หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้
จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้น
จือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”
ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”
มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอาได้นะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ไปอันเอ๋อร์เจ้าต้องกินให้มากนะจะได้หายไว ๆ”
“ได้เจ้าค่ะท่านแม่”
ซูอันเดินตามมารดามายังโต๊ะกลางห้อง แต่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมด ทำเอานางโกรธจนควันออกหูขึ้นมาทันทีทันใด ถ้วยโจ๊กที่มีแต่น้ำใส ๆ แทบนับเม็ดข้าวได้ ไหนจะจานผัดผักที่เรียกว่าเศษผักน่าจะเหมาะกว่า อย่าพูดถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ แม้แต่ไข่ไก่สักฟองยังไม่มี
ดวงตาที่แทบลุกเป็นไฟปิดลงและพยายามหายใจเข้าออก เพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของนางในยามนี้ไว้ก่อน แต่มันก็ยากเสียเหลือเกินมือบางของนางกำเข้าหากันแน่น เมื่อครอบครัวถูกรังแกจะให้นางอดทนต่อไปได้อย่างไร
ฟืด ฟู่
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านบอกข้ามาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ ว่ามันเกิดอันใดขึ้นกับอาหารมื้อเย็นของพวกเราหรือเจ้าคะ”
ซูอันไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลามู่ถงมองเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของซูอัน เขาก็ไม่กล้าโกหกนางเช่นกัน “เฮ้อ เพราะเรื่องที่ปู่ของเจ้าลงโทษไม่สำเร็จ จึงสั่งลดอาหารของครอบครัวเราเป็นเวลาเจ็ดวัน อีกอย่างทุกคนที่เรือนใหญ่ตัดสินใจจะให้พี่สาวของเจ้า แต่งเป็นอนุคุณชายหวังในอีกห้าวันข้างหน้าที่จะถึงนี้แล้วล่ะอันเอ๋อร์”
ซูอันหันไปทางพี่สาวที่แสนดีของนาง โดยมีคำถามเพื่อการตัดสินใจบางอย่าง “พี่หญิงท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ท่านเต็มใจหรือไม่เต็มใจที่จะแต่งเป็นอนุ อย่าคิดห่วงความรู้สึกของผู้อื่น จงคิดถึงความต้องการของท่านเท่านั้น เพราะการแต่งงานครั้งนี้คือการตัดสินความสุขที่ท่านต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต”
เยี่ยนหลิงเงยหน้าสบตากับน้องสาว แน่นอนว่านางไม่มีทางเต็มใจ หากมีหนทางให้หลบหนีได้นางจะไม่ลังเล “อันเอ๋อร์พี่ย่อมไม่เต็มใจแต่งเป็นอนุภรรยา สตรีใดบ้างไม่อยากแต่งงานอย่างมีเกียรติ ยืนเคียงข้างกับสามีอย่างสง่าผ่าเผยเล่า แต่คนเรือนใหญ่ข่มขู่ท่านพ่อไม่ยอมเลิกรา หากพี่ไม่ยอม ท่านพ่อท่านแม่รวมถึงเจ้าจะลำบากหนักยิ่งกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าตัวนะ”
ซูอันเข้าใจดีเรื่องการกดดันในยุคโบราณ ที่เห็นบุตรหลานเป็นเครื่องมือเพื่อหนุนตระกูล แต่กับนางแล้วไม่มีทางให้เยี่ยนหลิงพี่สาวที่แสนดีคนนี้ ต้องอยู่กับความอัปยศอดสูไปตลอดชีวิต
“ท่านพ่อเจ้าคะ หากข้าต้องการให้ท่านตัดขาดกับตระกูลนี้ ท่านมีความกล้ามากพอที่จะทำเพื่อพวกเราหรือไม่ แม้ว่าหลังจากตัดขาดความสัมพันธ์และออกจากผังตระกูล พวกเราต้องใช้ชีวิตเร่ร่อน แต่บางทีอาจมีความสุขมากกว่าอยู่ในตระกูล ที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ผลประโยชน์ก็ได้นะเจ้าคะ บอกตามตรงข้าไม่อยากทนเป็นทาส ให้พวกเขากลั่นแกล้งรังแกอีกแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ถงถูกภรรยาและบุตรสาวทั้งสอง จ้องมองเพื่อรอฟังการตัดสินใจของเขาอยู่เงียบ ๆ เมื่อน้ำเสียงที่จริงจังของซูอันเอ่ยถาม มู่ถงที่เห็นคนในครอบครัวต้องอดทนมานาน เขาจึงตัดสินใจตอบซูอันโดยไม่มีความลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น
“อันเอ๋อร์พวกเราอดทนกันมานานเกินไปแล้ว ครั้งนี้พวกเขารังแกครอบครัวของเรามากจริง ๆ บุตรหลานที่โปรดปรานกลับรักษาไว้ แต่คิดส่งหลิงเอ๋อร์ไปตกนรกแทน พ่อไม่มีทางให้เป็นเช่นนั้นแน่ลูกรัก”
“ดี! เช่นนั้นช่วยกันเก็บข้าวของที่จำเป็นนะเจ้าคะ หรือจะเอาไปแค่เสื้อผ้าเท่าที่มีก็ได้ เมื่อพร้อมแล้วพวกเราจะไปที่เรือนใหญ่กันเจ้าค่ะ” ซูอันไม่มีทางปล่อยให้คนในเรือนใหญ่ได้สมหวัง
“ได้! อันเอ๋อร์นั่งรออยู่นี่ก่อนก็แล้วกัน พวกเราสามคนจะจัดการเรื่องเก็บข้าวของเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มีสมบัติอันใดในเรือนหลังนี้อยู่แล้ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็เก็บทั้งหมดเสร็จ” มู่ถงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาคิดทบทวนจากคำพูดของซูอันก็เห็นว่า ถ้าเขาไม่เข้มแข็งจะปกป้องครอบครัวของตนได้อย่างไร
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
แต่ซูอันมิได้นั่งรอเฉย ๆ นางขอแท่งเหล็กที่เหมาะมือ ผ่านจีจี้ที่สรรหามาให้นางจากในมิติ เพราะคนเรือนใหญ่หากพูดคุยด้วยถ้อยคำดี ๆ ย่อมไม่มีทางปล่อยครอบครัวของนางเป็นแน่
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทุกคนก็กลับมา พร้อมห่อผ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าพวกเขาพร้อมจะก้าวออกจากที่นี่ ซูอันจึงถือแท่งเหล็กเดินนำหน้าไปยังเรือนใหญ่ทันที
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ยิ่งได้ยินเสียงพูดคุยที่ดูจะมีความสุข ของครอบครัวใหญ่ที่ไม่มีพวกนางอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังเป็นการพูดคุยระหว่างการกินอาหารอีกด้วย
ซูอันหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เนื่องจากด้านหน้าห้องมีบ่าวอยู่สองสามคนคอยเฝ้าดูแล ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปวุ่นวายด้านในห้องกินอาหาร แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเจ้าแม่มาเฟียเช่นนาง
“ท่านพ่ออยู่ตรงนี้ดูแลท่านแม่กับพี่หญิงรอข้า เมื่อใดที่ด้านในสงบ ข้าจะเรียกท่านพ่อเข้าไปด้านในเองเจ้าค่ะ”
“อืม ระวังตัวด้วยนะอันเอ๋อร์” มู่ถงรับปากพร้อมกับเป็นห่วงบุตรสาว
“เจ้าค่ะ”
ในขณะที่หลิวเฟยและเหล่าบุตรหลานสายหลัก กำลังกินอาหารเย็นในห้องโถงใหญ่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาที่ดังก้อง พวกเขากำลังมีความสุข มิได้สนใจเสียงตุบตับที่ดังอยู่ด้านนอกห้องโถงใหญ่สักนิด ซูอันเดินเข้ามาในห้องนั้น ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ทันทีที่นางผลักประตูออกทุกสายตาหันมามองนางเป็นจุดเดียวกัน
“ซูอัน! เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต!” หลิวชางหรงตะโกนเสียงดัง แต่หญิงสาวกลับยืนนิ่งดวงตาแข็งกร้าว
ซูอันมองไปที่โต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยอาหารดี ๆ ในขณะที่ครอบครัวของนางต้องทนกินเศษข้าว ซูอันไม่มีคำแก้ตัวหรือคิดจะตอบกลับลุงรองผู้นี้ แต่นางกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามต่อหน้าทุกคนแทน
ครืด ครืด โครม! เพล้ง! กรี๊ดดด!
‘ในเมื่อครอบครัวข้าไม่ได้กินอาหารดีๆ พวกเจ้าก็ไม่ควรจะได้กินเช่นกัน!’
โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารดี ๆ ถูกซูอันใช้แท่งเหล็กทุบถ้วยชามจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระเด็นกระดอนไปทั่วพื้น สร้างความตกใจให้คนในห้องอาหารนี้อย่างมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนางคนอกตัญญู! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำลายข้าวของถึงที่นี่ ไม่กลัววะ..” หลิวฉางฮุ่ยลุงใหญ่ของซูอันยังพูดไม่จบ ก็ถูกเท้าของนางถีบไปที่ท้องเต็มแรง
ปึก! โครม!
หลิวชางหรงคิดเข้าไปช่วยพี่ชายก็ถูกแท่งเหล็กฟาดกลับมา ทำให้เขาบาดเจ็บที่หัวไหล่ทันที คนพวกนี้คิดว่ามีจำนวนมากกว่าย่อมจัดการซูอันได้ จึงพยายามเข้าไปยื้อยุดแต่แล้วก็ถูกซูอันทุบตีจนเจ็บตัวกันทุกคน
หลิวเฟยที่ล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ทั้งยังรับน้ำหนักจากร่างของภรรยาอย่างหลิวเหมยเซียง ทำให้เจ็บมากกว่าคนอื่นอยู่มาก แต่ยังมิวายต่อว่าซูอันอีกเช่นเคย “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรซูอัน ไม่พอใจกับคำสั่งของข้าที่มีต่อครอบครัวของเจ้างั้นรึ!”
ซูอันยืนถือแท่งเหล็กมองกลุ่มคนตรงหน้านิ่ง ๆ “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าพวกเจ้ากินอาหารมื้อนี้ลงได้อย่างไร ในขณะที่ครอบครัวของข้าต้องลำบากเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า!”
เสียงของหลิวฉางฮุ่ยดังขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นเพียงสายรองมีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้อง ที่พวกเจ้ามีที่ซุกหัวนอนอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเราสายหลักคอยดูแลให้ที่พักมิใช่รึ!”
ซูอันเดินตรงไปหาหลิวฉางฮุ่ย นางฟาดแท่งเหล็กลงพื้นอย่างแรง จนเกิดเสียงดังทำให้ทุกคนสะดุ้งอีกครั้ง เพล้ง! “คอยดูแลงั้นหรือ พวกเจ้าทำอะไรบ้างนอกจากใช้ประโยชน์จากผู้อื่น! คนที่เหนื่อยล้าและเสียสละคือครอบครัวของข้า คนที่พวกเจ้าเอาแต่กดขี่ดูถูกมาตลอด!”
หลิวซิ่วอิงภรรยาของหลิวชางหรง พยายามพูดขึ้นเพื่อแก้ตัว “เจ้ากล้ากล่าวหาพวกเราแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีสายหลักพวกเจ้าก็คงเป็นขอทะ..!"
ขวับ!! เพียะ! โอ๊ยยย เพียะ! โอ๊ยยย
“อิงเอ๋อร์! /ท่านแม่!”
ซูอันยืนหัวเราะอย่างเย็นชาหลังจากสั่งสอนหลิวซิ่วอิง “ที่ซุกหัวนอน? สิ่งที่พวกเจ้าให้คือความกดขี่ประหนึ่งทาสและความอัปยศ คนอย่างพวกเจ้าไม่สมควรใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยซ้ำ!”
“นายท่านหลิวจงฟังคำพูดของข้าให้ดี อีกห้าวันข้างหน้าจะไม่มีการแต่งงานของพี่สาวข้าเกิดขึ้น ท่านจะหาวิธีรับหน้าคหบดีหวังเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน และสิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้ก็คือ ท่านต้องมอบหนังสือตัดขาดแยกบ้าน รวมถึงตัดชื่อของครอบครัวข้าออกจากผังตระกูลเสีย หากไม่ยอมทำตามแต่โดยดีแล้วละก็ คืนนี้พวกท่านทุกคนคงจะนอนกองบนพื้น เป็นร่างที่ไร้ดวงวิญญาณตลอดไป!”
“นี่เจ้าพูดอันใดออกมารู้ตัวหรือไม่ซูอัน!” หลิวเหมยเซียงผู้เป็นย่าถามด้วยความตกใจ
ซูอันแค่ชำเลืองไปมองและยังยืนยันคำพูดเดิม “หึ แน่นอนข้าย่อมรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดอยู่ ข้ามีเวลาจำกัด รบกวนนายท่านผู้เฒ่าหลิวกรุณาช่วยตัดสินใจโดยเร็วจะดีกว่า อย่าได้คิดหาทางรั้งพวกข้าเอาไว้ที่นี่อีก”
เมื่อคำข่มขู่ที่หมายจะเอาชีวิตดังขึ้น และพวกเขารู้ว่าซูอันไม่มีทางพูดเล่น จึงหันไปมองหลิวเฟยผู้นำตระกูลเป็นการกดดัน เพราะทุกคนต่างเห็นแก่ตัวไม่มีใครอยากตายอยู่แล้ว หลิวเฟยมองบุตรหลานที่กดดันตนเอง สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจพยักหน้าตกลง เพื่อเขียนหนังสือแยกบ้านพร้อมการตัดขาด และลบชื่อครอบครัวของซู่ลี่ออกจากผังตระกูล
“ท่านพ่อเจ้าคะ เข้ามาทำให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็วเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าหลิวเฟยตอบรับแล้ว จึงเรียกบิดาเข้ามาเพื่อจัดการให้ถูกขั้นตอนเสีย
พอปรากฏร่างของหลิวมู่ถงในห้องโถงใหญ่ เขารับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจและอาฆาตแค้นได้ฉับพลัน แต่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ สายตาตัดพ้อของมู่ถงมองไปยังผู้เป็นบิดา
“ที่ข้ายอมอดทนเพราะท่านคือบิดาที่ให้กำเนิด แต่ท่านกลับจิตใจดำมืด หลอกลวงท่านแม่ด้วยต้องการใช้ฝีมือการปักผ้าของนาง ข้าเคยคิดว่าสักวันหนึ่งท่านจะทำดีกับลูกคนนี้บ้าง แม้จะไม่ดีเท่าพี่น้องคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่วันแล้ววันเล่ากลับยิ่งเลวร้าย ยามนี้ความอดทนของข้ามันได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปภายหน้าไม่ว่าจะยากลำบาก อดมื้อกินมื้ออยู่ข้างถนน ข้ากับครอบครัวจะไม่กลับมาขอความช่วยเหลือจากท่านแน่”
มู่ถงพูดจบก็คุกเข่าก้มคำนับ อำลาหลิวเฟยเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนล้วนคาดไม่ถึงว่าคนที่ยอมมาตลอดหลายปี จะเด็ดเดี่ยวเมื่อหมดความอดทนได้จริง ๆ เนื่องจากซูอันยืนจังก้ามือถือแท่งเหล็กไว้ ทำให้คนในห้องโถงใหญ่ไม่กล้าขยับตัว
สุดท้ายหลิวเฟยจึงให้พ่อบ้านนำหนังสือสาแหรกของตระกูลมาให้ จากนั้นได้ขีดลบชื่อครอบครัวมู่ถงออก ตามด้วยหนังสือตัดความสัมพันธ์ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอันใดต่อกันอีกตลอดไป
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต