ฮุ่ยหรู” นางกระซิบแผ่วเบาเมื่อนึกถึงสตรีอีกคน ค่ำคืนวันเข้าหอนางเห็นโจวหมิงเจ๋อออกมาจากห้องหอแล้วล้างมือเปื้อนเลือด “ข้าเห็นท่านออกมาจากห้องคืนเข้าหอ”
เขาเอียงหน้ากลับมามอง นัยน์ตานิ่งสนิท “เบิกพรหมจรรย์มิใช่ร่วมหลับนอน ข้ากระทำต่อหน้าจางหมิ่นไม่ได้เปิดผ้า เพียงให้นางชันเข่าแล้วใช้ท่อนหยกสวนเข้าไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจางหมิ่นกรีดเลือดบนกลางฝ่ามือทั้งของนางและของตนเองประกบกันร่วมสาบาน ทว่าคืนนั้นจางหมิ่นกรีดมีดลึกเกินไปข้าจึงต้องอยู่ห้ามเลือด”
“ท่านจึงมีเลือดติดมือออกมาจากห้อง” นางเอ่ยเสียงเหม่อลอย
ดวงตาโจวหมิงเจ๋อเลื่อนออกจากดวงหน้านางขยับตัวลุกขึ้นพลางดึงนางให้ลุกยืนเคียงข้าง
“เฉียนฟาน”
“ขอรับ”
“ส่งคนลงไปค้นหา นำศพกลับขึ้นมา”
“ขอรับ”
ไป๋หลินเอ๋อร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าเฉียนฟานและชางซิงเยียนยืนอยู่ไม่ไกล นางเข้าใจได้ทันทีว่าหากเขาไม่ลงมือเองคงต้องเป็นเฉียนฟานหรือไม่ก็ชางชิงเยียนเป็นผู้ลงมือสังหารโจวจางหมิ่น
“ชางซิงเยียน”
“เจ้าค่ะ”
“ส่งหนิงเหมยไปอยู่วัด ถือศีลร่วมกับแม่ชี”
“เจ้าค่ะ”
โจวหมิงเจ๋อกระชับมือนาง ฝ่ามือใหญ่อุ่นร้อนจัดชื้นเหงื่อกำมือเล็กของนางจนมิด พาออกเดินกลับเสวี่ยจง
“ท่านยังเล่าไม่จบหมิงเจ๋อ”
“ยามเจ้าเรียกชื่อข้า มันทำให้ข้าอุ่นใจยิ่งฮูหยิน”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ท่านเล่าค้างไว้ ในเมื่อเบิกพรหมจรรย์มิได้ร่วมหลับนอน แล้วไย...”
“ท่านพ่อไม่ใช่ข้า วันเข้าหอเบิกพรหมจรรย์ท่านไม่ได้ใช้แท่งหยก”
ไป๋หลินเอ๋อร์หยุดเดินดึงมือบุรุษร่างสูงใหญ่ให้หันกลับมา
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ คืนเข้าหอย่อมมีเพียงท่านกับฮูหยิน และท่านพ่อของท่าน หากไม่ใช่แท่งหยกแล้วท่านพ่อทำอย่างไร”
ข้อนิ้วยกขึ้นลูบปลายจมูกเช็ดเหงื่อให้นางยิ้มอ่อนค่อยเอ่ยเสียงเบา
“ทำอย่างที่สามีควรกระทำต่อภรรยาในคืนเข้าหอ”
“แล้วท่าน!!”
“ข้า จำต้องยืนอยู่มองดูพวกเขา”
ไป๋หลินเอ๋อร์ผงะออกยกมือปิดปาก
“นี่มัน วิกลจริตเกินไปแล้ว”
“ข้ามารู้ทีหลังว่าแท้จริงท่านพ่อมีใจให้สะใภ้มานานแล้ว ทว่าไม่อาจแต่งด้วยได้ จึงใช้หนทางนี้ให้แม่สื่อไปเจราจาสู่ขอกระทั่งสำเร็จ”
“แล้วท่าน ... หมิงเจ๋อ ท่านได้ร่วมหลับนอน โอ๊ย!”
โจวหมิงเจ๋อยกมะเหงกเขกกบาลเบา ๆ
“ข้าจะมีใจร่วมนอนกับสตรีที่ร่วมเตียงกับบิดาแล้วได้อย่างไรกัน กรีดเลือดร่วมสาบานข้านั้นก็ไม่ได้กระทำ แต่ทว่าทั้งคู่มิได้หยุดเพียงเท่านั้น เรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นอีกเมื่อหนิงเหมยตั้งครรภ์”
“แล้วทำไมนางถึงต้องโดนทำแบบนั้น”
“ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะข้า ข้าเพิ่งเข้าใจเมื่อยามมองจางหมิ่น ข้าปล่อยให้พวกเขากระทำสวมหมวกเขียวให้ข้าโดยที่ข้าเต็มใจอย่างยิ่ง ซ้ำกระหายที่มองเห็นพวกเขาทั้งคู่ร่วมลงนรกด้วยกัน”
“ท่านหมายความว่า ท่านสังหารท่านพ่อ ...”
ไป๋หลินเอ๋อร์ชะงักหยุด สีหน้าโจวหมิงเจ๋อเจื่อนลงพยักหน้ารับ “โดยทางอ้อม คงเพราะเวรกรรม ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นท่านพ่อตกม้าจนลุกเดินและพูดไม่ได้ ช่วงจังหวะนั้นเองหลังจากคลอดบุตรชาย ข้าสั่งให้ลงโทษหนิงเหมยต่อหน้าท่านพ่อ”
“หมิงเจ๋อ!!”
“ข้าช่างเป็นคนชั่วช้า ใจคอโหดเหี้ยมใช่หรือไม่”
“ใช่” ไป๋หลินเอ๋อร์ตอบรับหนักแน่นจนโจวหมิงเจ๋อหัวเราะในลำคอ โอบร่างนางพาเดินต่อ
“ข้ามันชั่วช้า ทำให้นาง หญิงที่ท่านพ่อรักตาบอดและเป็นใบ้ต่อหน้าท่าน จนท่านพ่อกระอักเลือดตายต่อหน้า”
ไป๋หลินเอ๋อร์เคลื่อนร่างตามแรงผลักของโจวหมิงเจ๋อกระทั่งถึงเสวี่ยจง มองยอดหลังคารูปเสือมังกรกำลังถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบเป็นแสงสีส้มอมแดง เลือดที่ย้อมอาบเสวี่ยจงโหลว หอเก้าชั้นแห่งนี้
“หมิงเจ๋อ.. หากข้าอยู่ที่นี่เป็นฮูหยินของท่าน และได้ให้กำเนิดบุตรธิดา ท่านจะยังทำตามประเพณีนั้นหรือไม่ เบิกพรหมจรรย์ และหากข้าเป็นเช่นฮูหยินของท่าน ท่านจะควักลูกตาข้าหรือไม่”
“คำถามแรก ข้าย่อมทำตามประเพณี เพียงแต่เวลานั้นมาถึงข้าคงอายุหกสิบปีไปแล้ว หรืออาจไม่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวขนาดนั้น”
“ท่านพูดสิ่งอัปมงคล ท่านได้อยู่ยืนยาวแน่หากข้ายังอยู่”
น้ำเสียงหวานมั่นคงหนักแน่นพร้อมกระชับมือเขาแน่นเสียเอง
“คำถามสอง เจ้าจะไม่กระทำเช่นหนิงเหมย ฉะนั้นข้าจึงไม่ต้องตอบ”
“อะไรกัน ท่าน!!”
“ขึ้นห้องกันเถอะ ข้าต้องการพักผ่อน พักผ่อนอย่างแท้จริง”
โจวหมิงเจ๋อแทรกขึ้นก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะพูดจบ โอบลำแขนรัดเอวเล็กพาเดินขึ้นเสวี่ยจง สำนักคุ้มภัยชื่อดังของแคว้นฉิน
หญิงในอ้อมแขนโอนอ่อนพิงศีรษะซบกับหัวไหล่กว้างอย่างวางใจ อันที่จริงนางเพียงพูดถามไปเช่นนั้นเอง ในใจนางนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้นางเป็นเช่นดังโจวหนิงเหมย บุรุษผู้นี้ก็จะไม่กระทำต่อนางเช่นฮูหยินคนเก่า
เพราะนางรู้ว่า โจวหมิงเจ๋อรักนางอย่างแท้จริง และนางคาดว่าตัวนางเองคงมีใจให้เขามิใช่น้อยเช่นกัน ตลอดชีวิตนับจากนี้หนทางยังอีกยาวไกล นางจะอยู่เคียงข้างเขาดั่งคำมั่น
เป็นตายพรากจาก ผูกสัญญาสองเรา
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทนำอว๊ากกกกส์ ..... ควับ .... ควับ .....ชายร่างสูงใหญ่ส่วนชุดเซินอีสีดำคาดผ้ารัดเอวห้อยหยกแดง เนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรสลับเสือน่าเกรงขามยืนนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงแม้ว่ามือกำลังขีดเขียนตัวอักษรฝึกสมาธิด้วยพู่กันขนม้าด้ามไม้กฤษณาอวลกลิ่นหอมเส้นผมสีดอกเลาแซมปะปนสีดำขลับมัดรวบขึ้นกลางศีรษะประดับด้วยสายรัดพลอยแดงเม็ดใหญ่ ดวงหน้างดงามราวเทพเซียนทว่ารอบกายกลับแผ่รังสีเย็นชาโหดเหี้ยมแปะ ... โจวหมิงเจ๋อคิ้วเรียวดุจกระบี่กำลังขมวด เพ่งมองหยดเลือดกระเซ็นออกมาจากตัวนักโทษหล่นลงบนกระดาษสาม้วนยาวเบื้องล่าง เขาเงยศีรษะขึ้นจ้องไปยังหนุ่มร่างสันทัดกรอบหน้าเหลี่ยมตาตี๋ผิวดำคล้ำซึ่งบัดนี้แดงฉานชุ่มด้วยเลือดโชกจนน่าสะอิดสะเอียน มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยโซ่ตรวนใหญ่แขวนบนขื่อคานจนตัวลอยเท้าแทบไม่ติดพื้น“ระวังด้วย เลือดหยดลงมาบนกระดาษ” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชา อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวรวมไปถึงดวงตาสีนิลลึกล้ำจนยากหยั่งถึง ดำมืดดั่งรัตติกาล“ขอรับ” เฉียนฟานองครักษ์คนสนิทก้มศีรษะรับคำเย็นชาพอกันกับเจ้านาย แล้วรัดแส้สำหรับฟาดม้าพันรอบฝ่ามือหลายทบขึ้นอีกเพื่อลงแรงได้ถนัด สะบัดไปทิศทางตรงข้า
บทที่ 1 ยิ่งตี้ในยุคสมัยชินชิวจ้านกว๋อ การแต่งงานสมรสหมู่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายคล้ายค่านิยมของบ่าวสาว กล่าวคือ หากเจ้าสาวบ้านใดมีฐานะร่ำรวยมั่งมี การแต่งงานแบบยกทีมฝ่ายหญิงขบวนจะยิ่งมากมายยาวเหยียดเมื่อชายใดพึงพอใจหญิงบ้านใด พาแม่สื่อสู่ขอตามประเพณีพิธีการมาเป็นภรรยา พ่อแม่ฝ่ายหญิงนอกจากจะยกลูกสาวตนให้ด้วยความเต็มใจแล้ว ยังใจดีแถมเมียบำเรอกามให้อีกโขยงใหญ่คล้ายสินสอดที่เจ้าสาวนำมาฝากเป็นของกำนัลฝ่ายเจ้าบ่าวยิ่งรวย ขบวนยิ่งยาว ไม่ว่าจะเป็นหลานสาว ลูกพี่ชาย น้องชาย พี่สาวน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าสาว หรือสาวใช้ส่วนตัวก็ตาม ยิ่งเอิกเกริก ยิ่งมีหน้ามีตา แต่หาใช่จะมีแต่หญิงสาวเท่านั้น ฝ่ายเจ้าสาวจะนำเพศชายบุรุษรูปงามรวมไปในขบวนด้วย มาเพื่อทำหน้าที่เต้นระบำ ฟันดาบ หรือแม้กระทั่งเสพสังวาส เพื่อป้องกันมิให้บุตรเขยตนเที่ยวซ่องโสเภณีชายหากเจ้าบ่าวมิชื่นชอบ ชายเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นคนรับใช้ภายในจวน หรือขายออกไปก็ย่อมได้ซึ่งของกำนัลเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ยิ่งตี้’ไป๋หลินเอ๋อร์ นางเป็นเพียงหญิงรับใช้ซื้อมาเพื่อเสริมให้ขบวนยิ่งตี้ยิ่งใหญ่สมฐานะตระกูลฮุ่ย พ่อค้าขายผ้าแพร นางเด
บทที่ 2 ตระกูลโจวงานแต่งตระกูลโจวผู้มากด้วยเงินทอง ชื่อเสียง ด้วยฐานะสำนักคุ้มภัยอันเลื่องชื่อ แม้กระทั่งผู้ครองนครแห่งรัฐฉินยังเกรงใจถึงแปดส่วน ย่อมเอิกเกริกและใหญ่โตมากด้วยผู้คน โต๊ะกินเลี้ยง และงานรื่นเริงสามวันสามคืนมิได้หยุดหย่อนแต่ทว่าเรือนนอนที่จัดไว้ในเหล่ายิ่งตี้เล็กนัก ไป๋หลินเอ๋อร์พลิกตะแคงตัวนอนเบียดเสียดแถวเรียงหนึ่งบนพื้นกระดานในห้องโถงกลาง มีเพียงฟูกนอนไร้ผ้าห่ม ซ้ำอากาศยามนี้ล่วงเข้าปลายหน้าฝนนำพาลมเย็นยะเยือกนางไม่อาจหลับได้ลงจริง ๆ จะพลิกนอนหงายยังไม่ได้ จึงพยุงกายขึ้นนั่ง “เฮ้อ...”“พี่หลินเอ๋อร์” เสียงเล็กกระซิบเรียกแล้วเอนกายขึ้นจากพื้นเรือนเช่นเดียวกัน“ยังไม่หลับอีกหรือจางอวี้”“เจ้าค่ะ ร้อนเกินไป”จริงดั่งที่จางอวี้ว่า แม้ว่าภายนอกฝนลงเม็ดพรำและเย็นยะเยือกแต่ภายในเรือนเล็กกลับอับชื้นจนเหนียวตัว“ถ้าเช่นนั้น ออกไปเดินเล่นดีหรือไม่ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไป๋หลินเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที “ออกไปเดินเล่นฟังมโหรสพหรือดูโคมไฟยังดีกว่านอนแออัดราวหมูในคอก”“คิก คิก พี่หลินเอ๋อร์เข้าใจพูดเปรียบเทียบ เจ้าค่ะ ไปก็ไป”ร่างเล็กกว่าของจางอวี้วิ่งตามร่างสูงระหงอวบอิ่มของไป๋หลินเ
บทที่ 3 วันเข้าหอ“รูปงามจังเลยพี่หลินเอ๋อร์” จางอวี้รำพึงรำพันแผ่วเบาในลำคอ ยามมองโจวจางหมิ่นด้วยดวงตาเพ้อฝันไป๋หลินเอ๋อร์ยกยิ้มอ่อนใจ “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ ภายนอกรูปหยก ภายในปุยนุ่น โจวจางหมิ่นอาจมีดีแค่รูปโฉม”“พี่หลินเอ๋อร์ไม่ชอบก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อท่านอายุมากแล้ว”นางเบิกตากว้างเอี้ยวหน้าไปมองจางอวี้ที่บัดนี้ พวงแก้มสองข้างประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวดำ หลงรูปเจ้าบ่าวเข้าเต็มเปา“จุ๊ ๆ ๆ เจ้านี่ เห็นบุรุษเป็นไม่ได้ วาจาพลันเปลี่ยน จิตใจแตกซ่าน”“ชู่ว ... พี่หลินเอ๋อร์ อย่าเพิ่งพูดนั่นมีอีกขบวนเดินมาแล้ว”กลุ่มคนประมาณสิบห้าคนล้วนอาภรณ์สีดำเนื้อดี เดินนำหน้าด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายคมสันสะดุดตายิ่ง มองจากระยะไกลยังมองเห็นความสง่าน่าเกรงขามยิ่งกว่าโจวจางหมิ่น ผมสีดอกเลาแซมอย่างชายวัยสี่สิบรวบมัดตึงผูกด้วยสายรัดประดับพลอยแดงเนื้อผ้ามันเงาลวดลายมังกรร้อยกระหวัดตัวเสืออ้าปากใส่กัน ไป๋หลินเอ๋อร์ดูแล้วคาดเดาว่าคงเป็นบุคคลสำคัญไม่ใช่น้อย คนข้างกายล้วนนอบน้อมเห็นได้ชัด“ใครกันจางอวี้”“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ให้เดาคงเป็นโจวหมิงเจ๋อ ประมุขตระกูลโจว”ไป๋หลินเอ๋อร์เผลอยกมือลูบแขนไม่รู้ตัว อ
บทที่ 4 โจวหมิงเจ๋อโจวหมิงเจ๋อลงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นเดิมอย่างที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต กลิ่นคาวเลือดของสาวแรกรุ่นยังกรุ่นขึ้นกระทบนาสิกเนือง ๆ ยิ่งเกิดอาการซ่านในทรวงอกไม่ว่าตำราเก่าแก่โบราณสั่งสอนให้สะกดจิตใต้สำนึกไว้เพียงไร ทว่าโจวหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจ เขาถือว่าการเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด หากร่างกายต้องการย่อมต้องปลดปล่อย“นายท่าน”เสียงเฉียนฟานหยุดเขาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินขึ้นถึงชั้นสาม ชีพจรรัวกระหน่ำสะกดด้วยยุทธิ์ลมปรารณ หลับตานิ่งกำหนดจุดหันกายไปยังคนสนิท“ทางคุณหนูฮุ่ยหรูได้นำขบวนสินสอดยิ่งตี้มาด้วยขอรับ”“อืม”“เพียงแต่ว่า ...” เฉียนฟานอึ้งไปครู่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี“อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง เจ้ารู้นิสัยข้าดี”“ขอรับ ขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกยิ่งทั้งชายหญิงล้วนนับรวมได้เกือบร้อยคน”“ร้อยคนเชียวหรือ”“ทางตระกูลฮุ่ยไม่ได้แจ้งข่าวล่วงหน้า ทำให้เรือนนอนไม่พอ คืนนี้จึงจัดให้นอนเรือนเล็กด้านหลังกันไปก่อน”โจวหมิงเจ๋อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้นสาม เสียงฝนพรำตั้งแต่ยามซวี[1] อากาศหนาวลมเหนือระลอกแรกพัดเหนือยอดหลังคาปูนปั้นเสือในทุกเช้า“แล้วฟูกนอน ผ้าห่ม”“ไม่เพียงพอขอรับ”“พรุ่งนี้จัดการแบ่งยิ
บทที่ 5 ท่านเจ้าสำนักเสวี่ยจงขบวนยิ่งตี้มากมายเกือบร้อยชีวิตเดินหน้ากระดานแถวเรียงห้ายาวเหยียดจนน่าขันโจวหมิงเจ๋อมองลงมาจากชั้นเก้าเห็นเพียงกลุ่มคนตัวเล็กดั่งมดตัวน้อยค่อยเดินแถวเป็นระเบียบเข้ามายังเสวี่ยจงโหลว หอเก้าชั้น“เฉียนฟาน เจ้าให้ซิงเยียนจัดการยิ่งตี้ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้แยกไปที่โถงกลาง ตั้งแถวเรียงตามอายุ”“ขอรับ”เขาวางฝ่ามือลงราวกันตก ต้นยามเฉิน[1]แสงอาทิตย์พ้นขอบฟ้ามาได้สักพักแล้วตระกูลฮุ่ยนับว่าเป็นตระกูลดีร่ำรวยมากด้วยร้านค้าแพรพรรณ ทั้งยังที่นา ไม่นับโรงจำนำตั้งอยู่ยังแคว้นฉีเสียดายเพียงตระกูลนี้เป็นตระกูลพ่อค้า คิดสิ่งใดก็คิดดั่งพ่อค้า การจัดขบวนยิ่งตี้เอิกเกริกก็เพื่อแสดงว่าตนร่ำรวยมหาศาลราวต้องการข่มตระกูลโจวแต่แล้วหางคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อได้เห็นขบวนแปลกประหลาดด้านล่างล้มลงบัดนี้ ขบวนสาวงามยิ่งตี้แยกจากขบวนบุรุษ ทอดยาวหน้ากระดานเรียงห้าตามคำสั่ง ทุกสาวงามล้วนงดงามและดวงหน้าตื่นตระหนก ยิ่งเดินเข้าใกล้หอเสวี่ยจงสูงถึงเก้าชั้น ยิ่งพากันส่งเสียงเซ็งแซ่“เงียบ!!”ป้าลี่ผู้นำขบวนตะวาดเสียงก้อง ยิ่งตี้ทั้งหลายเงียบเสียงเชื่อฟัง ไป๋หลินเอ๋อร์มองเบื้องบนยอดสูงสุดของอ
บทที่ 6 เจ็บแค่นี้คุ้มค่าเพียงสิ้นคำแม่นางน้อยใหญ่อายุเกินสิบห้าปีดวงหน้าซีดเผือดหวีดร้อง บ้างเป็นลม บ้างวิ่งหนีจนคนสำนักคุ้มภัยต้องวิ่งไล่จับเหลือแต่ไป๋หลินเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า ไม่แตกตื่นเช่นคนอื่น มองตรงไปทางนายท่านซึ่งลุกยืนหันหลังเดินจากไปทันทีทำอย่างไรดีไป๋หลินเอ๋อร์ลอบสบตาตื่นตระหนกของจางอวี้ได้ไม่นานพลันถูกคนต้อนให้ออกนอกโถง แยกกันไปคนละทางพวกนางถูกกลุ่มคนต้อนออกมายืนกลางลานหน้าหอสูง ไม่ต้องรอให้พวกนางกลับไปเก็บของ เพราะห่อผ้าทั้งหมดถูกโยนมากลางลาน“ของใครให้หาเอาเอง จากนั้นเข้าแถวเรียงสองคน เดินไปทางประตูใหญ่”แต่ละนางก้มเก็บข้าวของของตนเองใบหน้านองน้ำตา ร้องไห้กระซิกสะอื้น ถูกนำมาเป็นยิ่งตี้สินสอดเจ้าบ่าวย่อมต้องเป็นคนของจวนนี้ เขาจะทำเช่นไรกับพวกนางย่อมได้ไป๋หลินเอ๋อร์หยิบห่อผ้าเล็กของตนเองขึ้นมา มีเสื้อผ้าไม่มากนัก นางเป็นเพียงลูกชาวนาแต่งกายธรรมดา หน้าตาแม้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ให้เทียบกับแม่นางน้อยห้องหออยู่เพียงในจวนคงไม่ได้ ซ้ำมือแตกหยาบกร้านนางถูกเลี้ยงมาให้ต่อสู้อดทน ทำงานหนักได้ทุกอย่างดั่งบุรุษ นางไม่มีทางยอมแพ้ จงไห่ยังถูกจองจำอยู่ที่นี่ เป็นตายมิอาจรู้ หากนา
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด