ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขาย
วั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้าน
ของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา
“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐานทั้งสองฝ่ายเจ้าค่ะ”
วั่นจิ่นต้านนิ่งคิดไปสักหนึ่งจิบชา ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใด “อืม ข้าเอาผ้าไหมสีทั่วไปหนึ่งร้อยพับ ส่วนผ้าที่เป็นสีพิเศษเอามาหนึ่งร้อยห้าสิบพับ และผ้าปักทุกลวดลายบนผ้าเช็ดหน้าสามสิบผืน ยังมีถุงหอมและถุงใส่เงินทำมาให้ข้าอย่างละห้าสิบใบ”
ซูอันไม่คิดว่าลูกค้าคนนี้ของนาง จะสั่งสินค้าจำนวนมากตั้งแต่ครั้งแรก แต่มันก็ทำให้นางมีความสุขไม่น้อย เพราะกิจการที่เพิ่งเริ่มต้นมีคนสนใจถึงเพียงนี้ “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะออกใบสั่งซื้อให้ท่านลุงและข้า เก็บไว้คนละหนึ่งฉบับ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยามรับส่งสินค้าระหว่างกันนะเจ้าคะ
เพียงแต่ว่าวันนี้ท่านลุงจะยังไม่ได้รับสินค้า เนื่องจากผ้าไหมที่พวกเราเตรียมไว้นั้น ยังมีไม่มากพอสำหรับการขายส่งในจำนวนมากได้ ท่านลุงให้เวลาข้าสักหนึ่งเดือนได้หรือไม่เจ้าคะ เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนข้าจะให้หน่วยคุ้มกัน นำสินค้าทั้งหมดไปส่งให้ท่านที่เมืองเส้ากวนเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าพอจะเข้าใจสถานการณ์นี้ของคุณหนูเล็ก เพราะในร้านมีผู้คนให้ความสนใจมากพอสมควร ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัวนำทั้งหมดมาเป็นของตนได้ เช่นนั้นทำตามที่คุณหนูเล็กว่ามาเถิด” วั่นจิ่นต้านมองลงไปด้านล่าง จึงเข้าใจความหมายของคำพูดซูอันทันที
“ขอบคุณท่านลุงที่เข้าใจเจ้าค่ะ รบกวนท่านลุงนั่งดื่มน้ำชารอสักประเดี๋ยว ข้าขอตัวไปเขียนใบสั่งซื้อไม่นานจะกลับมาเจ้าค่ะ” การค้าครั้งแรกในวันเปิดร้านวันนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของซูอันยิ่งนัก
เมื่อซูอันเดินออกไปเพื่อเขียนใบสั่งซื้อสินค้า วั่นจิ่นต้านจึงหันไปทางบ่าวคนสนิท “ลู่อี้เจ้าเตรียมเงินมัดจำไว้ให้คุณหนูเล็ก สักหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง ส่วนที่เหลือค่อยจ่ายหลังจากสินค้าไปส่งที่เมืองเส้ากวน อย่าลืมส่งจดหมายไปบอกฮูหยินไว้ด้วยเล่า นางจะได้ไม่ตกใจยามที่สินค้าจำนวนมากไปส่งที่จวน”
“บ่าวทราบแล้วขอรับนายท่าน”
ไม่ถึงหนึ่งจิบชาซูอันก็กลับมาพร้อมใบสั่งซื้อในมือสองฉบับ วั่นจิ่นต้านอ่านรายละเอียดอีกครั้ง พอเห็นว่าในใบสั่งซื้อไม่มีปัญหาจึงได้ลงชื่อประทับลายนิ้วมือ จากนั้นได้มอบเงินมัดจำที่เตรียมไว้ให้กับซูอัน และขอตัวกลับโดยบอกว่ายังมีธุระต้องไปทำเพิ่ม ซูอันจึงมิได้รั้งวั่นจิ่นต้านไว้ นางจึงเดินมาส่งคู่ค้าคนแรกด้านหน้าร้านเท่านั้น
ความคึกคักในการเปิดร้านผ้าไหมวันแรก ช่างสร้างความสุขให้กับครอบครัวของซูอันยิ่งนัก ภายหลังจากปิดร้านในปลายยามเว่ย ซูอันกับเยี่ยนหลิงให้บิดามารดาของพวกนางกลับจวนไปก่อน ส่วนนางกับพี่สาวจะช่วยพวกเหวยฉินจัดเตรียมสินค้า และตรวจนับผ้าไหมที่เหลือดูว่ายังขาดอยู่มากน้อยเพียงใด หรือต้องนำมาเพิ่มให้เพียงพอกว่านี้
ขณะที่ด้านหน้าประตูเมืองผู่เถียนภายในรถม้าคันใหญ่ มีบุรุษสองคนซึ่งเป็นสหายสนิทกันนั่งอยู่ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
รอบ ๆ รถม้ามีบุรุษในชุดสีน้ำเงินขี่ม้าคอยทำหน้าที่เป็นองครักษ์อยู่สี่คนบุรุษที่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการเดินทางครั้งนี้ เขามีรูปร่างสูงใหญ่คล้ายทหาร เป็นทายาทลำดับที่สองจากจวนอิงกั๋วกง ผู้มีนามว่า “ฟงเฉิงฮ่าว” ซึ่งเป็นสหายกับบุรุษหน้านิ่งพูดน้อยและยิ้มยากอย่าง “หยางไท่หมิง” บุตรชายของหยางหย่งชางที่รั้งตำแหน่งที่ปรึกษาของฮ่องเต้ และมีมารดาเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์เป่ยชาง
ทั้งสองคนเดินทางมายังเมืองผู่เถียน เพื่อตรวจสอบการหายตัวไปของช่างทอผ้าหลายตระกูล ที่มีฝีมือเก่งกาจด้านการทอผ้าและการปักผ้า ซึ่งข่าวที่พวกเขาได้รับมาบอกเอาไว้ว่า ตระกูลเหล่านั้นล้วนอยู่ในเมืองถู่หลาน เมืองผู่เถียนและเมืองซุนหัว ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้ ว่าเป็นฝีมือของต่างแคว้นหรือคนภายในแคว้นเป่ยชาง
“เฮ้อ นี่อาหมิงเจ้านั่งนิ่งอยู่ได้อย่างไร ไม่รู้สึกเบื่อกับการนั่งนาน ๆ บ้างรึ” ฟงเฉิงฮ่าวที่นั่งพิงกับผนังภายในรถม้า เอ่ยถามสหายด้วยท่าทางที่ไม่น่ามองเท่าใดนัก
หยางไท่หมิงปรายตามองสหายสนิทของตน กับคำตอบที่เหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง “ถ้าข้าเบื่อคงออกไปขี่ม้าอยู่ด้านนอกแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่คุ้นชินกับการเดินทางอีกเล่าอาฮ่าว เจ้าจะขี้บ่นเหมือนตาแก่ชายบำเรอของท่านแม่ที่จวนข้าไปทำไมกัน”
ฟงเฉิงฮ่าวลุกขึ้นจ้องมองหน้าสหาย และบอกความในใจของเขา “ไอหยาอาหมิง ก็ตลอดทางมันเงียบผิดปกตินี่นา เจ้าไม่คิดเช่นข้าหรือไร”
“ข้าย่อมคิดเหมือนกับเจ้า เรื่องที่พวกเราออกจากเมืองหลวง อาจมีคนของพวกนั้นส่งข่าวไปล่วงหน้า จึงทำให้พวกมันเก็บหัวเก็บหางอยู่เงียบ ๆ ไม่บุ่มบ่ามลงมือในเวลานี้ คงเฝ้ารอจนกว่าเจ้ากับข้าจะกลับไป พวกมันถึงจะเริ่มลงมืออีกครั้ง” ถึงแม้คนของหอข่าวร้อยเงาจะเก่งกาจ แต่ใช่ว่าคนของอีกฝ่ายจะไม่เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็ถูกนะอาหมิงหากเป็นพวกต่างแคว้น สายของเราน่าจะสืบหาข่าวได้ไม่ยากเท่าใดนัก ข้าคิดว่าต้องเป็นคนมีอำนาจในแคว้นที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพราะพวกเขารู้ความเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่บ่อยครั้ง” ฟงเฉิงฮ่าวเทน้ำหนักให้คนในแคว้นมากกว่า
หยางไท่หมิงพยักหน้าให้สหาย ก่อนจะออกคำสั่งกับบ่าวคนสนิทเรื่องที่พัก “ไว้หาที่พักได้แล้วค่อยคิดหาทางสืบข่าวอีกที อู๋ซวนมองหาโรงเตี๊ยมกลางเมืองผู่เถียน ข้าต้องการห้องพักที่เป็นส่วนตัว”
“ขอรับคุณชาย”
ระหว่างทางที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนน จะเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าลิขิตไว้ก็ตาม ที่ทำให้บุรุษสองคนพร้อมใจมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เมื่อมีเสียงพูดคุยอันไพเราะของสตรี ดังเข้ามาในโสตประสาทของพวกเขา ทำให้เกิดความเงียบงันในรถม้าขึ้นทันที
‘พี่หญิงเร็วเข้าเจ้าค่ะ ท้องของข้ามันเริ่มส่งเสียงแล้ว’
‘มาแล้ว ๆ ๆ ใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมพักกินอาหารล่ะ’
พรึบ! “อาหมิงข้าตาฝาดหรือหูฝาดหรือไม่ นอกจากใบหน้าจะงดงามปานเทพธิดาแล้ว น้ำเสียงที่พูดออกมายังไพเราะน่าฟัง เจ้าได้ยินได้เห็นพวกนางเหมือนกับข้าไหมอาหมิง”
หยางไท่หมิงมิได้ตอบคำถามของสหาย เขากำลังนึกถึงใบหน้าที่ดูดื้อรั้น ของหญิงสาวในชุดดอกเหมยสีแดงสด แม้น้ำเสียงที่นางพูดออกมาจะเป็นการออดอ้อนพี่สาว แต่มีบางอย่างบนตัวของนางบอกกับเขาว่า นางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาแน่นอน จึงพึมพำออกมาเบา ๆ “น่าสนใจจริง ๆ”
ฟงเฉิงฮ่าวได้ยินสหายพึมพำอะไรบางอย่าง ก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมาแทน “หืม อาหมิงเจ้าบ่นพึมพำอันใดกัน ไยไม่ตอบคำถามของข้า”
หยางไท่หมิงหรี่ตาทำสีหน้าจริงจัง ก่อนจะตอบเป็นคำถามกลับไป “เจ้ามองสตรีคนใดในสองคนนั่นงั้นหรืออาฮ่าว?”
ฟงเฉิงฮ่าวนึกถึงใบหน้าของเยี่ยนหลิง กับคำถามที่สหายถามกลับมาหาตน “อาหมิงข้าขอไม่ปิดบังเจ้า ตลอดหลายปีที่เราเป็นสหายกันมา เจ้ากับข้าต่างรู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี สตรีดอกบัวขาวทั้งหลายไม่เคยอยู่ในสายตา แต่กับคุณหนูผู้นั้นนางสามารถดึงดูดสายตาของข้า ทำให้หัวใจที่เงียบสงบเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นได้จากท่าทางของนาง คงเป็นหญิงสาวที่เรียบร้อยอ่อนหวาน นางช่างน่าทะนุถนอมเสียจริงเจ้าว่าไหมอาหมิง”
หยางไท่หมิงได้ฟังคำตอบของสหาย เขาถอนหายใจเงียบ ๆ เมื่อได้รู้ว่าสตรีที่สหายของตนต้องตาต้องใจ คือหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่หญิง “หึ ข้าคิดว่านางเหมาะสมกับเจ้าไม่น้อยนะอาฮ่าว สตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวานที่เจ้าอยากจะปกป้อง และอยากมีนางอยู่เคียงข้างเจ้า”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ข้าคิดว่าเจ้ากับคุณหนูที่สวมชุดสีแดงนั่น ก็ดูเหมาะสมกันมากทีเดียว เพราะเจ้าไม่ชอบสตรีที่เอาแต่ตามใจเจ้า ข้าพูดถูกหรือไม่เล่าอาหมิง ฮ่า ๆ ๆ”
แน่นอนว่าสิ่งที่ฟงเฉิงฮ่าวพูดมา คือสตรีที่หยางไท่หมิงค้นหามาตลอด “สมกับที่เป็นสหายสนิทของข้านะอาฮ่าว”
ฟงเฉิงฮ่าวหันมาทำหน้าทะเล้นล้อเลียนสหาย แต่เขานึกบางอย่างขึ้นได้จึงเรียกบ่าวคนสนิทเข้ามาใกล้
“ไห่หยุน”
ไห่หยุนขยับม้าเข้ามาใกล้ ๆ หน้าต่างของรถม้า “คุณชายรองท่านมีเรื่องอันใดต้องการให้บ่าวไปทำหรือขอรับ”
“เจ้าไปสืบประวัติสตรีสองคนนั้นมาให้ข้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ของพวกนาง ข้าต้องการรู้ทั้งหมดเข้าใจหรือไม่”
“บ่าวทราบแล้วขอรับคุณชายรอง” ไห่หยุนรับคำสั่งเจ้านายด้วยความประหลาดใจ ที่คุณชายรองเกิดสนใจสตรีเมื่อมาถึงต่างเมือง
หลังจากสั่งการบ่าวคนสนิทอย่างไห่หยุนแล้ว อู๋ซวนที่หาโรงเตี๊ยมให้เจ้านายได้ก็กลับมารายงานต่อทันที ซึ่งทั้งหมดจะเข้าพักยังโรงเตี๊ยมผู่เฉิง และที่สำคัญโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้อง ๆ กับร้านผ้าไหมหงส์ทอเมฆาของตระกูลจินอีกด้วย
ส่วนซูอันเองเมื่อเร่งพี่สาวให้กลับจวน และเดินสวนทางกับรถม้าคันใหญ่ไปได้ไม่ไกล นางก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีสายตาสองคู่จับจ้องมาที่นางกับพี่สาว แต่เมื่อหันไปมองสายตาสองคู่นั้นกลับหายไป แม้จะติดใจเรื่องนี้แต่ซูอันเลือกที่จะปล่อยมันไปเสีย หลังจากนี้นางค่อยให้พวกอวี้เหลียนคอยสังเกตคนรอบข้าง รวมถึงสถานที่ใกล้เคียงร้านผ้าไหมไว้เสียแล้ว
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต