ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอ
หลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่
ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือน
ยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของมันดูจะซีดจางมองแล้วไม่สบายตา จึงบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที
ก่อนถึงวันเปิดร้านผ้าไหมสิบห้าวัน ซูอันเดินไปยังเรือนเล็กที่ใช้เก็บผ้าไหมจากหมู่บ้านซานอี๋ จากนั้นได้ปรึกษากับจี้หยกวิเศษของนางทันที “จีจี้ ข้ารู้สึกว่าผ้าไหมที่นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า พอนานไปสีก็เริ่มซีดจาง ยามต้องแสงแดดก็ดูหม่นหมอง สีสันไม่สดใสอย่างที่ซื้อไปในครั้งแรก เจ้าพอจะมีวิธีทำให้ผ้าไหมของชาวบ้าน รวมถึงในโรงทอแห่งนี้มีความคงทน ไม่ซีดจางง่ายหลังจากใช้งานไปนาน ๆ หรือไม่”
[มีแน่นอนเจ้าค่ะนายหญิง เรื่องนี้สำหรับจีจี้แล้วก็แค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น ท่านอย่าลืมว่าโรงทอผ้าของท่าน ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการทอ เส้นไหมทุกเส้นล้วนต้องผ่านการย้อมน้ำยา ที่ช่วยให้สีของผ้าคงทนไปหลายปี ฉะนั้นนายหญิงเลิกกังวลเถิดเจ้าค่ะ]
“ดีมากจีจี้ เช่นนั้นเอาผ้าทั้งหมดนี้แช่น้ำยา ทำตามขั้นตอนที่เจ้าพูดมาให้ข้าด้วยก็แล้วกัน อีกสิบห้าก็ถึงวันเปิดร้านผ้าไหมแล้ว ข้าจำเป็นต้องนำไปจัดวางที่ร้านบางส่วน” ซูอันสั่งงานจี้หยกของนาง เนื่องจากก่อนการเปิดร้านผ้า นางต้องมีตัวอย่างผ้าไหมไปวางให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ
[ได้สิเจ้าคะ เมื่อจัดการเรียบร้อยข้าจะรายงานท่านทันทีเจ้าค่ะ]
“ขอบใจมากจีจี้ ประเดี๋ยวข้าไปดูท่านแม่กับพี่หญิงก่อน ไม่รู้ว่างานปักที่เตรียมเปิดตัวในร้านจะพร้อมหรือยัง อ้อ เจ้าช่วยเพิ่มผ้าไหมอีกสีละยี่สิบพับ เผื่อลูกค้าให้ความสนใจจะได้ขายให้ลูกค้าได้ทันที”
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
เมื่อคลี่คลายความกังวลเรื่องสีของผ้าได้แล้ว ซูอันจึงกลับไปหามารดาและเยี่ยนหลิงยังห้องของเรือนข้าง ที่มีอุปกรณ์ปักผ้าวางเรียงรายอยู่หลายตัว และบนอุปกรณ์เหล่านั้นมีผ้าที่ขึงอยู่พร้อมลวดลายที่ปักลงไป ด้วยฝีมืออันประณีตของสตรีทั้งหกในห้องนี้
“ท่านแม่ พี่หญิง”
จือเหมยหยุดมือที่กำลังปักผ้าทันที เมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาวคนเล็กเรียกตนเอง “ว่าอย่างไรเล่าอันเอ๋อร์ แม่คิดว่าเจ้าตามบิดาไปดูร้านค้าเสียอีก”
“นั่นสิอันเอ๋อร์หรือว่าที่มาพบท่านแม่กับพี่ มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับการเปิดร้านผ้าไหมหรือไม่เล่า” เยี่ยนหลิงถามน้องสาวด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาก่อนเปิดร้าน
ซูอันเห็นทั้งสองขมวดคิ้วด้วยกลัวจะเกิดปัญหา พานทำให้ลูกจ้างที่เหลือหยุดงานในมือไปด้วย นางจึงต้องรีบอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ “หืม พวกท่านคิดอันใดกันเจ้าคะ ทุกอย่างเกี่ยวกับการเปิดร้านผ้าไหมเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ที่ข้ามาพบท่านแม่กับพี่หญิงที่นี่ เพราะอยากมาดูให้แน่ใจเท่านั้นเอง ว่าผ้าปักลวดลายต่าง ๆ พร้อมนำไปวางขายแล้วหรือไม่ มีข้าอยู่ทั้งคนกิจการของเราจะเกิดปัญหาได้อย่างไรเจ้าคะ”
“อันเอ๋อร์ถ้าพวกตระกูลหลิวรู้เข้า จะมาหาเรื่องพวกเราหรือไม่”
ซูอันได้ยินคำถามที่เยี่ยนหลิงกังวล ดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา “หึ พี่หญิงท่านทำงานที่ชอบให้สบายใจเถิด หากคนตระกูลหลิวยังอยากมีชีวิตที่สงบสุข พวกเขาควรคิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะเดินเข้ามาหาเรื่องกับครอบครัวพวกเราเจ้าค่ะ ถ้าคำเตือนของข้ามันดูไม่น่ากลัวละก็ ถึงยามนั้นค่อยเชือดไก่ให้ลิงดูก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ”
จือเหมยเองก็ใช่ว่าจะไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในเมื่อปัญหายังมาไม่ถึง นางจึงทำตามที่บุตรสาวคนเล็กบอกเสมอ “หลิงเอ๋อร์เชื่อใจน้องของเจ้าเถิด เจ้าก็รู้ดีว่าคนตระกูลหลิวขี้ขลาดเพียงใด หากกล้ามาหาเรื่องพวกเรา ชื่อเสียงที่พยายามรักษามาหลายปี คงไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้วล่ะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ว่าแต่อันเอ๋อร์หน่วยคุ้มกันของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พี่เห็นพวกเขาฝึกฝนอย่างหนัก ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่จวนของพวกเรา ฝีมือการต่อสู้พัฒนาไปถึงไหนกันบ้างแล้ว” เยี่ยนหลิงเปลี่ยนเรื่องพูดคุยไปเป็นเรื่องหน่วยคุ้มกันแทน
เมื่อพี่สาวถามถึงเรื่องนี้ สีหน้าของซูอันจึงกลับมาเป็นปกติ “ทั้งสิบคนนี้มีความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างมาก ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเพื่อปกป้องตระกูลจินของเรา หากต้องเดินทางไปต่างเมือง พวกเขาสามารถจัดการคนที่ไม่หวังดีได้ทันทีเจ้าค่ะ”
เยี่ยนหลิงยิ่งชื่นชมน้องสาวคนนี้มากกว่าเดิม เพราะซูอันมีความกล้ามากกว่าตนเสมอ “พี่รู้อยู่แล้วว่าอันเอ๋อร์ต้องทำสำเร็จ”
หลิงเจินลูกจ้างปักผ้าผู้เป็นมารดาของหยิ่งเจา ยิ่งรู้สึกขอบคุณซูอัน ที่รับบุตรชายของนางเข้ามาฝึกเป็นหน่วยคุ้มกัน แม้จะไม่ค่อยได้พบหน้าเท่าใดนัก “ป้าขอบคุณคุณหนูเล็กมากนะเจ้าคะ ที่รับหยิ่งเจาเข้ามาทำงานกับท่าน ที่ผ่านมาเขาพยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่เพราะต้องช่วยครอบครัวทำงาน จึงไม่ค่อยมีเวลากับการฝึกต่อสู้นักเจ้าค่ะ”
“ท่านป้าอย่าได้พูดเช่นนั้นเลย พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ เมื่อทุกคนทำงานได้ดีข้าย่อมดูแลพวกเขาอย่างดี ต่อไปหน่วยคุ้มกันทุกคนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครทำอันตรายทุกคนได้หากไม่ใช้วิธีลอบกัดนะ” ซูอันแทบจะทนไม่ไหวกับการได้ออกเดินทาง เพื่อไปทำการค้าตามเมืองต่าง ๆ
จือเหมยเห็นว่าบุตรสาวมีความมั่นใจนางย่อมไม่เอ่ยขัด เพราะซูอันได้ลงมือทำให้เห็นด้วยตนเอง “ถึงจะเก่งแค่ไหนก็อย่าได้ประมาท ผู้คนมากมายเราไม่อาจรู้ถึงความคิดพวกเขาได้ทั้งหมด”
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาซูอันจึงขอตัวกับมารดา เพื่อกลับไปเตรียมผ้ารายการอื่น ๆ ให้พร้อมสำหรับวางขาย “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เช่นนั้นข้าขอไปดูผ้าอย่างอื่น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปจัดการในส่วนของตนเองเถิดลูกแม่”
ซูอันจัดการเตรียมสินค้าของครอบครัวเป็นอย่างดี ทุกอย่างเสร็จทันก่อนถึงวันเปิดร้านเพียงห้าวันเท่านั้น ด้านหน่วยคุ้มกันทั้งสิบคนก็พร้อมเริ่มงานแล้ว ก่อนการเปิดร้านหนึ่งวันซูอันจึงเรียกลูกจ้าง ที่จะมาทำงานประจำที่ร้านมาพบ เพื่อช่วยกันจัดวางผ้าไหมแบบทั่วไป และผ้าไหมที่มีลายปักที่งดงามด้วยเส้นไหมอันแวววาว
ส่วนของใช้กระจุกกระจิกซูอันแยกไว้อีกด้านหนึ่ง นางไม่ต้องการให้ลูกค้ามายืนล้อมเพียงจุดเดียว เนื่องจากจะทำให้การดูแลของลูกจ้าง เกิดความลำบากและตอบคำถามได้ไม่ทั่วถึง
ในเช้าวันเปิดร้าน “หงส์ทอเมฆา” เสียงประทัดที่ดังไปทั่วท้องถนน รวมถึงเสียงของลูกจ้างทั้งห้าคน ที่คอยเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมา ให้แวะเข้ามาชมผ้าไหมของร้าน มีผู้คนไม่น้อยที่หยุดมองป้ายร้าน ที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทองบนพื้นไม้สีเข้ม สื่อถึงความเรียบง่ายแต่สง่างาม
ซูอันและคนในครอบครัวต่างใส่ชุดผ้าปักลวดลายเฉพาะ เดินออกมาต้อนรับลูกค้าและเข้าไปพูดคุยให้คำแนะนำด้วยรอยยิ้ม
วั่นจิ่นต้านเป็นเจ้าของร้านผ้าขนาดใหญ่ในเมืองเส้ากวน ซึ่งเป็นเมืองใกล้ชายแดนแคว้นเป่ยชางแห่งนี้ วั่นจิ่นต้านมักจะออกเดินทางเพื่อค้นหาผ้าไหมที่มีความงดงาม บางครั้งเขาพบเจอผ้าไหมคุณภาพดี จึงส่งให้บุตรสาวผู้เป็นพระชายาของคังอ๋อง นำเข้าไปถวายแก่ฮองเฮาอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งนี้วั่นจิ่นต้านได้แวะพักที่เมืองผู่เถียน ก่อนจะออกเดินทางไปแดนเหนือ ในการตามหาผ้าขนสัตว์กลับมา และวันนี้เขาเห็นว่ามีร้านขายผ้าไหมเปิดใหม่จึงแวะเข้ามาดู ไม่ได้คาดหวังกับความงดงามของผ้าสักนิด แต่พอได้เห็นผ้าไหมของร้านใกล้ ๆ ก็ไม่อาจวางมันลงได้
วั่นจิ่นต้านเดินเข้าไปหยิบผ้าปักฝืนหนึ่งขึ้นมา เพื่อมองดูลวดลายที่เขายังไม่เคยพบเห็น อีกทั้งฝีมือการปักยังงดงามทั้งด้านนอกและด้านใน “ข้าเคยเห็นผ้าไหมและผ้าปักมามากมาย แต่ผ้าในร้านของข้ายังไม่อาจเทียบได้กับร้านแห่งนี้ ลู่อี้เจ้าว่าหากข้าซื้อกลับไป และให้พระชายานำไปถวายฮองเฮา พระชายาจะได้ความดีความชอบอีกครั้งหรือไม่”
ลู่อี้บ่าวคนสนิทมองผ้าปักในมือของเจ้านาย ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันงดงามจนละสายตาไม่ได้ “นายท่านขอรับ ผ้าปักของร้านนี้ดูแล้วคล้ายกับว่ามีชีวิต หากพระชายานำไปถวายฮองเอา ย่อมได้รับคำชื่นชมมาถึงตระกูลวั่นของนายท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
ซูอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินคำชมจากพ่อค้าคนนี้ นางจึงเดินเข้าทักทายและสอบถามความสนใจทันที “ไม่ทราบว่าท่านลุงสนใจผ้าไหมแบบใดของร้านข้าเจ้าคะ ภายในร้านมีผ้าไหมสีพื้นฐานทั่วไป ที่ชาวบ้านสามารถนำไปตัดเสื้อผ้าได้ หรือจะเป็นผ้าไหมที่สีของมันจะไม่ซีดจางง่าย แม้จะผ่านการซักทำความสะอาดหลายครั้งก็ตาม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ สำหรับชนชั้นสูงระดับขุนนาง จนถึงเชื้อพระวงศ์ที่เหมาะกับผ้าเนื้อดีของร้านข้า ล้วนมีให้เลือกเจ้าค่ะ”
ยิ่งได้ยินสิ่งที่ซูอันอธิบายออกมา วั่นจิ่นต้านยิ่งต้องการซื้อผ้าของนาง “เจ้าพูดจริงรึ! เอ่อ ว่าแต่เจ้าเป็นใครหรือ ถึงได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับผ้าพวกนี้มากนัก”
ซูอันรีบแนะนำตัวกับอีกฝ่าย นางไม่อาจปล่อยลูกค้ากระเป๋าหนัก หลุดมือไปได้ตั้งแต่วันแรกเป็นแน่ “อ้อ ข้าขอแนะนำตัวเองกับท่านลุงสักหน่อย ข้าชื่อว่าจินซูอันเป็นบุตรสาวคนเล็กของเถ้าแก่ร้านผ้าแห่งนี้ ผ้าปักที่ท่านลุงถืออยู่ในมือนั้นมีข้าเป็นคนคิดค้นลวดลาย ก่อนจะมอบให้ช่างปักของร้าน รวมถึงมารดาและพี่สาวของข้าเป็นคนปักเจ้าค่ะ”
วั่นจิ่นต้านสังเกตซูอันอยู่เงียบ ๆ เขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่ยังไม่ปักปิ่นคนนี้ ช่างมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร และยังฉลาดหลักแหลมในการคิดลวดลายบนผ้าปัก ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยโอกาส ที่จะผูกมิตรกับซูอันเพื่อทำการค้าอยู่แล้ว “โอ้ ที่แท้ก็คือคุณหนูเล็กนี่เอง ข้าชื่นชอบผ้าปักของร้านเจ้ามากจริง ๆ ถ้าหากว่าพวกเราจะ...”
มีหรือที่ซูอันจะปฏิเสธ เมื่อได้เข้าใจคำพูดที่วั่นจิ่นต้านกำลังพูดออกมา “เช่นนั้นเชิญท่านลุงที่ห้องรับรองด้านบนดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราจะได้พูดคุยเป็นการส่วนตัว และดูผ้าไหมลวดลายอื่น ๆ ประกอบการตัดสินของท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูเล็กเจ้าช่างฉลาดจริง ๆ เชิญคุณท่านนำทางเถิด” วั่นจิ่นต้านหัวเราะชอบใจที่ได้พบเจอแม่ค้าที่ฉลาดทันคนเช่นซูอัน
ซูอันเดินนำลูกค้ากระเป๋าหนักไปยังห้องรับรอง เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการค้าของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเรื่องนี้คนในครอบครัวลงความเห็นแล้วว่า จะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของซูอัน เนื่องจากนางสามารถพูดจาโน้มน้าวผู้คนได้เก่งกาจ
เพียงแค่วันแรกของการเปิดร้าน “หงส์ทอเมฆา” ก็เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วทั้งเมืองผู่เถียน ลูกค้าต่างประทับใจในผ้าไหมที่เรียบลื่น แม้กระทั่งผ้าปักลวดลายงดงามที่มีราคาถูกไปจนถึงราคาแพง ยังเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสตรีทั้งหลาย ยามนี้รอเพียงเจรจาซื้อขายกับวั่นจิ่นต้านเท่านั้น ที่จะช่วยให้ชื่อเสียงของร้านหงส์ทอเมฆามีผู้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น และนั่นยิ่งทำให้มีใบสั่งซื้อจากทั่วสารทิศมายังร้านของครอบครัวมากขึ้นเช่นกัน
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต