นางเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบนหน้าผากของโม่จุนไม่หยุดเพื่อให้อุณหภูมิเขาเย็นลง พวกเขาเดินทางกลับพระนครตลอดทางไม่หยุดเขาถูกส่งไปที่สถาบันแพทย์หลวงโดยตรงทันที มู่จิ่วซีที่เหนื่อยอย่างมากก็ถอนหายใจออกมา นางเข้าไปที่สถาบันแพทย์หลวงและงีบหลับพักผ่อนพอมู่จิ่วซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกลับมืดและเงียบสงบมาก ช่วงขณะนั้นนางเหมือนไม่รู้ตัวเองว่าอยู่ในปีไหนนางรีบจัดการเก็บข้าวของและเดินออกมา พอเห็นว่าด้านนอกเป็นเวลาเช้าตรู่ นางก็กังวลเรื่องของโม่จุนทันทีปากประตูมีทหารมังกรดำเฝ้าป้องกันไว้ หนึ่งในนั้นมีคนชื่อจี๋เฟิง เขาเป็นคนของทหารมังกรดำพวกเขาก่อนหน้านี้ได้ไปเห็นสภาพของวัดเป้ากั๋วมาแล้ว พวกเขาได้ยินมาว่ามู่จิ่วซีเป็นคนปกป้องท่านอ๋อง อีกทั้งในตอนท้ายยังจัดการพวกศัตรูให้หนีไปได้ แต่ทุกคนล้วนไม่อยากจะเชื่อและรู้สึกเรื่องราวเกินจริงไปหน่อย คงจะเพราะศัตรูอ่อนแอเกินไปมากกว่าแต่ว่าพวกเขาก็ยังเคารพมู่จิ่วซีมาก ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ทอดทิ้งท่านอ๋องในช่วงที่อันตรายวิกฤติที่สุด"ท่านอ๋องตื่นขึ้นมาหรือยัง?" มู่จิ่วซีถาม"ตื่นแล้วขอรับ แพทย์หลวงทั้งสองกำลังเฝ้าดูอาการรักษา" จี๋เฟิงพูดมู่จิ่วซีก็พูดออกมาอ
ไป๋ชินเตี่ยนจู่ๆ ก็ครวญครางดึงออกมา มู่จิ่วซี อานเย่ เย่ฮานก็ล้วนตกตะลึง นี่เขาคือใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเลยนะ!สามารถพูดได้ว่านอกจากท่านผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเองก็เป็นคนที่เก่งกาจที่สุดแล้วตอนนี้เขากลับมาคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้ามู่จิ่วซี นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว"ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี นี่ท่านเป็นอะไร รีบลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน" มู่จิ่วซีไม่สามารถอาศัยอานเย่และเย่ฮานที่บาดเจ็บอยู่ได่ นางจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาเองแต่ไป๋ชินเตี่ยนร้องไห้เสียใจอย่างมาก มู่จิ่วซีก็รีบลากเขาให้ลุกขึ้นมา จนสุดท้ายไป๋ชินเตี่ยนก็นั่งลงกับพื้นทั้งอย่างนั้นอานเย่และเย่ฮานก็ได้แต่พยายามคุกเข่าลง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจรับการคุกเข่านั้นไว้ได้ และก็ไม่กล้าจะรับไว้ด้วยมู่จิ่วซีก็ได้แต่นั่งบนพื้นกับอัครมหาเสนาบดี จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เขาและกล่าว : "ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ท่านอย่าลดฐานะมาทำกับข้าแบบนี้ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าทำข้าตกใจหมดรู้ไหม"ไป๋ชินเตี่ยนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันงดงามที่กำลังครุ่นคิดของมู่จิ่วซี จากนั้นเขาก็หยุดร้องไห้ในทันใด สีหน้าก็
"ถ้าอ้างอิงจากที่แม่นมหรงสารภาพ ในมือขององค์กรพวกนั้นมีชีวิตในครอบครัวของพวกเขาอยู่ นางคงถูกบังคับให้ต้องทำร้ายทรยศฮูหยินใหญ่""ดูจากตรงนี้ ฮูหยินรองคงถูกพวกเขาควบคุมเอาไว้ บางทีฮูหยินรองอาจมีคนในครอบครัวคนอื่น บางทีอาจเพราะปัจจัยอื่นที่บังคับให้นางไม่อาจทรยศได้"ไป๋ชินเตี่ยนก็ค่อยก้มหน้าลงต่ำ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งมู่จิ่วซีรู้สึกว่าไป๋ชินเตี่ยนได้ขาดความรู้สึกนึกคิดไปแล้ว"สวีหยางและฮูหยินรองตอนนี้อยู่ไหน?" มู่จิ่วซีถามไป๋ชินเตี่ยนค่อยโงนเงนและลุกขึ้นมา มู่จิ่วซีรีบเข้าลุกคลานขึ้นมาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น"เรื่องนี้ข้าจะต้องรู้คำตอบให้ได้ พวกเขาถูกข้าคุมตัวไว้อยู่ รอพวกเขาตอบออกมาแล้ว ข้าจะมาบอกเจ้า" อัครมหาเสนาบดีพอพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที"อ้อ เจ้าต้องปกป้องท่านผู้สำเร็จราชการแทนเอาไว้ให้ดีด้วย แคว้นเกาอวิ๋นไม่อาจที่จะไม่มีเขาได้"มู่จิ่วซีมองเขาพร้อมกับโค้งก้มหลังและกล่าว : "ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี เจ้าเองก็รักษาดูแลตัวเองด้วย แคว้นเกาอวิ๋นไม่สามารถขาดเจ้าไปได้เช่นกัน"ไป๋ชินเตี่ยนสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งตัว เขาหยุดฝีเท้าลง แต่ว่าไม่ได้หันกลับมา จากนั้นเขาก็ถึงก
ใบหน้าของมู่จิ่วซีก็เผยรอยยิ้มออกมา : "ป้าสะใภ้รอง ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?"ในใจนางก็อยากจะแกล้งทำเป็นแสดง ใครบ้างล่ะที่แสดงไม่เป็น"ไม่ใช่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าหรือไง พ่อของเจ้าเอาแต่วุ่นวิ่งเข้าวิ่งออก ท่านแม่ของเจ้าก็เอาแต่ร้องไห้ ป้าสะใภ้รองเองก๋รู้ว่าเกิเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคงไม่ร้อนรนขนาดนี้"สีหน้าของลู่เวยหย่าก็กังวลขึ้นมา : "เจ้าไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม? ท่านผู้สำเร็จราชการแทนไม่ได้เป็นอะไรไปใช่ไหม?"มู่จิ่วซีส่ายหัวและก็ยิ้ม : "ไม่เป็นอะไร แค่ไปเจอพวกนักฆ่ากลุ่มใหญ่ลอมโจมตี ยังดีที่ข้ากับท่านผู้สำเร็จราชการแทนเตรียมพร้อมมาดี เลยฆ่าพวกมันไปมากกว่า 30 คน ตอนท้ายพวกมันกลัวจนหนีไป"มู่จิ่วซีจงใจเผยสีหน้าภาคภูมิใจออกมา : "มีพวกมันรอดชีวิตมาด้วยสองคน เดี๋ยวรอโม่จุนหายดีขึ้นก่อน ข้ากับเขาจะไปสอบปากคำด้วยกัน"ขณะที่นางดูเหมือนจะพูดอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ นางก็สนใจสีหน้าการแสดงออกของลู่เวยหย่าไปด้วยลู่เวยหย่าเผยสีหน้าตกใจออกมาและกล่าว : "นักฆ่ามากมายขนาดนั้น งั้นคงเป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ปกป้องคุ้มกันให้ไม่เป็นอะไรแน่ คงตกใจมากสินะ รีบเข้าไปดูแม่ของเจ้าเถอะ เดี๋ยวป้าสะใภ
มู่จิ่วซีใจเต้น จากนั้นก็พูด : "ป้าสะใภ้รอง เด๊่ยวพรุ่งนี้ข้าต้องไปที่กรมพระราชวังนครบาล เดี่ยวข้าพาท่านไปด้วย"ลู่เวยหย่าก็ดีใจขึ้นมาทันที : "ได้เลยได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าเตรียมขนมด้วย พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้หยางชุน""อืม" หลังจากมู่จิ่วซีพยักหน้า ลู่เวยหย่าก็จากไปทันทีใบหน้างดงามของมู่จิ่วซีก็หมองหม่นลงมาพร้อมกับหันไปมองท่านแม่ของนางเองสีหน้าของฮูหยินใหญ่ก็แข็งเกร็งขึ้นมา จากนั้นก็รีบกล่าว : "ซีเอ๋อร์ หยางชุนคือลูกชายท่านพ่อของเจ้า เจ้าห้ามให้เขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด"มู่จิ่วซีพยักหน้าสัญญา หลังจากนางออกไปนางก็ไปหาผู้ดูแลจวนมู่"ลุงมู่ วันนี้มรใครเข้าออกจวนจวนบ้างหรือเปล่า?" ในหัวของมู่จิ่วซีก็คิดถึงคสามเป็นไปได้สองอย่างประการแรกลู่เวยหย่ารู้ว่าที่กรมพระราชวังนครบาลได้ขังไส้ศึกที่มีชีวิตรอดไว้สองคน ถ้านางไม่รีบไปฆ่าปิดปาก ไม่อย่างงั้นก็คงได้แต่ยืนมองให้ความจริงปรากฎประการที่สองลู่เวยหย่ารู้ว่าไป๋ฉี่เฟิงตายแล้ว จ้วงชิงเหมยคงเกิดเรื่องขึ้นดังนั้นนางเลยนึกถึงมู่หยางชุนขึ้นมาได้ ถ้านางไม่ต้องการฆ่าลูกชายตนเองเพื่อพุ่งเป้าไปที่พ่อของนางเหมือนกับจ้วงชิงเหมย นางก็คงต้องการเอาลูกชาย
กรมพระราชวังนครบาล !ดวงตากลมโตของมู่จิ่วซีหรี่จนเป็นเส้นบาง ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่ชาญฉลาดและกำลังครุ่นคิด จากนั้นมุมปากก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาและชั่วร้ายกรมพระราชวังนครบาลได้จับกุมไส้ศึก และคนบุกรุกแคว้นไว้หลายคน ซึ่งในยุคปัจจุบันเทียบเท่ากับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ คนที่ถูกจับเข้าไปโดยพื้นฐานแล้วก็แทบไม่มีวันได้ออกมา ต้องทนทรมาณต่างๆ จนเลือดไหลดั่งธารา โดยล้วนเป็นการกระทำอย่างลับๆไม่เหมือนกับศาลต้าหลี่ ห้องขังกระทรวงราชทัณฑ์ ซึ่งบางครั้งก็อาจออกมาได้เห็นเดือนเห็นตะวันบ้างมู่จิ่วซีจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเคยไปที่กรมพระราชวังนครบาลเมือ่ไม่กี่ปีก่อน โดยไปพร้อมกับท่านพ่อมู่เทียนซิง เท่าที่นางจำได้คือลักษณะมืดๆ คล้ายเป็นก้อนหินใหญ่สีดำที่ชื้นแฉะห้องโถงใหญ่สองข้างมีปากหลุมขนาดใหญ่ โดยบอกว่าได้โยนคนตายลงไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วมู่จิ่วซีก็มองไปยังหนอนแมลงพิษในชามที่ตายทั้งหมดและเอาไปกำจัดทิ้งทั้งหมดจนสะอาด จากนั้นนางก็ไปฝึกเฟิงเหยียนหยูเฟยอันตรายที่วัดเป้ากั๋วคราวนี้ ก็ทำให้กำลังภายในของนางสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญมากขึ้น นี่ยิ่งทำให้นางฝึกฝนสัมผัสรับรู้ความร
มู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "น้องสามของข้าอยู่ไหม?""คุณชายสามมู่อยู่ขอรับ แต่ว่าตอนนี้เวลายังเช้าไปหน่อย เขาอาจยังคงไม่ตื่น" องครักษ์คนหนึ่งก็กล่าวอย่างเขินอายสีหน้าของลู่เวยหย่าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับกล่าวอย่างหงุดหงิด : "ไอลูกตัวแสบคนนี้ ทำไมถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้เนี่ย?""ท่านนี้คือป้าสะใภ้รองของข้า พวกเราขอเข้าไปพบหน่อย" มู่จิ่วซีกล่าวองครักษ์คนหนึ่งก็พาทั้งสามคนเดินเข้าไป เหอเฟิงเฝ้าอยู่ที่รถม้า ส่วนหลิวฮั่วก็ตามหลังมู่จิ่วซีเดินเข้าไปพอเข้ามา ลู่เวยหย่าและป้าจ้าวก็เริ่มหันมองซ้ายขวาไปรอบด้านพร้อมกับสีหน้าที่วิตกกังวล"ทำไมข้างในถึงได้รู้สึกอึมครึมวังเวงขนาดนี้" ป้าจ้าวกล่าว"ที่นี่มีคนตายตั้งมากมาย แน่นอนว่าต้องอึมครึมวังเวง ทุกวันล้วนจับไส้ศึกของแคว้นอื่นเอาไว้ได้ ทั้งถูกทรมานให้สารภาพ ให้ไม่สารภาพก็ต้องถูกทรมานต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปราณีกับพวกไส้ศึกพวกนี้อยู่แล้ว"มู่จิ่วซีเดินไปพูดไปสีหน้าของป้าจ้าวเห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปเยอะมาก มือที่นางช่วยพยุงลู่เวยหย่าก็ยิ่งจับแน่นมากยิ่งขึ้น"คุณหนูใหญ่ คุณชายสามมู่อยู่ที่ห้องพักองครักษ์ด้านตะวันตก เชิญทางด้านนี้ขอรับ""อืม อ้อ
ปรมาจารย์เซี่ยก็ยิ้มอย่างเขินๆ ออกมา เขามองมู่จิ่วซีจากนั้นก็หันไปมองลู่เวยหย่าลู่เวยหย่าตอนนี้โกรธมากจริงๆ จนนางสั่นไปทั้งตัวและถามออกมา : "เขา เขาหลังจากมาที่นี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?"ปรมาจารย์เซี่ยรู้สึกว่าขายหน้าแต่ก็ยังพยักหน้าและกล่าว : "ฮูหยินรอง ลุกชายเจ้าทุกครั้งที่เอ่ยถึงแม่ทัพใหญ่มู่ออกมา คนอื่นๆ ก็ล้วนทำอะไรไม่ได้""แล้วทำไมไม่โบยเขาให้ตาย!" ลู่เวยหย่าโมโหจนเดินอาดๆ ไปข้างหน้าบานประตูห้องถูกทีบจะเปิดออก สองคนข้างในที่ต่อสู้กันก็หยุดลงทันทีแะลหันมามอตรงปากประตู"ท่านแม่?" มู่หยางชุนหันหน้ามามอง จากนั้นก็เอ่ยกล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจส่วนอีกคนหนึ่งคือหลิวเว่ยก็กำลังขี่หลังเขาอยู่ ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขากดดันเหนือกว่ามู่หยางชุนได้อย่างสมบูรณ์หลิวเว่ยก็รีบลงมาจากหลังของมู่หยางชุนและรีบถอยไปยืนข้างๆพร้อมกับหันไปมองปรมาจารย์เซี่ยด้วยสีหน้าที่กังวล"ไอลูกตัวแสบ เจ้าอยู่ในกรมพระราชวังนครบาลแล้วทำตัวแบบนี้เนี่ยนะ?" ลู่เวยหย่าตะคอกใส่เขา"ท่านแม่ พวกเขารังแกข้า ข้าไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่เลย" มู่หยางชุนจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา"เจ้า เจ้ายังจะมีหน้ามาร้องไห้อีก ข้ากับพี่