หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน
โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”
หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”
“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”
“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลา
ฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”
เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิดถึงช่างทอผ้าในหมู่บ้านซานอี๋ “อันเอ๋อร์ถ้ามีคนร้ายพวกนั้นจริง แล้วชาวบ้านที่ทำงานให้พวกเราจะเป็นอันตรายหรือไม่”
ซูอันยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่านางจะมั่นใจ ว่าบุรุษสองคนตรงหน้าของนางเป็นคนของราชสำนักจริง ๆ จึงไม่ได้ตอบคำถามของเยี่ยนหลิง แต่กลับถามเอาความจริงจากหยางไท่หมิง “พวกท่านสองคนมีหลักฐานอันใดมายืนยัน ว่าเป็นคนจากราชสำนักเพื่อมาสืบคดีอย่างลับ ๆ แล้วเหตุใดไม่ไปปรึกษาหารือกับท่านเจ้าเมือง แต่กลับมาขอพบข้ากับพี่สาวเสียได้เล่า”
ช่างเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวนัก ระวังตัวทุกย่างก้าว ไม่ยอมเชื่ออันใดง่าย ๆ
หยางไท่หมิงล้วงของบางอย่างออกมาจากหน้าอก เขายื่นไปตรงหน้าให้ซูอันได้ดูชัด ๆ ว่าตนกับสหายมิใช่พวกคนร้ายอย่างที่นางคิด ฟงเฉิงฮ่าวเห็นสหายแสดงความจริงใจเขาจึงทำตามด้วยอีกคน
กึก “สิ่งนี้คงพอจะช่วยยืนยันกับคุณหนูเล็กได้กระมัง ว่าข้ากับสหายมิได้โกหกแต่อย่างใด”
“แล้วจุดประสงค์ที่มาพบข้าในวันนี้ พวกท่านต้องการสิ่งใดกันแน่เจ้าคะ” ซูอันพอจะได้เรียนรู้เรื่องตราสัญลักษณ์ของขุนนางมาบ้างยามที่นางไปเยี่ยมคุณย่า และมักจะได้ฟังเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา
เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้สีหน้าของหยางไท่หมิง เปลี่ยนเป็นจริงจังมากกว่าเดิม “พวกข้ามิได้ต้องการสิ่งใดจากคุณหนูเล็ก แต่พอได้เห็นสินค้าภายในร้านของท่านแล้ว จึงอยากเตือนให้ท่านระวังตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดูแลช่างทอผ้าและช่างปักผ้าของท่านให้ดี หากคนร้ายที่ปะปนมาเป็นลูกค้าได้เห็นความงดงาม ที่อยู่บนผ้าไหมในร้านของท่านพวกมันไม่มีทางอยู่เฉยแน่”
ซูอันพอจะนึกสถานการณ์นี้ได้ ตั้งแต่ที่หยางไท่หมิงพูดถึงการหายตัวไปของช่างทอผ้าแล้ว “ขอบคุณคุณชายทั้งสองมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยเตือนข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณในความหวังดี ข้าจะนำผ้าปักมาให้พวกท่านได้เลือก คิดเสียว่าเป็นของที่ระลึกจากตระกูลจินก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นอันเอ๋อร์เจ้าพูดคุยกับคุณชายทั้งสองไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่จะนำผ้าปักขึ้นมาให้เลือกเอง” เยี่ยนหลิงคิดว่าการขอบคุณ ด้วยการมอบเป็นผ้าปักของร้านให้ก็ดีไม่น้อย หากคุณชายสูงศักดิ์ทั้งสองคนนำไปใช้ คงมีบุรุษและสตรีในเมืองหลวงสนใจและอยากได้บ้างเป็นแน่
ฟงเฉิงฮ่าวได้โอกาสจึงออกตัวขอไปช่วยเยี่ยนหลิงถือผ้าปัก “อาหมิงเจ้าพูดคุยกับคุณหนูเล็กเรื่องคนร้ายต่อเถิด ข้าจะไปช่วยคุณหนูใหญ่ถือผ้าปักเอง”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณชายฟง ข้าถือขึ้นมาเองได้มิได้หนักอันใดเลย” เยี่ยนหลิงพยายามเอ่ยห้ามด้วยเกรงใจ เพราะถือว่าฟงเฉิงฮ่าวเป็นแขกของร้านตนเอง
มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับสตรีที่ตนพึงใจ ไม่มีทางที่ฟงเฉิงฮ่าวจะปล่อยให้หลุดมือไปแน่ “คุณหนูใหญ่อย่าได้เกรงใจ ข้าอยากเลือกผ้าปักก่อนสหายน่ะ”
เยี่ยนหลิงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ได้แต่เดินนำฟงเฉิงฮ่าวลงไปยังชั้นล่าง เพื่อคัดเลือกผ้าปักที่เพิ่งนำมาจากจวน ซึ่งอยู่ในห้องเก็บของด้านหลังร้านค้า
ซูอันมิได้ตอบรับอันใด นางลอบสังเกตท่าทางของฟงเฉิงฮ่าว ที่แสดงออกกับพี่สาวของนางอยู่เงียบ ๆ ตั้งแต่ย้ายมาที่เมืองผู่เถียน ใช่ว่าพี่สาวของนางจะไม่เป็นที่สะดุดตาของบุรุษ แต่เป็นเพราะพี่สาวมักจะอยู่ในจวนเพื่อปักผ้ามากกว่า บุรุษในเมืองจึงไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามาทำความรู้จัก
ขณะที่ซูอันต้อนรับแขกจากเมืองหลวงอยู่นั้น ทางด้านหมู่บ้านซานอี๋ กำลังเผชิญการมาเยือนของตระกูลกู้ ซึ่งพวกเขาหายไปนานหลายเดือนตั้งแต่ถูกซูอันสั่งสอน ครั้งนี้กู้ต้าหลางจึงกลับมาพร้อมบิดาและลูกน้องอีกยี่สิบคน เขาต้องการแก้แค้นและสั่งสอนคนในหมู่บ้านซานอี๋แห่งนี้ ที่เคยใช้สายตามองเขาถูกซูอันทำร้ายโดยไม่คิดช่วยเหลือ
เจียนฉางและจ้าวถางที่ใช้ต้นไม้สูง เป็นสถานที่ในการเฝ้าระวังคนแปลกหน้า เมื่อมองไปทางเข้าหมู่บ้านและเห็นกลุ่มคนจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นที่คุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุด ย่อมเป็นกู้ต้าหลางที่เคยสั่งให้คนทำร้ายพวกตน
“แย่แล้วจ้าวถาง! นั่นมันไอ้คนเห็นแก่ตัวตระกูลกู้มิใช่หรือ หายหัวไปนานจนข้าเกือบจะลืมไปแล้วเชียว”
จ้าวถางย่อมจำได้ดีเพราะยามนั้นเขาอ่อนแอกว่าใคร “เจียนฉางหรือว่าที่กู้ต้าหลางมาวันนี้ เพราะต้องการแก้แค้นอย่างที่เคยพูดข่มขู่เอาไว้!”
“ไม่ได้การแล้วพวกเราต้องแยกกันทำงาน จ้าวถางเจ้ารีบกลับไปรายงานคุณหนูเล็กให้เร็วที่สุด และพาพวกอวี้เหลียนมาช่วยชาวบ้าน ส่วนข้าจะไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อประกาศเตือนชาวบ้านให้หาที่ซ่อนตัว หากพวกมันเริ่มลงมือข้าจะรับมือไปพลางก่อน”
“ได้! เจ้าระวังตัวด้วยข้าจะรีบไปรีบมา”
หลังจากแบ่งหน้าที่กันเสร็จ จ้าวถางแยกไปนำม้าที่ผูกไว้ข้างหมู่บ้าน ก่อนจะควบขี่มันมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองผู่เถียนอย่างรวดเร็ว ส่วนเจียนฉางเองรีบไปพบเลี่ยงหยาง เพื่อประกาศเรื่องที่กู้ต้าหลางกำลังพาลูกน้องเข้ามาในหมู่บ้าน โดยไม่ลืมบอกให้ชาวบ้านหาที่หลบซ่อนตัวให้ดี
เมื่อข่าวนี้กระจายกันไปปากต่อปาก เหล่าบุรุษในหมู่บ้าน จึงถืออาวุธที่หาได้ไว้ในมือ และให้คนในครอบครัวที่เป็นสตรี
รวมถึงเด็กกับคนชราหลบอยู่ในบ้าน ส่วนพวกเขามารวมกันกับหัวหน้าหมู่บ้าน ที่มีเจียนฉางยืนถือดาบอยู่ด้านหน้าด้วยระยะทางจากหมู่บ้านซานอี๋ถึงตัวเมืองผู่เถียน ใช้เวลาไม่นานกับการขี่ม้าของจ้าวถาง ไม่ถึงหนึ่งเค่อเขาก็มาถึงร้านผ้าไหม เนื่องจากเห็นว่ามีลูกค้าอยู่ภายในร้านจำนวนมาก จ้าวถางจึงเลือกที่จะใช้วรยุทธ์ กระโดดจากหลังม้าถีบตนเองขึ้นไปชั้นบน จนเกือบทำให้เว่ยโฉวและพวกอู๋ซวนเข้าใจผิด
ยู้ววว! พรึบ! ตุบ
“หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้าเป็นใครถึงได้ขึ้นมาบนนี้โดยไม่แจ้งกับหลงจู๊”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหลีกไป!”
เว่ยโฉวที่วิ่งออกมาดักทางพร้อม ๆ กับอู๋ซวน เมื่อเห็นว่าเป็นจ้าวถางจึงรีบยกมือห้ามอู๋ซวนไว้ได้ทัน “พี่ชายนี่เป็นสหายของข้าเองท่านเก็บดาบเข้าที่เดิมเถิด”
จ้าวถางไม่สนใจว่าจะถูกผู้ใดชักดาบมาชี้หน้าของตน เขารีบถามถึงซูอันกับเว่ยโฉวด้วยความรีบร้อน “เว่ยโฉวคุณหนูเล็กอยู่ด้านในหรือไม่ ข้ามีเรื่องด่วนต้องรายงานให้คุณหนูทราบ”
“เกิดเรื่องที่หมู่บ้านงั้นรึ คุณหนูเล็กอยู่ด้านในห้องทำงาน เจ้ารีบเข้าไปรายงานเร็วเข้า” เว่ยโฉวไม่กล้ารั้งสหายไว้อีก
อู๋ซวนรวมถึงอู๋ซูและไห่หยวนมองตามหลังคนของซูอัน พวกเขาทั้งสามล้วนมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจ แต่ไม่คิดว่าคนติดตามของคุณหนูตระกูลจิน ที่อ่อนวัยกว่าหลายปีกลับมีวรยุทธ์ใกล้เคียงพวกเขาได้
เว่ยโฉวพาจ้าวถางมาถึงห้องทำงานของซูอัน ทำเอาเป่าโยวกับจงชิ่งแปลกใจ ที่จ้าวถางปรากฏตัวที่นี่ แต่เว่ยโฉวรีบรายงานกับซูอันเสียก่อน “คุณหนูเล็กจ้าวถางมีเรื่องเร่งด่วนต้องการรายงานท่านขอรับ”
ขวับ! “ให้จ้าวถางเข้ามาเถิด รวมถึงพวกเจ้าด้วย” ซูอันที่นั่งมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเลือกผ้าปัก เงยหน้าไปทางประตูพร้อมอนุญาต เมื่อได้ยินเสียงคนของนางเอ่ยรายงาน
แอ๊ด “คุณหนูเล็กเกิดเรื่องที่หมู่บ้านแล้วขอรับ!”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นพูดมาเร็วเข้า” ซูอันแอบคิดให้เป็นเรื่องอื่นที่มิใช่การลักพาตัวช่างทอผ้า
จ้าวถางค้อมตัวเล็กน้อยก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่ตนเห็น “เรียนคุณหนูเล็ก ข้ากับเจียนฉางสังเกตการณ์จากบนต้นไม้ใกล้หมู่บ้าน มองเห็นคุณชายกู้นำบ่าวไพร่มามากกว่ายี่สิบคน คาดว่าต้องการมาแก้แค้นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน เจียนฉางอาสาไปเตือนชาวบ้านและอยู่ปกป้องทุกคน ส่วนข้าเร่งขี่ม้ากลับมารายงานคุณหนูขอรับ”
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินว่าใครที่กำลังพาคนมาทำร้ายชาวบ้าน ซึ่งยามนี้เป็นลูกจ้างของนาง ในเมื่อคำเตือนที่เคยบอกไว้ไม่เป็นผล เช่นนั้นนางควรลงมืออย่างจริงจัง จะได้ไม่มีครั้งต่อไปสำหรับตระกูลกู้อีก
เยี่ยนหลิงที่รู้ว่าน้องสาวจะทำอันใด ด้วยความเป็นห่วงนางไม่ยอมอยู่รอที่ร้านแน่ “อันเอ๋อร์พี่จะไปกับเจ้าด้วย อย่าบอกให้พี่รอเจ้าอยู่ที่ร้านเลยนะ”
ซูอันมองเห็นความห่วงใยจากดวงตาของพี่สาว คำพูดที่เตรียมไว้จึงต้องเปลี่ยนตาม “พี่หญิงท่านไปกับข้านั้นย่อมได้ แต่ท่านต้องอยู่กับเว่ยโฉวเท่านั้น อย่าเป็นห่วงข้าจนทำให้ตนเองเป็นที่สะดุดตาของพวกมัน ท่านทำได้หรือไม่เจ้าคะ”
“พี่ทำได้ ๆ”
ซูอันพยักหน้าให้พี่สาว แต่ขณะที่นางกำลังจะสั่งการกับคนของตน กลับมีเสียงที่เรียบนิ่งแต่มีพลังพูดกับนางเสียก่อน
“คุณหนูเล็กข้ากับอาฮ่าวขอติดตามท่านไปด้วยก็แล้วกัน เผื่อว่าคนกลุ่มนั้นจะมีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องที่ข้ากำลังทำอยู่ อีกอย่างมีกำลังจากพวกข้าสองคนไปเพิ่ม ย่อมรับมือได้ดีกว่าคนน้อยมิใช่หรือ” เพราะแอบเป็นห่วงเด็กดื้อที่เขาสนใจ จึงได้นำเรื่องงานเข้ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อได้มีช่วงเวลาที่อยู่กับนางมากขึ้น
ฟงเฉิงฮ่าวเองก็สนับสนุนความคิดของสหายเช่นกัน “ใช่แล้วคุณหนูเล็ก อย่างน้อยข้ากับอาหมิงและคนติดตามก็มีวรยุทธ์พอตัวย่อมช่วยเหลือท่านได้อีกแรงนะ”
ซูอันไม่คิดปฏิเสธเพราะเป็นความจริง ที่คนของนางมีน้อยกว่ามาก แม้จะมีวรยุทธ์และอาวุธในมือ แต่ถ้าถูกคนจำนวนมากรุมทุบตี ก็ใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเสียเมื่อไหร่ “ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมากรบกวนด้วยนะเจ้าคะ”
เพียงแค่ซูอันไม่คิดปฏิเสธหยางไท่หมิงถึงกับยกยิ้ม ที่เด็กดื้อของเขายังรู้จักถ่อมตนไม่อวดเก่งจนเกินไป “อู๋ซวน อู๋ซู พวกเจ้าไปนำม้ามาที่นี่ พวกเราจะขี่ม้าไปยังหมู่บ้านนั้นกับคุณหนูเล็ก ไม่อาจใช้รถม้าในสถานการณ์เช่นนี้ได้”
“รับทราบขอรับคุณชาย”
อู๋ซวนกับอู๋ซูและไห่หยวนเร่งกลับไปยังโรงเตี๊ยม เพื่อนำม้าที่ขี่มาจากเมืองหลวง รวมกับม้าของโรงเตี๊ยมที่มีไว้ให้ลูกค้าได้เช่า ทั้งสามคนช่วยกันนำม้ามาส่งให้เจ้านาย ที่ยืนรอพร้อมกับสตรีที่งดงามอีกสองคน ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดและตื่นกลัวด้านหน้าร้านผ้า
เรื่องขี่ม้ามิใช่เรื่องยากที่คนอย่างซูอันจะทำไม่ได้ เมื่อขึ้นไปอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม จึงรับเยี่ยนหลิงขึ้นไปนั่งกับนาง โดยซูอันไม่ลืมบอกกับหลงจู๊เหวยฉิน ให้บอกอวี้เหลียนหากกลับมาแล้วไม่เจอนาง
ภายหลังสั่งการกับหลงจู๊เหวยฉินเสร็จสิ้น ขบวนม้าของคนทั้งสิบจึงเร่งออกจากเมืองไปด้วยความเร็ว ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาไม่ให้มีคนถูกทำร้ายจนถึงชีวิตก็พอ แต่เพียงแค่ทำร้ายชาวบ้านจนได้รับบาดเจ็บ ใช่ว่าซูอันจะปล่อยให้ตระกูลกู้ได้เชิดหน้าชูคอ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกเสียเมื่อไหร่กัน
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลาฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิ
ผ่านค่ำคืนที่แสนมีความสุขของจวนตระกูลจิน พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ผ้าไหมและผ้าปักของร้าน มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เพียงเปิดร้านวันแรกก็ขายดีจนผ้าบางผืนเหลือไม่กี่พับ ส่วนเรื่องสินค้าที่เหลือน้อยได้รับการแก้ไขจากบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว มู่ถงกับฮูหยินอย่างจือเหมยจึงได้วางใจเพราะซูอันรู้ดีว่าบิดามารดามักจะคิดมากอยู่เสมอ “ท่านพ่อท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน พวกท่านเลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าลูกค้าของพวกเราจะสั่งสินค้าจำนวนมากเพียงใด ข้าย่อมมีส่งให้ครบตามจำนวนแน่นอน พวกท่านปักผ้าอย่างมีความสุขเถิดนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ จากนี้ไปพวกท่านสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้นั่งทำงานปักอย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบจากความกดดันเช่นแต่ก่อนอีก ส่วนเรื่องที่ร้านผ้าไหมข้ากับอันเอ๋อร์จะดูแลจัดการเองเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงกล่าวเสริมคำพูดน้องสาวอีกคนจือเหมยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ที่บุตรสาวทั้งสองของนางกับสามี ไม่เคยริษยาต่อกันตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง “ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ยามนี้บุตรสาวของพวกเราเติบโตขึ้นมาก แต่หลิงเอ๋อร์เลยเวลาออกเรือนมาเกือบสองปีแล้ว ข้ากลัวว่า
หยางไท่หมิงและฟงเฉิงฮ่าว ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมผู่เฉิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ยอมพักผ่อนเนื่องจากรอฟังข่าวจากไห่หยุน ผู้รับคำสั่งจากฟงเฉิงฮ่าวไปสืบความเป็นมา เกี่ยวกับสตรีที่เจ้านายให้ความสนใจ ทันทีที่มาถึงเมืองผู่เถียน ซึ่งมิใช่แค่ไห่หยุนที่แปลกใจ แต่บ่าวที่ติดตามเจ้านายทั้งสองคนก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันไห่หยุนเดินสอบถามพ่อค้าแม่ค้า บริเวณที่เจ้านายพบเจอสตรีทั้งสอง แต่รายละเอียดที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทำให้ไห่หยุนต้องไปสอบถามเรื่องตระกูลจินจากท่านเจ้าเมืองผู่เถียน ที่ตอบคำถามจากหลักฐานการโยกย้ายถิ่นฐานจากเมืองถู่หลาน มาตั้งรกรากเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่นี่ รวมถึงการเปลี่ยนแซ่ของครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อสืบเสาะเรื่องราวได้เท่าที่มี ไห่หยุนจึงรีบกลับไปพบเจ้านาย เพื่อรายงานในสิ่งที่ตนสืบได้ความมาก๊อก ๆ ๆ “คุณชายรองบ่าวไห่หยุนเองขอรับ”พอได้ยินเป็นเสียงคนของตน ฟงเฉิงฮ่าวรีบอนุญาตอย่างรวดเร็ว “รีบเข้ามา”แต่เป็นหยางไท่หมิงที่ให้ไห่หยุนรีบเล่าสิ่งที่รู้ออกมา “ได้ความเกี่ยวกับพวกนางว่าอย่างไร รีบเล่ามาให้พวกข้าสองคนฟังโดยเร็ว อย่ามัวพิธีรีตองให้มากนัก”“เรียนคุณชายหยาง บ่าวได้สอ
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร