ปรมาจารย์เซี่ยส่ายหัวตอบทันที "ใต้เท้าหวางชิงทุกวันจะนำคนออกไปตั้งแต่เช้า ค่ำคืนดึกดื่นจึงกลับมา บางครั้งก็อยู่กันทั้งคืนด้วย ลำบากน่าดู""เขาจับไส้ศึกมาได้บ้างไหม?""มี พอจับกลับมาก็จะทำการสอบสวนอย่างเข้มงวด เพียงแต่ล้วนเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย ใต้เท้าหวางเองก็ดูจะยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว" ปรมาจารย์เซี่ยยิ้มขืน "เขาคือคนที่ขันแข็งที่สุดในกรมพระราชวังนครบาลแล้ว"มู่จิ่วซีพยักหน้า พอกำลังจะถามอะไรเพิ่มเติม คนทางนั้นก็ตะโกนมาว่า "ปรมาจารย์เซี่ย ใต้เท้าโจวให้ท่านพาคุณหนูใหญ่มู่ไปพบ""ได้" ปรมาจารย์เซี่ยขานตอบทันที "คุณหนูใหญ่ พวกเราไปพบใต้เท้าโจวทางนั้นก่อน กลับมาค่อยไปเจอกับพวกไส้ศึกดีไหม?""วันนี้ข้าไปไปพบพวกไส้ศึกหรอก เดิมทีก็คิดจะไปเยี่ยมใต้เท้าโจวอยู่แล้ว" มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มทั้งสองคนไปถึงในห้องโถงหลักชั้นสามของกรมพระราชวังนครบาลอย่างรวดเร็วใต้เท้าโจวเหยาอยู่ในชุดข้าราชการสีดำปักพญาอินทรี ดูองอาจน่าเกรงขาม บนใบหน้าเหลี่ยมมีอาการโกรธขึ้งอยู่"จิ่วซีคารวะใต้เท้าโจว" มู่จิ่วซีพอเข้ามาก็คารวะทักทายใบหน้าเคร่งขรึมของโจวเหยาก็เผยรอยยิ้มเอ่ยขึ้นว่า "คุณหนูใหญ่มู่มาเยี่
"ถ้าทำให้ประชาชนของทั้งเมืองร่วมกันเป็นหูเป็นตารายงาน เช่นนี้ศัตรูก็จะตึงเครียด กลางวันไม่กล้าออกมา แล้วถ้าออกจะออกมาตอนกลางคืน ทว่าหลังจากที่ใช้งานกฎห้ามออกภายนอกยามวิกาลพวกเราก็จะจับตัวคนได้ง่ายขึ้นเรื่องนี้หากเริ่มต้นแล้ว คนของทางเราจำเป็นต้องมีให้เพียงพอ ดังนั้นข้าจึงให้กรมกลาโหมระดมทหารห้าพันนายเข้าไปในกรมพระราชวังนครบาล เพื่อมาช่วยใต้เท้าโจวโจวเหยาสีหน้ายินดี พอได้ยินมู่จิ่วซีพูดเช่นนี้ก็เอ่ยแสดงท่าทีทันที "ความคิดดีมาก แต่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ไประดมทหารของกรมกลาโหมได้อย่างไรกัน? บอกกับท่านผู้สำเร็จราชการแทนหรือ?""ยังไม่ได้บอก แต่เดี๋ยวข้าก็จะบอกเขาเอง วางใจเถิด ท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะเห็นด้วย" มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม"ดูท่าระหว่างคุณหนูใหญ่มู่กับท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะมีความเชื่อใจกันแล้ว" โจวเหยาเผยรอยยิ้มเย้าแหย่"นั่นล่ะ แต่ว่าใต้เท้าโจวก็อย่าคิดเบนไป พวกเราเป็นสหายร่วมรบกัน ต่อให้ข้ามีความคิดอยู่บ้าง แต่ชายคนนั้นก็จะมาถอนหมั้นครั้งที่สองแน่ เรื่องเกียรติข้าไม่เอาก็ได้ แต่ท่านพ่อกับพระพันปีหลวงจะเสียใจเอาน่ะสิ" มู่จิ่วซีเบ้ปาก"ฮ่าๆๆ คุณหนูใหญ่มู่ ข้าชอบท่านขึ้นมาเ
มู่จิ่วซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ : "หรือว่าใต้เท้าโจวคิดว่ากรมพระราชวังนครบาลไม่มีไส้ศึก?"โจวเหยาสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามู่จิ่วซีอย่างไม่อยากจะเชื่อเขาพบว่าสายตาของนางคมกริบและเกรงขาม เขารู้ว่านางนั้นจงใจ"กรมพระราชวังนครบาลมีไส้ศึกรึ?" โจวเหยาถามกลับ "ข้าเมื่อก่อนแม้จะเคยคิดถึงเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่ข้าก็เคยลองตรวจสอบครั้งหนึ่งแล้ว ที่นี่ควรจะสะอาดไม่มีไส้ศึก""ใต้เท้าโจว เงาหอมนิโลบลถูกพบในตำหนักในเมื่อ 20 กว่าปีก่อน การวางยาพิษไปจนถึงอาการกำเริบและสุดท้ายเสียชีวิต จำเป็นต้องใช้เวลาที่ยาวนานอย่างมาก นั่นหมายถึงอะไร รู้ไหม?""นั่นหมายถึงไส้ศึกได้เข้ามาที่แคว้นเกาอวิ๋นตั้งนานแล้ว แฝงตัวเข้ามาอย่างได้อย่างลึกมากๆ การแฝงตัวเข้ามาได้เป็นเวลานานขนาดนี้ หากไส้ศึกคนหนึ่งเอาแต่กบดานเงียบมาโดยตลอด ไม่มีแนวโน้มที่จะไต่เต้าขึ้นมา แบบนั้นไส้ศึกพวกนั้นก็คงไม่ใส่ไส้ศึกที่ดี และก็คงไม่ถูกใช้ให้ทำงานสำคัญ"มู่จิ่วซีค่อยๆ กล่าวออกมาใบหน้าแก่ชราของโจวเหยาก็ซีดขาวเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเข้าใจว่ามู่จิ่วซีกำลังพูดอะไร"ข้าขอไม่พูดแล้วกันว่าข้าเจออะไรมาหรือข้ากำลังสงสัยอะไร กรมพระราชวังนครบาลจะต้อ
"ได้" มู่จิ่วซีกล่าวรับคำ จากนั้นก็เห็นลู่เวยหย่าและป้าจ้าวเดินออกไปนางไม่ได้สนสีหน้าท่าทีเอาแต่ใจของมู่หยางชุน เพียงแต่สามวันหลังจากนี้ มู่หยางชุนที่คิดว่าตัวเองรอดแล้วต้องถูกคนจับไปที่ค่ายทหาร บอกว่าแม่ทัพมู่สั่งมาหากเขายังไม่ได้เรื่อง ไม่เอาถ่านอีกก็ไม่ต้องกลับบ้านและรองแม่ทัพก็จะบอกกับมู่หยางชุน ว่าแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งมา ขอเพียงเขาไม่ตายก็จะต้องถูกฝึกฝนอย่างเหี้ยมโหดมู่จิ่วซีไม่เคยคิดถึงการลงโทษแบบนี้มาก่อน ต่อให้ร้องไห้ฟ้าถล่มแผ่นดินถลายก็ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าสามปีหลังจากนี้ มู่หยางชุนก็จะกลายเป็นทหารที่แท้จริง ยิ่งเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะยิ่งรู้สึกขอบคุณมู่จิ่วซีพี่สาวของเขาคนนี้ที่เข้มงวดกับเขานี่เป็นเรื่องหลังจากนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนมู่จิ่วซีให้เหอเฟิงไปส่งลู่เวยหย่าและป้าจ้าวกลับจวนไปก่อน นางกับหลิวฮั่วก็ยืนตรงปากประตูกรมพระราชวังนครบาลมองดูรถม้าจากไป"คุณหนูใหญ่ หลังจากท่านไปแล้ว มีคนสามคนมาหาที่ห้องของคุณชายสาม โดยทั้งหมดเรียกให้คุณชายสามไปฝึกฝน แต่ป้าจ้าวกลับคุยกับคนหนึ่งในนั้น แล้วก็หยิบขนมให้กับคนๆ นั้นด้วยชิ้นหนึ่ง อีกทั้งยังบอกให้ดูแลคุณชายสาม คนๆ นั้นมีชื่อว่าเ
หลายคนที่อยู่นอกห้องตกใจจนสะดุ้ง มู่จิ่วซีรีบเปิดประตูพุ่งเข้าไปพอนางเข้าไปก็เห็นชามใบหนึ่งแตกกระจายอยู่ตรงหน้าเตียงของโม่จุน เปียกกระจายไปเต็มพื้น"ท่านอ๋อง นั่นเป็นยาของท่านนะ!" อานเย่ผู้น่าสงสารก็เด้งตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เอนกาย เขาตะลึงตกใจและมองไปยังนายท่านที่นอนอยู่บนเตียง ถึงอย่างไรนั่นก็เกิดหลังจากเสียงตะโกนดีใจด้านนอกเมื่อครู่เขายังดีๆ อยู่ แต่จู่ไม่รู้ทำไมเขาก็เอาชามยาตรงหัวเตียงเขวี้ยงแตกซะงั้น? ไม่ง่ายเลยกว่ายาที่ต้มเสร็จจะเย็นลงได้มู่จิ่วซีรีบพุ่งไปที่ข้างเตียง ก็เห็นว่าโม่จุนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดขาว แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมดำทะมึน นี่เขากำลังโกรธ?ดวงตาสีดำสนิทอันคมกริบก็เหลือบมองมาที่นาง"ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น?" มู่จิ่วซีรีบถามโม่หยวนชิงก็วิ่งเข้ามาและรีบกล่าว : "เสด็จพี่ห้า นี่ท่านจะโมโหงอแงเป็นเด็กไปแล้วไหม ถ้าไม่ชอบยาขม ก็อย่ามาเขวี้ยงแบบนี้สิ แพทย์หลวงอู๋คงร้องไห้แน่"สายตาของโม่จุนพริบตาก็หันไปมองโม่หยวนชิง ราวกับว่าอดไม่ได้จนอยากจะมองให้ทะลุเป็นรูสักสองสามรูบนตัวของเขา"ข้าเห็นเจ้าแล้วหงุดหงิด ไสหัวกลับจวนเจ้าไปซะ!" โม่จุนกล่าวอย่างโมโห
ชั่วขณะนั้น ในใจของมู่จิ่วซีก็อยากจะหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าโม่จุนชายคนนี้กำลังหึงหวง!แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าจะหัวเราะออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โม่จุนโกรธจนกระทบบาดแผลอีก"ท่านอ๋องหก ท่านออกไปก่อนเถอะ หลังจากนี้ครึ่งเดือน พวกเราค่อยหาเวลามาประลองกัน ข้าสัญญาแล้ว ขอเพียงเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะยอมลองคบหาเจ้าดู หากเจ้าแพ้ หลังจากนี้เราก็แค่เพื่อนกัน"คำพูดของมู่จิ่วซีทำให้โม่จุนที่อยู่บนเตียงถึงับอึ้งไป จากนั้นบรรยากาศตึงเครียดก็ดูเหมือนจะสงบลงมาได้"ข้ารู้แล้ว แต่ว่าครึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะยังไม่ประลองกับเจ้า ข้าขอเวลาตั้งใจฝึกฝนวรยุทธสักช่วงหนึ่ง เอาเป็นว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้าจะไปหาเจ้าเพื่อประลองกัน""หา? ทำไม?" มู่จิ่วซีตกใจกล่าว"ทุกคนต่างก็บอกว่าเจ้าเก่งกาจ ข้าไม่อยากแพ้" แน่นอนว่าโม่หยวนชิงไม่ใช่คนโง่ มู่จิ่วซีอยู่ที่วัดเป้ากั๋วและช่วยโม่จุนไว้ได้ นางสู้กับศัตรูตั้งหลายคน แต่กลับมาได้อย่างปลอดภัย แสดงให้เห็นแล้วว่านางแข็งแกร่งไม่ได้อ่อนแอ"อุ๊ยตาย มีสมองเหมือนกันะเนี่ย ฮาๆ เอาเถอะ ข้าจะรอเจ้ามาหาจนกว่าเจ้าจะเตรียมตัวเสร็จ ข้าจะรออยู่เสมอ" มู่จิ่วซีกลับวางใจลงได้ถึงอ
"ให้ตายเถอะ!" มู่จิ่วซีส่งเสียงตกใจออกมา เขานี่เหลือเชื่อจริงๆ เลย "โม่จุน เจ้าอย่าโมโหจนเป็นแบบนี้สิ เจ้าเป็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนที่ไร้อารมณ์เยือกเย็นคนนั้นไม่ใช่หรือไง?"มู่จิ่วซีขณะพูดก็หยิบเข็มสำหรับฝังตรงเอวออกมาโม่จุนผ่อนลมหายใจออกมา อารมณ์โมโหอึกอัดตรงอกของเขาก็ได้ผ่อนคลายจนสบายลงมามาก"พอเถอะ เลิกพูดได้แล้ว" มู่จิ่วซีรู้สึกผิด นางเองไม่ควรไปพูดกระตุ้นไอผู้ชายชาติหมาคนนี้เลยแต่เมื่อเขาพูดถึงเซียวหลิงเย่ว์กลับมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ เขาตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ระหว่างพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่นะ?มู่จิ่วซีรู้สึกสงสัยอย่างมาก แต่ก็ไม่มีความสามารถบอกนางเรื่องซุบซิบพวกนี้แต่ว่าทั้งพระนครเหมือนจะรู้ว่าระหว่างโม่จุนและเซียวหลิงเย่ว์มีอะไรกัน ขนาดพระพันปีหลวงเองก็ยังทรงคิดแบบนี้ ทำไมโม่จุนถึงยังไม่ยอมรับ?ดูจากท่าทีของเขาแล้วก็เหมือนจะไม่ได้โกหก ระหว่างพวกเขามีอะไรผิดปกติกันแน่โม่จุนหลับตาลง มู่จิ่วซีก็ฝังเข็มลงตรงหน้าอกของเขาพร้อมกับเล่าถึงสถานการณ์ที่ตนเองไปกรมพระราชวังนครบาลพอนางพูดถึงหวางชิว โม่จุนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที"เจ้าบอกว่าเป็นรองอธิบดีหวางชิวงั้นหรือ?"
มู่จิ่วซีกะอึ้งไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็ระเบิดหัวเราะฮาๆ ดังออกมา"โม่จุน เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้าเหมือนกับกำลังบูชาข้าอยู่" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างดีใจ คำกล่าวชมเชยนี้คงเป็นการกล่าวยกย่องสูงที่สุดแล้ว"ไม่ ข้าก็แค่รู้สึกว่าน่ากลัว ผู้หยิงประเภทนี้อย่างเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว น้อยคนนักที่จะมีความคิดเหมือนกับเจ้าแบบนี้ จิตใจโหดเหี้ยม อำมหิตชั่วร้าย แผนการมารยาร้อยแปด" โม่จุนพอเห็นนางได้ใจ ก็รีบสาดน้ำเย็นใส่นางด้วยคำพูด"ปากดีนัก! ข้าเพิ่งพบว่าเจ้าเป็นผู้ชายชาติหมาที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เลยจริงๆ สมควรต้องทนเจ็บให้ตายแล้ว" หลังจากที่มู่จิ่วซีพูดจบ นางก็เดินออกไปอย่างโมโห"เจ้าจะไปไหน?" โม่จุนรีบถามขึ้นมา"ไปไหนก็ได้ที่ไม่เห็นเจ้า ข้าจะไปหาท่านพ่อ เจ้าก็นอนนิ่งๆ ไปเถอะ ข้ามีธุระต้องจัดการ" มู่จิ่วซีถอยหายใจออกมา จากนั้นนางก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้และรีบพูดออกมา "โม่จุน เจ้าควรจ่ายเงินเดือนราชการให้ข้าแล้วไหม ข้าอุตส่าห์จัดการธุระให้เจ้า""เจ้าช่วยทำธุระให้พ่อเจ้า ทำเพื่อแคว้นเกาอวิ๋น" โม่จุนรีบกล่าว"ไอผู้ชายชาติหมา คราวหน้าข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้ว!" มู่จิ่วซีพอพูดจบก็ปิดประตูตามหลังดังปั