หยางไท่หมิงและฟงเฉิงฮ่าว ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมผู่เฉิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ยอมพักผ่อนเนื่องจากรอฟังข่าวจากไห่หยุน ผู้รับคำสั่งจากฟงเฉิงฮ่าวไปสืบความเป็นมา เกี่ยวกับสตรีที่เจ้านายให้ความสนใจ ทันทีที่มาถึงเมืองผู่เถียน ซึ่งมิใช่แค่ไห่หยุนที่แปลกใจ แต่บ่าวที่ติดตามเจ้านายทั้งสองคนก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกัน
ไห่หยุนเดินสอบถามพ่อค้าแม่ค้า บริเวณที่เจ้านายพบเจอสตรีทั้งสอง แต่รายละเอียดที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทำให้ไห่หยุนต้องไปสอบถามเรื่องตระกูลจินจากท่านเจ้าเมืองผู่เถียน ที่ตอบคำถามจากหลักฐานการโยกย้ายถิ่นฐานจากเมืองถู่หลาน มาตั้งรกรากเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่นี่ รวมถึงการเปลี่ยนแซ่ของครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้น
เมื่อสืบเสาะเรื่องราวได้เท่าที่มี ไห่หยุนจึงรีบกลับไปพบเจ้านาย เพื่อรายงานในสิ่งที่ตนสืบได้ความมา
ก๊อก ๆ ๆ “คุณชายรองบ่าวไห่หยุนเองขอรับ”
พอได้ยินเป็นเสียงคนของตน ฟงเฉิงฮ่าวรีบอนุญาตอย่างรวดเร็ว “รีบเข้ามา”
แต่เป็นหยางไท่หมิงที่ให้ไห่หยุนรีบเล่าสิ่งที่รู้ออกมา “ได้ความเกี่ยวกับพวกนางว่าอย่างไร รีบเล่ามาให้พวกข้าสองคนฟังโดยเร็ว อย่ามัวพิธีรีตองให้มากนัก”
“เรียนคุณชายหยาง บ่าวได้สอบถามพ่อค้าแม่ค้าในเมือง รวมถึงขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากท่านเจ้าเมือง ในประวัติที่บันทึกไว้บอกว่า เดิมทีพวกนางกับบิดามารดาเป็นคนตระกูลหลิวจากเมืองถู่หลาน ถูกผู้นำตระกูลมอบหนังสือตัดขาดจึงเดินทางมาอาศัยที่เมืองผู่เถียน
พวกเขาลงทะเบียนเป็นชาวเมืองแห่งนี้ พร้อมกับเปลี่ยนแซ่จากแซ่หลิวเป็นแซ่จิน มีการซื้อจวนขนาดกลางและร้านค้ากลางเมือง ซึ่งครอบครัวนี้เพิ่งเปิดร้านขายผ้าไหมวันนี้เป็นวันแรกขอรับ” ไห่หยุนได้แต่คิดในใจ หากเจ้านายต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ เขาคงต้องไปสืบที่ตระกูลหลิวในเมืองถู่หลานแล้ว
ฟงเฉิงฮ่าวกอดอกขมวดคิ้วดูเคร่งเครียด ถึงสาเหตุที่ครอบครัวเล็ก ๆ นี้ถูกตัดขาดจากตระกูล “ถูกตระกูลเดิมตัดขาดงั้นหรือ เกิดเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ มิใช่ว่าพวกเขาทำอะไรผิดมาหรือไม่นะ เจ้าคิดว่าอย่างไรอาหมิง”
หยางไท่หมิงหันไปตอบด้วยความสงสัย “ในความคิดของข้ามีความเป็นไปได้อยู่สองทาง อย่างแรกเช่นที่เจ้าพูดมา ส่วนอย่างที่สองพวกเขาอาจเป็นฝ่ายถูกกระทำ ความจริงอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งนี้แน่นอน”
อู๋ซูเห็นว่าเจ้านายให้ความสนใจตระกูลจินเป็นพิเศษ จึงเสนอสิ่งที่ตนเองคิดออกไป “คุณชายขอรับหรือจะให้ข้ากับไห่หยุน ไปสืบเรื่องคุณหนูทั้งสองที่เมืองถู่หลานหรือไม่ หากขี่ม้าเร็วไปไม่กี่วันก็ถึงที่นั่นแล้วขอรับ”
สองสหายนั่งคิดทบทวนอยู่ไม่นาน หยางไท่หมิงจึงบอกกับฟงเฉิงฮ่าว “อาฮ่าวให้ไห่หยุนไปสืบเรื่องราวของตระกูลหลิว
ส่วนพวกเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อสืบข่าวพวกคนร้าย และเฝ้าดูร้านค้าตระกูลจินไว้ให้ดี ในเมื่อพวกเขาเป็นครอบครัวช่างทอผ้า ข้าเชื่อว่าถ้าคนร้ายรู้เข้า ย่อมลงมือลักพาตัวครอบครัวนี้แน่”“อืม ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะอาหมิง เท่าที่เห็นผ่าน ๆ ร้านค้าตระกูลจินมีขนาดใหญ่พอสมควร และมันย่อมเข้าตาคนร้ายเช่นกันเอาเช่นนี้ ไห่หยุนเจ้าพักผ่อนเสียก่อน ไว้พรุ่งนี้เช้าประตูเมืองเปิดจงเร่งเดินทางทันที เข้าใจหรือไม่” ฟงเฉิงฮ่าวก็คิดเช่นเดียวกับสหาย เพราะคนที่พวกเขาไว้ใจได้มีเพียงคนติดตาม และสายลับบางส่วนในเมืองผู่เถียนเท่านั้น
“บ่าวทราบแล้วขอรับคุณชายรอง”
หยางไท่หมิงโบกมือเป็นสัญญาณ บ่งบอกให้ผู้ติดตามกลับไปพักเอาแรงได้ พวกเขาเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้สมควรให้ร่างกายได้พักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนจะเริ่มลงมือสืบหาผู้ร่วมขบวนทั้งหมดอย่างเป็นทางการ
เมื่อได้รับรู้รายละเอียดบางส่วนของสตรีทั้งสอง จึงได้เวลาพักผ่อนจากการเดินทางเสียที ระหว่างรอไห่หยุนกลับมา เขากับสหายคงทำได้เพียงจับตาดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
ด้านซูอันกับเยี่ยนหลิงเมื่อกลับมาถึงจวน ภายหลังจบมื้ออาหารเย็นจึงขอตัวกลับเรือนของตน ด้วยความรู้สึกของนาง
ยามเดินกลับจวน มันยังคงกวนใจนางจนถึงตอนนี้ พอมาถึงเรือนส่วนตัวของตน ซูอันเรียกอวี้เหลียนมาพบทันที“คุณหนูเล็กเรียกพบข้ามีเรื่องอันใดให้รับใช้หรือขอรับ”
ซูอันคิดว่าเรื่องที่กวนใจนาง ไม่ว่าจะจริงหรือไม่การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีที่สุด “อวี้เหลียนตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ากับเว่ยโฉวพาคนติดตามข้าไปที่ร้านด้วยสามคน อีกสองคนให้กลับไปเฝ้าดูที่หมู่บ้าน ว่าพักนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาบ้างหรือไม่ ส่วนที่เหลือให้อยู่ที่จวนดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า”
อวี้เหลียนรู้สึกได้ว่าคำสั่งของคุณหนูเล็กครั้งนี้ คล้ายกังวลว่าจะเกิดเรื่องบางอย่าง “ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับสหายคนอื่นให้ทราบขอรับ แต่เรื่องคนแปลกหน้าที่คุณหนูเป็นกังวล ข้าได้ยินจากเจียนฉางเมื่อวันก่อน หลังจากที่กลับไปเยี่ยมท่านลุงเจียนว่า มีคนไปที่หมู่บ้านของพวกเรารวมถึงหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่อสอบถามว่าแต่ละหมู่บ้านมีช่างทอผ้าจำนวนเท่าใด และคนที่มีฝีมือการทอผ้าได้เก่งกาจมีตระกูลใดบ้าง เมื่อผู้คนในหมู่บ้านตอบเท่าที่รู้พวกเขาก็ออกจากหมู่บ้านไปขอรับ”
คิ้วเรียวเริ่มขมวดมุ่นหลังจากฟังสิ่งที่อวี้เหลียนพูดออกมา “ดูท่าเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้วกระมัง”
“คุณหนูเล็กตั้งแต่ข้าเติบโตมาในหมู่บ้าน ไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับช่างทอผ้าฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรก
ที่ผู้อาวุโสได้พบเจอเช่นกันขอรับ”เมื่อเรื่องราวที่ได้รับรู้ดูผิดปกติ ซูอันจึงไม่อาจวางใจได้อีกต่อไป “อวี้เหลียนเจ้ากำชับคนที่จะไปเฝ้าดูหมู่บ้านให้ดี และบอกกับชาวบ้านว่า อย่าได้เล่าเรื่องภายในให้คนแปลกหน้าฟังเด็ดขาด ข้ารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้อาจร้ายแรงกว่าที่คิด”
อวี้เหลียนมีสีหน้าเคร่งเครียดตามผู้เป็นนาย “ข้าจะบอกพวกเขาให้เตือนทุกคนในหมู่บ้านให้ระวังตัวไว้ขอรับ”
“อืม อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าไปสอบถามบุรุษวัยเดียวกันตามหมู่บ้านใกล้เคียงว่า มีใครสนใจมาสมัครเป็นหน่วยคุ้มกันหรือไม่ ข้าต้องการคนเพิ่มจนกว่าจะครบหนึ่งร้อยคน จากนั้นนำเงินในถุงนี้ไปซื้อที่ดินด้านหลังหมู่บ้านซานอี๋ ใกล้เชิงเขาเล็กน้อยประมาณสิบหมู่ แล้วไปติดต่อนายช่างโจวซุ่นให้ไปสร้างเรือนพักของหน่วยคุ้มกันที่นั่น ข้าจะให้หยิ่งเจาเป็นคนฝึกฝนพวกเขา เจ้าช่วยเร่งมือหน่อยก็แล้วกัน” นางไม่มีทางให้กิจการที่เพิ่งเริ่มสร้าง ต้องพบเจอปัญหาจากคนไม่หวังดีได้แน่
“ข้าจะรีบจัดการทุกอย่างโดยเร็วขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปบอกกับคนอื่น ๆ ก่อนขอรับ”
“อืม ฝากเจ้าด้วย” ซูอันรับคำเพียงสั้น ๆ
อวี้เหลียนถือถุงใส่เงินกลับไปยังเรือนพัก ซึ่งสหายที่เหลือยังคงนั่งรอเขา เนื่องจากอยากรู้ว่าซูอันเรียกอวี้เหลียนไปพบด้วยเรื่องอันใด หยิ่งเจาผู้เห็นสหายเดินกลับเข้ามาเป็นคนแรก กำลังจะเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จำต้องปิดปากของตนลงเมื่อเห็นสีหน้าของอวี้เหลียน
แต่เป็นเว่ยโฉวที่กล้าเอ่ยปากถาม “อวี้เหลียนคุณหนูเล็กเรียกเจ้าไปพบ มีเรื่องอันใดให้พวกเราไปทำหรือไม่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงทำสีหน้าคร่ำเคร่งผิดปกติกว่าทุกวันเล่า”
เหนียนจื่อพยักหน้าเห็นด้วยกับเว่ยโฉว “นั่นน่ะสิอวี้เหลียน หรือว่างานที่ต้องทำเป็นงานที่ยากและซับซ้อนงั้นหรือ”
“อืม นี่จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถของพวกเรา คุณหนูเล็กมีคำสั่งให้ข้ากับพวกเจ้าอีกสามคน คอยติดตามไปที่ร้านค้าอีกสองคนไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านของพวกเรา เพราะเรื่องที่เจียนฉางพูดถึงคนแปลกหน้า คุณหนูเล็กจึงเป็นห่วงคนในหมู่บ้าน เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับทุกคน ส่วนคนที่เหลือคอยดูแลนายท่านกับฮูหยินอยู่ที่จวน”
เจียนฉางไม่คิดว่าเรื่องที่เขาได้ฟังจากครอบครัว จะทำให้มีการเฝ้าระวังเกิดขึ้นทันที “อวี้เหลียน! ข้าขออาสาไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านเอง ใครจะไปที่หมู่บ้านกับข้าบ้าง”
จ้าวถางที่เป็นห่วงมารดาและน้องสาว รีบยกมือขึ้นเพื่ออาสาไปกับเจียนฉาง “ข้าไปกับเจียนฉางเองพี่ชายอวี้เหลียน”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าสองคนรีบไปที่หมู่บ้าน หากพบเจอเรื่องราวที่น่าสงสัยรีบกลับมารายงานคุณหนูเล็กทันที”
“ได้!/ขอรับ”
ในเมื่อมีคนรับอาสาไปที่หมู่บ้านซานอี๋แล้ว หยิ่งเจาจึงขอรับหน้าที่ดูแลจวน “อวี้เหลียนหน้าที่ดูแลจวนยกให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดคนที่ควรอยู่กับข้าก็เป็นเต๋อห้าว เซินสี่และเหนียนจื่อก็แล้วกัน”
อวี้เหลียนพยักหน้าตกลง ส่วนคนที่ต้องติดตามเขากับซูอันย่อมเป็นเว่ยโฉว เป่าโยวกับจงชิ่ง “ตกลง ถ้างั้นพวกเจ้าที่เหลือสามคนไปกับข้า คอยติดตามคุณหนูใหญ่กับคุณหนูเล็ก อ้อ ยังมีอีกเรื่องวันพรุ่งนี้ข้าจะไปที่ศาลาว่าการ เพื่อทำเรื่องซื้อที่ดินด้านหลังหมู่บ้านจำนวนสิบหมู่ คุณหนูเล็กจะสร้างเรือนพักและลานฝึกหน่วยคุ้มกันเพิ่ม โดยผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ฝึกฝนคนที่มาใหม่ก็คือเจ้าหยิ่งเจา”
หยิ่งเจาไม่คิดว่าตนเองจะได้รับหน้าที่ที่มีเกียรติ “คุณหนูเล็กจะให้ข้าเป็นคนฝึกฝนหน่วยคุ้มกันกลุ่มใหม่จริงรึ! อวี้เหลียนข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่”
“เจ้าจะหูฝาดได้อย่างไรกันหยิ่งเจา อวี้เหลียนเพิ่งบอกเจ้าพวกข้าล้วนได้ยินกันทุกคนนะ” เหนียนจื่อเอ่ยย้ำกับหยิ่งเจาว่าเขาไม่ได้หูฝาด
หยิ่งเจาลุกขึ้นยืนชูกำปั้น “ในเมื่อคุณหนูเล็กมอบหน้าที่สำคัญมาให้ ข้าจะทำมันอย่างเต็มที่ เพื่อฝึกฝนหน่วยคุ้มกันกลุ่มใหม่ให้แข็งแกร่งเช่นพวกเราได้แน่”
“เอาล่ะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเราต้องเริ่มทำภารกิจตั้งแต่เช้า อย่าลืมเด็ดขาดไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหน
ถ้าเกิดมันน่าสงสัยตามไปสืบให้แน่ชัดเสียก่อน” อวี้เหลียนคอยกำชับสหายในการทำหน้าที่อยู่เสมอ“พวกข้าจะทำมันให้ดีแน่นอนอย่าห่วงเลย” เจียนฉางให้คำมั่นแทนสหายทุกคน
ทั้งสิบคนให้ความสำคัญกับหน้าที่จากซูอันเสมอ ในเมื่อเจ้านายสั่งการมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าที่หมู่บ้านซานอี๋ หรือร้านค้าผ้าไหมในเมืองผู่เถียน อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ จิตใจของคนที่อิจฉาริษยาผู้ทำอาชีพเดียวกัน มักจะไม่อยากเห็นผู้อื่นได้ดีไปกว่าตน
ทางด้านเจ้านายอย่างซูอัน ยามนี้ได้ออกคำสั่งกับจี้หยกวิเศษ เพื่อให้การค้าของนางดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
“จีจี้! เดินหน้าผลิตสินค้าเต็มกำลัง”
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง!]
ผ่านค่ำคืนที่แสนมีความสุขของจวนตระกูลจิน พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ผ้าไหมและผ้าปักของร้าน มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เพียงเปิดร้านวันแรกก็ขายดีจนผ้าบางผืนเหลือไม่กี่พับ ส่วนเรื่องสินค้าที่เหลือน้อยได้รับการแก้ไขจากบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว มู่ถงกับฮูหยินอย่างจือเหมยจึงได้วางใจเพราะซูอันรู้ดีว่าบิดามารดามักจะคิดมากอยู่เสมอ “ท่านพ่อท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน พวกท่านเลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าลูกค้าของพวกเราจะสั่งสินค้าจำนวนมากเพียงใด ข้าย่อมมีส่งให้ครบตามจำนวนแน่นอน พวกท่านปักผ้าอย่างมีความสุขเถิดนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ จากนี้ไปพวกท่านสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้นั่งทำงานปักอย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบจากความกดดันเช่นแต่ก่อนอีก ส่วนเรื่องที่ร้านผ้าไหมข้ากับอันเอ๋อร์จะดูแลจัดการเองเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงกล่าวเสริมคำพูดน้องสาวอีกคนจือเหมยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ที่บุตรสาวทั้งสองของนางกับสามี ไม่เคยริษยาต่อกันตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง “ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ยามนี้บุตรสาวของพวกเราเติบโตขึ้นมาก แต่หลิงเอ๋อร์เลยเวลาออกเรือนมาเกือบสองปีแล้ว ข้ากลัวว่า
หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลาฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิ
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลาฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิ
ผ่านค่ำคืนที่แสนมีความสุขของจวนตระกูลจิน พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ผ้าไหมและผ้าปักของร้าน มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เพียงเปิดร้านวันแรกก็ขายดีจนผ้าบางผืนเหลือไม่กี่พับ ส่วนเรื่องสินค้าที่เหลือน้อยได้รับการแก้ไขจากบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว มู่ถงกับฮูหยินอย่างจือเหมยจึงได้วางใจเพราะซูอันรู้ดีว่าบิดามารดามักจะคิดมากอยู่เสมอ “ท่านพ่อท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน พวกท่านเลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าลูกค้าของพวกเราจะสั่งสินค้าจำนวนมากเพียงใด ข้าย่อมมีส่งให้ครบตามจำนวนแน่นอน พวกท่านปักผ้าอย่างมีความสุขเถิดนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ จากนี้ไปพวกท่านสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้นั่งทำงานปักอย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบจากความกดดันเช่นแต่ก่อนอีก ส่วนเรื่องที่ร้านผ้าไหมข้ากับอันเอ๋อร์จะดูแลจัดการเองเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงกล่าวเสริมคำพูดน้องสาวอีกคนจือเหมยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ที่บุตรสาวทั้งสองของนางกับสามี ไม่เคยริษยาต่อกันตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง “ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ยามนี้บุตรสาวของพวกเราเติบโตขึ้นมาก แต่หลิงเอ๋อร์เลยเวลาออกเรือนมาเกือบสองปีแล้ว ข้ากลัวว่า
หยางไท่หมิงและฟงเฉิงฮ่าว ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมผู่เฉิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ยอมพักผ่อนเนื่องจากรอฟังข่าวจากไห่หยุน ผู้รับคำสั่งจากฟงเฉิงฮ่าวไปสืบความเป็นมา เกี่ยวกับสตรีที่เจ้านายให้ความสนใจ ทันทีที่มาถึงเมืองผู่เถียน ซึ่งมิใช่แค่ไห่หยุนที่แปลกใจ แต่บ่าวที่ติดตามเจ้านายทั้งสองคนก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันไห่หยุนเดินสอบถามพ่อค้าแม่ค้า บริเวณที่เจ้านายพบเจอสตรีทั้งสอง แต่รายละเอียดที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทำให้ไห่หยุนต้องไปสอบถามเรื่องตระกูลจินจากท่านเจ้าเมืองผู่เถียน ที่ตอบคำถามจากหลักฐานการโยกย้ายถิ่นฐานจากเมืองถู่หลาน มาตั้งรกรากเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่นี่ รวมถึงการเปลี่ยนแซ่ของครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อสืบเสาะเรื่องราวได้เท่าที่มี ไห่หยุนจึงรีบกลับไปพบเจ้านาย เพื่อรายงานในสิ่งที่ตนสืบได้ความมาก๊อก ๆ ๆ “คุณชายรองบ่าวไห่หยุนเองขอรับ”พอได้ยินเป็นเสียงคนของตน ฟงเฉิงฮ่าวรีบอนุญาตอย่างรวดเร็ว “รีบเข้ามา”แต่เป็นหยางไท่หมิงที่ให้ไห่หยุนรีบเล่าสิ่งที่รู้ออกมา “ได้ความเกี่ยวกับพวกนางว่าอย่างไร รีบเล่ามาให้พวกข้าสองคนฟังโดยเร็ว อย่ามัวพิธีรีตองให้มากนัก”“เรียนคุณชายหยาง บ่าวได้สอ
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร