ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อย
เมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากัน
ซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน
“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”
“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมืองถู่หลานเลยนะเจ้าคะ”
จือเหมยแอบตกใจเรื่องที่ซูอันไปสั่งสอนกู้ต้าหลาง “อันเอ๋อร์ถึงลูกจะต่อสู้เก่งเพียงใดแต่อย่างไรเสียก็เป็นสตรี หากคุณชายกู้ผู้นั้นกลับมาเอาเรื่องเจ้า คงเกิดความวุ่นวายไม่รู้จบนะลูก”
ซูอันไม่อยากให้มารดาต้องกังวลใจ จึงได้พูดจาปลอบใจมารดา “ท่านแม่เจ้าคุณชายหน้าอ่อนนั่นกับบรรดาลูกน้อง คงใช้เวลารักษาตัวอีกหลายเดือน ถ้าคนตระกูลกู้คิดจะมาเอาคืนข้าละก็ ถึงตอนนั้นจวนของเราก็มียอดฝีมือคอยคุ้มครองความปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งมู่ถงและจือเหมยมีสีหน้างุนงงกับคำพูดของซูอัน พอเห็นท่าทางแปลกใจของบิดามารดา ซูอันจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “พวกท่านทำใจให้สบายเถิด อีกไม่กี่วันคนที่จะมาเป็นผู้คุ้มครองพวกเราก็จะมาทำสัญญาแล้ว จากนั้นจะเริ่มฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างจริงจังทันทีเจ้าค่ะ”
“แต่พี่เชื่อว่าอันเอ๋อร์ของพวกเรามีความสามารถเหนือบุรุษ ทั้งฉลาดและต่อสู้เก่งเช่นนี้ หากใครกล้ามารังแกคงโง่เต็มทีแล้วล่ะ” เยี่ยนหลิงเอ่ยชมน้องสาวอย่างออกนอกหน้า เป็นเพราะนางเห็นด้วยตาตนเอง ว่าซูอันเก่งกาจด้านการต่อสู้มากจริง ๆ บุรุษที่ว่าตัวใหญ่กว่า ยังไม่อาจแตะได้แม้ปลายชายผ้าของซูอัน
“ถ้ามีอะไรให้พ่อกับแม่ช่วย อย่าลังเลที่จะเอ่ยมันกับพวกเรานะอันเอ๋อร์” มู่ถงไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวลำบากอยู่เพียงผู้เดียวแน่นอน
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้บอกเล่าสิ่งที่ได้ลงมือทำกับบิดามารดาแล้ว ซูอันจึงกลับมานั่งคิดเรื่องการเตรียมสนามฝึกซ้อม ที่นางจะใช้ฝึกหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาจะมาพบนางที่จวนในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้
ขณะที่กำลังคิดเรื่องสนามฝึกอยู่เงียบ ๆ เสียงของจีจี้ก็ดังขึ้นในหัวของซูอัน [นายหญิงมีเรื่องลำบากใจอันใดหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งคนคิดไม่ตกเช่นนั้น]
“เฮ้อ จีจี้ข้ากำลังคิดว่าจะหาอุปกรณ์ในการฝึกหน่วยคุ้มกันของข้าได้อย่างไรน่ะสิ มัวแต่คิดว่าจะสร้างกองกำลังของตน จนลืมนึกถึงเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปเสียได้ ข้าจะไปหาอุปกรณ์เหล่านั้นได้จากที่ใดกัน” ซูอันกึ่งบ่นกึ่งตำหนิตนเองให้กับจีจี้ได้ฟัง
[โอ๊ะ! นายหญิงเจ้าคะ คือว่าข้าต้องขออภัยท่านจริง ๆ ที่ลืมบอกเรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่างกับท่านไป]
ซูอันทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มิได้คิดว่าเรื่องสำคัญที่จีจี้พูดถึงจะเป็นสิ่งที่นางต้องการใช้มัน “หือ เจ้าลืมบอกอันใดกับข้าอีกงั้นหรือจีจี้ ตอนนี้จะเรื่องอันใดสำคัญเท่ากับอุปกรณ์ที่ข้าต้องการอีกเล่า”
[ก็สิ่งที่นายหญิงต้องการนั้นคือเรื่องที่ข้าลืมบอกกับท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ ในมิติของจี้หยกนอกจากโรงงานทั้งสองแล้ว ด้านหลังยังมีสนามฝึกซ้อมที่นายหญิงใช้ฝึกการต่อสู้เป็นประจำ สิ่งที่นายหญิงให้ความสำคัญและใช้บ่อย ๆ ข้าล้วนนำพวกมันมาทั้งหมดเจ้าค่ะ แหะ ๆ ๆ]
พอได้ยินคำสารภาพของจี้หยก ซูอันถึงกับเรียกชื่อที่นางตั้งให้จนลั่นเรือน “จีจี้!! เจ้าลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร ปล่อยให้ข้าคิดจนสมองเหนื่อยล้าอยู่ตั้งนาน หากเป็นลูกน้องที่ทำการหละหลวมละก็ เจ้าต้องถูกลงโทษสถานหนักไปแล้ว ฮึ่ย!”
[นายหญิงคนงามของจีจี้อย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ เดี๋ยวลูกน้องผู้เก่งกาจอย่างจีจี้ จะช่วยจัดการเรื่องสนามฝึกหน่วยคุ้มกันให้เอง จีจี้จะยกอุปกรณ์มาให้ครบไม่มีขาดแม้แต่ชิ้นเดียวเจ้าค่ะ]
ซูอันนึกภาพสนามฝึกที่มีอุปกรณ์เสริมสร้างความแข็งแรง ก็แอบยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ในเมื่อจีจี้นำมันมาให้นางได้ เช่นนั้นตัวของนางก็ควรเริ่มฟื้นฟูร่างกายเสียก่อน “ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้าก็แล้วกันนะจีจี้ หวังว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปด้านหลังเรือน และใช้พื้นที่ว่างตรงนั้นทำเป็นสนามฝึก หากอุปกรณ์ไม่ครบอย่างที่พูดล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าแช่อยู่ในน้ำห้าวันห้าคืนเลยคอยดูสิ หึ”
[หา! อย่า ๆ ๆ นายหญิงอย่าทำกับจีจี้เช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ จีจี้จะจัดการไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอนเจ้าค่ะ]
“อืม ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปด้านหลังเรือน จะได้เริ่มสร้างสนามฝึกการต่อสู้ให้เรียบร้อย” ซูอันอยากฟื้นฟูกล้ามเนื้อของร่างนี้ เพื่อให้กลับมาแข็งแรงเหมาะกับสตรีวัยสิบสี่หนาวเสียที
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
เมื่อซูอันมาถึงด้านหลังของจวน จากพื้นที่รกเรื้อก็ถูกจีจี้ทำให้กลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้าง ตามมาด้วยลานทรายสำหรับฝึกซ้อมต่อสู้ ลานหญ้าสำหรับฝึกการเคลื่อนไหว อีกมุมหนึ่งจัดเป็นสนามยิงธนูและอาวุธ มีทั้งดาบ ทวน ธนู มีดสั้นถูกจัดวางเรียงรายอยู่ในโรงเก็บขนาดเล็ก
และอย่างสุดท้ายที่ซูอันต้องการมากที่สุด คือโรงยิมส่วนตัวขนาดกลางที่เคยตั้งอยู่ในคฤหาสน์หลังโต พร้อมอุปกรณ์เสริมสร้างกล้ามเนื้อครบครัน มันถูกจีจี้โยกย้ายมาวางไว้ให้นางได้จริง ๆ
หึ มาเฟียสาวอย่างนางจะกลับมาผงาดอีกครั้ง แม้ในโลกใบใหม่แห่งนี้ จะให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีก็ตาม แต่นางจะเป็นคนแรกที่ก้าวข้ามเรื่องนี้ให้ทุกคนได้เห็นเอง
“เฮ้อ ขอบใจมากจีจี้ที่ช่วยให้ข้าคลายกังวลไปได้ จากนี้แค่รอให้หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งมาพบเท่านั้น รวมถึงการทำสัญญากับชาวบ้าน”
[จีจี้ยินดีช่วยเหลือให้นายหญิงเจ้าค่ะ ไม่มีเรื่องไหนที่จีจี้ผู้เก่งกาจจะทำเพื่อท่านไม่ได้ ยกเว้นเรื่องว่าที่สามีของท่านที่ต้องหาเองนะเจ้าคะ]
พอได้ยินเรื่องว่าที่สามีซูอันได้แต่กลอกตามองบน นางยังไม่มีเรื่องนี้ในหัวและมันยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว ถ้ามีบุรุษที่เคยผูกวาสนาด้ายแดงต่อกันไว้ สักวันหนึ่งคงได้พบเจอกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้ คือการสร้างกิจการของครอบครัว รวมถึงการสร้างอำนาจด้านการค้า นี่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วน หลังจากได้สนามฝึกจากจีจี้ วันต่อมาในยามเหม่าซูอันจะตื่นมาวิ่งเบา ๆ ตามด้วยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
จวบจนเวลาผ่านเข้าสู่วันที่ห้าในปลายยามเฉิน ขณะที่ซูอันกำลังช่วยครอบครัวของนาง เตรียมโต๊ะปักผ้าขนาดต่าง ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูจวนดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกชื่อของนาง เลี่ยงหยางหัวหน้าหมู่บ้านซานอี๋และชาวบ้านคนอื่นอีกห้าคน ได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการทำสัญญา เรื่องการทำงานทอผ้าให้กับซูอัน เขามาพร้อมกับกลุ่มบุรุษวัยหนุ่มอย่างพวกอวี้เหลียน
ตึง ๆ ๆ “คุณหนูเล็ก ๆ อยู่หรือไม่ขอรับ”
ซูอันให้ครอบครัวของตนเตรียมอุปกรณ์ต่อไป ส่วนนางเร่งเดินมาเปิดประตูรับแขกผู้มาเยือน ซึ่งนางไม่คิดว่าพวกเขาจะมาตามเวลาที่นางเคยบอกไว้ “อ้าว เป็นพวกท่านเองหรอกหรือ เชิญเข้าไปด้านในก่อนเถิด แล้วค่อยพูดคุยเรื่องการทำงานของทุกคนกัน”
“ขอบคุณคุณหนูขอรับ”
ซูอันเดินนำแขกจากหมู่บ้านซานอี๋ เข้ามาพบบิดามารดาในห้องโถง “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จัก ท่านลุงเลี่ยงหยางเป็นหัวหน้าหมู่บ้านซานอี๋ที่จะมาทำงานกับเรา ส่วนทางด้านพี่ชายทั้งสิบคนนี้คือหน่วยคุ้มกันที่จะทำการฝึกฝนกับข้า ตอนนี้มีทั้งหมดสิบคนเจ้าค่ะ และสองท่านนี้คือท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเอง”
“คารวะนายท่านจินและจินฮูหยินขอรับ!”
มู่ถงกับจือเหมยไม่เคยถูกใครเรียกเช่นนี้ ทำให้รู้สึกแปลก ๆ พิกล “ยินดีที่ได้พบทุกท่าน อย่าเรียกข้าว่านายท่านเลยนะพี่ชายเลี่ยงหยาง ข้าก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนพวกท่านเช่นกัน”
แต่เลี่ยงหยางไม่เห็นด้วยกับมู่ถง “นายท่านจินอย่าได้พูดเช่นนั้น ให้พวกข้าเรียกนายท่านนั้นถูกต้องแล้ว เนื่องจากยามนี้ครอบครัวของท่านเป็นนายจ้าง ย่อมมีฐานะที่แตกต่างกันขอรับ”
อวี้เหลียนก็คิดเช่นเดียวกับหัวหน้าหมู่บ้าน “นายท่านจินอย่าได้ห้ามพวกข้าเลยขอรับ ถึงอย่างไรคำเรียกนี้ย่อมมีคนอีกมาก ที่จะเรียกท่านในอนาคตเมื่อท่านเริ่มทำการค้านะขอรับ อนุญาตให้พวกข้าเรียกไว้แต่เนิ่น ๆ ดีกว่าขอรับนายท่านจิน”
เยี่ยนหลิงเข้าใจว่าบิดาเคยชินกับคำเรียกขาน แต่ตอนนี้สถานการณ์มิได้เป็นเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว “ท่านพ่อเจ้าคะที่ท่านลุง
เลี่ยงหยางกับอวี้เหลียนพูดมาก็ถูกนะเจ้าคะ ท่านพ่อต้องทำตัวให้ชินกับคำเรียกนี้ ต่อไปท่านจะกลายเป็นพ่อค้าเต็มตัว คำเรียกขานของนายจ้างกับลูกจ้าง ย่อมแบ่งเส้นเอาไว้ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ท่านพ่อก็เห็นตัวอย่างจากคนพวกนั้นมาก่อนนี่เจ้าคะ”มู่ถงคิดทบทวนก็พยักหน้าช้า ๆ เพราะเขาเคยชินจนลืมไปว่า หากมิถูกบิดากดขี่ใช้งาน อย่างน้อยเขาก็เป็นคุณชายคนที่สามของตระกูล “อืม เอาเถิดพวกท่านเรียกข้าเช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่เกิดปัญหาเช่นที่บุตรสาวข้าพูด วันนี้พวกท่านคงมาเรื่องสัญญาการจ้างงานสินะ”
“ใช่ขอรับ ตอนนี้ข้าให้ทุกคนหยุดงานไว้ก่อน เพื่อมาพูดคุยกับนายท่านจินและคุณหนู เผื่อพวกท่านมีลายผ้าที่ต้องการข้าจะได้นำไปให้ชาวบ้านได้ดู ก่อนจะลงมือทอผ้ามาส่งให้พวกท่านขอรับ” ลี่หยางให้ชาวบ้านหยุดงานทอผ้าไว้ เขาอยากรู้ว่าซูอันมีลายผ้าที่อยากได้หรือไม่
มู่ถงหันไปมองบุตรสาวคนเล็กอย่างซูอัน เพื่อให้นางเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ “อันเอ๋อร์ว่าอย่างไร เจ้ามีลายผ้าที่อยากให้
หัวหน้าลี่หยาง กับชาวบ้านคนอื่น ๆ ทอมาส่งในครั้งแรกหรือไม่เล่า”แน่นอนว่าซูอันย่อมมีลวดลายสำหรับการทอผ้าที่ต้องการ แต่ในขั้นแรกนางอยากให้ชาวบ้านทอผ้าสีพื้นไร้ลวดลาย
แต่ประณีตเสียก่อน “เรื่องลวดลายข้าย่อมมีอยู่ในใจเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ในสามเดือนนี้ข้าต้องการผ้าไหมสีพื้นไร้ลวดลายก่อน เพื่อนำมาใช้ปักเป็นรูปดอกไม้และสัตว์มงคล เพื่อเป็นการเริ่มต้นให้ผู้คนในเมืองผู่เถียน ได้รู้จักร้านผ้าไหมตระกูลจินของเราเจ้าค่ะท่านลุงเลี่ยงหยางนี่เป็นสัญญาการทำงาน รวมถึงค่าตอบแทนในระดับต่าง ๆ ของการทอผ้า ท่านลองอ่านและพิจารณากับท่านอาที่มาด้วยกัน หากมีตรงจุดไหนอยากให้แก้ไขก็บอกข้าได้ พวกเราจะได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาในสัญญาให้ตรงกัน”
เลี่ยงหยางรับสัญญาการทำงาน มาเปิดอ่านร่วมกับชาวบ้านที่ตามมา ซึ่งในสัญญาได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า หากเป็นผ้าไหมสีพื้นธรรมดาทั่วไป ซูอันจะรับซื้ออยู่ที่ผืนละห้าสิบอีแปะ ส่วนผ้าไหมที่จะเพิ่มลวดลายในภายหลัง จะรับซื้ออยู่ที่ผืนละหนึ่งตำลึงเงิน และราคารับซื้อจะสูงขึ้น เมื่อชาวบ้านสามารถทอลวดลายยาก ๆ ที่ซูอันกำหนดให้
แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าผ้าไหมจะต้องไม่เกิดความเสียหาย ไม่มีรอยขาดหรือจุดบกพร่องบนผืนผ้า ต้องส่งผ้าไหมให้ตรงเวลาตามที่กำหนดไว้ หากมีปัญหาทำให้ส่งล่าช้าอนุโลมให้ชี้แจงได้ แต่ต้องมีเหตุผลเป็นที่ยอมรับได้เท่านั้น ถ้าผ้าไหมที่ได้รับไม่ผ่านการตรวจสอบจะถูกหักเงินค่าจ้างหนึ่งส่วนต่อครั้ง
เมื่อเห็นว่าในสัญญาไม่มีจุดไหนที่เอาเปรียบพวกตน เลี่ยงหยางจึงยื่นสัญญากลับไปให้ซูอันและตอบตกลงทันที “คุณหนูเล็กพวกข้าไม่มีปัญหากับสัญญาฉบับนี้ขอรับ เงื่อนไขที่ท่านกำหนดพวกข้ายอมรับได้ เพราะราคาที่ท่านรับซื้อแพงกว่าคุณชายกู้ตั้งหลายเท่าขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราก็ลงชื่อในสัญญากันเถิด ข้าจะมอบให้ท่านลุงเลี่ยงหยางเก็บไว้หนึ่งชุด เมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านแล้ว ท่านอย่าลืมเรียกทุกคนมาประชุมและบอกให้พวกเขาเริ่มทอผ้าได้” ซูอันคิดเอาไว้แล้วว่า ชาวบ้านย่อมเห็นด้วยกับสัญญาของนางฉบับนี้
“ขอรับคุณหนูเล็ก” เลี่ยงหยางรับปากกับซูอันอย่างหนักแน่น
การทำสัญญาจ้างงานชาวบ้านเรื่องทอผ้าสำเร็จไปแล้ว เลี่ยงหยางจึงถือสัญญากลับหมู่บ้านกับคนที่ตามมาเป็นพยาน
ส่วนกลุ่มของอวี้เหลียนนั้นเป็นเรื่องต่อไป ที่ซูอันจะต้องจัดการด้วยตนเอง เนื่องจากนางเป็นเพียงคนเดียวของครอบครัว ที่พูดจาคุยโวโอ้อวดไว้ว่ามีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจ ดังนั้นบิดามารดาและพี่สาวอย่างเยี่ยนหลิง ย่อมไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต