บทที่ 19 นายน้อย
ยามสายของสำนักคุ้มภัยในวันที่ไร้ผู้คนอย่างน่าประหลาด ไป๋หลินเอ๋อร์พบว่าคนของสำนักคุ้มภัยไปปฏิบัติภารกิจกันเกือบหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงคนเดินยามและคนดูแลทั่วไปไม่กี่คน นอกนั้นคือแม่ครัว คนทำความสะอาด
“สะดวกยิ่ง” นางพึมพำคนเดียว
“พี่หลินเอ๋อนร์ขมุบขมิบปาก” จางอวี้มองอย่างสงสัย ไป๋หลินเอ๋อร์จึงแก้เก้อด้วยการโยกหัวจางอวี้แล้วรีบเดินนำหน้า
“เจ้านั่นล่ะมัวแต่คุยฟุ้งผู้เดียว นี่เราเดินมาจนถึงเรือนหลักแล้ว”
“ไปทางนี้เจ้าค่ะ”
จางอวี้เดินนำอย่างรู้ทาง ยิ่งสะดวกไร้คนเดินยามสองสาวจึงยิ้มหัวสบายใจ กระทั่งมาถึงกลางทางเดินทำจากไม้เนื้อดีงดงามตียกพื้นขึ้นจากพื้นดิน
“นายน้อย” จางอวี้กระซิบรำพึงก้มหน้าใช้มือสะกิดเตือน ไป๋หลินเอ๋อร์จึงสังเกตเห็นบุรุษหนึ่ง รูปร่างไม่ได้แกร่งตัวหนาเท่านายท่าน ทว่าสูงโปร่งเกร็งกล้ามเนื้อเดินตรงมาสวนทางกัน
ไป๋หลินเอ๋อร์ แม้ยังไม่ทันได้ยกน้ำชาแต่ทุกคนในสำนักต่างรับทราบว่านางเป็นฮูหยินคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นนางจึงยืนนิ่งไม่ได้ก้มหน้าลงต่ำเช่นจางอวี้
“ที่แท้ก็ฮูหยินของท่านพ่อนี่เอง” หางเสียงติดก้าวร้าวจนนางแปลกใจ แต่ใบหน้ายังยิ้มเยือนทักทาย
“นายน้อย”
“ข้าเพิ่งจะเคยเห็นหน้าท่านแม่ใกล้ ๆ ก็วันนี้เอง” โจวจางหมิ่นยิ้มกริ่ม “ข้าเรียกถูกต้องหรือไม่ ท่านแม่...”
“นายน้อยไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านแม่ เรียกข้าว่าหลินเอ๋อร์ดั่งเช่นคนอื่นก็ได้” ไป๋หลินเอ๋อร์หน้านิ่งฝืนจำยืนต่อหน้าโจวจางหมิ่น แม้ว่าบุรุษผู้นี้อายุยังน้อยเพียงยี่สิบปี แต่ความกร้าวกระด้างกลับมีมากกว่าผู้เป็นบิดาเสียอีก หรือเป็นเพราะนางที่ไม่ใคร่ชอบขี้หน้าจึงทำให้เห็นแต่ข้อเสีย
“เห็นจะมิได้ หากท่านพ่อทราบเรื่อง ลูกคงโดนลงทัณฑ์” โจวจางหมิ่นหยุดนิ่งยกนิ้วขึ้นดั่งใช้ความคิดแล้วค่อยคลี่ยิ้มเชื่องช้า “หรือว่า ท่านแม่ต้องการให้ข้าถูกลงโทษจึงได้กล่าวเช่นนั้น”
ไป๋หลินเอ๋อร์ถึงกลับหน้าม้านพวงแก้มขึ้นสี นางพยายามเต็มที่อดกลั้นใจเย็นส่งรอยยิ้มหวานแสแสร้ง
“นายน้อยกำลังกล่าวหาข้าว่าสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง กระทำการสี่ตำลึงปาดพันชั่ง คำพูดเพียงน้อยนิดของหญิงอดีตยิ่งตี้ น้ำหนักถ้อยคำน้อยยิ่งนักจะสามารถอาจหาญล่อลวงนายน้อยให้ติดบ่วงได้เช่นไรกัน”
โจวจางหมิ่นสะอึกเล็กน้อยแต่ไม่เผยสีหน้า ยังทำทีท่ายิ้มแย้มเดินวนรอบ
“ท่านแม่ข้าวาจาเชือดเฉือนสมแล้วที่เป็นฮูหยินของท่านพ่อผู้เลือดเย็น”
มาถึงตรงนี้ไป๋หลินเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าบุตรชายของโจวหมิงเจ๋อคงไม่ใคร่ถูกชะตากับนางมากนัก แต่จะให้นางนิ่งเฉยถูกกระทำฝ่ายเดียว อีกหน่อยบุตรชายคนโตผู้นี้คงกำเริบเสิบสานพูดให้ร้ายนางยิ่งกว่านี้
“ท่านเป็นบุตรแต่พูดจาให้ร้ายบิดา ดั่งหมาป่าตาบอด ลืมบุญคุณบิดา หากใครได้ยินเข้าคราวนี้คงไม่ใช่ข้าที่ทำให้ท่านถูกลงทัณฑ์ แต่เป็นตัวท่านเองต่างหาก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านแม่ ฮะ ฮ่า ท่านทำข้าอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด”
โจวจางหมิ่นขยับร่างเข้าใกล้นางอีกคืบกระทั่งเขายกข้อนิ้วขึ้นสัมผัสใบหน้านุ่มข้างใบหู ท่าทางกำแหงคุกคามจนนางหวาดหวั่น แต่ยังยืนนิ่งไม่หลบสายตา
“ท่าน...หาใช่ขนหงส์เขากิเลน” ดวงตาคมกล้าตวัดไล้มองพวงแก้มทั้งสองข้างแต้มสีระเรื่อด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาทีละน้อย
“ข้าจะรอ วันที่ท่านถูกทิ้ง ถูกชำแหละร่างออกจนไม่เหลือชิ้นดี บิดาข้าหาใช่คนดีมีศีลธรรมที่ท่านควรปกป้อง เมื่อถึงวันนั้นข้าจะเฝ้ามองดูนกแร้งโฉบลงจิกกินไส้ของท่านที่ถูกควักออกมากองภายนอกร่างกายอันสวยสด”
ไป๋หลินเอ๋อร์รู้สึกต้องการขย้อนมื้อเช้าทันใด ภาพนางถูกควักไส้ด้วยมือของโจวหมิงเจ๋อแจ่มชัดดั่งที่บุตรชายของเขากล่าว
นางเคยเห็นโจวหมิ่งเจ๋อทารุณคนรักของนางมาแล้วกับมือ มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่ทารุณนางด้วย แต่จะให้นางเผยความกลัวออกมาต่อหน้าบุรุษจิตใจต่ำเช่นนี้ คงทำไม่ได้
“อาจไม่ใช่ข้าที่ถูกควักไส้ ทว่าลูกจางหมิ่น ยามนี้แม่มาเยี่ยมฮุ่ยหรู เห็นจะต้องขอตัวก่อน คราวหน้าค่อยปะทะคารมกันใหม่” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานเสียงอ่อนนุ่ม แหงนเงยดวงหน้าหาญกล้า
โจวจางหมิ่นละมือกลับมา ริมฝีปากหนาอย่างบุรุษเพศแต้มรอยยิ้มกริ่มอันชวนขนลุกเสียยิ่งกว่าผู้เป็นบิดา นางจูงมือจางอวี้แล้วเดินออกห่างกระทั่งเห็นว่าลับสายตาจึงค่อยผ่อนลมหายใจ
“พี่หลินเอ๋อร์ ข้ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินนายน้อยพูดเช่นนี้”
“เจ้าหมายความว่าอะไร”
“ปกตินายน้อยพูดจาไพเราะ มีมารยาทน้ำใจงามกับพวกเราทุกคน แต่เหตุไฉนกับท่านแล้ว นายน้อยจึงเปลี่ยนไป”
“คงเพราะว่าข้าขึ้นเป็นฮูหยิน โจวจางหมิ่นจึงไม่พอใจ”
“แต่ฮูหยินคนเก่าตายไปนานแล้ว”
“เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่าโจวหมิงเจ๋อเชือดคอฮูหยินด้วยมือตนเอง อาจเพราะเรื่องนี้นายน้อยจึงโกรธที่บิดาแต่งงานใหม่ ซึ่งเราได้แต่คาดเดา รีบไปหาฮุ่ยหรูแล้วกลับห้องดีกว่า ข้าชักไม่อยากอยู่เรือนหลักนาน ๆ เสียแล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์ลูบต้นแขนด้วยความกลัว เดินไปยังเหลียวมองกลับมาทางด้านหลัง รู้สึกขนแผ่นหลังลุกซู่ ดวงตาแข็งกร้าวของโจวจางหมิ่นคล้ายคลึงกับบิดาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่านัยน์ตาโจวจางหมิ่นซุกซ่อนบางสิ่งไว้ ในแต่ละคำพูดการกระทำทิ้งความรู้สึกบางอย่างจนนางเองมือเท้าเย็นเยียบ ข้อนิ้วของเขาอ่อนนุ่มทว่าสัมผัสกลับทิ้งรอยดำมืดยิ่งกว่าอสูรร้ายคนพ่อ
ข้าต้องรีบหนี! ภาพไส้ถูกควักที่โจวจางหมิ่นพูดขึ้นยิ่งทำให้นางมั่นใจ ทางรอดมีเพียงหนทางเดียวและนางจะพาจางอวี้หนีไปด้วยกัน
“ฮุ่ยหรู”
ไป๋หลินเอ๋อร์ไม่เคยสนิทหรือรู้จักฮุ่ยหรูมาก่อน ยามเห็นอีกครั้งใกล้ ๆ แม้แปลกใจไปบ้างแต่ไม่ได้นึกเอะใจ
“ท่านแม่” ฮุ่ยหรูลุกขึ้นจากที่นั่งย่อกายคารวะจนไป๋หลินเอ๋อร์ต้องรีบเข้าไปประคอง
“ไม่ต้องคารวะข้าหรอก ข้าเป็นเพียงยิ่งตี้ อีกอย่างท่านกำลังตั้งครรภ์มิควรเดินเหินลุกยืนให้บ่อยนัก”
“ได้อย่างไรกัน ท่านได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็นฮูหยินคนใหม่ของบิดาแล้ว ข้าควรต้องเคารพให้มากเสียหน่อย เด็ก ๆ ไปเตรียมของว่างน้ำชามา”
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่ผ่านมาเยี่ยมเยียน คุยด้วยสองสามคำก็จะกลับแล้วให้เจ้าได้พักผ่อน” ไป๋หลินเอ๋อร์ยกมือห้าม พยุงฮุ่ยหรูนั่งลงก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไป “เจ้าดูหน้าตาซีดเซียว”
“ข้าแพ้ท้อง ยามเช้ามักกินอะไรไม่ได้อ้วกออกเสียหมด”
“แล้วนี่หมอสุยฉวูได้มาบ้างหรือไม่”
“ท่านหมอดีมาก มาแวะดูอาการข้าสามวันครั้ง”
“ดีแล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่ที่ห่วงใยลูกสะใภ้”
“จริงสิ ช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนเป็นฤดูหนาวแล้ว ข้าตั้งใจว่าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยก่อนที่หิมะจะลง เจ้าอยากไปด้วยกันไหม”
ไป๋หลินเอ๋อร์มองเห็นความไม่แน่ใจชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับ จึงคลายใจยิ้มออกมา ฮุ่ยหรูเองเมื่อได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง ผิวหน้าเลือดฝาดค่อยกลับคืนมา ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มอ่อนทอดน่องเดินคุยเล่นไปเรื่อย ๆ กระทั่งเกือบถึงทะเลสาบ
“ท่านแม่”
ไป๋หลินเอ๋อร์เมื่อเห็นทะเลสาบจึงหยุดฝีเท้าเช่นกัน ใจหายวูบ ภาพคนรักจมหายลงใต้น้ำไปต่อหน้า นางยังจำได้ดี
“ข้ารู้ ในทะเลสาบมีจระเข้ มิสู้เดินเลี่ยงไปอีกทาง มาเถอะ”
นางยังคงเดินนำไม่รอฮุ่ยหรู ตัวนางเองหาข้ออ้างเพื่อออกมาสำรวจดูหาทางหนี หากรีบกลับไปเสียแต่ตอนนี้นางคงยังมองไม่เห็นทางรอดออกจากสำนักคุ้มภัย
“ท่านแม่ ตอนนี้เรากำลังล้ำเขตลานฝึกแล้ว” ฮุ่ยหรูชะงักรีบเอ่ยขึ้น ดวงตาหวาดหวั่นเล็กน้อย
“เขตลานฝึก?”
“กฎของเสวี่ยจง ลานฝึกเป็นเขตหวงห้ามมิให้คนนอกเข้าไป เว้นแต่คนของสำนักเสวี่ยจง”
“เราไม่ถือว่าเป็นของสำนักหรือ ข้าเป็นถึงฮูหยิน ส่วนเจ้าฮูหยินนายน้อย”
“สำหรับเสวี่ยจง เราถือเป็นคนนอก เชื่อข้าเถิดลานฝึกไม่มีอะไรน่าดู ซ้ำด้านหลังยังเต็มไปด้วยป่าไผ่ดิบชื้น คนในเรือนเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายคืนก่อนคนในสำนักหลงไปหาของป่า ป่านนี้ยังไม่ออกมา ซ้ำคนในสำนักไม่กล้าเข้าไป”
“ไม่กล้าเข้าไป”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อสั่งห้าม”
นางมองไปทางด้านหลังลานฝึก ป่าไผ่ขึ้นรกดกหนาจนแทบไม่มีทางเดิน
“ถ้าเช่นนั้นกลับเรือนกันดีกว่า ใกล้ยามอู่แล้วเจ้าจะได้พักผ่อน”
ไป๋หลินเอ๋อร์จูงมือฮุ่ยหรูพูดยิ้มหัวพากลับเรือน แต่จู่ ๆ ฮุ่ยหรูสะดุ้งเฮือกชักมือกลับหน้าซีดเซียว นางจึงก้มลงมองข้อแขน “ข้าจับแรงไปหรือฮุ่ยหรู”
“ม่ะ ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่จู่ ๆ เกิดอาการเวียนศีรษะ รีบกลับเรือนกันเถอะเจ้าค่ะ”
ไป๋หลินเอ๋อร์มองฮุ่ยหรูชักแขนออกห่างขยับปลายแขนเสื้อปกปิดบางอย่าง เหลือบสายตาขึ้นมองสีหน้าซีดเผือดและรอยยิ้มอ่อนฝืดเฝือน
“ถ้างั้น กลับกันเถอะ”
ฮุ่ยหรูมีเรื่องปิดบัง อะไร? นางกำลังปิดบังอะไร
บทที่ 20 หนียามอิ๋นในเวลานี้มืดมิดและวังเวง ยังไม่มีผู้ใดในสำนักตื่นยกเว้นเพียงคนเดินเวรยามเท่านั้น“จางอวี้”ไป๋หลินเอ๋อร์ลงจากเตียงเขย่าร่างของจางอวี้ที่นอนอยู่เตียงถัดไปไม่ไกลกัน“อืออ พี่หลินเอ๋อร์”“ตื่น ๆ เราต้องไปแล้ว”“ไปไหนกัน นี่ยังมืดอยู่เลย” จางอวี้งัวเงียขยี้ตา มองไป๋หลินเอ๋อร์ชะโงกหน้าด้านบน“หนี ไปเถิดรีบหน่อย”“หนี!!” คราวนี้จางอวี้ลืมตาเต็มทั้งสองข้างผวาลุกขึ้นนั่ง มองฮูหยินคนใหม่หยิบมีดเล็กสำหรับปอกผลไม้ และมีอาหารที่เหลือจากยามค่ำใส่ในห่อผ้า“ใช่หนี ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ ขืนอยู่ สักวันข้าและเจ้าคงไม่พ้นต้องตาย”“แต่ว่า พี่หลินเอ๋อร์ เราหนีไม่พ้นหรอก”“จางอวี้” ไป๋หลินเอ๋อร์หยุดมือเดินกลับมาทางเตียงยกมือวางบนไหล่ทั้งสองข้างของจางอวี้ “ช่วงเวลานี้คือเวลาที่ดีที่สุด สำนักคุ้มภัยเหลือคนอยู่น้อยมาก จะไม่มีใครรู้ว่าเราหายไปจนกว่าจะยามเฉิน เราจะไปทางป่าไผ่”“แต่เมื่อวานนี้ฮุ่ยหรูเพิ่งเล่าให้ฟังว่าคนในสำนักเข้าไปล้วนไม่ได้กลับออกมา”“เจ้าอย่าไปฟังความมาก ที่คนพวกนั้นไม่กลับมาคงไม่อยากกลับมาเองต่างหาก ข้าคิดว่าในป่าไผ่ต้องมีทางออก ไม่เช่นนั้นจะห้ามคนเข้าไปทำไมกัน”“พี่หลินเอ๋
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้
บทที่ 23 อาบน้ำ“เจ้ามันคนบ้า”ถ้อยคำแรกที่ไป๋หลินเอ๋อร์ได้ยินจากเสียงทุ้มก้องต่ำและดวงหน้าแกร่งคมสันหน้าบึงตึ้งจ้องนางราวกินเลือดกินเนื้อ“ข้าชนะแล้วใช่ไหม” เสียงที่เคยหวานนุ่มแหบเครือ ยิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อขยับปิดอีกครั้ง“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียงก่อนจะขยับผ้าห่มขึ้นให้จนมิดถึงคอ “ท่านหมอสุยฉวูเพิ่งจะกลับไป โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”นางจับมือเขาไว้ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนระโหย“ข้า..ขอบคุณท่าน โจวหมิงเจ๋อ”บุรุษปีศาจตรงหน้านางกำลังใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย“รอไว้ให้ข้าอยู่เฝ้าไข้เจ้าเองก่อนเถิด แล้วเจ้าจะถอนคำพูด”“หมายความว่าอะไร”“ท่านหมอสุยฉวูกำชับให้เจ้าพักผ่อนให้มาก และข้าไม่ไว้ใจใครให้เฝ้าไข้เจ้าอีกแล้ว จึงอาสาตนเองมาเป็นทาสรับใช้เจ้าไง”“ทาสรับใช้?”“อย่ามัวพูดมาก นอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าสั่งโจ๊กปลาไว้แล้ว”โจวหมิงเจ๋อดึงมือออกแล้วเดินไปดับเทียนในห้องจนเหลือเพียงหนึ่งดวง ยังไม่ทันเดินกลับมาไป๋หลินเอ๋อร์ก็หลับสนิทไปแล้ว จึงนั่งลงขอบเตียงดั่งเก่า ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมออก“เจ้ามันคนบ้า หลินเอ๋อร์” เสียงทุ้มกระซิบในลำคอ นัยน์ตาล้ำลึกมองดวงหน้าหวานที่มีร่อง
บทที่ 22 นายท่านกลับมาแล้วซ่า...โครม!! เฮือก!!“อะไรกัน!!”ไป๋หลินเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกสุดตัวลืมตาเบิกโพลงตกตะลึงยามแหงนดวงหน้าเปียกโชกด้วยน้ำเห็นนายท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยยืนค้ำร่างดวงตาวาวแสงลุกโชนด้วยไฟโทสะ“มัดพวกนาง ลากกลับสำนัก”สิ้นเสียงพลันข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกรวบพร้อมถูกกระชากร่างขึ้นจากพื้น ดวงตาดอกท้อเหลียวมองจางอวี้ บัดนี้สีหน้าซีดเผือดตื่นกลัว ดวงตาเบิกกว้างระคนสับสน“ไม่ต้องกลัวจางอวี้”“ฮึ” โจวหมิงเจ๋อแค่นเสียง “เก็บไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่า ฮูหยิน”นางตวัดสายตากลับมา แล้วผงะถอยหลัง นัยน์ตาสีเข้มยามโพล้เพล้แดงฉานวาวโรจน์ส่องประกายดั่งปีศาจ ขมึงทึงและบิดเบี้ยว“จางอวี้ไม่มีส่วน หากท่านต้องการลงโทษ ลงโทษข้า” นางโผเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ โจวหมิงเจ๋อขยับร่างหนีจนนางเกือบล้มลงตรงหน้า แต่ชางซิงเยียนคว้านางไว้ได้ทัน“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามใดควรทำสิ่งใด หากเจ้ายังเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ฮูหยิน” โจวหมิงเจ๋อหันหลังกลับ ทั่วร่างกายคุกรุ่นด้วยความโกรธ“ท่านจะทำอะไร ทำกับข้าอย่างที่ทำกับสตรีในบ้านร้าง!! ใช่หรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง แล้วจึงสะดุ้งสุดตัวถอยฉากหนีถึง
บทที่ 21 โจวหนิงเหมยไม่ทันสิ้นคำพลันเสียงร้องหวีดโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งยาวนาน จนพวกนางต้องยกมืออุดหู“แม่นางในนั้นอาจป่วย”“ไม่พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่านางเป็นบ้า”“อย่างไรเราควรเข้าไปดู”จางอวี้ดึงรั้งมือไป๋หลินเอ๋อร์ไว้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจหยุดยั้งพี่สาวคนนี้ได้จึงเดินตามติดด้านหลังแบบจมูกแนบแผ่นหลังเรือนหลังเล็กนี้รูปทรงคล้ายกระท่อมบ้านของไป๋หลินเอ๋อร์ บ้านชาวบ้านสร้างง่าย ๆ มีเพียงห้องเดียวรวมทั้งหมด ครัว ห้องนอน กินข้าว นางค่อยเดินแผ่วเบาไปยังขอบหน้าต่างก้มลงต่ำ แล้วโผล่ขึ้นมาแค่พ้นขอบลูกตา“อื้อออออ กรี๊ดดดด อ๊าชชชช์”หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอบบางมากอายุราวสามสิบกว่าปลายสี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น ไป๋หลินเอ๋อร์ประมาณไม่ได้เพราะผมขาวแล้วเกือบทั้งศีรษะ นางนั่งก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง แม้ว่าภายในกระท่อมจะเก่าและโทรม ทว่าการแต่งกายกลับสะอาดสะอ้าน คล้ายกับว่ามีคนคอยดูแล ทั้งเนื้อตัวไม่ได้เปื้อนมอมแมมคลุกฝุ่นไป๋หลินเอ๋อร์และจางอวี้มองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋หลินเอ๋อร์จะตัดสินลุกขึ้นยืน“แม่นาง”หญิงสาวคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงคนแปลกหน้าพลันผุดลุกขึ้นทันที กวาดมองไปรอบห้อง“กรี๊ดดดดดดด