มู่จิ่วซีใจเต้น จากนั้นก็พูด : "ป้าสะใภ้รอง เด๊่ยวพรุ่งนี้ข้าต้องไปที่กรมพระราชวังนครบาล เดี่ยวข้าพาท่านไปด้วย"ลู่เวยหย่าก็ดีใจขึ้นมาทันที : "ได้เลยได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าเตรียมขนมด้วย พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้หยางชุน""อืม" หลังจากมู่จิ่วซีพยักหน้า ลู่เวยหย่าก็จากไปทันทีใบหน้างดงามของมู่จิ่วซีก็หมองหม่นลงมาพร้อมกับหันไปมองท่านแม่ของนางเองสีหน้าของฮูหยินใหญ่ก็แข็งเกร็งขึ้นมา จากนั้นก็รีบกล่าว : "ซีเอ๋อร์ หยางชุนคือลูกชายท่านพ่อของเจ้า เจ้าห้ามให้เขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด"มู่จิ่วซีพยักหน้าสัญญา หลังจากนางออกไปนางก็ไปหาผู้ดูแลจวนมู่"ลุงมู่ วันนี้มรใครเข้าออกจวนจวนบ้างหรือเปล่า?" ในหัวของมู่จิ่วซีก็คิดถึงคสามเป็นไปได้สองอย่างประการแรกลู่เวยหย่ารู้ว่าที่กรมพระราชวังนครบาลได้ขังไส้ศึกที่มีชีวิตรอดไว้สองคน ถ้านางไม่รีบไปฆ่าปิดปาก ไม่อย่างงั้นก็คงได้แต่ยืนมองให้ความจริงปรากฎประการที่สองลู่เวยหย่ารู้ว่าไป๋ฉี่เฟิงตายแล้ว จ้วงชิงเหมยคงเกิดเรื่องขึ้นดังนั้นนางเลยนึกถึงมู่หยางชุนขึ้นมาได้ ถ้านางไม่ต้องการฆ่าลูกชายตนเองเพื่อพุ่งเป้าไปที่พ่อของนางเหมือนกับจ้วงชิงเหมย นางก็คงต้องการเอาลูกชาย
กรมพระราชวังนครบาล !ดวงตากลมโตของมู่จิ่วซีหรี่จนเป็นเส้นบาง ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่ชาญฉลาดและกำลังครุ่นคิด จากนั้นมุมปากก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาและชั่วร้ายกรมพระราชวังนครบาลได้จับกุมไส้ศึก และคนบุกรุกแคว้นไว้หลายคน ซึ่งในยุคปัจจุบันเทียบเท่ากับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ คนที่ถูกจับเข้าไปโดยพื้นฐานแล้วก็แทบไม่มีวันได้ออกมา ต้องทนทรมาณต่างๆ จนเลือดไหลดั่งธารา โดยล้วนเป็นการกระทำอย่างลับๆไม่เหมือนกับศาลต้าหลี่ ห้องขังกระทรวงราชทัณฑ์ ซึ่งบางครั้งก็อาจออกมาได้เห็นเดือนเห็นตะวันบ้างมู่จิ่วซีจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเคยไปที่กรมพระราชวังนครบาลเมือ่ไม่กี่ปีก่อน โดยไปพร้อมกับท่านพ่อมู่เทียนซิง เท่าที่นางจำได้คือลักษณะมืดๆ คล้ายเป็นก้อนหินใหญ่สีดำที่ชื้นแฉะห้องโถงใหญ่สองข้างมีปากหลุมขนาดใหญ่ โดยบอกว่าได้โยนคนตายลงไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วมู่จิ่วซีก็มองไปยังหนอนแมลงพิษในชามที่ตายทั้งหมดและเอาไปกำจัดทิ้งทั้งหมดจนสะอาด จากนั้นนางก็ไปฝึกเฟิงเหยียนหยูเฟยอันตรายที่วัดเป้ากั๋วคราวนี้ ก็ทำให้กำลังภายในของนางสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญมากขึ้น นี่ยิ่งทำให้นางฝึกฝนสัมผัสรับรู้ความร
มู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "น้องสามของข้าอยู่ไหม?""คุณชายสามมู่อยู่ขอรับ แต่ว่าตอนนี้เวลายังเช้าไปหน่อย เขาอาจยังคงไม่ตื่น" องครักษ์คนหนึ่งก็กล่าวอย่างเขินอายสีหน้าของลู่เวยหย่าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับกล่าวอย่างหงุดหงิด : "ไอลูกตัวแสบคนนี้ ทำไมถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้เนี่ย?""ท่านนี้คือป้าสะใภ้รองของข้า พวกเราขอเข้าไปพบหน่อย" มู่จิ่วซีกล่าวองครักษ์คนหนึ่งก็พาทั้งสามคนเดินเข้าไป เหอเฟิงเฝ้าอยู่ที่รถม้า ส่วนหลิวฮั่วก็ตามหลังมู่จิ่วซีเดินเข้าไปพอเข้ามา ลู่เวยหย่าและป้าจ้าวก็เริ่มหันมองซ้ายขวาไปรอบด้านพร้อมกับสีหน้าที่วิตกกังวล"ทำไมข้างในถึงได้รู้สึกอึมครึมวังเวงขนาดนี้" ป้าจ้าวกล่าว"ที่นี่มีคนตายตั้งมากมาย แน่นอนว่าต้องอึมครึมวังเวง ทุกวันล้วนจับไส้ศึกของแคว้นอื่นเอาไว้ได้ ทั้งถูกทรมานให้สารภาพ ให้ไม่สารภาพก็ต้องถูกทรมานต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปราณีกับพวกไส้ศึกพวกนี้อยู่แล้ว"มู่จิ่วซีเดินไปพูดไปสีหน้าของป้าจ้าวเห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปเยอะมาก มือที่นางช่วยพยุงลู่เวยหย่าก็ยิ่งจับแน่นมากยิ่งขึ้น"คุณหนูใหญ่ คุณชายสามมู่อยู่ที่ห้องพักองครักษ์ด้านตะวันตก เชิญทางด้านนี้ขอรับ""อืม อ้อ
ปรมาจารย์เซี่ยก็ยิ้มอย่างเขินๆ ออกมา เขามองมู่จิ่วซีจากนั้นก็หันไปมองลู่เวยหย่าลู่เวยหย่าตอนนี้โกรธมากจริงๆ จนนางสั่นไปทั้งตัวและถามออกมา : "เขา เขาหลังจากมาที่นี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?"ปรมาจารย์เซี่ยรู้สึกว่าขายหน้าแต่ก็ยังพยักหน้าและกล่าว : "ฮูหยินรอง ลุกชายเจ้าทุกครั้งที่เอ่ยถึงแม่ทัพใหญ่มู่ออกมา คนอื่นๆ ก็ล้วนทำอะไรไม่ได้""แล้วทำไมไม่โบยเขาให้ตาย!" ลู่เวยหย่าโมโหจนเดินอาดๆ ไปข้างหน้าบานประตูห้องถูกทีบจะเปิดออก สองคนข้างในที่ต่อสู้กันก็หยุดลงทันทีแะลหันมามอตรงปากประตู"ท่านแม่?" มู่หยางชุนหันหน้ามามอง จากนั้นก็เอ่ยกล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจส่วนอีกคนหนึ่งคือหลิวเว่ยก็กำลังขี่หลังเขาอยู่ ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขากดดันเหนือกว่ามู่หยางชุนได้อย่างสมบูรณ์หลิวเว่ยก็รีบลงมาจากหลังของมู่หยางชุนและรีบถอยไปยืนข้างๆพร้อมกับหันไปมองปรมาจารย์เซี่ยด้วยสีหน้าที่กังวล"ไอลูกตัวแสบ เจ้าอยู่ในกรมพระราชวังนครบาลแล้วทำตัวแบบนี้เนี่ยนะ?" ลู่เวยหย่าตะคอกใส่เขา"ท่านแม่ พวกเขารังแกข้า ข้าไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่เลย" มู่หยางชุนจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา"เจ้า เจ้ายังจะมีหน้ามาร้องไห้อีก ข้ากับพี่
มู่หยางชุนตกตะลึงไปในพริบตา สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดสองแม่ลูกกำลังคุยกัน ป้าจ้าวยืนอยู่ที่ประตู หลิวฮั่วยืนอยู่ตรงข้ามนาง คอยสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องส่วนมู่จิ่วซีกับปรมาจารย์เซี่ยพอออกจากห้องพักขององครักษ์ก็เดินขึ้นไปด้านเหนือ"คุณหนูใหญ่มู่ อาการบาดเจ็บของท่านผู้สำเร็จราชการแทนเป็นอย่างไรบ้าง?""ไม่เป็นไรแล้ว อีกเดี๋ยวก็มากระโดดโลดเต้นได้" มู่จิ่วซีตอบมา"เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี ไส้ศึกก็กำเริบเสิบสานเสียเหลือเกิน""ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังจัดระดมคนตั้งมากมายในเวลาสั้นๆ อธิบายได้ว่าพวกเขาซุ่มกำลังอยู่ในคนของแคว้นเกาอวิ๋นไม่น้อยเลย พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีค้นหารังของพวกเขาออกมา"มู่จิ่วซีหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง ใบหน้าเรียวถามขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม "ศพเหล่านั้นถูกแขวนไว้ที่ประตูเมืองฝั่งเหนือหมดแล้วใช่ไหม?"ปรมาจารย์เซี่ยพยักหน้าตอบ "แขวนไว้หมดแล้ว เพียงแต่ประชาชนถูกทำให้อกสั่นขวัญแขวนกันหมด""ถ้าหากครอบครัวแตกสลายหมด นั่นถึงจะเป็นการตายอย่างแท้จริง" มู่จิ่วซียิ้มเย็นชา "การเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่พระชารวังนครบาลล้วนเป็นใต้เท้าโจวเหยาจัดการใช่หรือ
ปรมาจารย์เซี่ยส่ายหัวตอบทันที "ใต้เท้าหวางชิงทุกวันจะนำคนออกไปตั้งแต่เช้า ค่ำคืนดึกดื่นจึงกลับมา บางครั้งก็อยู่กันทั้งคืนด้วย ลำบากน่าดู""เขาจับไส้ศึกมาได้บ้างไหม?""มี พอจับกลับมาก็จะทำการสอบสวนอย่างเข้มงวด เพียงแต่ล้วนเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย ใต้เท้าหวางเองก็ดูจะยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว" ปรมาจารย์เซี่ยยิ้มขืน "เขาคือคนที่ขันแข็งที่สุดในกรมพระราชวังนครบาลแล้ว"มู่จิ่วซีพยักหน้า พอกำลังจะถามอะไรเพิ่มเติม คนทางนั้นก็ตะโกนมาว่า "ปรมาจารย์เซี่ย ใต้เท้าโจวให้ท่านพาคุณหนูใหญ่มู่ไปพบ""ได้" ปรมาจารย์เซี่ยขานตอบทันที "คุณหนูใหญ่ พวกเราไปพบใต้เท้าโจวทางนั้นก่อน กลับมาค่อยไปเจอกับพวกไส้ศึกดีไหม?""วันนี้ข้าไปไปพบพวกไส้ศึกหรอก เดิมทีก็คิดจะไปเยี่ยมใต้เท้าโจวอยู่แล้ว" มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มทั้งสองคนไปถึงในห้องโถงหลักชั้นสามของกรมพระราชวังนครบาลอย่างรวดเร็วใต้เท้าโจวเหยาอยู่ในชุดข้าราชการสีดำปักพญาอินทรี ดูองอาจน่าเกรงขาม บนใบหน้าเหลี่ยมมีอาการโกรธขึ้งอยู่"จิ่วซีคารวะใต้เท้าโจว" มู่จิ่วซีพอเข้ามาก็คารวะทักทายใบหน้าเคร่งขรึมของโจวเหยาก็เผยรอยยิ้มเอ่ยขึ้นว่า "คุณหนูใหญ่มู่มาเยี่
"ถ้าทำให้ประชาชนของทั้งเมืองร่วมกันเป็นหูเป็นตารายงาน เช่นนี้ศัตรูก็จะตึงเครียด กลางวันไม่กล้าออกมา แล้วถ้าออกจะออกมาตอนกลางคืน ทว่าหลังจากที่ใช้งานกฎห้ามออกภายนอกยามวิกาลพวกเราก็จะจับตัวคนได้ง่ายขึ้นเรื่องนี้หากเริ่มต้นแล้ว คนของทางเราจำเป็นต้องมีให้เพียงพอ ดังนั้นข้าจึงให้กรมกลาโหมระดมทหารห้าพันนายเข้าไปในกรมพระราชวังนครบาล เพื่อมาช่วยใต้เท้าโจวโจวเหยาสีหน้ายินดี พอได้ยินมู่จิ่วซีพูดเช่นนี้ก็เอ่ยแสดงท่าทีทันที "ความคิดดีมาก แต่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ไประดมทหารของกรมกลาโหมได้อย่างไรกัน? บอกกับท่านผู้สำเร็จราชการแทนหรือ?""ยังไม่ได้บอก แต่เดี๋ยวข้าก็จะบอกเขาเอง วางใจเถิด ท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะเห็นด้วย" มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม"ดูท่าระหว่างคุณหนูใหญ่มู่กับท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะมีความเชื่อใจกันแล้ว" โจวเหยาเผยรอยยิ้มเย้าแหย่"นั่นล่ะ แต่ว่าใต้เท้าโจวก็อย่าคิดเบนไป พวกเราเป็นสหายร่วมรบกัน ต่อให้ข้ามีความคิดอยู่บ้าง แต่ชายคนนั้นก็จะมาถอนหมั้นครั้งที่สองแน่ เรื่องเกียรติข้าไม่เอาก็ได้ แต่ท่านพ่อกับพระพันปีหลวงจะเสียใจเอาน่ะสิ" มู่จิ่วซีเบ้ปาก"ฮ่าๆๆ คุณหนูใหญ่มู่ ข้าชอบท่านขึ้นมาเ
มู่จิ่วซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ : "หรือว่าใต้เท้าโจวคิดว่ากรมพระราชวังนครบาลไม่มีไส้ศึก?"โจวเหยาสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามู่จิ่วซีอย่างไม่อยากจะเชื่อเขาพบว่าสายตาของนางคมกริบและเกรงขาม เขารู้ว่านางนั้นจงใจ"กรมพระราชวังนครบาลมีไส้ศึกรึ?" โจวเหยาถามกลับ "ข้าเมื่อก่อนแม้จะเคยคิดถึงเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่ข้าก็เคยลองตรวจสอบครั้งหนึ่งแล้ว ที่นี่ควรจะสะอาดไม่มีไส้ศึก""ใต้เท้าโจว เงาหอมนิโลบลถูกพบในตำหนักในเมื่อ 20 กว่าปีก่อน การวางยาพิษไปจนถึงอาการกำเริบและสุดท้ายเสียชีวิต จำเป็นต้องใช้เวลาที่ยาวนานอย่างมาก นั่นหมายถึงอะไร รู้ไหม?""นั่นหมายถึงไส้ศึกได้เข้ามาที่แคว้นเกาอวิ๋นตั้งนานแล้ว แฝงตัวเข้ามาอย่างได้อย่างลึกมากๆ การแฝงตัวเข้ามาได้เป็นเวลานานขนาดนี้ หากไส้ศึกคนหนึ่งเอาแต่กบดานเงียบมาโดยตลอด ไม่มีแนวโน้มที่จะไต่เต้าขึ้นมา แบบนั้นไส้ศึกพวกนั้นก็คงไม่ใส่ไส้ศึกที่ดี และก็คงไม่ถูกใช้ให้ทำงานสำคัญ"มู่จิ่วซีค่อยๆ กล่าวออกมาใบหน้าแก่ชราของโจวเหยาก็ซีดขาวเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเข้าใจว่ามู่จิ่วซีกำลังพูดอะไร"ข้าขอไม่พูดแล้วกันว่าข้าเจออะไรมาหรือข้ากำลังสงสัยอะไร กรมพระราชวังนครบาลจะต้อ